จงเพ่ยอิงลืมตาตื่นมาขึ้นมา แสงร่ำไรสว่างเข้ามาในห้อง เสียงเปิดประตูเข้ามาในห้อง สักพักใช่ใช่ก็เดินเข้ามาที่เตียง “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เมื่อคืนดื่มเหล้ามงคลคนเดียวจนหมด ใช่ใช่สงสารคุณหนูเหลือเกิน ” เพ่ยอิงกระพริบตาทบทวบเรื่องราวต่างๆ ตอนนี้นางอยู่ที่จวนของเฉินลี่หมิง แต่งงานแล้ว แต่เจ้าบ่าวไม่มาเข้าหอ เพ่ยอิงถอนใจ ตอนนี้นางถอยกลับไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะเป็นสมรสพระราชทานจำต้องทนอยู่ในจวนนี้ ทำดีกับเขา เอาใจเขามากๆหน่อย เขาอาจจะเห็นมันบ้างกระมัง
คิดพลางค่อยๆลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว ตื่นขึ้นมานั่งกินข้าวที่ใช่ใช่ยกมาให้ที่โต๊ะกลางในห้อง ตามปกติถ้าเป็นคนอื่นคงต้องไปยกน้ำชาให้แม่สามี แต่จวนนี้ พ่อกับแม่สามีอยู่ต่างเมืองออกไปไกลมากไม่ได้มาร่วมงานแต่ง วันนี้นางจึงไม่ต้องไปยกน้ำชาให้ใคร จวนนี้มีเพียงเฉินลี่หยาง อยู่เพียงคนเดียว กับบ่าวไพร่ ไว้ตอนกลางวันนางค่อยไปสำรวจก็แล้วกันว่าอะไรอยู่ที่ไหนบ้างเพื่อจะได้เตรียมทำหน้าที่ ฮูหยินแม้นางจะรู้เต็มอกว่าเจ้าของจวนเขาไม่ต้องการ เขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่า รังเกียจนางขนาดไหน ไม่อยากจะได้นางเป็นภรรยา เขาจึงได้แสดงให้นางรู้โดยการที่เขาทำทั้งหมดเมื่อวาน ไม่แม้จะสนใจว่านางจะอับอายบ่าวไพร่ที่เขาทำแบบนี้
ตอนกลางวันนางค่อยๆเดินสำรวจไปทั้วจวน ว่าโรงครัวอยู่ที่ไหน ท่านเฉินทานอาหารประจำวันที่ไหน มีเรื่องอะไรที่นางต้องทำบ้าง แต่พ่อบ้านบอกว่าไม่ต้องทำอะไร นายท่านสั่งไว้ให้ทุกอย่างเป็นเหมือนที่นายท่านยังไม่ได้แต่งงาน เพ่ยอิงจึงเข้าใจว่าเขาต้องการแสดงให้รู้ว่าไม่ต้องการนางแต่นางก็จะลองทำดีกับเขา อย่างเต็มที่ เอาใจเขาให้มากๆ คิดได้ดังนั้นจึงเข้าครัวทำขนมแล้วนำไปให้เขาที่ห้องหนังสือ
เมื่อเดินไปถึงหน้าห้องหนังสือ “ข้าเอาขนมมาให้ท่านลองชิมเจ้าค่ะ” เงียบไปครู่หนึ่ง “ข้าไม่กินไม่หิว เจ้าอยากกินก็กินเองเถิด ” เพ่ยอิงจึงคิดว่าเขาคงไม่ต้องพบนาง จึงถือถาดขนม เดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง ไม่เป็นไรหรอกสักวันเขาอาจจะมองเห็นความตั้งใจของข้าบ้าง ว่าข้ารักเขาอยากทำสิ่งที่ดีที่สุดให้เขา
เมื่อคิดดังนั้นจึงสลัดความน้อยใจนิด ๆออกไปจากใจ ส่งขนมในมือให้ใช่ใช่ นางรับเอาไว้ เงยหน้ามองคุณหนู ตาของใช่ใช่แดงก่ำ คุณหนูของใช่ใช่น่าสงสารเหลือเกิน รักคนที่เขาไม่เห็นค่ามันเจ็บปวดหัวใจไม่น้อย
แต่ทำไมคุณหนูถึงรักปักใจคนๆนี้นัก ทั้งๆที่คุณหนูใบหน้าสวยงามปานจะล่มเมือง รูปร่างหรือก็อวบอิ่มน่ารัก ผิวพรรณผุดผ่อง ที่จริงมีแม่สื่อแวะเวียนมาที่จวนบ่อยๆแต่คุณหนูปฏิเสธไปเพราะรักปักใจชายคนนี้
แต่เท่าที่ใช่ใช่เห็นชายคนนี้ทำร้ายจิตใจคุณหนู รังเกียจไม่อยากพบ ไม่เคยสนใจ แม้วันแต่งงานก็ทอดทิ้งคุณหนูไว้ในห้องหออย่างไม่แยแส พิธีแต่งงานทั้งหมดถูกจัดอย่างลวกๆ ขอไปที่ แม้แต่บ่าวไพร่ยัง อดซุบซิบนินทากันไม่ได้ น่าสงสารคุณหนูเหลือเกิน เมื่อไหร่จะได้เห็นคุณหนูได้มีความสุขกับเขาบ้าง
หลายวันผ่านไปเพ่ยอิงยังคงดูแลเอาใจใส่เฉินลี่หมิงอย่างอดทน นางพยายามทำอาหารไปให้ก็เขา ทำขนมเพื่อเอาใจเขา ทุกครั้งเขาไม่เคยกินของที่นางทำให้ มักจะให้บ่าวไพร่แล้วบอกว่าจะเอาไปกินหรือจะทิ้งก็แล้วแต่ นางจะไปรอรับเขาเวลากลับจากไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทในวัง หรือประชุมขุนนาง นางมักจะไปยืนรอเขาข้างประตู รถม้ามาถึงหน้าจวน เขาลงจากรถม้าเห็นนางยืนรออยู่เขามักไม่สนใจ เดินผ่านเลยไปปล่อยให้นางยืนยิ้มค้างอยู่ตรงนั้น
หรือบางครั้งนางทำขนมมาให้เขารอชิม เขาก็จะบอกให้นางเอาไปกินเอง หรือยกให้บ่าวไพร่ต่อหน้านาง แต่เพ่ยอิงก็แสนจะอดทน นางเฝ้าพยายามเอาอกเอาใจเขาแม้เขาจะเฉยชากับนางก็ตามอยู่มาวันหนึ่ง ลู่ชิงอัน หญิงสาวที่เขาพึงใจ มาหาเขาที่จะจวนนำอาหารมาให้เขาชิม นางบอกว่าหัดทำเองเป็นครั้งแรก จึงนำมาให้เขาลองทาน ทั้สองคนนั้งสนทนากันที่ศาลาริมสระบัวในจวนอย่างสนิทสนม ร่างหนายิ้มแย้มเบิกบานดูมีความสุข คุยกันสองคนกระหนุงกระหนิง
เมื่อจงเพ่ยอิงกลับจากข้างนอกพร้อมกับใช่ใช่ บ่าวของนางนั้น ขณะที่นางเดินมาตามทางจะกลับเรือนเล็กจองตัวเองนั้น สายตาเหลือบไปเห็นทั้งสองคนคุยกันอยู่ในศาลา นางหยุดชะงักมองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินตรงไปหาทั้งสอง เอามือกวาดอาหารบนโต๊ะหล่นแตกจนหมด ร่างหนาตกตะลึง ส่วนลู่ชิงอัน เมื่อหายตกตะลึงแล้วก็ร้องไห้เบาๆลี่หมิงหันไปเห็นนางร้องไห้ เขาลุกขึ้นตะคอกเพ่ยอิงเสียดังว่าเจ้าทำแบบนี้ทำไม
"ก็นางมายุ่งกับสามีของข้า ข้าก็จะทำให้นางได้รู้ว่าท่านมีภรรยาแล้ว นางไม่ควรเทียวไล้เทียวขื่อสามีคนอื่น " ร่างหนาทนไม่ไหว "เจ้านี่มันผู้หญิงแพศยา ร้ายกาจ ใครจะอยากได้เจ้าเป็นเมีย ถ้าเจ้าไม่ยัดเยียดตัวเองเข้ามา ข้าก็คงไม่รับเจ้ามาเป็นฮูหยินของข้าหรอก " ร่างหนาพูดต่อว่าโดยไม่ไว้หน้าเพ่ยอิงต่อหน้าลู่ชิงอัน
ร่างบางตะลึงกับวาจาของสามี จึงเดินหันหลังกลับออกไปจากศาลา เมื่อมาถึงห้องปิดประตู น้ำตาของนางไหลรินเงียบๆ ไม่มีคำพูดใดๆ ใช่ใช่เฝ้ามองคุณหนูของตัวเอง ในใจนางพลอยเจ็บแปลบไปด้วย เมื่อไหร่หนาคุณหนูของนางจะเลิกรักคนๆนี้สักที
หลายวันผ่านไปจงเพ่ยอิง นั่งครุ่นคิดวิธีการว่าจะทำยังไง เฉินลี่หมิงจึงจะหันมาสนใจนาง รักนาง หลงไหลนางอย่าง ลี่ชิงอันบ้าง ทั้งๆนี้รูปโฉมนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า ลู่ชิงอันเลย ออกจะงามกว่าด้วยซ้ำ ขณะนั้นนางก็คิดออกมาได้ว่านางจะ วางยาปลุกกำหนัดเขา เพราะตั้งแต่งงานกันมานางยังไม่ได้เข้าหอกับเขาเลย ไม่ลองก็ไม่รู้ เขาอาจจะสนใจนางขึ้นมาบ้างเพราะเป็นผัวเมียกันแล้ว คิดได้ดังนั้นจึงให้ใช่ใช่ไปแอบซื้อยาปลุกกำหนัดมาใส่ในน้ำชาของลี่หมิง และซื้อแบบที่เป็นกำยานมาด้วย ใ้ห้บ่าวผู้ชายที่จวนเสนาบดีไปซื้อหามาให้ก็ได้ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว จึงให้ใช่ใช่แอบนำไปใส่ไว้ในน้ำชาของหลี่หมิงและแอบจุดกำยานในห้องหนังสือในวันที่บ่าวในจวนได้รับอนุญาตให้ไปดูงิ้วที่งานฉลองตลาดหลังจากคาดว่าหลี่หมิงคงเริ่มดื่มชาไปบ้างแล้วนางค่อยๆแอบเข้าประตูไปเงียบๆ หลี่หมิงนั่งที่เตียงเล็กในห้อง เขาดูกระสับกระส่าย เหงื่อแตก เมื่อหันมาเห็นเพ่ยอิง ก็มองมายังนางดวงตาครึ้มไปด้วยความเสน่หา ตรงเข้ามาประกบจูบดูดดื่ม สอดลิ้นร้อนเข้าพัวกันกับลิ้นเล็ก มือหนาบีบเค้นทรวงอกอวบใหญ่เต็มมือ เมื่อจูบจนพอใจแล้ว จากนั้นไล้เลียใบหน้าหวานดูดดึงใบหูเล
ความหวังของนางที่คิดว่าเขาจะหันมาสนใจนางบ้าง หลังจากกลายเป็นผัวเมียกันแล้ว กลายเป็นหมัน เมื่อเขายิ่งรังเกียจนางเข้าไส้กว่าเดิม พบเห็นนางเมื่อเดินสวนกันเขาจะทำเป็นไม่เห็นเดินผ่านไปเหมือนไร้ตัวตน สั่งพ่อบ้านมาบอกว่าถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องมาพบเขา ให้อยู่ในที่ของนาง หากมีงานของทางการที่จำต้องพาครอบครัวไปนั้น เขาจะให้คนมาบอกนาง จะให้ดีไม่ต้องมาให้เขาเห็นหน้า ตรงกันข้ามแม่นางลู่ชิงอันมาหาเขาที่จวนบ่อยมาก นั่งพลอดรักกัน ทานอาหารที่นางนำมาให้อย่างเต็มอกเต็มใจ และเริ่มมีข่าวว่าเขาจะไปสู่ขอนางมาเป็นฮูหยินอีกคนหนึ่ง เรื่องนี้ใช่ใช่ได้ยินมาจากวงสนทนาของฮูหยินจวนอื่นๆที่ตลาด และ นำมาบอกเพ่ยอิหลังจากนั้นไม่นานข่าวลือที่ว่าก็เป็นจริง เฉินหลี่หมิงที่ปกติไม่เคยเหยียบย่างมาที่เรือนของเพ่ยอิงเลยตั้งแต่ กลับเปิดประตูเข้ามา และบอกนางว่า "ข้าจะตบแต่งลี่ชิงอันเข้ามาเป็นฮูหยินอีกคนหนึ่ง ในอีกไม่กี่วันนี้ ที่จวนจะมีงาน ให้เจ้าเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนนี้ อย่าออกไปวุ่นวายให้งานข้าเสียหายเป็นอันขาด" เมื่อพูดจบ ก็เดินออกไป ใช่ใช่มองหน้าเพ่ยอิงมสายตาเต็มไปด้วยความเห็นใจ "คูณหนูเจ้าขาจะยังอยู่ที่จวนนี้อีกหรือเจ้าคะ "
เป็นเช้าวันแต่งงาน ที่วุ่นวายกันมากเพราะครั้งนี้เฉินหลี่หมิงจัดงานใหญ่โตมาก เพื่อแสดงความสำคัญของเจ้าสาวที่จะแต่งเข้าจวนมาใหม่นี้ เขาไปรับเจ้าสาวด้วยตนเอง งานแต่งจัดเต็มพิธีการ เมื่อทำพิธีสร็จส่งตัวเจ้าสาวแล้ว ก็เริ่มงานกินเลี้ยง คนมาร่วมงานในจวนคึกคักมากแขกมากกว่างานที่แล้วของเพ่ยอิงหลายเท่าเสียงดื่มฉลองอวยพรกันเกรียวกราว เพ่ยอิงนั่ง ร้องไห้เงียบๆ ในเรือนของตนเอง บรรยากาศข้างนอกกับในเรือนของนางนั้นแตกต่างกันราวกับไม่ได้อยู่ในจวนเดียวกัน เมื่องานเลี้ยงจบลงแล้ว แขกต่างแยกย้ายกันกลับจวนของตัวเอง จงเพ่ยอิงจึงค่อยๆ เดินออกไปยืนข้างเรือนใหญ่ตรงตำแหน่งห้องหอของสามีที่เขาไม่ต้องการนางได้ยินเสียงพลอดรัก และเสียงครวญครางผสานกันทั้งหญิงและชาย นางจำได้ดีว่าเสียงคำรามด้วยความสุขสมนั้นคือเสียงของสามีมีนางเอง ใช่ใช่เอื้อมมือมาจับมือนางแน่น เพ่ยอิงน้ำตาคลอเล็กน้อย ปล่อยน้ำตาไหลรินลงมาเงียบๆ วันรุ่งขึ้นนางตัดสินใจว่า นางจะเลิกทำบ้าๆแบบนี้เสียทีจะไปเฝ้ารักเฝ้าหวงคนที่เขาไม่ต้องการทำไม ความรักเป็นสิ่งที่บังคับใจกันไม่ได้ นางหลงรักเขาคิดไปเองว่าทำดีกับเขามากๆเขาคงเห็นใจและหันกลับมารักนางบ้าง แต่
เฉินหลี่หมิงบังเอิญเดินผ่านเรือนหลังเล็กที่เขาเคยให้จงเพ่ยอิงอยู่ เมื่อเดินถึงหน้าเรือนเขาเห็นใบไม้ร่วงหล่นที่หน้าเรือนเต็มไปหมด มองไปที่ชิงช้าที่เขาเคยเห็นนางเคยนั่งเล่นตอนบ่ายๆ ดอกไม้ที่นางปลูกเมื่อมาอยู่ที่เรือนนี้ใหม่ๆเริ่มเหี่ยวเฉาเพราะเจ้าของมันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว มองเข้าไปในเรือนเงียบเชียบ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเคลื่อนไหวในนั้น เขารู้สึกแปลบๆในใจเล็กน้อย จึงเปิดประตูเรือนก้าวเข้าไปภายในเรือนนั้น นับเป็นครั้งที่สองตั้งแต่เพ่ยอิงเข้ามาอยู่ที่เรือนนี้ที่เขาเหยียบย่างเข้ามา ในเรือนเงียบเชียบทุกอย่างที่เคยเห็นนางตั้งวางไว้ ทุกอย่างที่ดูจะเป็นของนางไม่มีหลงเหลือแม้เพียงชิ้นเดียว ในเรือนเหลือแต่งเครื่องตกแต่งดั้งเดิมของเรือนเท่านั้น หลี่หมิงเดินเข้าไปเรื่อยๆมองโต๊ะกลางห้องที่ว่างเปล่ามีแจกันที่มีดอกไม้ปักแห้งๆร่วงหล่นอยู่บนโต๊ะ รวมถึงแจกันรอบๆในเรือนและในห้องก็มีแต่ดอกไม้ที่แห้งๆปักคาอยู่เท่านั้น ฝุ่นเริ่มจับบางๆไปตามเครื่องเรือนที่ตั้งอยู่ไม่กี่ชิ้น เขาเดินเรื่อยไปจนเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของนาง เห็นทุกอย่างว่างเปล่าเหมือนข้างนอก นางไม่แม้จะทิ้งอะไรที่แสดงให้เห็นว่านางเคยอยู่ที่นี
จงเพ่ยอิง เฝ้ารักเฉินลี่หมิง มานานตั้งแต่เห็นเขาครั้งแรกในงานเลี้ยงขุนนางใหม่เมื่อสองปีก่อน แม้เขาจะไม่เคยใส่ใจหรือมองนางดังเช่นคนรัก นางประทับใจที่เขาเป็นคนดีช่วยนางจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่รถม้าเกือบจะชนนาง เลยเริ่มเฝ้ามองเขาเห็นความน่ารักหลายๆอย่าง นานวันเข้าจึงรู้สึกปักใจว่าจะต้องแต่งงานนกับชายคนนี้ให้ได้ ยิ่งเลยการปักปิ่นมาสองปี นางจึงรบเร้าขอท่านพ่อใช้ความดีความชอบในราชการที่ไปช่วยอุทกภัยที่เมืองติดชายแดน จนชาวเมืองรอดพ้นภัยและยังแก้ปัญหาระยะยาวให้ชาวเมืองไม่ต้องพบปัญหาอุทกภัยนี้ต่อไปอีกด้วย ความดีความชอบนี้ นางขอร้องท่านพ่อให้ขอพระราชทานสมรสให้นาง เพื่อที่นางจะได้ตบแต่งกับเฉินลี่หมิง ขุนนางคลังหนุ่มอนาคตไกล ท่านเสนาบดีจงพ่อของนาง รักลูกสาวคนนี้มาก จึงยอมตามที่นางร้องขอ เมื่อฮ่องเต้พระราชทานราชโองการมานั้น เฉินลี่หมิงกระอักกระอ่วนใจมากเขาไม่เคยมองจงเพ่ยอิงดังเช่นคนรัก พูดคุยกับนางดังคนรู้จักธรรมดา แต่เขารู้ว่านางหลงไหลเขา เฝ้ามองเขาด้วยดวงตาหวานฉ่ำ เขาพยายามหลีกเลี่ยงนาง นานวันเข้าเปลี่ยนเป็นรังเกียจและไม่อยากจะพบนาง เจอนางที่ไหนเขามักจะหลีกห่าง แต่นางก็ยังไม่รู้ตัวว่
เฉินหลี่หมิงบังเอิญเดินผ่านเรือนหลังเล็กที่เขาเคยให้จงเพ่ยอิงอยู่ เมื่อเดินถึงหน้าเรือนเขาเห็นใบไม้ร่วงหล่นที่หน้าเรือนเต็มไปหมด มองไปที่ชิงช้าที่เขาเคยเห็นนางเคยนั่งเล่นตอนบ่ายๆ ดอกไม้ที่นางปลูกเมื่อมาอยู่ที่เรือนนี้ใหม่ๆเริ่มเหี่ยวเฉาเพราะเจ้าของมันไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว มองเข้าไปในเรือนเงียบเชียบ ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเคลื่อนไหวในนั้น เขารู้สึกแปลบๆในใจเล็กน้อย จึงเปิดประตูเรือนก้าวเข้าไปภายในเรือนนั้น นับเป็นครั้งที่สองตั้งแต่เพ่ยอิงเข้ามาอยู่ที่เรือนนี้ที่เขาเหยียบย่างเข้ามา ในเรือนเงียบเชียบทุกอย่างที่เคยเห็นนางตั้งวางไว้ ทุกอย่างที่ดูจะเป็นของนางไม่มีหลงเหลือแม้เพียงชิ้นเดียว ในเรือนเหลือแต่งเครื่องตกแต่งดั้งเดิมของเรือนเท่านั้น หลี่หมิงเดินเข้าไปเรื่อยๆมองโต๊ะกลางห้องที่ว่างเปล่ามีแจกันที่มีดอกไม้ปักแห้งๆร่วงหล่นอยู่บนโต๊ะ รวมถึงแจกันรอบๆในเรือนและในห้องก็มีแต่ดอกไม้ที่แห้งๆปักคาอยู่เท่านั้น ฝุ่นเริ่มจับบางๆไปตามเครื่องเรือนที่ตั้งอยู่ไม่กี่ชิ้น เขาเดินเรื่อยไปจนเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของนาง เห็นทุกอย่างว่างเปล่าเหมือนข้างนอก นางไม่แม้จะทิ้งอะไรที่แสดงให้เห็นว่านางเคยอยู่ที่นี
เป็นเช้าวันแต่งงาน ที่วุ่นวายกันมากเพราะครั้งนี้เฉินหลี่หมิงจัดงานใหญ่โตมาก เพื่อแสดงความสำคัญของเจ้าสาวที่จะแต่งเข้าจวนมาใหม่นี้ เขาไปรับเจ้าสาวด้วยตนเอง งานแต่งจัดเต็มพิธีการ เมื่อทำพิธีสร็จส่งตัวเจ้าสาวแล้ว ก็เริ่มงานกินเลี้ยง คนมาร่วมงานในจวนคึกคักมากแขกมากกว่างานที่แล้วของเพ่ยอิงหลายเท่าเสียงดื่มฉลองอวยพรกันเกรียวกราว เพ่ยอิงนั่ง ร้องไห้เงียบๆ ในเรือนของตนเอง บรรยากาศข้างนอกกับในเรือนของนางนั้นแตกต่างกันราวกับไม่ได้อยู่ในจวนเดียวกัน เมื่องานเลี้ยงจบลงแล้ว แขกต่างแยกย้ายกันกลับจวนของตัวเอง จงเพ่ยอิงจึงค่อยๆ เดินออกไปยืนข้างเรือนใหญ่ตรงตำแหน่งห้องหอของสามีที่เขาไม่ต้องการนางได้ยินเสียงพลอดรัก และเสียงครวญครางผสานกันทั้งหญิงและชาย นางจำได้ดีว่าเสียงคำรามด้วยความสุขสมนั้นคือเสียงของสามีมีนางเอง ใช่ใช่เอื้อมมือมาจับมือนางแน่น เพ่ยอิงน้ำตาคลอเล็กน้อย ปล่อยน้ำตาไหลรินลงมาเงียบๆ วันรุ่งขึ้นนางตัดสินใจว่า นางจะเลิกทำบ้าๆแบบนี้เสียทีจะไปเฝ้ารักเฝ้าหวงคนที่เขาไม่ต้องการทำไม ความรักเป็นสิ่งที่บังคับใจกันไม่ได้ นางหลงรักเขาคิดไปเองว่าทำดีกับเขามากๆเขาคงเห็นใจและหันกลับมารักนางบ้าง แต่
ความหวังของนางที่คิดว่าเขาจะหันมาสนใจนางบ้าง หลังจากกลายเป็นผัวเมียกันแล้ว กลายเป็นหมัน เมื่อเขายิ่งรังเกียจนางเข้าไส้กว่าเดิม พบเห็นนางเมื่อเดินสวนกันเขาจะทำเป็นไม่เห็นเดินผ่านไปเหมือนไร้ตัวตน สั่งพ่อบ้านมาบอกว่าถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องมาพบเขา ให้อยู่ในที่ของนาง หากมีงานของทางการที่จำต้องพาครอบครัวไปนั้น เขาจะให้คนมาบอกนาง จะให้ดีไม่ต้องมาให้เขาเห็นหน้า ตรงกันข้ามแม่นางลู่ชิงอันมาหาเขาที่จวนบ่อยมาก นั่งพลอดรักกัน ทานอาหารที่นางนำมาให้อย่างเต็มอกเต็มใจ และเริ่มมีข่าวว่าเขาจะไปสู่ขอนางมาเป็นฮูหยินอีกคนหนึ่ง เรื่องนี้ใช่ใช่ได้ยินมาจากวงสนทนาของฮูหยินจวนอื่นๆที่ตลาด และ นำมาบอกเพ่ยอิหลังจากนั้นไม่นานข่าวลือที่ว่าก็เป็นจริง เฉินหลี่หมิงที่ปกติไม่เคยเหยียบย่างมาที่เรือนของเพ่ยอิงเลยตั้งแต่ กลับเปิดประตูเข้ามา และบอกนางว่า "ข้าจะตบแต่งลี่ชิงอันเข้ามาเป็นฮูหยินอีกคนหนึ่ง ในอีกไม่กี่วันนี้ ที่จวนจะมีงาน ให้เจ้าเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนนี้ อย่าออกไปวุ่นวายให้งานข้าเสียหายเป็นอันขาด" เมื่อพูดจบ ก็เดินออกไป ใช่ใช่มองหน้าเพ่ยอิงมสายตาเต็มไปด้วยความเห็นใจ "คูณหนูเจ้าขาจะยังอยู่ที่จวนนี้อีกหรือเจ้าคะ "
หลายวันผ่านไปจงเพ่ยอิง นั่งครุ่นคิดวิธีการว่าจะทำยังไง เฉินลี่หมิงจึงจะหันมาสนใจนาง รักนาง หลงไหลนางอย่าง ลี่ชิงอันบ้าง ทั้งๆนี้รูปโฉมนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า ลู่ชิงอันเลย ออกจะงามกว่าด้วยซ้ำ ขณะนั้นนางก็คิดออกมาได้ว่านางจะ วางยาปลุกกำหนัดเขา เพราะตั้งแต่งงานกันมานางยังไม่ได้เข้าหอกับเขาเลย ไม่ลองก็ไม่รู้ เขาอาจจะสนใจนางขึ้นมาบ้างเพราะเป็นผัวเมียกันแล้ว คิดได้ดังนั้นจึงให้ใช่ใช่ไปแอบซื้อยาปลุกกำหนัดมาใส่ในน้ำชาของลี่หมิง และซื้อแบบที่เป็นกำยานมาด้วย ใ้ห้บ่าวผู้ชายที่จวนเสนาบดีไปซื้อหามาให้ก็ได้ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว จึงให้ใช่ใช่แอบนำไปใส่ไว้ในน้ำชาของหลี่หมิงและแอบจุดกำยานในห้องหนังสือในวันที่บ่าวในจวนได้รับอนุญาตให้ไปดูงิ้วที่งานฉลองตลาดหลังจากคาดว่าหลี่หมิงคงเริ่มดื่มชาไปบ้างแล้วนางค่อยๆแอบเข้าประตูไปเงียบๆ หลี่หมิงนั่งที่เตียงเล็กในห้อง เขาดูกระสับกระส่าย เหงื่อแตก เมื่อหันมาเห็นเพ่ยอิง ก็มองมายังนางดวงตาครึ้มไปด้วยความเสน่หา ตรงเข้ามาประกบจูบดูดดื่ม สอดลิ้นร้อนเข้าพัวกันกับลิ้นเล็ก มือหนาบีบเค้นทรวงอกอวบใหญ่เต็มมือ เมื่อจูบจนพอใจแล้ว จากนั้นไล้เลียใบหน้าหวานดูดดึงใบหูเล
จงเพ่ยอิงลืมตาตื่นมาขึ้นมา แสงร่ำไรสว่างเข้ามาในห้อง เสียงเปิดประตูเข้ามาในห้อง สักพักใช่ใช่ก็เดินเข้ามาที่เตียง “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เมื่อคืนดื่มเหล้ามงคลคนเดียวจนหมด ใช่ใช่สงสารคุณหนูเหลือเกิน ” เพ่ยอิงกระพริบตาทบทวบเรื่องราวต่างๆ ตอนนี้นางอยู่ที่จวนของเฉินลี่หมิง แต่งงานแล้ว แต่เจ้าบ่าวไม่มาเข้าหอ เพ่ยอิงถอนใจ ตอนนี้นางถอยกลับไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะเป็นสมรสพระราชทานจำต้องทนอยู่ในจวนนี้ ทำดีกับเขา เอาใจเขามากๆหน่อย เขาอาจจะเห็นมันบ้างกระมังคิดพลางค่อยๆลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว ตื่นขึ้นมานั่งกินข้าวที่ใช่ใช่ยกมาให้ที่โต๊ะกลางในห้อง ตามปกติถ้าเป็นคนอื่นคงต้องไปยกน้ำชาให้แม่สามี แต่จวนนี้ พ่อกับแม่สามีอยู่ต่างเมืองออกไปไกลมากไม่ได้มาร่วมงานแต่ง วันนี้นางจึงไม่ต้องไปยกน้ำชาให้ใคร จวนนี้มีเพียงเฉินลี่หยาง อยู่เพียงคนเดียว กับบ่าวไพร่ ไว้ตอนกลางวันนางค่อยไปสำรวจก็แล้วกันว่าอะไรอยู่ที่ไหนบ้างเพื่อจะได้เตรียมทำหน้าที่ ฮูหยินแม้นางจะรู้เต็มอกว่าเจ้าของจวนเขาไม่ต้องการ เขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่า รังเกียจนางขนาดไหน ไม่อยากจะได้นางเป็นภรรยา เขาจึงได้แสดงให้นางรู้โดยการที่เขาทำทั้งหมดเมื่อวาน ไ
จงเพ่ยอิง เฝ้ารักเฉินลี่หมิง มานานตั้งแต่เห็นเขาครั้งแรกในงานเลี้ยงขุนนางใหม่เมื่อสองปีก่อน แม้เขาจะไม่เคยใส่ใจหรือมองนางดังเช่นคนรัก นางประทับใจที่เขาเป็นคนดีช่วยนางจากการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่รถม้าเกือบจะชนนาง เลยเริ่มเฝ้ามองเขาเห็นความน่ารักหลายๆอย่าง นานวันเข้าจึงรู้สึกปักใจว่าจะต้องแต่งงานนกับชายคนนี้ให้ได้ ยิ่งเลยการปักปิ่นมาสองปี นางจึงรบเร้าขอท่านพ่อใช้ความดีความชอบในราชการที่ไปช่วยอุทกภัยที่เมืองติดชายแดน จนชาวเมืองรอดพ้นภัยและยังแก้ปัญหาระยะยาวให้ชาวเมืองไม่ต้องพบปัญหาอุทกภัยนี้ต่อไปอีกด้วย ความดีความชอบนี้ นางขอร้องท่านพ่อให้ขอพระราชทานสมรสให้นาง เพื่อที่นางจะได้ตบแต่งกับเฉินลี่หมิง ขุนนางคลังหนุ่มอนาคตไกล ท่านเสนาบดีจงพ่อของนาง รักลูกสาวคนนี้มาก จึงยอมตามที่นางร้องขอ เมื่อฮ่องเต้พระราชทานราชโองการมานั้น เฉินลี่หมิงกระอักกระอ่วนใจมากเขาไม่เคยมองจงเพ่ยอิงดังเช่นคนรัก พูดคุยกับนางดังคนรู้จักธรรมดา แต่เขารู้ว่านางหลงไหลเขา เฝ้ามองเขาด้วยดวงตาหวานฉ่ำ เขาพยายามหลีกเลี่ยงนาง นานวันเข้าเปลี่ยนเป็นรังเกียจและไม่อยากจะพบนาง เจอนางที่ไหนเขามักจะหลีกห่าง แต่นางก็ยังไม่รู้ตัวว่