“พวกเจ้าพูดเรื่องไร้สาระกันอยู่หรือ? ขณะนี้องค์หญิงทรงพักผ่อนอยู่ในตำหนักดีอยู่แล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่ฝ่าบาทจะทรงประหารพระองค์?”นางกำนัลขององค์หญิงก้าวเข้ามาตะโกนเสียงดัง ทุกคนจึงคุกเข่าลงกับพื้นแม้ว่านางกำนัลผู้นี้จะมีฐานะเทียบเท่ากับพวกเขา แต่ก็เป็นผู้ที่รับใช้ใกล้ชิดองค์หญิง จึงสูงส่งกว่าพวกเขาอยู่ขั้นหนึ่งเหล่าข้าทาสเหล่านี้ต่างตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ไม่รู้จะอธิบายเรื่องราวเหล่านี้อย่างไร พวกเขาเพียงได้ยินมาเท่านั้น ไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่“พี่เสี่ยวฮวา โปรดอย่าโกรธไปเลย พวกเราเพียงพูดคุยกันเล่น ๆ ในยามว่างเท่านั้น พวกเราไม่ทราบว่าเรื่องราวเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่!”“ในเมื่อไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือไม่ก็อย่าได้กระจายข่าวลือในวังหลวงเช่นนี้! ที่นี่คือวังหลวง ไม่ใช่ข้างนอก ระวังหัวของพวกเจ้าไว้ให้ดี หากข้าได้ยินเรื่องเช่นนี้อีก ข้าจะนำไปฟ้ององค์หญิง!”เมื่อนางกำนัลขององค์หญิงกล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไปนางต้องรีบกลับไปเล่าเรื่องนี้ให้องค์หญิงทราบ พวกเขากระทำการอุกอาจไร้ขอบเขต และข่าวลือจากภายนอกช่างเหลือเชื่อยิ่งนัก!นางต้องให้องค์หญิงและฝ่าบาทปรึกษาหารือกันเพื่อห
องค์หญิงตรัสเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? เหตุใดจึงถามว่านางออกจากวังหลวงได้หรือไม่?“ข้าถามเจ้าว่าเจ้าออกจากวังหลวงได้หรือไม่?”เรื่องนี้สำคัญยิ่งสำหรับไป๋เฟยเฟย นางต้องหาคนที่ออกจากวังหลวงได้และไว้ใจได้!“บ่าวต้องอยู่เคียงข้างองค์หญิงตลอดเวลา ไม่สามารถออกจากวังหลวงได้เพคะ”เมื่อนางกำนัลตั้งสติได้แล้วก็ก้มหน้าตอบไป๋เฟยเฟยไป๋เฟยเฟยลังเลอีกครั้ง เรื่องนี้ยากยิ่งนักผู้ที่อยู่เคียงข้างนางไม่เหลือมากนัก และผู้ที่สามารถอยู่ใกล้ชิดนางได้ก็มีเพียงเสี่ยวฮวาคนนี้เท่านั้นหลังจากเงียบไปหลายนาที นางก็เงยหน้าขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว แล้วมองไปที่เสี่ยวฮวาข้าง ๆเสี่ยวฮวารู้สึกงุนงงกับการกระทำขององค์หญิงไป๋เฟยเฟยลุกจากเตียง แล้วเดินไปหาเสี่ยวฮวา จากนั้นก็จับมือของนางแล้วค่อย ๆ ประคองนางให้ลุกขึ้น“เสี่ยวฮวา เจ้าติดตามข้ามาตั้งแต่เยาว์วัย ข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร?”“องค์หญิงตรัสเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเพคะ? องค์หญิงทรงปฏิบัติต่อเสี่ยวฮวาดุจพี่สาวแท้ ๆ เสี่ยวฮวาซาบซึ้งยิ่งนักเพคะ!”หากไม่มีไป๋เฟยเฟย เสี่ยวฮวาคงตายไปนานแล้ว ดังนั้นนางจึงรู้สึกขอบคุณยิ่งนัก และไป๋เฟยเฟยก็เป็นเจ้านายที่มีเมตตาเ
เช้าวันรุ่งขึ้น เสี่ยวฮวาได้มาเฝ้าอยู่ที่ข้างเตียงขององค์หญิง“องค์หญิง เมื่อคืนบ่าวคิดทั้งคืนจนได้หนทางอันพอใช้ได้แล้ว ขอองค์หญิงโปรดร่วมมือด้วยเถิดเพคะ!”เมื่อได้ยินดังนั้น ไป๋เฟยเฟยจึงรีบเปิดม่านเตียงออก แล้วบอกให้เสี่ยวฮวารายงานโดยละเอียดขณะเดียวกันนั้น หวังหยวนยังคงเฝ้าคอยข่าวคราวของไป๋เฟยเฟยอย่างใจจดใจจ่อ ไม่รู้ว่านางเข้าใจเจตนาของเขาหรือไม่ ไม่รู้ว่านางจะส่งข่าวออกมาได้หรือไม่“ช่วงนี้ไป๋ชิงชางคงฆ่าคนไปไม่น้อย แต่ผลลัพธ์กลับค่อนข้างดี หลังจากที่สังหารคนไปหลายคน ข่าวลือก็เงียบหายไป ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวถึงเรื่องที่องค์หญิงสิ้นพระชนม์อีกต่อไป”หวังหยวนรำพึงกับตนเองในโรงเตี๊ยมเขากังวลนักว่าไป๋เฟยเฟยจะไม่เข้าใจเจตนาของเขา หากเป็นเช่นนั้น เขาก็จะไม่รู้ที่อยู่ปัจจุบันของนางแล้วก็จะไม่สามารถช่วยเหลือนางได้ รวมถึงไม่รู้ว่าเกิดเหตุใดขึ้นกับตระกูลไป๋กันแน่โลกนี้ช่างลี้ลับเหลือเกิน เขาเพิ่งจากไปเพียงไม่กี่เดือน แต่กลับเกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ แม้แต่ฮ่องเต้ยังเปลี่ยนไปแล้วเขาชกกำปั้นลงบนโต๊ะด้วยความโกรธไป๋ชิงชางกำลังทำสิ่งใดกันอยู่กันแน่?แม้ว่าเขาจะมีเหตุผลจำเป็น ห
แต่ผู้ฝึกยุทธชั้นสูงกลับใช้โอกาสนี้เหยียบมือของเขา แล้วเตะเข้าที่ศีรษะของเขาอย่างแรงพละกำลังของคนผู้นี้ช่างมากมายนัก หวังหยวนเกือบจะทรงตัวไม่ได้แต่หวังหยวนก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็วและกลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้เขาฟาดกระบองลงไปอย่างแรงที่แขนขวาของผู้ฝึกยุทธชั้นสูงผู้ฝึกยุทธชั้นสูงไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บเล็กน้อยนี้ แต่กลับเลือกที่จะโจมตีต่อไป วิธีการโจมตีของเขาคล้ายคลึงกับคนก่อนหน้าทั้งสองคนนี้คงมาจากสำนักเดียวกัน“หรือว่าเจ้ามีฝีมือเพียงแค่นี้? หากมีเพียงแค่นี้ ข้าขอแนะนำให้เจ้ารีบหนีไปเถิด ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องตายอย่างน่าอนาถ!”ผู้ฝึกยุทธชั้นสูงเยาะเย้ยหวังหยวน หวังหยวนไม่ได้สนใจ แต่ยังคงมุ่งมั่นในการโจมตีต่อไปเขายังไม่ได้ใช้เคล็ดวิชากระบองสัปดนของเขาเลย แล้วจะให้หนีไปได้อย่างไร?หลังจากโจมตีไปหลายครั้ง หวังหยวนก็พบว่าคู่ต่อสู้มีฝีมือดีจริง จึงต้องต่อสู้ด้วยความจริงจัง จากนั้นจึงเปลี่ยนวิธีการถือกระบอง“โอ้โห ท่าทางการถือกระบองของเจ้าช่างสัปดนยิ่งนัก หรือว่านี่เป็นวิทยายุทธ์ที่เจ้าคิดค้นขึ้นเอง?”เมื่อเห็นท่าทางการถือกระบองสัปดนของหวังหยวน ผู้ฝึกยุทธชั้นสูงก็หัวเราะอย่างบ้าค
เมื่อหวังหยวนกลับออกมาจากวังหลวงแล้ว จึงได้สอบถามข่าวคราวของไป๋เฟยเฟยจากลูกน้อง แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบใด ๆ แม้แต่น้อยในอีกด้านหนึ่ง สาวใช้ได้แจ้งแผนการของตนให้กับองค์หญิงทราบแล้ว ไป๋เฟยเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่แน่ใจว่าแผนการนี้จะสำเร็จหรือไม่ แต่ในเวลานี้พวกนางก็ไม่มีหนทางอื่นใดอีกแล้ว จึงทำได้เพียงแต่ลองดูเท่านั้นจากนั้นทั้งสองก็เดินมาที่ห้องโถง แล้วไป๋เฟยเฟยก็เริ่มร้องครวญครางพร้อมกับกุมท้อง แสร้งทำเป็นว่าเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ส่วนเสี่ยวฮวาแสร้งทำท่าทางราวกับกังวลใจเป็นอย่างมาก“องค์หญิง องค์หญิงเป็นอะไรไปเพคะ องค์หญิง! มานี่เร็วเข้า มาช่วยเร็ว!”เสี่ยวฮวาแบกองค์หญิงไว้ แล้วตะโกนออกไปนอกประตู เมื่อคนข้างนอกได้ยินเสียงก็รีบวิ่งเข้ามาในทันที“เกิดอะไรขึ้น?”“ไม่รู้ว่าองค์หญิงเป็นอะไร จู่ ๆ ก็เอามือกุมท้องแล้วบอกว่าเจ็บปวดมากจนแทบจะสิ้นสติ ท่านใต้เท้าโปรดเมตตา อนุญาตให้บ่าวออกไปตามหมอเถิดเจ้าค่ะ!”การแสดงของเสี่ยวฮวาและไป๋เฟยเฟยนั้นเรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียวเสี่ยวฮวาร้องไห้เสียงดังมาก ส่วนไป๋เฟยเฟยก็ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดนั้นดังไม่แพ้กันคนที่อยู่ข้างนอกเริ่มลังเลอยู่บ
เสี่ยวฮวาเปิดผ้าคลุมแล้วจึงมุดออกมา คนเหล่านั้นไม่มีใครสังเกตเห็นนางนางสอบถามชาวบ้านไปตลอดทาง จึงได้รู้ว่าร้านหม้อไฟตั้งอยู่ที่ใด แล้วนางก็รีบมุ่งหน้าไปที่นั่นทันที!เมื่อมาถึงร้านหม้อไฟแล้วก็พบว่ามีผู้คนมาที่นี่มากมายจริง ๆชาวบ้านชอบมารับประทานอาหารที่นี่เป็นอย่างมาก และยังมีขุนนางและเศรษฐีอีกมากมายที่มารับประทานที่นี่เช่นเดียวกันหลังจากนางเดินเข้าในร้าน นางจึงตะโกนเรียกเจ้าของร้าน“เจ้าของร้าน เจ้าของร้าน ท่านอยู่หรือไม่? ข้ามีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทราบ!” ในที่สุดเสียงตะโกนของเสี่ยวฮวาก็ดึงดูดความสนใจของเจ้าของร้าน เจ้าของร้านเพียงแค่เหลือบมองนางแวบเดียว ก่นจะพานางไปยังที่อื่น“แม่นาง เกิดอะไรขึ้นหรือไม่? ค่อย ๆ เล่ามาอย่างละเอียด”“องค์หญิงใช้ให้ข้าออกมาแจ้งว่าขณะนี้ถูกจองจำอยู่ในวังหลวง ทางทิศใต้ของวังหลวงในคฤหาสน์ที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง ผูกเชือกสีแดงไว้ที่ต้นไม้ใหญ่หน้าประตู ขอให้เจ้าของร้านช่วยนำคำพูดเหล่านี้ไปแจ้งให้ท่านหวังหยวนทราบด้วยเจ้าค่ะ!”หลังจากพูดจบ เสี่ยวฮวาก็คุกเข่าลงทันที ขอร้องให้เจ้าของร้านนำคำพูดเหล่านี้ไปส่งให้ครบถ้วนเจ้าของร้านเป็นคนใกล้ชิดของหวังหยว
เมื่อได้ยินเสียงวุ่นวายจากด้านนอก ไป๋ชิงชางก็คาดเดาได้ทันทีว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นเพียงแต่เขาไม่คิดว่ายอดฝีมือในยุทธภพจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนี้เมื่อพวกผู้คุ้มกันของหวังหยวนมาถึง พวกเขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย รีบตรงเข้าไปต่อสู้ในทันทีทำให้องครักษ์เฝ้าหน้าห้องไป๋เฟยเฟยลดจำนวนลงไปไม่น้อย“ช่างไร้ประโยชน์นัก พวกเจ้าไร้สมองกันหรือไง? ทหารเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างน่าสงสัย แน่นอนว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลัง พวกเจ้าบุ่มบ่ามเข้าไปเช่นนั้นแล้วทางด้านไป๋เฟยเฟยจะทำอย่างไร? หวังหยวนคงจะไปถึงที่นั่นแล้ว!”แท้จริงแล้วตั้งแต่เกิดข่าวลือแพร่สะพัดในครั้งก่อน เขาก็รู้แล้วว่าหวังหยวนจะไม่มีทางละทิ้งไป๋เฟยเฟย และในครั้งนั้นก็เป็นแผนการที่เขาสร้างขึ้นเพื่อให้ไป๋เฟยเฟยรู้ว่าเขากลับมาแล้วและยังคงตามหานางอยู่!ไป๋ชิงชางนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ข้างกายเขามีชายชุดดำเดินออกมาสองสามคน“พวกเจ้าจงไปตรวจสอบที่ห้องขององค์หญิงบัดเดี๋ยวนี้ หากองค์หญิงหลบหนีไปแล้ว จงรีบติดตามไปทันที ต้องนำองค์หญิงกลับมาให้ข้าให้ได้ ส่วนคนข้างกายนาง อย่าได้ทำร้ายพวกเขาเด็ดขาด!”เดิมทีไป๋ชิงชางคิดว่าครั้งนี้เขาคงได้ตัดความสัมพันธ์ก
นักพรตหัวโล้นไม่เข้าใจว่าหวังหยวนไปร่ำเรียนเคล็ดวิชาเหล่านี้มาจากที่ใด ทั้ง ๆ ที่ระดับการฝึกฝนเหมือนกับเขา แต่กลับสามารถต่อสู้กับคนสิบคนได้เพียงลำพัง!คนเช่นนี้ไม่ควรมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้เขาเติบโตขึ้น ก็จะกลายเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่สำหรับชาวซานไว่ซานอย่างพวกเขา!เมื่อคิดได้ดังนั้น สายตาของนักพรตหัวโล้นก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาหยิบกระบองของตัวเองขึ้นมาฟาดไปที่หวังหยวนโชคดีที่หวังหยวนสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากด้านหลังจึงหลบหลีกได้ทันมีคนมากมายเหลือเกิน หวังหยวนไม่สามารถต่อสู้กับพวกเขาได้มากเกินไป ไม่เช่นนั้น หากไป๋ชิงชางมาถึงที่นี่ในอีกสักพัก ก็คงจะหนีออกไปไม่ได้อีกแล้วหวังหยวนมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นหยิบปืนออกมาจากเอวของตัวเองพวกเขาเคยได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดวิธีรับมือไม่ออก“อาวุธลับนี้ชั่วร้ายมาก พวกเจ้าทุกคนต้องระวัง จงล้อมหวังหยวนเอาไว้ แล้วเข้าโจมตีทีละคน!”เมื่อนักพรตหัวโล้นเห็นว่าหวังหยวนนำอาวุธลับออกมาก็ตกใจมาก รีบตะโกนสั่งให้คนรอบข้างทราบ เพื่อให้พวกเขาระมัดระวังอย่างยิ่งคนเหล่านั้นไม่ได้สนใจอาวุธลับของหวังหยวนเพร