เฉินหลี่หมิงบังเอิญเดินผ่านเรือนหลังเล็กที่เขาเคยให้จงเพ่ยอิงอยู่ เมื่อเดินถึงหน้าเรือนเขาเห็นใบไม้ร่วงหล่นที่หน้าเรือนเต็มไปหมด มองไปที่ชิงช้าที่เขาเคยเห็นนางเคยนั่งเล่นตอนบ่ายๆ ดอกไม้ที่นางปลูกเมื่อมาอยู่ที่เรือนนี้ใหม่ๆเริ่มเหี่ยวเฉาเพราะเจ้าของมันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว มองเข้าไปในเรือนเงียบเชียบ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเคลื่อนไหวในนั้น
เขารู้สึกแปลบๆในใจเล็กน้อย จึงเปิดประตูเรือนก้าวเข้าไปภายในเรือนนั้น นับเป็นครั้งที่สองตั้งแต่เพ่ยอิงเข้ามาอยู่ที่เรือนนี้ที่เขาเหยียบย่างเข้ามา ในเรือนเงียบเชียบทุกอย่างที่เคยเห็นนางตั้งวางไว้ ทุกอย่างที่ดูจะเป็นของนางไม่มีหลงเหลือแม้เพียงชิ้นเดียว ในเรือนเหลือแต่งเครื่องตกแต่งดั้งเดิมของเรือนเท่านั้น หลี่หมิงเดินเข้าไปเรื่อยๆมองโต๊ะกลางห้องที่ว่างเปล่า
มีแจกันที่มีดอกไม้ปักแห้งๆร่วงหล่นอยู่บนโต๊ะ รวมถึงแจกันรอบๆในเรือนและในห้องก็มีแต่ดอกไม้ที่แห้งๆปักคาอยู่เท่านั้น ฝุ่นเริ่มจับบางๆไปตามเครื่องเรือนที่ตั้งอยู่ไม่กี่ชิ้น เขาเดินเรื่อยไปจนเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของนาง เห็นทุกอย่างว่างเปล่าเหมือนข้างนอก นางไม่แม้จะทิ้งอะไรที่แสดงให้เห็นว่านางเคยอยู่ที่นี่ โต๊ะเครื่องแป้งของนาง มีตลับเครื่องหอม และเครื่องประทินโฉมของสตรีวางอยู่บนโต๊ะ เขาเดินไปหยิบมันขึ้นมาดู เปิดดูเป็นเพียงตลับเก่าที่ว่างเปล่า นางเลยไม่หยิบไปด้วย
เขากำมันแน่น ที่ผ่านมาเขาไม่เคยสนใจจะมองนาง เพราะเขาโกรธที่นางบังคับเขาให้แต่งงานกับนาง โกรธที่นางพยายาม จะเข้าหาเขาแม้เขาไม่ได้สนใจนางเลยก็ตาม แต่พอมีนางมาอยู่ในจวนหลายเดือนเข้า เขาเริ่มชินที่บางครั้งเห็นนางเดินไปมาในสวนไกลๆ เห็นนางเฝ้าทำอาหารและขนมมาเอาใจเขา แต่พอเขาปฏิเสธ ใบหน้ายิ้มแย้มของนางก็ห่อเหี่ยวลงไปทันตา แต่อีกวันนางก็พยายามทำมันอีก เพื่อจะพบจุดจบแบบเดิมๆทุกครั้งไป
เมื่อเลิกงานเขามักจะเห็นนางไปยืนรับเขาที่หน้าจวน แต่เมื่อเขาลงจากรถแต่ไม่ได้สนใจทักทายนาง และเดินเข้าจวนไปเหมือนนางไร้ตัวตน หลายครั้งเขาเห็นนางยิ้มแย้มให้เขา แต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น เขาเดินผ่านนางไปแต่หางตาก็เหลือบไปเห็นนางยิ้มค้างทั้งที่ดวงตาก็คลอน้ำตาอย่างนั้น และปล่อยให้มันไหลรินช้าๆ เขาใช่ว่าไม่รู้สึกอะไรกับนาง ในหัวใจของเขาเริ่มมีนางเข้ามาเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ด้วยทิฐิของเขาที่ไม่ชอบให้ใครมาบังคับมัดมือชกเขาแบบนี้ เลยโกรธนางและไม่ยอมให้อภัยนางง่ายๆ จึงแสดงออกอย่างใจร้ายกับนางอย่างนั้น วันนี้เมื่อเขากลับมาถึงหน้าจวน มองไปที่ๆนางเคยยืนอยู่มันว่างเปล่า ในบางครั้งเขาลืมไปว่านางไปจากที่นี่แล้ว เขาพยายามมองหาจนนึกขึ้นได้ว่านางไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว
เห็นบ่าวผู้ชายเดินอยู่ไม่ไกลจึงเรียกมา " ทำไมไม่มีใครมาทำความสะอาดเรือน และกวาดใบไม้พวกนี้ รดน้ำดอกไม้ที่หน้าเรือนด้วย มันเหี่ยวเฉาหมดแล้ว ไม่มีคนเห็นหรืออย่างไร " บ่าวรับใช้ชายตอบว่า “ เมื่อตอนที่ฮูหยินยังอยู่ บ่าวของฮูหยินทำเองขอรับ หรือไม่ฮูหยินก็ทำเองขอรับ จึงไม่มีใครมายุ่งย่ามที่นี่ พวกบ่าวคงลืมไปว่าฮูหยินไปแล้วขอรับ ” ที่บ่าวพูดถึงจงเพ่ยอิง ทำให้เขาคิดได้ว่า นางไปไม่ร่ำลาสักคำ
ใช้เพียงบ่าวมาบอกพ่อบ้านด้วยซ้ำ ไม่ได้บอกกับตัวเขาเอง นางคงไม่พอใจที่เขาแต่งงานกับชิงอัน แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกขุนนางต่างมีเมียหลายคนเป็นปกติ นางกลับไม่พอใจย้ายกลับไปอยู่จวนเสนาบดีเสียอย่างนั้น เขาเดินหัวเสียกลับไปเรือนใหญ่ ตรงไปห้องหนังสือ ภาพความหลังเมื่อครั้งที่เขาได้นางเป็นเมียครั้งแรกผุดขึ้นมา ความซาบซ่านในวันนั้นเขายังจำมันได้ดี เมื่อครุ่นคิดถึงตรงนี้เขาพยายามสลัดมันออกไป
จงเพ่ยอิง เฝ้ารักเฉินลี่หมิง มานานตั้งแต่เห็นเขาครั้งแรกในงานเลี้ยงขุนนางใหม่เมื่อสองปีก่อน แม้เขาจะไม่เคยใส่ใจหรือมองนางดังเช่นคนรัก นางประทับใจที่เขาเป็นคนดีช่วยนางจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่รถม้าเกือบจะชนนาง เลยเริ่มเฝ้ามองเขาเห็นความน่ารักหลายๆอย่าง นานวันเข้าจึงรู้สึกปักใจว่าจะต้องแต่งงานนกับชายคนนี้ให้ได้ ยิ่งเลยการปักปิ่นมาสองปี นางจึงรบเร้าขอท่านพ่อใช้ความดีความชอบในราชการที่ไปช่วยอุทกภัยที่เมืองติดชายแดน จนชาวเมืองรอดพ้นภัยและยังแก้ปัญหาระยะยาวให้ชาวเมืองไม่ต้องพบปัญหาอุทกภัยนี้ต่อไปอีกด้วย ความดีความชอบนี้ นางขอร้องท่านพ่อให้ขอพระราชทานสมรสให้นาง เพื่อที่นางจะได้ตบแต่งกับเฉินลี่หมิง ขุนนางคลังหนุ่มอนาคตไกล ท่านเสนาบดีจงพ่อของนาง รักลูกสาวคนนี้มาก จึงยอมตามที่นางร้องขอ เมื่อฮ่องเต้พระราชทานราชโองการมานั้น เฉินลี่หมิงกระอักกระอ่วนใจมากเขาไม่เคยมองจงเพ่ยอิงดังเช่นคนรัก พูดคุยกับนางดังคนรู้จักธรรมดา แต่เขารู้ว่านางหลงไหลเขา เฝ้ามองเขาด้วยดวงตาหวานฉ่ำ เขาพยายามหลีกเลี่ยงนาง นานวันเข้าเปลี่ยนเป็นรังเกียจและไม่อยากจะพบนาง เจอนางที่ไหนเขามักจะหลีกห่าง แต่นางก็ยังไม่รู้ตัวว่
จงเพ่ยอิงลืมตาตื่นมาขึ้นมา แสงร่ำไรสว่างเข้ามาในห้อง เสียงเปิดประตูเข้ามาในห้อง สักพักใช่ใช่ก็เดินเข้ามาที่เตียง “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เมื่อคืนดื่มเหล้ามงคลคนเดียวจนหมด ใช่ใช่สงสารคุณหนูเหลือเกิน ” เพ่ยอิงกระพริบตาทบทวบเรื่องราวต่างๆ ตอนนี้นางอยู่ที่จวนของเฉินลี่หมิง แต่งงานแล้ว แต่เจ้าบ่าวไม่มาเข้าหอ เพ่ยอิงถอนใจ ตอนนี้นางถอยกลับไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะเป็นสมรสพระราชทานจำต้องทนอยู่ในจวนนี้ ทำดีกับเขา เอาใจเขามากๆหน่อย เขาอาจจะเห็นมันบ้างกระมังคิดพลางค่อยๆลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว ตื่นขึ้นมานั่งกินข้าวที่ใช่ใช่ยกมาให้ที่โต๊ะกลางในห้อง ตามปกติถ้าเป็นคนอื่นคงต้องไปยกน้ำชาให้แม่สามี แต่จวนนี้ พ่อกับแม่สามีอยู่ต่างเมืองออกไปไกลมากไม่ได้มาร่วมงานแต่ง วันนี้นางจึงไม่ต้องไปยกน้ำชาให้ใคร จวนนี้มีเพียงเฉินลี่หยาง อยู่เพียงคนเดียว กับบ่าวไพร่ ไว้ตอนกลางวันนางค่อยไปสำรวจก็แล้วกันว่าอะไรอยู่ที่ไหนบ้างเพื่อจะได้เตรียมทำหน้าที่ ฮูหยินแม้นางจะรู้เต็มอกว่าเจ้าของจวนเขาไม่ต้องการ เขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่า รังเกียจนางขนาดไหน ไม่อยากจะได้นางเป็นภรรยา เขาจึงได้แสดงให้นางรู้โดยการที่เขาทำทั้งหมดเมื่อวาน ไ
หลายวันผ่านไปจงเพ่ยอิง นั่งครุ่นคิดวิธีการว่าจะทำยังไง เฉินลี่หมิงจึงจะหันมาสนใจนาง รักนาง หลงไหลนางอย่าง ลี่ชิงอันบ้าง ทั้งๆนี้รูปโฉมนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า ลู่ชิงอันเลย ออกจะงามกว่าด้วยซ้ำ ขณะนั้นนางก็คิดออกมาได้ว่านางจะ วางยาปลุกกำหนัดเขา เพราะตั้งแต่งงานกันมานางยังไม่ได้เข้าหอกับเขาเลย ไม่ลองก็ไม่รู้ เขาอาจจะสนใจนางขึ้นมาบ้างเพราะเป็นผัวเมียกันแล้ว คิดได้ดังนั้นจึงให้ใช่ใช่ไปแอบซื้อยาปลุกกำหนัดมาใส่ในน้ำชาของลี่หมิง และซื้อแบบที่เป็นกำยานมาด้วย ใ้ห้บ่าวผู้ชายที่จวนเสนาบดีไปซื้อหามาให้ก็ได้ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว จึงให้ใช่ใช่แอบนำไปใส่ไว้ในน้ำชาของหลี่หมิงและแอบจุดกำยานในห้องหนังสือในวันที่บ่าวในจวนได้รับอนุญาตให้ไปดูงิ้วที่งานฉลองตลาดหลังจากคาดว่าหลี่หมิงคงเริ่มดื่มชาไปบ้างแล้วนางค่อยๆแอบเข้าประตูไปเงียบๆ หลี่หมิงนั่งที่เตียงเล็กในห้อง เขาดูกระสับกระส่าย เหงื่อแตก เมื่อหันมาเห็นเพ่ยอิง ก็มองมายังนางดวงตาครึ้มไปด้วยความเสน่หา ตรงเข้ามาประกบจูบดูดดื่ม สอดลิ้นร้อนเข้าพัวกันกับลิ้นเล็ก มือหนาบีบเค้นทรวงอกอวบใหญ่เต็มมือ เมื่อจูบจนพอใจแล้ว จากนั้นไล้เลียใบหน้าหวานดูดดึงใบหูเล
ความหวังของนางที่คิดว่าเขาจะหันมาสนใจนางบ้าง หลังจากกลายเป็นผัวเมียกันแล้ว กลายเป็นหมัน เมื่อเขายิ่งรังเกียจนางเข้าไส้กว่าเดิม พบเห็นนางเมื่อเดินสวนกันเขาจะทำเป็นไม่เห็นเดินผ่านไปเหมือนไร้ตัวตน สั่งพ่อบ้านมาบอกว่าถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องมาพบเขา ให้อยู่ในที่ของนาง หากมีงานของทางการที่จำต้องพาครอบครัวไปนั้น เขาจะให้คนมาบอกนาง จะให้ดีไม่ต้องมาให้เขาเห็นหน้า ตรงกันข้ามแม่นางลู่ชิงอันมาหาเขาที่จวนบ่อยมาก นั่งพลอดรักกัน ทานอาหารที่นางนำมาให้อย่างเต็มอกเต็มใจ และเริ่มมีข่าวว่าเขาจะไปสู่ขอนางมาเป็นฮูหยินอีกคนหนึ่ง เรื่องนี้ใช่ใช่ได้ยินมาจากวงสนทนาของฮูหยินจวนอื่นๆที่ตลาด และ นำมาบอกเพ่ยอิหลังจากนั้นไม่นานข่าวลือที่ว่าก็เป็นจริง เฉินหลี่หมิงที่ปกติไม่เคยเหยียบย่างมาที่เรือนของเพ่ยอิงเลยตั้งแต่ กลับเปิดประตูเข้ามา และบอกนางว่า "ข้าจะตบแต่งลี่ชิงอันเข้ามาเป็นฮูหยินอีกคนหนึ่ง ในอีกไม่กี่วันนี้ ที่จวนจะมีงาน ให้เจ้าเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนนี้ อย่าออกไปวุ่นวายให้งานข้าเสียหายเป็นอันขาด" เมื่อพูดจบ ก็เดินออกไป ใช่ใช่มองหน้าเพ่ยอิงมสายตาเต็มไปด้วยความเห็นใจ "คูณหนูเจ้าขาจะยังอยู่ที่จวนนี้อีกหรือเจ้าคะ "
เป็นเช้าวันแต่งงาน ที่วุ่นวายกันมากเพราะครั้งนี้เฉินหลี่หมิงจัดงานใหญ่โตมาก เพื่อแสดงความสำคัญของเจ้าสาวที่จะแต่งเข้าจวนมาใหม่นี้ เขาไปรับเจ้าสาวด้วยตนเอง งานแต่งจัดเต็มพิธีการ เมื่อทำพิธีสร็จส่งตัวเจ้าสาวแล้ว ก็เริ่มงานกินเลี้ยง คนมาร่วมงานในจวนคึกคักมากแขกมากกว่างานที่แล้วของเพ่ยอิงหลายเท่าเสียงดื่มฉลองอวยพรกันเกรียวกราว เพ่ยอิงนั่ง ร้องไห้เงียบๆ ในเรือนของตนเอง บรรยากาศข้างนอกกับในเรือนของนางนั้นแตกต่างกันราวกับไม่ได้อยู่ในจวนเดียวกัน เมื่องานเลี้ยงจบลงแล้ว แขกต่างแยกย้ายกันกลับจวนของตัวเอง จงเพ่ยอิงจึงค่อยๆ เดินออกไปยืนข้างเรือนใหญ่ตรงตำแหน่งห้องหอของสามีที่เขาไม่ต้องการนางได้ยินเสียงพลอดรัก และเสียงครวญครางผสานกันทั้งหญิงและชาย นางจำได้ดีว่าเสียงคำรามด้วยความสุขสมนั้นคือเสียงของสามีมีนางเอง ใช่ใช่เอื้อมมือมาจับมือนางแน่น เพ่ยอิงน้ำตาคลอเล็กน้อย ปล่อยน้ำตาไหลรินลงมาเงียบๆ วันรุ่งขึ้นนางตัดสินใจว่า นางจะเลิกทำบ้าๆแบบนี้เสียทีจะไปเฝ้ารักเฝ้าหวงคนที่เขาไม่ต้องการทำไม ความรักเป็นสิ่งที่บังคับใจกันไม่ได้ นางหลงรักเขาคิดไปเองว่าทำดีกับเขามากๆเขาคงเห็นใจและหันกลับมารักนางบ้าง แต่
เฉินหลี่หมิงบังเอิญเดินผ่านเรือนหลังเล็กที่เขาเคยให้จงเพ่ยอิงอยู่ เมื่อเดินถึงหน้าเรือนเขาเห็นใบไม้ร่วงหล่นที่หน้าเรือนเต็มไปหมด มองไปที่ชิงช้าที่เขาเคยเห็นนางเคยนั่งเล่นตอนบ่ายๆ ดอกไม้ที่นางปลูกเมื่อมาอยู่ที่เรือนนี้ใหม่ๆเริ่มเหี่ยวเฉาเพราะเจ้าของมันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว มองเข้าไปในเรือนเงียบเชียบ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเคลื่อนไหวในนั้น เขารู้สึกแปลบๆในใจเล็กน้อย จึงเปิดประตูเรือนก้าวเข้าไปภายในเรือนนั้น นับเป็นครั้งที่สองตั้งแต่เพ่ยอิงเข้ามาอยู่ที่เรือนนี้ที่เขาเหยียบย่างเข้ามา ในเรือนเงียบเชียบทุกอย่างที่เคยเห็นนางตั้งวางไว้ ทุกอย่างที่ดูจะเป็นของนางไม่มีหลงเหลือแม้เพียงชิ้นเดียว ในเรือนเหลือแต่งเครื่องตกแต่งดั้งเดิมของเรือนเท่านั้น หลี่หมิงเดินเข้าไปเรื่อยๆมองโต๊ะกลางห้องที่ว่างเปล่ามีแจกันที่มีดอกไม้ปักแห้งๆร่วงหล่นอยู่บนโต๊ะ รวมถึงแจกันรอบๆในเรือนและในห้องก็มีแต่ดอกไม้ที่แห้งๆปักคาอยู่เท่านั้น ฝุ่นเริ่มจับบางๆไปตามเครื่องเรือนที่ตั้งอยู่ไม่กี่ชิ้น เขาเดินเรื่อยไปจนเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของนาง เห็นทุกอย่างว่างเปล่าเหมือนข้างนอก นางไม่แม้จะทิ้งอะไรที่แสดงให้เห็นว่านางเคยอยู่ที่นี
เป็นเช้าวันแต่งงาน ที่วุ่นวายกันมากเพราะครั้งนี้เฉินหลี่หมิงจัดงานใหญ่โตมาก เพื่อแสดงความสำคัญของเจ้าสาวที่จะแต่งเข้าจวนมาใหม่นี้ เขาไปรับเจ้าสาวด้วยตนเอง งานแต่งจัดเต็มพิธีการ เมื่อทำพิธีสร็จส่งตัวเจ้าสาวแล้ว ก็เริ่มงานกินเลี้ยง คนมาร่วมงานในจวนคึกคักมากแขกมากกว่างานที่แล้วของเพ่ยอิงหลายเท่าเสียงดื่มฉลองอวยพรกันเกรียวกราว เพ่ยอิงนั่ง ร้องไห้เงียบๆ ในเรือนของตนเอง บรรยากาศข้างนอกกับในเรือนของนางนั้นแตกต่างกันราวกับไม่ได้อยู่ในจวนเดียวกัน เมื่องานเลี้ยงจบลงแล้ว แขกต่างแยกย้ายกันกลับจวนของตัวเอง จงเพ่ยอิงจึงค่อยๆ เดินออกไปยืนข้างเรือนใหญ่ตรงตำแหน่งห้องหอของสามีที่เขาไม่ต้องการนางได้ยินเสียงพลอดรัก และเสียงครวญครางผสานกันทั้งหญิงและชาย นางจำได้ดีว่าเสียงคำรามด้วยความสุขสมนั้นคือเสียงของสามีมีนางเอง ใช่ใช่เอื้อมมือมาจับมือนางแน่น เพ่ยอิงน้ำตาคลอเล็กน้อย ปล่อยน้ำตาไหลรินลงมาเงียบๆ วันรุ่งขึ้นนางตัดสินใจว่า นางจะเลิกทำบ้าๆแบบนี้เสียทีจะไปเฝ้ารักเฝ้าหวงคนที่เขาไม่ต้องการทำไม ความรักเป็นสิ่งที่บังคับใจกันไม่ได้ นางหลงรักเขาคิดไปเองว่าทำดีกับเขามากๆเขาคงเห็นใจและหันกลับมารักนางบ้าง แต่
ความหวังของนางที่คิดว่าเขาจะหันมาสนใจนางบ้าง หลังจากกลายเป็นผัวเมียกันแล้ว กลายเป็นหมัน เมื่อเขายิ่งรังเกียจนางเข้าไส้กว่าเดิม พบเห็นนางเมื่อเดินสวนกันเขาจะทำเป็นไม่เห็นเดินผ่านไปเหมือนไร้ตัวตน สั่งพ่อบ้านมาบอกว่าถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องมาพบเขา ให้อยู่ในที่ของนาง หากมีงานของทางการที่จำต้องพาครอบครัวไปนั้น เขาจะให้คนมาบอกนาง จะให้ดีไม่ต้องมาให้เขาเห็นหน้า ตรงกันข้ามแม่นางลู่ชิงอันมาหาเขาที่จวนบ่อยมาก นั่งพลอดรักกัน ทานอาหารที่นางนำมาให้อย่างเต็มอกเต็มใจ และเริ่มมีข่าวว่าเขาจะไปสู่ขอนางมาเป็นฮูหยินอีกคนหนึ่ง เรื่องนี้ใช่ใช่ได้ยินมาจากวงสนทนาของฮูหยินจวนอื่นๆที่ตลาด และ นำมาบอกเพ่ยอิหลังจากนั้นไม่นานข่าวลือที่ว่าก็เป็นจริง เฉินหลี่หมิงที่ปกติไม่เคยเหยียบย่างมาที่เรือนของเพ่ยอิงเลยตั้งแต่ กลับเปิดประตูเข้ามา และบอกนางว่า "ข้าจะตบแต่งลี่ชิงอันเข้ามาเป็นฮูหยินอีกคนหนึ่ง ในอีกไม่กี่วันนี้ ที่จวนจะมีงาน ให้เจ้าเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนนี้ อย่าออกไปวุ่นวายให้งานข้าเสียหายเป็นอันขาด" เมื่อพูดจบ ก็เดินออกไป ใช่ใช่มองหน้าเพ่ยอิงมสายตาเต็มไปด้วยความเห็นใจ "คูณหนูเจ้าขาจะยังอยู่ที่จวนนี้อีกหรือเจ้าคะ "
หลายวันผ่านไปจงเพ่ยอิง นั่งครุ่นคิดวิธีการว่าจะทำยังไง เฉินลี่หมิงจึงจะหันมาสนใจนาง รักนาง หลงไหลนางอย่าง ลี่ชิงอันบ้าง ทั้งๆนี้รูปโฉมนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า ลู่ชิงอันเลย ออกจะงามกว่าด้วยซ้ำ ขณะนั้นนางก็คิดออกมาได้ว่านางจะ วางยาปลุกกำหนัดเขา เพราะตั้งแต่งงานกันมานางยังไม่ได้เข้าหอกับเขาเลย ไม่ลองก็ไม่รู้ เขาอาจจะสนใจนางขึ้นมาบ้างเพราะเป็นผัวเมียกันแล้ว คิดได้ดังนั้นจึงให้ใช่ใช่ไปแอบซื้อยาปลุกกำหนัดมาใส่ในน้ำชาของลี่หมิง และซื้อแบบที่เป็นกำยานมาด้วย ใ้ห้บ่าวผู้ชายที่จวนเสนาบดีไปซื้อหามาให้ก็ได้ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว จึงให้ใช่ใช่แอบนำไปใส่ไว้ในน้ำชาของหลี่หมิงและแอบจุดกำยานในห้องหนังสือในวันที่บ่าวในจวนได้รับอนุญาตให้ไปดูงิ้วที่งานฉลองตลาดหลังจากคาดว่าหลี่หมิงคงเริ่มดื่มชาไปบ้างแล้วนางค่อยๆแอบเข้าประตูไปเงียบๆ หลี่หมิงนั่งที่เตียงเล็กในห้อง เขาดูกระสับกระส่าย เหงื่อแตก เมื่อหันมาเห็นเพ่ยอิง ก็มองมายังนางดวงตาครึ้มไปด้วยความเสน่หา ตรงเข้ามาประกบจูบดูดดื่ม สอดลิ้นร้อนเข้าพัวกันกับลิ้นเล็ก มือหนาบีบเค้นทรวงอกอวบใหญ่เต็มมือ เมื่อจูบจนพอใจแล้ว จากนั้นไล้เลียใบหน้าหวานดูดดึงใบหูเล
จงเพ่ยอิงลืมตาตื่นมาขึ้นมา แสงร่ำไรสว่างเข้ามาในห้อง เสียงเปิดประตูเข้ามาในห้อง สักพักใช่ใช่ก็เดินเข้ามาที่เตียง “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เมื่อคืนดื่มเหล้ามงคลคนเดียวจนหมด ใช่ใช่สงสารคุณหนูเหลือเกิน ” เพ่ยอิงกระพริบตาทบทวบเรื่องราวต่างๆ ตอนนี้นางอยู่ที่จวนของเฉินลี่หมิง แต่งงานแล้ว แต่เจ้าบ่าวไม่มาเข้าหอ เพ่ยอิงถอนใจ ตอนนี้นางถอยกลับไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะเป็นสมรสพระราชทานจำต้องทนอยู่ในจวนนี้ ทำดีกับเขา เอาใจเขามากๆหน่อย เขาอาจจะเห็นมันบ้างกระมังคิดพลางค่อยๆลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว ตื่นขึ้นมานั่งกินข้าวที่ใช่ใช่ยกมาให้ที่โต๊ะกลางในห้อง ตามปกติถ้าเป็นคนอื่นคงต้องไปยกน้ำชาให้แม่สามี แต่จวนนี้ พ่อกับแม่สามีอยู่ต่างเมืองออกไปไกลมากไม่ได้มาร่วมงานแต่ง วันนี้นางจึงไม่ต้องไปยกน้ำชาให้ใคร จวนนี้มีเพียงเฉินลี่หยาง อยู่เพียงคนเดียว กับบ่าวไพร่ ไว้ตอนกลางวันนางค่อยไปสำรวจก็แล้วกันว่าอะไรอยู่ที่ไหนบ้างเพื่อจะได้เตรียมทำหน้าที่ ฮูหยินแม้นางจะรู้เต็มอกว่าเจ้าของจวนเขาไม่ต้องการ เขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่า รังเกียจนางขนาดไหน ไม่อยากจะได้นางเป็นภรรยา เขาจึงได้แสดงให้นางรู้โดยการที่เขาทำทั้งหมดเมื่อวาน ไ
จงเพ่ยอิง เฝ้ารักเฉินลี่หมิง มานานตั้งแต่เห็นเขาครั้งแรกในงานเลี้ยงขุนนางใหม่เมื่อสองปีก่อน แม้เขาจะไม่เคยใส่ใจหรือมองนางดังเช่นคนรัก นางประทับใจที่เขาเป็นคนดีช่วยนางจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่รถม้าเกือบจะชนนาง เลยเริ่มเฝ้ามองเขาเห็นความน่ารักหลายๆอย่าง นานวันเข้าจึงรู้สึกปักใจว่าจะต้องแต่งงานนกับชายคนนี้ให้ได้ ยิ่งเลยการปักปิ่นมาสองปี นางจึงรบเร้าขอท่านพ่อใช้ความดีความชอบในราชการที่ไปช่วยอุทกภัยที่เมืองติดชายแดน จนชาวเมืองรอดพ้นภัยและยังแก้ปัญหาระยะยาวให้ชาวเมืองไม่ต้องพบปัญหาอุทกภัยนี้ต่อไปอีกด้วย ความดีความชอบนี้ นางขอร้องท่านพ่อให้ขอพระราชทานสมรสให้นาง เพื่อที่นางจะได้ตบแต่งกับเฉินลี่หมิง ขุนนางคลังหนุ่มอนาคตไกล ท่านเสนาบดีจงพ่อของนาง รักลูกสาวคนนี้มาก จึงยอมตามที่นางร้องขอ เมื่อฮ่องเต้พระราชทานราชโองการมานั้น เฉินลี่หมิงกระอักกระอ่วนใจมากเขาไม่เคยมองจงเพ่ยอิงดังเช่นคนรัก พูดคุยกับนางดังคนรู้จักธรรมดา แต่เขารู้ว่านางหลงไหลเขา เฝ้ามองเขาด้วยดวงตาหวานฉ่ำ เขาพยายามหลีกเลี่ยงนาง นานวันเข้าเปลี่ยนเป็นรังเกียจและไม่อยากจะพบนาง เจอนางที่ไหนเขามักจะหลีกห่าง แต่นางก็ยังไม่รู้ตัวว่