“ใต้เท้า ข้าสำนึกผิดแล้วขอรับ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว ข้าทำไปเพียงเพื่อเอาตัวรอด จึงได้พูดเรื่องเหล่านั้นออกมา หากข้ารู้ว่าเรื่องเหล่านั้นจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อพวกพ้อง ข้าจะไม่กล้าพูดออกมาเด็ดขาด ขอใต้เท้าโปรดเมตตา ให้โอกาสข้าได้ชดเชยความผิดด้วยเถิดขอรับ!”นักพรตเฒ่าชุดดำพูดคำเหล่านี้ออกมาแบบไม่หยุดหายใจ แต่ในวินาทีต่อมา เลือดแดงฉานก็สาดกระเซ็นไปทั่วผู้เป็นหัวหน้าไม่คิดจะให้โอกาสเขาได้อธิบาย เพราะเขาได้ทรยศต่อพวกพ้องไปแล้ว จะไถ่โทษอย่างไรได้อีกหลังจากจัดการศพของนักพรตเฒ่าชุดดำแล้ว เป้าหมายของพวกเขาก็เปลี่ยนไปที่หวังหยวนอีกครั้งหวังหยวนรู้เรื่องมากเกินไป จึงต้องฆ่าพวกเขาและจับตัวสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเทียนไว่เทียนมาให้ได้!“พวกเจ้ายังยืนงงอยู่เพื่ออะไร? รีบไปจับตัวพวกเขากลับมาเดี๋ยวนี้ ฆ่าพวกผู้ชายทุกคนได้ แต่ต้องจับเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ กลับมา เข้าใจหรือไม่?”หัวหน้าไม่สนใจความปลอดภัยของผู้อื่น เขาต้องการเพียงสตรีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เพราะเมื่อได้สตรีศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว พวกเขาจะมีไพ่ตายไว้ต่อกรกับเทียนไว่เทียนบัดนี้พวกเขาได้เปิดศึกกับเทียนไว่เทียนแล้ว และอีกฝ่ายก็รู้ถึงแผนการของพวกเขา
ขณะที่ก้าวเดินเข้าไปข้างในนั้น หวังหยวนก็สังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างระมัดระวังเกรงกลัวนักว่าจะมีเหล่าจอมยุทธ์พุ่งออกมาล้อมพวกเขาไว้จากประตูห้องใดห้องหนึ่ง หรือไม่ก็ปล่อยอาวุธลับออกมาโจมตีนอกจากหวังหยวนแล้ว ยังมีผู้อื่นที่ชำนาญในการใช้อาวุธลับอีกด้วยพวกเขาเดินมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ยังไม่พบภรรยาสามคนของเขาจนกระทั่งหวังหยวนเดินมาถึงห้องของพวกนาง เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีเมื่อผลักประตูห้องออกอย่างแผ่วเบา ผลปรากฏว่ามีฝุ่นฟุ้งกระจายออกมาจำนวนมากหวังหยวนรีบปกป้องเสวี่ยเชียนหลงที่อยู่ด้านหลังของเขา“ระวัง!”เมื่อเห็นว่ามีมือสังหารพุ่งออกมาจากในห้อง และในมือถือมีดสั้นพุ่งเข้าใส่หวังหยวนเสวี่ยเชียนหลงก็ร้องเสียงหลง แล้วก้าวมาขวางหน้าหวังหยวน โชคดีที่พี่ชิงอีตอบสนองได้อย่างว่องไว จึงสามารถช่วยชีวิตทั้งสองคนไว้ได้เมื่อมือสังหารปรากฏตัว หวังหยวนก็มองเห็นภรรยาทั้งสามกับลูกที่ถูกจับมัดไว้ในห้องแตะใครก็ได้ แต่อย่าได้แตะต้องภรรยาของเขา!เช่นนั้นแล้วก็เตรียมตัวตายแบบไร้ที่ฝังศพได้เลย!หวังหยวนจัดระเบียบร่างกายของตนเองใหม่ แล้วหยิบกระบองออกมาเตรียมต่อสู้กับมือสังหารผู้นี้เขาบอ
ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ เมื่อมือสังหารพุ่งเข้าใส่หวังหยวน หวังหยวนก็รีบดึงอาวุธลับออกจากเอวของตนเอง แล้วเล็งไปที่หน้าผากของมือสังหารมือสังหารหลบได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็ยังมีรอยถลอกเล็กน้อยที่แก้มสีหน้าของมือสังหารค่อย ๆ กลายเป็นเย็นชาขึ้น เมื่อมองหวังหยวน สายตานั้นเต็มไปด้วยเจตนามุ่งสังหารบัดนี้ไม่ใช่เรื่องของหวังหยวนเพียงคนเดียวแล้ว พี่ชิงอีต้องลงมือ ไม่เช่นนั้นหวังหยวนคงสู้มือสังหารผู้นี้ไม่ได้แน่ทั้งสองคนร่วมมือกันและเอาชนะมือสังหารผู้นี้ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อต้องการล้วงข้อมูลเกี่ยวกับซานไว่ซานจากปากของเขาแต่คนผู้นี้กลับกัดยาพิษฆ่าตัวตาย หวังหยวนลืมตรวจดูในปากของเขาจึงไม่สามารถขัดขวางเขาได้เมื่อมือสังหารตายไปแล้ว ก็คงต้องวางแผนในระยะยาวจากเหตุการณ์นี้ หวังหยวนต้องเสริมสร้างการป้องกันภายนอกให้แข็งแกร่งขึ้น ไม่ให้พวกเขาฉวยโอกาสเข้ามาได้อีกในช่วงเวลานี้ หวังหยวนจึงตัดสินใจว่าจะไม่ออกจากบ้านง่าย ๆ ต้องเฝ้าอยู่ที่บ้านเพื่อคอยสังเกตสถานการณ์ภายนอกอย่างใกล้ชิด และปล่อยให้พวกเขาก่อเรื่องไปก่อนหวังหยวนกลับเข้าไปในห้องเพื่อแกะเชือกที่มัดภรรยาทั้งสามออก แล้วดึงสิ่งที่อุดปา
แม้ว่าไป๋ฝูซานจะมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ แต่เหตุใดไป๋ชิงชางจึงไม่ได้นำทัพออกศึกด้วยตนเอง?เมื่อพิจารณาจากการกระทำของเขาแล้ว หากได้ตัดสินใจออกศึกครั้งใหญ่เช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องนำทัพด้วยตนเอง เพราะนั่นเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เขาวางใจได้ทว่าบัดนี้ดูเหมือนว่าจะมีเงื่อนงำบางประการซ่อนเร้นอยู่“ทางด้านต้าเย่มีกลยุทธ์รับมือเช่นไร?”หวังหยวนแตะนิ้วเบา ๆ บนโต๊ะ สายตาจับจ้องไปที่เกาเล่อ“ย่อมมีแน่นอนขอรับ พวกเขาได้ส่งแม่ทัพผู้หนึ่งซึ่งไม่ใช่บุคคลธรรมดา นามว่าเซิ่งตงฉยงให้นำทัพ”หวังหยวนเคยได้ยินกิตติศัพท์ของบุรุษผู้นี้มาบ้าง เขาคนนี้เป็นผู้ที่มีฝีมือฉกาจฉกรรจ์มากมายนัก ในสนามรบนั้นเขาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิตแม้ว่าจะยึดได้เมืองมาหนึ่งเมือง แต่เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของตนเอง บางครั้งเขาก็เลือกที่จะสังหารหมู่คนในเมืองนั้นเสีย!ไม่คาดคิดว่าบุรุษทั้งสองนี้จะได้มาเผชิญหน้ากัน ดูเหมือนว่าการศึกครั้งนี้จะต้องมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก“ไป จัดคนไปเฝ้าดูที่สนามรบ หากเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ที่ผิดปกติขึ้น จงรีบรายงานมายังข้าโดยทันที และให้รายงานให้ข้ารู้ทุกวัน”หวังหยวนสั่งการเกาเล่อให้รายงานทุกวัน
เมื่อได้ยินคำพูดของแม่ทัพฉางเฟิง ทหารฝ่ายต้าเย่ต่างก็พากันหัวเราะเสียงดังสนั่นไป๋อวี่ไม่คาดคิดว่าแม่ทัพผู้นี้จะใช้กลวิธีเช่นนี้ในการต่อสู้กับเขา“ท่านแม่ทัพ วิธีคิดของท่านช่างแตกต่างจากผู้อื่นนัก แม้ว่าข้าจะยังอายุน้อย แต่ก็สามารถมาสนามรบได้ เพราะข้ามีฝีมือที่ยอดเยี่ยม ไหวพริบปฏิภาณเฉียบแหลม ไม่เหมือนท่านที่แก่ปูนนี้แล้ว แต่กลับยังเป็นได้เพียงแม่ทัพตำแหน่งเล็ก ๆ เท่านั้น!”ไป๋อวี่ก็เป็นคนที่ไม่ยอมให้ใครล่วงเกินเช่นกัน ทั้งสองสบตากัน แววตาของทั้งคู่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น จากนั้นทั้งสองก็พุ่งเข้าประจันหน้ากันอย่างรวดเร็ว!เสียงดาบและหอกปะทะกันจนเกิดเสียงดัง แต่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ยอมแพ้ แต่ละครั้งล้วนฟาดฟันเต็มแรงแม้ว่าฉางเฟิงจะมีอายุมากกว่าไป๋อวี่เล็กน้อย แต่ก็ลงมืออย่างไม่ปรานี เพราะในสนามรบนั้นไม่มีคำว่าอายุเข้ามาเกี่ยวข้อง มีเพียงกฎแห่งดาบและหอกเท่านั้น!ฉางเฟิงขี่ม้าศึกเข้าห้ำหั่นกับไป๋อวี่ เขาใช้ท่าแทงหอกกลับหลัง แต่ไป๋อวี่กลับหลบหลีกได้อย่างว่องไวไป๋อวี่ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครข่มได้ง่าย ๆ เขาออกแรงเล็กน้อยก็สามารถกระโดดลงจากม้าศึกได้ จากนั้นก็ปรากฏตัวต่อหน้าฉางเฟิง เขาเหย
เมื่อเกาเล่อได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงนำความไปแจ้งแก่หวังหยวนขณะนั้นหวังหยวนได้เลิกประชุมแล้วและกำลังอยู่กับไป๋เฟยเฟยเดิมทีเขาตั้งใจจะซักถามเรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลไป๋จากปากของนาง แต่ไป๋เฟยเฟยกลับเป็นเหมือนต้องมนต์อะไรบางอย่างที่ทำให้นึกอะไรไม่ออก“พี่หยวน ข้ามีเรื่องจะรายงานขอรับ”เมื่อได้ยินเสียงของเกาเล่อ หวังหยวนจึงค่อย ๆ หันกลับมาบอกให้เขาไปรอที่ห้องโถงด้านข้างก่อน แล้วจะไปหาในทันทีเมื่อเกาเล่อจากไป หวังหยวนยังคงพูดคุยกับไป๋เฟยเฟยต่อไป เรื่องราวเมื่อครู่ยังคงวนเวียนอยู่ในใจ เขาจะต้องเค้นเอาความจริงจากปากของนางให้จงได้“คุณชาย ข้าก็อยากจะบอกเรื่องราวก่อนหน้านี้ให้ท่านรู้จริง ๆ แต่ข้าจำอะไรไม่ได้เลย อาจเป็นเพราะพี่ชายขังข้าไว้นานเกินไปในวังหลวง จึงทำให้ความคิดสับสน”เมื่อได้ยินคำพูดของไป๋เฟยเฟยที่ดูเหมือนจะสิ้นหวังอยู่บ้าง หวังหยวนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้?การที่คนคนหนึ่งถูกขังอยู่ในที่แห่งหนึ่งเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดความหดหู่ในใจ แต่ก็ไม่น่าจะถึงกับทำให้สติไม่ดีหรือหลงลืมเรื่องราวในอดีตได้“เฟยเฟย ข้ารู้ว่าเจ้าลำบากใจ แต่เจ้าลองนึกดูดี ๆ เถิด เพร
“พี่หยวน คนที่ข้าส่งไปเหมือนจะพูดถึงเรื่องนี้จริง ๆ ทั้งสองฝ่ายมีคนสวมหน้ากากและแต่งกายด้วยชุดแปลก ๆ ขอรับ”หลังจากที่เกาเล่อบอกเรื่องนี้ให้หวังหยวนทราบ หวังหยวนก็เข้าใจในทันทีว่าคนเหล่านี้น่าจะเป็นคนที่ซานไว่ซานส่งมาแต่พวกเขารู้ตัวหรือไม่?ทั้งที่เป็นพวกเดียวกัน แต่กลับอยู่คนละฝ่าย พวกเขาจะอยู่ร่วมกันอย่างไร? หรือจะฆ่าฟันกันเอง?หากเป็นเช่นนั้น ซานไว่ซานก็ช่างโหดเหี้ยมเกินไปเสียแล้ว แม้แต่คนของตนเองก็ยังไม่ละเว้น“คนของเจ้าต้องคอยจับตามองคนเหล่านั้นให้ดี หากพบความเคลื่อนไหวใด ๆ ให้รีบมารายงานข้า หากไม่มีเรื่องใดแล้ว เจ้าก็ไปได้”หลังจากที่หวังหยวนพูดจบ เกาเล่อก็ถอยออกไปส่วนอีกด้านหนึ่งก็เป็นไปตามที่หวังหยวนคาดการณ์ไว้ สถานการณ์ในสนามรบเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในกระโจมของอาณาจักรต้าเป่ย ไป๋ฝูซานกำลังพูดคุยกับชายลึกลับคนหนึ่ง“วันนี้ต้องขอบคุณท่านอาจารย์ทั้งหลาย หากปราศจากพวกท่าน อาจจะเอาชนะแม่ทัพไร้พ่ายผู้นั้นได้ยากยิ่งนัก”คนของเกาเล่อเดินผ่านกระโจมนี้มาพอดี จึงแอบฟังการสนทนาข้างใน“ท่านแม่ทัพไป๋กล่าวเกินไปแล้ว นี่เป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว ฮ่องเต้ทรงส่งเรามาที่นี่ ก็เพื่อช่ว
สีหน้าของเซิ่งตงฉยงดูไม่สู้ดีนัก เขาวางถ้วยชาลง อย่างรวดเร็ว ปล่อยให้มันตกไป ก่อนจะตรงไปเปิดม่านกระโจมออกก่อนเดินออกไปอย่างรวดเร็วเหล่าทหารหลายนายต่างก็อยู่ในท่าเตรียมพร้อมอย่างตึงเครียดหากไป๋ฝูซานเตรียมเริ่มโจมตีจริง พวกเขาก็จะได้เตรียมตัวป้องกันและตอบโต้การโจมตีของศัตรูได้อย่างเหมาะสม ถูกต้อง และทันท่วงทีที่สุด!เช่นนี้จึงสมกับเป็นเหล่าทหารที่เขาเซิ่งตงฉยงฝึกฝนขึ้นมา!สายตาของเซิ่งตงฉยงฉายแววเคร่งขรึมจริงจัง ขณะกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่นอีกครั้งว่า “บอกเหล่าทหารให้ระวังตัว อย่าเคลื่อนไหวบุ่มบ่าม ให้ทำตามคำสั่งของข้าอย่างเคร่งครัด!”“รับทราบ ขุนพลเซิ่ง”รองขุนพลที่อยู่ข้าง ๆ รีบวิ่งออกไปทันทีที่ได้ยินคำพูดของเซิ่งตงฉยง และบอกให้ทุกคนทำตามคำสั่งของเซิ่งตงฉยง อย่าได้คิดริเริ่มตัดสินใจเองโดยพลการเซิ่งตงฉยงนั้นสะบัดเสื้อคลุมขนสัตว์ก้าวเท้าเดินอย่างรวดเร็วไปยังประตูค่ายทหาร แล้วมองไปทางด้านหน้าด้วยสายตาเย็นชาและเย่อหยิ่งในตำแหน่งที่ไม่ไกลออกไปนัก ไป๋ฝูซานกำลังนำเหล่าทหารไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันนายล้อมประตูค่ายทหารสีหน้าของเขาปรากฏแววหยิ่งผยองขึ้นมา เขาหรี่ตามองเซิ่งตงฉยงด้วยสายตาอันตรา