แต่ผู้ฝึกยุทธชั้นสูงกลับใช้โอกาสนี้เหยียบมือของเขา แล้วเตะเข้าที่ศีรษะของเขาอย่างแรงพละกำลังของคนผู้นี้ช่างมากมายนัก หวังหยวนเกือบจะทรงตัวไม่ได้แต่หวังหยวนก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็วและกลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้เขาฟาดกระบองลงไปอย่างแรงที่แขนขวาของผู้ฝึกยุทธชั้นสูงผู้ฝึกยุทธชั้นสูงไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บเล็กน้อยนี้ แต่กลับเลือกที่จะโจมตีต่อไป วิธีการโจมตีของเขาคล้ายคลึงกับคนก่อนหน้าทั้งสองคนนี้คงมาจากสำนักเดียวกัน“หรือว่าเจ้ามีฝีมือเพียงแค่นี้? หากมีเพียงแค่นี้ ข้าขอแนะนำให้เจ้ารีบหนีไปเถิด ไม่เช่นนั้นเจ้าจะต้องตายอย่างน่าอนาถ!”ผู้ฝึกยุทธชั้นสูงเยาะเย้ยหวังหยวน หวังหยวนไม่ได้สนใจ แต่ยังคงมุ่งมั่นในการโจมตีต่อไปเขายังไม่ได้ใช้เคล็ดวิชากระบองสัปดนของเขาเลย แล้วจะให้หนีไปได้อย่างไร?หลังจากโจมตีไปหลายครั้ง หวังหยวนก็พบว่าคู่ต่อสู้มีฝีมือดีจริง จึงต้องต่อสู้ด้วยความจริงจัง จากนั้นจึงเปลี่ยนวิธีการถือกระบอง“โอ้โห ท่าทางการถือกระบองของเจ้าช่างสัปดนยิ่งนัก หรือว่านี่เป็นวิทยายุทธ์ที่เจ้าคิดค้นขึ้นเอง?”เมื่อเห็นท่าทางการถือกระบองสัปดนของหวังหยวน ผู้ฝึกยุทธชั้นสูงก็หัวเราะอย่างบ้าค
เมื่อหวังหยวนกลับออกมาจากวังหลวงแล้ว จึงได้สอบถามข่าวคราวของไป๋เฟยเฟยจากลูกน้อง แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบใด ๆ แม้แต่น้อยในอีกด้านหนึ่ง สาวใช้ได้แจ้งแผนการของตนให้กับองค์หญิงทราบแล้ว ไป๋เฟยเฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่แน่ใจว่าแผนการนี้จะสำเร็จหรือไม่ แต่ในเวลานี้พวกนางก็ไม่มีหนทางอื่นใดอีกแล้ว จึงทำได้เพียงแต่ลองดูเท่านั้นจากนั้นทั้งสองก็เดินมาที่ห้องโถง แล้วไป๋เฟยเฟยก็เริ่มร้องครวญครางพร้อมกับกุมท้อง แสร้งทำเป็นว่าเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ส่วนเสี่ยวฮวาแสร้งทำท่าทางราวกับกังวลใจเป็นอย่างมาก“องค์หญิง องค์หญิงเป็นอะไรไปเพคะ องค์หญิง! มานี่เร็วเข้า มาช่วยเร็ว!”เสี่ยวฮวาแบกองค์หญิงไว้ แล้วตะโกนออกไปนอกประตู เมื่อคนข้างนอกได้ยินเสียงก็รีบวิ่งเข้ามาในทันที“เกิดอะไรขึ้น?”“ไม่รู้ว่าองค์หญิงเป็นอะไร จู่ ๆ ก็เอามือกุมท้องแล้วบอกว่าเจ็บปวดมากจนแทบจะสิ้นสติ ท่านใต้เท้าโปรดเมตตา อนุญาตให้บ่าวออกไปตามหมอเถิดเจ้าค่ะ!”การแสดงของเสี่ยวฮวาและไป๋เฟยเฟยนั้นเรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียวเสี่ยวฮวาร้องไห้เสียงดังมาก ส่วนไป๋เฟยเฟยก็ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดนั้นดังไม่แพ้กันคนที่อยู่ข้างนอกเริ่มลังเลอยู่บ
เสี่ยวฮวาเปิดผ้าคลุมแล้วจึงมุดออกมา คนเหล่านั้นไม่มีใครสังเกตเห็นนางนางสอบถามชาวบ้านไปตลอดทาง จึงได้รู้ว่าร้านหม้อไฟตั้งอยู่ที่ใด แล้วนางก็รีบมุ่งหน้าไปที่นั่นทันที!เมื่อมาถึงร้านหม้อไฟแล้วก็พบว่ามีผู้คนมาที่นี่มากมายจริง ๆชาวบ้านชอบมารับประทานอาหารที่นี่เป็นอย่างมาก และยังมีขุนนางและเศรษฐีอีกมากมายที่มารับประทานที่นี่เช่นเดียวกันหลังจากนางเดินเข้าในร้าน นางจึงตะโกนเรียกเจ้าของร้าน“เจ้าของร้าน เจ้าของร้าน ท่านอยู่หรือไม่? ข้ามีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทราบ!” ในที่สุดเสียงตะโกนของเสี่ยวฮวาก็ดึงดูดความสนใจของเจ้าของร้าน เจ้าของร้านเพียงแค่เหลือบมองนางแวบเดียว ก่นจะพานางไปยังที่อื่น“แม่นาง เกิดอะไรขึ้นหรือไม่? ค่อย ๆ เล่ามาอย่างละเอียด”“องค์หญิงใช้ให้ข้าออกมาแจ้งว่าขณะนี้ถูกจองจำอยู่ในวังหลวง ทางทิศใต้ของวังหลวงในคฤหาสน์ที่อยู่ห่างไกลแห่งหนึ่ง ผูกเชือกสีแดงไว้ที่ต้นไม้ใหญ่หน้าประตู ขอให้เจ้าของร้านช่วยนำคำพูดเหล่านี้ไปแจ้งให้ท่านหวังหยวนทราบด้วยเจ้าค่ะ!”หลังจากพูดจบ เสี่ยวฮวาก็คุกเข่าลงทันที ขอร้องให้เจ้าของร้านนำคำพูดเหล่านี้ไปส่งให้ครบถ้วนเจ้าของร้านเป็นคนใกล้ชิดของหวังหยว
เมื่อได้ยินเสียงวุ่นวายจากด้านนอก ไป๋ชิงชางก็คาดเดาได้ทันทีว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นเพียงแต่เขาไม่คิดว่ายอดฝีมือในยุทธภพจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนี้เมื่อพวกผู้คุ้มกันของหวังหยวนมาถึง พวกเขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย รีบตรงเข้าไปต่อสู้ในทันทีทำให้องครักษ์เฝ้าหน้าห้องไป๋เฟยเฟยลดจำนวนลงไปไม่น้อย“ช่างไร้ประโยชน์นัก พวกเจ้าไร้สมองกันหรือไง? ทหารเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างน่าสงสัย แน่นอนว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลัง พวกเจ้าบุ่มบ่ามเข้าไปเช่นนั้นแล้วทางด้านไป๋เฟยเฟยจะทำอย่างไร? หวังหยวนคงจะไปถึงที่นั่นแล้ว!”แท้จริงแล้วตั้งแต่เกิดข่าวลือแพร่สะพัดในครั้งก่อน เขาก็รู้แล้วว่าหวังหยวนจะไม่มีทางละทิ้งไป๋เฟยเฟย และในครั้งนั้นก็เป็นแผนการที่เขาสร้างขึ้นเพื่อให้ไป๋เฟยเฟยรู้ว่าเขากลับมาแล้วและยังคงตามหานางอยู่!ไป๋ชิงชางนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ข้างกายเขามีชายชุดดำเดินออกมาสองสามคน“พวกเจ้าจงไปตรวจสอบที่ห้องขององค์หญิงบัดเดี๋ยวนี้ หากองค์หญิงหลบหนีไปแล้ว จงรีบติดตามไปทันที ต้องนำองค์หญิงกลับมาให้ข้าให้ได้ ส่วนคนข้างกายนาง อย่าได้ทำร้ายพวกเขาเด็ดขาด!”เดิมทีไป๋ชิงชางคิดว่าครั้งนี้เขาคงได้ตัดความสัมพันธ์ก
นักพรตหัวโล้นไม่เข้าใจว่าหวังหยวนไปร่ำเรียนเคล็ดวิชาเหล่านี้มาจากที่ใด ทั้ง ๆ ที่ระดับการฝึกฝนเหมือนกับเขา แต่กลับสามารถต่อสู้กับคนสิบคนได้เพียงลำพัง!คนเช่นนี้ไม่ควรมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้เขาเติบโตขึ้น ก็จะกลายเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่สำหรับชาวซานไว่ซานอย่างพวกเขา!เมื่อคิดได้ดังนั้น สายตาของนักพรตหัวโล้นก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร เขาหยิบกระบองของตัวเองขึ้นมาฟาดไปที่หวังหยวนโชคดีที่หวังหยวนสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากด้านหลังจึงหลบหลีกได้ทันมีคนมากมายเหลือเกิน หวังหยวนไม่สามารถต่อสู้กับพวกเขาได้มากเกินไป ไม่เช่นนั้น หากไป๋ชิงชางมาถึงที่นี่ในอีกสักพัก ก็คงจะหนีออกไปไม่ได้อีกแล้วหวังหยวนมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นหยิบปืนออกมาจากเอวของตัวเองพวกเขาเคยได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังคิดวิธีรับมือไม่ออก“อาวุธลับนี้ชั่วร้ายมาก พวกเจ้าทุกคนต้องระวัง จงล้อมหวังหยวนเอาไว้ แล้วเข้าโจมตีทีละคน!”เมื่อนักพรตหัวโล้นเห็นว่าหวังหยวนนำอาวุธลับออกมาก็ตกใจมาก รีบตะโกนสั่งให้คนรอบข้างทราบ เพื่อให้พวกเขาระมัดระวังอย่างยิ่งคนเหล่านั้นไม่ได้สนใจอาวุธลับของหวังหยวนเพร
ไป๋เฟยเฟยที่ยืนอยู่ด้านข้างทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว นางวิ่งเข้าไปกอดเอวของหวังหยวน แล้วบอกให้หวังหยวนไว้ชีวิตนักพรตหัวโล้นผู้นี้ แล้วรีบหนีไปให้เร็วที่สุดหวังหยวนเหลือบมองไป๋เฟยเฟยที่กอดเอวของตนอยู่ เขายกมือของนางออกอย่างระมัดระวัง แล้วจับแขนของนางก่อนพาวิ่งออกไปเมื่อทั้งสองจากไปแล้ว นักพรตหัวโล้นก็ล้มลงกับพื้นทันที เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก...ชายผู้นั้นราวกับยมทูตมาทวงชีวิต เป็นดั่งเทพแห่งความตาย!เสี่ยวฮวาเฝ้ามององค์หญิงจากไป ในใจของนางจึงค่อยคลายกังวลลงเรื่อย ๆหวังว่าคุณชายคนนั้นจะพาองค์หญิงหนีออกจากสถานที่แห่งความวุ่นวายนี้ไปได้ และจะไม่กลับมาอีกส่วนตัวนางเองนั้นอยู่กับไป๋เฟยเฟยและไป๋ชิงชางมาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นฮ่องเต้คงไม่ทำอะไรนางมากนัก อาจลงโทษเพียงเล็กน้อยเท่านั้นหวังหยวนพาไป๋เฟยเฟยวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง แต่ทหารในวังหลวงก็ยิ่งรุมล้อมพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆจากสถานการณ์นี้ หวังหยวนรู้ว่าไป๋ชิงชางคงรู้แล้วว่าเขามาช่วยเหลือไป๋เฟยเฟย ดังนั้นจึงส่งทหารจำนวนมากมาคอยจัดการกับเขาโดยเฉพาะ!“คุณชายหวัง ฮ่องเต้ของเราให้เชิญท่านไปพบสักครู่ ส่วนองค์หญิงนั้นยังถูกกัก
พวกเขาสวมเกราะ ถือโล่และหอกในมือ ดูสง่างามยิ่งนักในขณะที่หวังหยวนสวมเสื้อคลุมยาวบาง ๆ ตัวเดียว และมีเพียงอาวุธและเพียงชิ้นเดียวในมือ ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝ่าด่านกองทหารรักษาพระองค์ร้อยนายนี้ไปได้ขณะที่หวังหยวนต่อสู้กับกองทหารรักษาพระองค์เหล่านี้ สายตาของเขาก็คอยมองไปทางอื่นตลอดเวลาเพราะเขาต้องหาทางอื่น เพื่อพาไป๋เฟยเฟยออกจากที่นี่ไปแต่กองทหารรักษาพระองค์ได้ปิดล้อมทางออกทั้งสี่ทางไว้หมดแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องหาทางออกจากทางหลังคาแต่ไป๋เฟยเฟยไม่มีวิชาตัวเบา หวังหยวนจึงต้องอุ้มนางขึ้นไป ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนไหวของหวังหยวนช้าลงเป็นอย่างมากทั้งสองฝ่ายเข้าห้ำหั่นกันอย่างสุดความสามารถ ปืนของหวังหยวนนั้นทรงพลังยิ่งนัก ยิงนัดเดียวตายหนึ่งคนพวกเขาไม่รู้ว่าหวังหยวนมีกระสุนเหลืออยู่ในมือเท่าใด จึงไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปเสี่ยงชีวิตขันทีไม่คิดว่าหวังหยวนจะเก่งกาจถึงเพียงนี้“คุณชายหวัง ข้าขอแนะนำให้ท่านยอมจำนนเถิด เมื่อฮ่องเต้จะเสด็จมา ท่านอาจไม่มีโอกาสรอดชีวิตอีกเลย”ขันทีเริ่มพูดเกลี้ยกล่อมหวังหยวน หวังหยวนเพียงแค่เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา ไม่ได้เอ่ยคำใดขณะที่ขันที
เวลาผ่านไปไม่กี่สิบนาที ทหารองครักษ์เหล่านั้นก็ถูกพวกเขาสังหารจนหมดสิ้น เหลือเพียงขันทีคนหนึ่งที่ยืนตะลึงอยู่ที่เดิม“พวกเราจัดการพวกเขาเรียบร้อยแล้ว”ต้าหู่กล่าวกับหวังหยวนอย่างปลาบปลื้มใจ “ดีมาก เช่นนั้นเราออกจากที่นี่กันเถิด!”หวังหยวนดึงตัวไป๋เฟยเฟยเข้ามาอยู่ข้างกาย แล้วพาคนอื่น ๆ ออกจากวังหลวงไปพร้อมกันวันนี้พวกเขาประสบความสำเร็จในการช่วยเหลือไป๋เฟยเฟยออกมา แต่เรื่องราวหลังจากนี้ยังต้องคิดวางแผนกันต่อไปศัตรูตามทางได้ถูกเสวี่ยเชียนหลงและคนอื่น ๆ กำจัดไปจนหมดสิ้น ดังนั้นเมื่อพวกเขาออกมาจึงไม่มีสิ่งใดขัดขวางและสามารถออกจากวังหลวงได้อย่างรวดเร็วเมื่อเห็นว่าตนเองอยู่ห่างจากประตูวังหลวงมากขึ้นเรื่อย ๆ ใจของไป๋เฟยเฟยก็ปั่นป่วนไปด้วยความรู้สึกมากมาย ไม่เพียงแต่หวังหยวนที่ไม่เข้าใจ แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเรื่องราวจึงกลายมาเป็นเช่นนี้ ต่อไปนางและพี่ชายของนางจะต้องหันมาต่อสู้กันเองจริงหรือ?“คุณชาย เราจะไปที่ใดกัน?”หลังจากออกมา สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือมุ่งหน้าไปยังร้านหม้อไฟ พวกเขาสามารถหลบซ่อนตัวได้ชั่วคราว หากมีทหารไล่ตามมา พวกเขาก็สามารถหลบหนีออกทางประตูหลังได้ใ