แสงสว่างจากดวงจันทราสาดส่องเพียงพอให้นางมองเห็นสภาพภายในจวน เสี่ยวเยาต้องแปลกใจปนความสงสัย เมื่อพบว่ามันช่างว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งของมีค่าอย่างที่ผู้คนต่างร่ำลือไว้ มีเพียงโต๊ะไม้เก่าๆ ไว้ดื่มชา กับเตียงนอนเรียบง่ายที่ไม่อลังการ พร้อมแกะสลักลวดลายหมาป่าที่น่าเกรงขามไว้เท่านั้น ไม่สมกับเป็นเชื้อสายพระวงศ์ แม้แต่น้อย ผิดจากภายนอกจวนที่ตกแต่งหรูหรา ดูอลังการสง่างาม จนน่าอิจฉา แท้จริงแล้วด้านในกลับมีแต่ความว่างเปล่า ไม่เหมือนดั่งที่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า "ท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ยผู้นี้ใช้ชีวิตสุขสบาย หรูหราฟุ่มเฟือย ข้าวของเครื่องใช้ทำด้วยทองคำ ร่ำรวยกว่าองค์จักรพรรค์เสียอีก สาเหตุเพราะยึดทรัพย์สมบัติของเหล่ารัฐที่ตนไปทำสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน โดยได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท เพื่อเป็นรางวัลชนะศึก" "อะไรเนี่ย!!" เสี่ยวเยาเดินสำรวจรอบๆ ไม่วายคลางแคลงใจ ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปยังผู้กำลังหลับใหล ด้วยใบหน้าซีดเผือด ผิดมนุษย์มนา หรือ เขากำลังแอบซ่อนอะไรไว้ "........" "หลับสบายเชียวนะ! ปล่อยให้ข้ายืนรอตั้งนานสองนาน มันน่าฆ่าให้ตายเสียจริง ฮึ! " นางเอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิดใจ ที่ตนต้องยืนรอตั้งสองชั่วยาม เหมื่อยล้าไปทั้งตัว แต่เขากลับนอนหลับอย่างสบายใจนี่ซิ! มันน่านัก "ช่างเถอะๆ รีบทำให้เสร็จ จะได้รับกลับไปพักผ่อนเสียบ้าง เสี่ยวเยา.."นางเผลอตัวเอ่ยชื่อแท้จริงของตนออกมา ดีที่บุรุษตรงหน้ายังคงหลับใหล "เหมยหลิน...เหมยหลิน " เจิ้งเจี๋ย พร่ำเพ้อชื่อสตรีที่ฟังดูคุ้นหู เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน แต่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะเป็นกังวลใจมากกว่า หากไม่รีบรักษาให้เร็วไว อาการอาจจะแย่ลงไปกว่านี้ก็ได้ คิดแล้วนางนั่งลงใกล้เขาอย่างนุ่มนวล เอื้อมมือบางเตะริมหน้าฝากเขาเบาๆ รู้ได้ทันที ว่าไข้ขึ้นสูงนัก "ท่านแม่ทัพ ลุกขึ้นไหวไหม ท่านแม่ทัพ" นางเรียกสติให้เขาตื่นขึ้นมา เพื่อทานยา ท่านแม่ทัพลืมตาขึ้น เผยแววตาที่แสนเกรี้ยวกราดมายังตน ก่อนจะบีบคอนางสุดแรง ด้วยที่เสี่ยวเยาไม่ทันตั้งตัว "อึก!! ทะ..ทะ..ท่าน ขะ..ข้า..ยู่หลง" กิริยาเริ่มแปรเปลี่ยนอย่างไร้สติ นั้นเพราะอาการหลับลึก ฝันถึงเหมยหลินกำลังทิ่มแทงหน้าอกเขาด้วยปิ่นปักผม พร้อมเอ่ยคำสาปให้เขามีชีวิตที่ทรมาน หยดน้ำใสไหลรินออกมาจากดวงตาเรียวความเจ็บปวด หายใจติดขัด หน้าแดง เรี่ยวแรงสตรีเช่นนางหรือจะสู้บุรุษเยี่ยงเขาได้ น้ำอุ่นๆ ไหลลงมาสัมผัสมือหนาคว้าคอขาวไว้ เรียกสติเจิ้งเจี๋ย กลับมาอีกครั้ง ดวงตาเข้มเบิกโตด้วยความเป็นห่วง แต่ช้าไปนางหมดสติลง เขาอุ้มร่างบางไว้ด้วยความกังวลใจ "ใครอยู่ด้านนอกบ้าง?" "ท่านแม่ทัพเกิดอะไรขึ้น?" "ตามหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้!!" 'เสี่ยวเยา เสี่ยวเยา 'เสียงอ่อนหวานละมุนของใครผู้หนึ่งเอ่ยชื่อตน เสี่ยวเยาลืมตาตื่นพบว่า ตนกำลังนอนอยู่ใต้ต้นเหมยฮวา ยืนต้นสง่า ดอกของมันร่วงโรยลงมาตามแรงลมที่พัดอ่อนๆ ช่างสวยงามเหลือเกิน ก่อนจะปรากฏร่างของบุรุษที่ยืนผินหลังให้ตน นางพยายามเข้าไปใกล้ชายผู้นั้น แต่ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เท่าไหร่ เขายิ่งออกห่างเธอเท่านั้น ก่อนที่หมอกหนาจะปกคลุมไปทั่ว จนนางได้สติขึ้นมา นางลืมตาพบว่า ตนกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ ของท่านแม่ทัพ ก่อนสะดุ้งด้วยความตกใจ สำรวจร่างกายของตน ที่พบว่ามีเพียงชุดสวมในสีขาวเท่านั้น เสื้อคุมของตนหายไป ใครกันเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง "ฮ่ะ!! หรือเจิ้งเจี๋ย " นางลุกขึ้นพรวด เดินวนหาเสื้อผ้ารอบห้อง แต่ก็ไร้เงา แม้เพียงเสื้อคลุมสักชิ้นก็ไม่มี "ซวยแล้ว! ซวยแล้ว! จะออกไปแบบนี้ไม่ได้สิ" นางฉุดคิดได้ว่า เมื่อคืนนางเกือบตาย ด้วยน้ำมือของท่านแม่ทัพ มีเพียงตนและท่านแม่ทัพที่รู้เรื่อง "เอ๊ะ! แต่แปลกจัง ทำไมเงียบผิดปกติแบบนี้ ช่างมันเถอะๆ อย่างไรก็รีบออกไปจากที่นี่จะดีกว่า " เสี่ยวเยานำผ้าห่มคลุมร่างนางไว้อีกชั้น เร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปยังประตูด้วยความหวังอันเต็มเปี่ยม ".....อึก! ทะ..ท่าน...แม่ทัพ" นางต้องหยุดชะงักเมื่อประตูถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าบุรุษตรงหน้าที่กำลังยืนมองนางอย่างชัดเจน แววตาสีหน้าเรียบเฉย มองมายังเธอ เสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น "อึก!! เป็นอย่างไรบ้าง?" น้ำเสียงที่สั่นเครือของเจิ้งเจี๋ย ทำให้เสี่ยวเยายากจะคาดเดาได้ว่าถามเพราะเป็นห่วงนาง หรือถามเพราะอยากจะให้นางลืมเรื่องเมื่อคืนกันแน่ "ร่างกายข้าปกติดี จำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ "นางฝืนยิ้มกว้างเพื่อไม่ให้จิ้งเจี๋ยรับรู้ถึงความผิดปกติของตน "ดี!!"แววตาคมแอบแฝงไปด้วยคำถามมากมาย มิหนำซ้ำเมื่อคืนตนกลับเป็นฝ่ายผู้ดูแลนาง แถมยังต้องทนฟังเสียงละเมอชื่อพี่สาวของตนเองตลอดคืน "ข้าขอตัวกลับก่อนนะ" "........" ไม่มีคำพูดใดๆ นางจึงทำความเคารพ ก่อนรีบเดินดรุ่ยๆ จากไปอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะผินหลังกลับมา เจิ้งเจี๋ยได้เดินวนไปวนมาหน้าจวน ภายในใจครุ่นคิดแต่เรื่องของทหารผู้นี้ เขาแหงนหน้ามองต้นเหมยฮวา ดอกมันกำลังร่วงโรยอย่างไม่ขาดสาย ก่อนจะนึกถึงคำพูดของท่านหมอคนสนิทที่จงรักภักดีต่อตน และยังเก็บงำความลับของเจิ้งเจี๋ยไว้เป็นอย่างดี นามของเขาว่า ท่านหมอลี่(ลี่เจิน) "เป็นไรบ้าง?" เจิ้งเจี๋ยถามขึ้นด้วยความรู้สึกที่กระวนกระวายใจอย่างไม่เคยเป็นขึ้นมาก่อน "พ้นขีดอันตรายแล้วท่านแม่ทัพ แต่...." "แต่อะไรท่านหมอ?" เจิ้งเจี๋ยเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย "นายทหารผู้นี้ แปลกประหลาดจะมีชีวิตก็ไม่ใช่ จะตายก็ไม่เชิง " "เจ้าหมายความว่าอย่างไร" "มีชีวิต แต่ไร้ซึ่งชีพจร เสมือนว่านายทหารผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา ท่านแม่ทัพข้าขออนุญาตศึกษาดูอีกสักหน่อย หากได้เรื่องราวอย่างไร ข้าจะรีบมารายงานท่านแม่ทัพทันที อาจเป็นไปได้ว่ายู่หลงผู้นี้ คือบุคคลในคำทำนายของท่านหมอหนาน ที่เคยว่าไว้ก่อนตาย ก็ได้" "อืม เข้าใจแล้ว ขอบใจท่านหมอมาก" เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยคำชอบใจ แววตาที่ดูเป็นกังวลนั้นทำเอาหมอลี่ยิ้มออกมา "ดูท่าทางท่านจะให้ความสำคัญกับทหารผู้นี้เสียจริง" "ข้าแค่...ทำดีกับเขาเพื่อผลประโยชน์เท่านั้น เขาเป็นผู้เดียวที่รู้ว่าเหมยหลินอยู่ที่ใด" "ท่านยังคงรักนางกำนัลผู้นั้นอยู่อีกเหรอ?" "ข้าแค่อยากถามนาง ว่าเหตุใดถึงสาปแช่งข้า ให้เหมือนตายทั้งเป็น" แววตาเศร้าหมองของเขา ทำให้หมอลี้ถอนหายใจ "คำสาปมักมาพร้อมการแก้คำสาปเสมอ...หากท่านแก้คำสาปได้ ท่านก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิตเช่นกัน" " ข้ายินดี อย่างน้อยข้าก็ไม่เป็นมารอย่างที่ผู้คนหวาดกลัว เหมือนดั่งตอนนี้ " "เฮ่อ!...ข้าขอตัวลาก่อนท่านแม่ทัพ ยู่หลงผู้นั้นอาจช่วยท่านสมหวังดั่งใจก็ได้" "........" ความเงียบเกิดขึ้นอีกครั้ง ท่านหมอลี้จึงถวายความเคารพ ก่อนจะเดินจากไป เจิ้งเจี๋ยย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ที่พบว่าคนรักของตนกำลังร่วมหลับนอนกับชายอื่น ในขณะที่ตนกลับมาจากการทำศึกสงคราม
ภาพคนทั้งคู่หนุนเตียงกันได้สร้างบาดแผลครั้งใหญ่ต่อเจิ้งเจี๋ย ความคับแค้นใจก่อตัวขึ้น จนลืมไปว่าแท้จริงแล้วนางเป็นผู้หญิงเช่นไร "เอานายทหารผู้นี้ไปโบยสามร้อยครั้ง แล้วจงโรยด้วยเกลือ!!" น้ำเสียงเคร่งขรึมของเขาสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้คนทั้งคู่ ที่ตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่ใต้ผ้าห่มฝืนเดียวกัน ด้วยร่างอันเปลือยเปล่า โดยเฉพาะเหมยหลินคนรักเขาของเขา ที่พยายามจะอธิบายให้ท่านแม่ทัพเข้าใจทั้งน้ำตาด้วยใจทุกข์ระทม เจิ้งเจี๋ยเองก็เจ็บลึกในทรวงไม่แพ้กัน เพียงเก็บอาการไว้ เพื่อเห็นแก่ความผลงานและความดีที่ผ่านมาจึงไม่ฆ่าทหารผู้นั้นทิ้ง ก็นับว่าเมตตามากพอแล้ว "อึก! ท่านแม่ทัพ ได้โปรดเชื่อข้าเถอะ! ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นเช่นนี้...อึก" น้ำเสียงอันสั่นเครือของนาง แววตาดูจริงใจเปล่งประกายขึ้น แม้ว่าขอบตาจะเอ่อล้นไปด้วยน้ำใสที่ไหลรินอาบสองแก้มอันอวบอิ่มก็ตามเจิ้งเจี๋ยก้าวฝีเท้ามายังนาง เขาคุกเข่าลงตรงหน้าเฉกเช่นเดียวกับนาง ดวงตาฉายแววผิดหวังบ่นความขุ่นเคืองใจ จ้องมองพวกเขาทั้งคู่ แม้จะเคยเห็นทั้งคู่พูดคุยหยอกล้อกันปล่อยๆ แค่คิดว่าเป็นเพราะความสนิทดั่งมิตรสหายเท่านั้น ไม่น่ามาลงเอยเช่นนี้เลย"เ
หลานจิน และเสี่ยวเยา เขาทั้งสองต่างมุ่งหน้าไปยังที่พักของตนเอง ท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงความสว่างจากโคมไฟนำทาง เสี่ยวเยาเหลือบมองหลานจิน ผู้หล่อเหลา ตั้งแต่ทะลุมิติมา เจอสหายคนแรกที่พึ่งพาได้ตอนนี้ มีเพียงเขาผู้นี้เท่านั้น "นี่หลานจิน หากข้าต้องการไปหน้าผาอสรพิษ ต้องทำอย่างไรเหรอ?" เสี่ยวเยาเอ่ยขึ้นในขณะที่เดินมาถึงสระน้ำกว้างใหญ่ ของจวนท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย"ยู่หลงนี่เจ้าคิด...อุ๊บ" ไม่ทันที่เขาจะพูดจบกลับโดนปิดปากไว้ด้วยมือของเสี่ยวเยา แต่ทว่าเขารู้สึกประหลาดใจเมื่อสัมผัสถึงผิวที่เรียบเนียน พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเครื่องหอมปรุงแต่งกลิ่นจากบุพผา"อย่าเสียงดังสิ! ข้าตามหาพี่สาวของข้า เจ้าก็รู้นี้!!" เสียงเข้มของนาง สลัดความสงสัยนั้นออกไปจนหมดสิ้น "ยู่หลง เจ้าช่างรนหาที่ตายเสียจริง ผู้ใดที่ได้ไปเยือน ยากนักจะได้กลับมา มีเพียงท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย และทหารคนสนิทเท่านั้นที่รู้เส้นทางที่ปลอดภัย ""ทหารคนสนินเหรอ... ลี่เจิน กับลี่ซานใช่ไหม?""อืม...หยุดคิดซะเถอะ พรุ่งนี้พวกเขาก็ออกเดินทางแล้ว" เสี่ยวเยาเบิกตาพองโต ดวงตาเปล่งประกายอย่างมีความหวัง ก่อนยิ้มแย้มแจ่มใสสุขสมดั่งใจที่ไม่เคยเป็นมาก
รถม้าเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยว ผ่านทิวทัศน์อันงดงามของภูเขา และแม่น้ำใสสะอาดจนเห็นโขดหินอย่างชัดเจน สายลมหนาวยังคงพัดเย็นๆ ผ่านเบื้องหน้าของทุกคน ทำให้รู้สึกสดชื่น และผ่อนคลายลง"หลานจิน เมื่อไหร่จะถึงหุบเขาอสรพิษดำ" เสี่ยวเยาถามขึ้น เมื่อพบว่าระยะทางที่ผ่านมามันช่างยาวนานนัก "พรุ่งนี้ ยามอาทิตย์ตกดินคงจะถึงจะที่หมาย ข้าก็เคยมาเป็นครั้งแรกเหมือนเจ้า ""เอ๊ะ! แล้วคืนนี้จะนอนที่ไหน บริเวณนี้มีป่าไม้ไผ่ ต้นไม้หนา นานแล้วที่ข้าไม่เห็นโรงเตี้ยมเลย เริ่มจะมืดแล้วด้วย" ความตระหนกตกใจของนาง ทำให้เขาดูเป็นกังวลใจยิ่งนัก"เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง""ข้าไม่ได้กลัวภัยอันตราย แต่ข้ากลัวความมืดมากกว่า.." นางกระซิบเบาๆ จนเขาหัวร่อต่อกระซิก ไม่คิดว่าทหารกล้าหาญอย่างเขา จะกลัวความมืดได้ถึงเพียงนี้"หยุดหัวเราะนะ หลานจิน""ได้ๆ ข้าหยุดก็ได้ ทางข้างหน้าแคบ เจ้าระวังตัวด้วย "สิ้นคำพูดของเขา ทางเดินข้างหน้าเริ่มแคบ และชันลง รถม้าของท่านแม่ทัพไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปไดเ"หยุด" สิ้นเสียงท่านแม่ทัพ รถม้าหยุดลง ดวงตาคมกริบเหลือบมอง ทหารร่างบางที่บนนั่งม้าด้วยท่าทางเหม่อลอย เหมือนครุ่นคิดสิ่
เนื่องด้วยอาการหนาวเย็นยะเยือกแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณป่าทึบ เสี่ยวเยา นอนคดคู้ เพราะชุดทหารไม่ได้หนาพอที่จะให้ความอบอุ่นได้ตลอดทั้งคืน ทว่าว่ากลับได้รับความอบอุ่นจากกองเพลิงที่ลุกโชนอย่างดี ในทางกลับกันหากนางนอนฝั่งเดียวกับหลานจิน ที่อยู่ห่างไกลจากกองไฟ คงจะหนาวสั่นจนตายเเน่นอน เสี่ยวเยาเพ่งสายตาไปยังบุรุษที่นอนพิงพาย ใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่ห่างไกลจากตนเองมากนัก ใบหน้าหล่อเหลา กระทบกับแสงจันทร์ เป็นบุรุษที่ยิ่งดู ยิ่งมีเสน่ห์ ไม่อาจรู้ได้ว่าเนื้อในที่จริงเป็นอย่างที่จารึกไว้หรือเปล่า ทั้งโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน ไร้ความเมตตา ตรงกันข้ามนางสัมผัสถึงความใส่ใจ และห่วงใยต่อนาง แต่ทว่าเสี่ยวเยาไม่รู้อะไรเลย แท้จริงแล้วเจิ้งเจี๋ยปฏิบัติต่อนางแตกต่างจากผู้อื่น.."ไม่เห็นเหมือนที่อ่านไว้เลย""มองข้าพอหรือยัง" เสียงทุ้มดังขึ้น แม้ว่าเขายังหลับตาอยู่ก็ตาม"ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมองท่าน มองชุดที่ท่านสวมใส ดูอบอุ่นดีต่างหากล่ะ " นางยิ้มแห้งๆ "อย่างนั้นเหรอ!" "เอ๊ะ! จะทำอะไรนะ!" เสี่ยวเยาลุกพรวดอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันตัว ขณะที่ท่านแม่ทัพถอดชุดคลุมขนสัตว์ ก่อนจะนั่งยองๆ ห่มมันให้กับนาง โดยไม่สบตา เดินกลับไปนอนตา
ท่านแม่ทัพเดินนำทางไปยังที่พักด้วยความนิ่งสงบ ไม่เอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา จนน่าประหลาดใจ เพราะดวงตาคมมัวสอดส่องไปทั่วบริเวณ เมื่อพบว่าตลอดเส้นทางในป่าแห่งนี้ มันช่างเงียบผิดปกติเหลือเกิน เสี่ยวเยาเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย 'แค่มาอาบน้ำเอง ไม่พอใจขนาดนี้เลยเหรอ' น้ำเสียงเพียงแผ่วเบา ทำให้เขาพินหน้ามองนาง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ด้วยแววตานิ่งแต่มีนัยแอบแฝง"เจ้าต่อสู้ได้ใช่ไหม?""เอ๊ะ! อืม สบายมาก"สิ้นคำตอบนาง เจิ้งเจี๋ยนำกระบี่ออกมา ดวงตาสวยพองโตขึ้น สะดุ้งเฮือก เมื่อเขายื่นกระบี่คู่กายให้นางอย่างไม่ลังเล"เริ่ม!" แววตาคมกริบเพ่งมองไปด้านหน้าในขณะเดียวกันที่ปรากฏกลุ่มชายชุดดำ กระโจนโจมตีทั้งคู่"พวกเจ้าเป็นโจรป่าใช่ไหม?" "....." มีเพียงเสียงคมกระบี่ที่ให้คำตอบนาง เจิ้งเจี๋ยใช้เพียงมือเปล่าจัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย ไม่แปลกใจที่เขาจะเป็นที่ไว้วางใจขององค์จักรพรรดิ เพราะสติปัญญา มาพร้อมความเจ้าระเบียบรอบคอบ อีกทั้งวรยุทธ์ที่เก่งกาจของเขา ได้สร้างคุณงามความดีต่อบ้านเมืองไว้อย่างมากมาย แม้ว่าจะโดนตราหน้าว่า เป็นผู้นำทัพทำสงครามอย่างเหี้ยมโหดก็ตาม "ยู่หลง ระวัง! " น้ำเสียงเข้มแฝงความห่วงใยเรียกสติ
คืนพระจันทร์สีเลือด " พวกเจ้าต้องจับนางมาให้จงได้ ข้าจะลงโทษนางด้วยมือของข้าเอง" 'เหมยหลิน'เจ้าคนทรยศ!! นัยน์ตาที่ดูรุ่มร้อนดั่งไฟ บุรุษผู้ยืนจ้องมองพระจันทร์สีเลือดที่ลอยเด่นกลางท้องฟ้า สองมือกำแน่นจนเล็บจิก เลือดไหลหยดลงมือลงมาดั่งเม็ดฝน แต่ไร้ซึ่งความเจ็บปวด เพราะเหตุใดกันแม่ทัพผู้นี้ถึงตามล่านางผู้นั้นให้ได้ ความฝันที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเหล่าเสมือนว่าเธอกำลังยืนอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย ณ สถานที่ไม่คุ้นเคย บุรุษผู้นั้นและนางผู้นี้ที่เขากล่าวถึงคือใครกัน! เหตุใดเธอถึงฝันเหมือนเดิมแบบนี้ทุกค่ำคืน "ข้าถูกใส่ร้าย"หญิงสาวหน้าตาสะสวย ผมนั้นยาวสลวยเงางามมาจนถึงสะโพกของนาง สวมชุดจีนโบราณสีขาวปักลายดอกบัวตั๋น ด้วยเส้นไหมชิ้นดี มือข้างหนึ่งกำปิ่นปักผมมังกรสีเงินเงางดงามสะดุดตายิ่งนัก แต่เหตุใดสายตาคู่นั้นถึงดูเศร้าหมอง น้ำตานางเอ่อล้นขอบตาเรียวก่อนจะหลับตาเพื่อปลิดชีพตนเอง ด้วยปิ่นปักผมมังกรสีเงินเล่มนั้น! นางลงเอ่ยด้วยการปลิดชีพตัวเอง "อย่า! " เสี่ยวเยา สะดุ้งตื่นจากฝันร้ายเหมือนเช่นทุกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ อีกทั้งมือนั้นสั่นเทา หวาดกลัวอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ เพราะตนเองไม่อ
ทุกอย่างมืดสนิทไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะปรากฎร่างกายของตน ยืนตัวตรงอย่างสงบเสงี่ยม อยู่ในสถานที่ไม่คุ้นตา เสี่ยวเยาขยี้ดวงตาเบาๆ แววตาใสเปล่งประกายพองโต เมื่อมองไปรอบๆตัวที่บัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แม้กระทั้งชุดที่นางสวมใส พริ้วไหวงดงามราวกับเทพธิดา"เอ๊ะ!!" ทว่าไม่ได้มีเพียงนางเท่านั้น"..." ดวงตาทุกคู่จับจ้องมายังนาง ราวกับว่าเป็นตัวประหลาด เสี่ยวเยาสูบหายใจลึกเพื่อผ่อนคลาย ก่อนจะสงบนิ่งลงเพื่อไม่ให้ผู้ใดสงสัยในตัวนาง แม้ว่าสถานการณ์ตอนนี้นางควรตกใจแทบสลบเสียให้ได้ แต่ทว่านางมีสติมากพอที่ยับยั้งชั่งใจไว้มิให้เกิดภัยร้ายกับตนเอง เสี่ยวเยาชำเลืองมองผู้ที่เดินเคียงข้างนาง สังเกตการแต่งตัวที่เหมือนกัน รวมทั้งท่าทางการวางตัว ต้องเป็นเหล่านางกำนัลแน่นอน"เรากำลังไปไหนเหรอ?" เสี่ยวเยาเอ่ยถามนางกำนัลใกล้ตัว"เข้าเฝ้าฮ่องเต้" "ฮ่องเต้!!! คือใครกัน?""บังอาจ! เจ้าคงเสียสติไปแล้วเหรอ เจ้าไม่รู้จักฮ่องเต้ไทจู่ได้อย่างไรกัน?" ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะเป็นนางกำนัลรับใช้ชั้นผู้มีอาวุโส"กูกู ข้าว่าอย่าเสียเวลากับนางเลย นางคงพักผ่อนน้อยเกินไป สติเลยเลอะเลือน"นางกำนัลผู้น้อยเอ่ยขึ
บัดนี้'เสี่ยวเยา'กลับกลายเป็น'ยู่หลง'ทหารชั้นผู้น้อย ที่ต้องไปรายงานตัวกับท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย แม้ชุดทหารนั้นหนาแน่นเพียงใด ก็ไม่อาจปกปิดเรือนร่างซูบผอมของนางไว้ได้ดวงตาทุกคู่ของสหายร่วมทัพต่างเพ่งมองมายังร่างของนางด้วยความใคร่รู้ บ้างก็ยังซุบซิบนินทา หัวเราะเยาะเย้ยว่านางนั้น ผอมแห้งแรงน้อย จะเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาต่อกรผู้อื่นได้ ไม่แม้แต่จะผ่านด่านคัดเลือกเป็นทหารไปได้แน่นอน แต่ทว่ายังดีที่โชคชะตายังเข้าข้างนาง ไม่มีผู้ใดครางแครงใจในตัวตนที่แท้จริงของตนก็เพียงพอแล้วไม่รีรอต่างมุ่งหน้าไปยังจวนท่านแม่ทัพ ดวงตาสวยยังคงสอดส่องเหล่าทหารหน้าใหม่ ต่างยืนอย่างสง่าผ่าเผย แววตามุ่งมั่น ตั้งใจ ไร้ความกลัวแต่อย่างใด ช่างน่าประทับใจเสียจริง ยกเว้นแต่นาง ที่ยังคงครางแครงใจว่า เหตุใดถึงทะลุมิติมาที่แห่งนี้ได้"ข้า เฟ่ยหลง คาราวะท่านแม่ทัพ"น้ำเสียงเข้มขึมเรียกสตินางคืนกลับมา แท้จริงนี้คือนามของทหารผู้น้อยท่านนี้ ท่าทางเคร่งขรึมช่างแตกต่างออกไปจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงทหารทุกคนต่างแสดงความเคารพอีก ทั้งยังรายงายชื่อของตนเอง ต่อท่านแม่ทัพผู้นี้จนกระทั้งถึงทีของเสี่ยวเยาแล้ว"อะ แฮ้ม!ข้ายู่หลง คารา
ท่านแม่ทัพเดินนำทางไปยังที่พักด้วยความนิ่งสงบ ไม่เอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา จนน่าประหลาดใจ เพราะดวงตาคมมัวสอดส่องไปทั่วบริเวณ เมื่อพบว่าตลอดเส้นทางในป่าแห่งนี้ มันช่างเงียบผิดปกติเหลือเกิน เสี่ยวเยาเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย 'แค่มาอาบน้ำเอง ไม่พอใจขนาดนี้เลยเหรอ' น้ำเสียงเพียงแผ่วเบา ทำให้เขาพินหน้ามองนาง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ด้วยแววตานิ่งแต่มีนัยแอบแฝง"เจ้าต่อสู้ได้ใช่ไหม?""เอ๊ะ! อืม สบายมาก"สิ้นคำตอบนาง เจิ้งเจี๋ยนำกระบี่ออกมา ดวงตาสวยพองโตขึ้น สะดุ้งเฮือก เมื่อเขายื่นกระบี่คู่กายให้นางอย่างไม่ลังเล"เริ่ม!" แววตาคมกริบเพ่งมองไปด้านหน้าในขณะเดียวกันที่ปรากฏกลุ่มชายชุดดำ กระโจนโจมตีทั้งคู่"พวกเจ้าเป็นโจรป่าใช่ไหม?" "....." มีเพียงเสียงคมกระบี่ที่ให้คำตอบนาง เจิ้งเจี๋ยใช้เพียงมือเปล่าจัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย ไม่แปลกใจที่เขาจะเป็นที่ไว้วางใจขององค์จักรพรรดิ เพราะสติปัญญา มาพร้อมความเจ้าระเบียบรอบคอบ อีกทั้งวรยุทธ์ที่เก่งกาจของเขา ได้สร้างคุณงามความดีต่อบ้านเมืองไว้อย่างมากมาย แม้ว่าจะโดนตราหน้าว่า เป็นผู้นำทัพทำสงครามอย่างเหี้ยมโหดก็ตาม "ยู่หลง ระวัง! " น้ำเสียงเข้มแฝงความห่วงใยเรียกสติ
เนื่องด้วยอาการหนาวเย็นยะเยือกแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณป่าทึบ เสี่ยวเยา นอนคดคู้ เพราะชุดทหารไม่ได้หนาพอที่จะให้ความอบอุ่นได้ตลอดทั้งคืน ทว่าว่ากลับได้รับความอบอุ่นจากกองเพลิงที่ลุกโชนอย่างดี ในทางกลับกันหากนางนอนฝั่งเดียวกับหลานจิน ที่อยู่ห่างไกลจากกองไฟ คงจะหนาวสั่นจนตายเเน่นอน เสี่ยวเยาเพ่งสายตาไปยังบุรุษที่นอนพิงพาย ใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่ห่างไกลจากตนเองมากนัก ใบหน้าหล่อเหลา กระทบกับแสงจันทร์ เป็นบุรุษที่ยิ่งดู ยิ่งมีเสน่ห์ ไม่อาจรู้ได้ว่าเนื้อในที่จริงเป็นอย่างที่จารึกไว้หรือเปล่า ทั้งโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน ไร้ความเมตตา ตรงกันข้ามนางสัมผัสถึงความใส่ใจ และห่วงใยต่อนาง แต่ทว่าเสี่ยวเยาไม่รู้อะไรเลย แท้จริงแล้วเจิ้งเจี๋ยปฏิบัติต่อนางแตกต่างจากผู้อื่น.."ไม่เห็นเหมือนที่อ่านไว้เลย""มองข้าพอหรือยัง" เสียงทุ้มดังขึ้น แม้ว่าเขายังหลับตาอยู่ก็ตาม"ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมองท่าน มองชุดที่ท่านสวมใส ดูอบอุ่นดีต่างหากล่ะ " นางยิ้มแห้งๆ "อย่างนั้นเหรอ!" "เอ๊ะ! จะทำอะไรนะ!" เสี่ยวเยาลุกพรวดอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันตัว ขณะที่ท่านแม่ทัพถอดชุดคลุมขนสัตว์ ก่อนจะนั่งยองๆ ห่มมันให้กับนาง โดยไม่สบตา เดินกลับไปนอนตา
รถม้าเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยว ผ่านทิวทัศน์อันงดงามของภูเขา และแม่น้ำใสสะอาดจนเห็นโขดหินอย่างชัดเจน สายลมหนาวยังคงพัดเย็นๆ ผ่านเบื้องหน้าของทุกคน ทำให้รู้สึกสดชื่น และผ่อนคลายลง"หลานจิน เมื่อไหร่จะถึงหุบเขาอสรพิษดำ" เสี่ยวเยาถามขึ้น เมื่อพบว่าระยะทางที่ผ่านมามันช่างยาวนานนัก "พรุ่งนี้ ยามอาทิตย์ตกดินคงจะถึงจะที่หมาย ข้าก็เคยมาเป็นครั้งแรกเหมือนเจ้า ""เอ๊ะ! แล้วคืนนี้จะนอนที่ไหน บริเวณนี้มีป่าไม้ไผ่ ต้นไม้หนา นานแล้วที่ข้าไม่เห็นโรงเตี้ยมเลย เริ่มจะมืดแล้วด้วย" ความตระหนกตกใจของนาง ทำให้เขาดูเป็นกังวลใจยิ่งนัก"เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง""ข้าไม่ได้กลัวภัยอันตราย แต่ข้ากลัวความมืดมากกว่า.." นางกระซิบเบาๆ จนเขาหัวร่อต่อกระซิก ไม่คิดว่าทหารกล้าหาญอย่างเขา จะกลัวความมืดได้ถึงเพียงนี้"หยุดหัวเราะนะ หลานจิน""ได้ๆ ข้าหยุดก็ได้ ทางข้างหน้าแคบ เจ้าระวังตัวด้วย "สิ้นคำพูดของเขา ทางเดินข้างหน้าเริ่มแคบ และชันลง รถม้าของท่านแม่ทัพไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปไดเ"หยุด" สิ้นเสียงท่านแม่ทัพ รถม้าหยุดลง ดวงตาคมกริบเหลือบมอง ทหารร่างบางที่บนนั่งม้าด้วยท่าทางเหม่อลอย เหมือนครุ่นคิดสิ่
หลานจิน และเสี่ยวเยา เขาทั้งสองต่างมุ่งหน้าไปยังที่พักของตนเอง ท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงความสว่างจากโคมไฟนำทาง เสี่ยวเยาเหลือบมองหลานจิน ผู้หล่อเหลา ตั้งแต่ทะลุมิติมา เจอสหายคนแรกที่พึ่งพาได้ตอนนี้ มีเพียงเขาผู้นี้เท่านั้น "นี่หลานจิน หากข้าต้องการไปหน้าผาอสรพิษ ต้องทำอย่างไรเหรอ?" เสี่ยวเยาเอ่ยขึ้นในขณะที่เดินมาถึงสระน้ำกว้างใหญ่ ของจวนท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย"ยู่หลงนี่เจ้าคิด...อุ๊บ" ไม่ทันที่เขาจะพูดจบกลับโดนปิดปากไว้ด้วยมือของเสี่ยวเยา แต่ทว่าเขารู้สึกประหลาดใจเมื่อสัมผัสถึงผิวที่เรียบเนียน พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเครื่องหอมปรุงแต่งกลิ่นจากบุพผา"อย่าเสียงดังสิ! ข้าตามหาพี่สาวของข้า เจ้าก็รู้นี้!!" เสียงเข้มของนาง สลัดความสงสัยนั้นออกไปจนหมดสิ้น "ยู่หลง เจ้าช่างรนหาที่ตายเสียจริง ผู้ใดที่ได้ไปเยือน ยากนักจะได้กลับมา มีเพียงท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย และทหารคนสนิทเท่านั้นที่รู้เส้นทางที่ปลอดภัย ""ทหารคนสนินเหรอ... ลี่เจิน กับลี่ซานใช่ไหม?""อืม...หยุดคิดซะเถอะ พรุ่งนี้พวกเขาก็ออกเดินทางแล้ว" เสี่ยวเยาเบิกตาพองโต ดวงตาเปล่งประกายอย่างมีความหวัง ก่อนยิ้มแย้มแจ่มใสสุขสมดั่งใจที่ไม่เคยเป็นมาก
ภาพคนทั้งคู่หนุนเตียงกันได้สร้างบาดแผลครั้งใหญ่ต่อเจิ้งเจี๋ย ความคับแค้นใจก่อตัวขึ้น จนลืมไปว่าแท้จริงแล้วนางเป็นผู้หญิงเช่นไร "เอานายทหารผู้นี้ไปโบยสามร้อยครั้ง แล้วจงโรยด้วยเกลือ!!" น้ำเสียงเคร่งขรึมของเขาสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้คนทั้งคู่ ที่ตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่ใต้ผ้าห่มฝืนเดียวกัน ด้วยร่างอันเปลือยเปล่า โดยเฉพาะเหมยหลินคนรักเขาของเขา ที่พยายามจะอธิบายให้ท่านแม่ทัพเข้าใจทั้งน้ำตาด้วยใจทุกข์ระทม เจิ้งเจี๋ยเองก็เจ็บลึกในทรวงไม่แพ้กัน เพียงเก็บอาการไว้ เพื่อเห็นแก่ความผลงานและความดีที่ผ่านมาจึงไม่ฆ่าทหารผู้นั้นทิ้ง ก็นับว่าเมตตามากพอแล้ว "อึก! ท่านแม่ทัพ ได้โปรดเชื่อข้าเถอะ! ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นเช่นนี้...อึก" น้ำเสียงอันสั่นเครือของนาง แววตาดูจริงใจเปล่งประกายขึ้น แม้ว่าขอบตาจะเอ่อล้นไปด้วยน้ำใสที่ไหลรินอาบสองแก้มอันอวบอิ่มก็ตามเจิ้งเจี๋ยก้าวฝีเท้ามายังนาง เขาคุกเข่าลงตรงหน้าเฉกเช่นเดียวกับนาง ดวงตาฉายแววผิดหวังบ่นความขุ่นเคืองใจ จ้องมองพวกเขาทั้งคู่ แม้จะเคยเห็นทั้งคู่พูดคุยหยอกล้อกันปล่อยๆ แค่คิดว่าเป็นเพราะความสนิทดั่งมิตรสหายเท่านั้น ไม่น่ามาลงเอยเช่นนี้เลย"เ
แสงสว่างจากดวงจันทราสาดส่องเพียงพอให้นางมองเห็นสภาพภายในจวน เสี่ยวเยาต้องแปลกใจปนความสงสัย เมื่อพบว่ามันช่างว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งของมีค่าอย่างที่ผู้คนต่างร่ำลือไว้ มีเพียงโต๊ะไม้เก่าๆ ไว้ดื่มชา กับเตียงนอนเรียบง่ายที่ไม่อลังการ พร้อมแกะสลักลวดลายหมาป่าที่น่าเกรงขามไว้เท่านั้น ไม่สมกับเป็นเชื้อสายพระวงศ์ แม้แต่น้อย ผิดจากภายนอกจวนที่ตกแต่งหรูหรา ดูอลังการสง่างาม จนน่าอิจฉาแท้จริงแล้วด้านในกลับมีแต่ความว่างเปล่า ไม่เหมือนดั่งที่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า "ท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ยผู้นี้ใช้ชีวิตสุขสบาย หรูหราฟุ่มเฟือย ข้าวของเครื่องใช้ทำด้วยทองคำ ร่ำรวยกว่าองค์จักรพรรค์เสียอีก สาเหตุเพราะยึดทรัพย์สมบัติของเหล่ารัฐที่ตนไปทำสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน โดยได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท เพื่อเป็นรางวัลชนะศึก""อะไรเนี่ย!!" เสี่ยวเยาเดินสำรวจรอบๆ ไม่วายคลางแคลงใจ ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปยังผู้กำลังหลับใหล ด้วยใบหน้าซีดเผือด ผิดมนุษย์มนา หรือ เขากำลังแอบซ่อนอะไรไว้"........""หลับสบายเชียวนะ! ปล่อยให้ข้ายืนรอตั้งนานสองนาน มันน่าฆ่าให้ตายเสียจริง ฮึ! " นางเอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิดใจ ที่ตนต้องยืนรอตั้งสองชั่วยาม เห
"บังอาจ! กล้าใส่ความท่านอ๋อง สมควรตาย องครักษ์จับนายทหารผู้นี้"ข้ารับใช้คนสนิทของจี๋ชงเอ่ยขึ้นด้วยแววตาขุ่นเคือง "ไม่เป็นไรๆ เจ้าเด็กน้อย ช่างฉลาดยิ่ง นามว่าอะไร " ฝ่าบาทจ้องมองนาง ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาทั้งคู่ทะเลาะกันเพียง เพราะทหารคนเดียว ตั้งแต่ทะลุมิติมาที่วังหลวงแห่งนี้ ไม่มีความสงบเรียบร้อย แต่ยังคงความเป็นตัวเอง คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น ไม่สนใจผู้ใด แต่ทว่าท่านผู้นี้คือ องค์จักรพรรดิของแผ่นดิน ที่เธอมิอาจทำตัวไร้มารยาทได้ เพราะประวัติศาสตร์ได้จารึกแต่คุณงามความดีไว้มากมาย มันน่าละอายใจเหลือเกินหากเธอทำตัวไร้มารยาท"ข้าน้อย ยู่หลง คารวะฝ่าบาท ขอให้อายุยืนหมื่นๆ ปี" เสี่ยวเยาคุกเข่าลง เพื่อแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม แลดูจริงใจ ยิ่งทำให้ฝ่าบาทเอ็นดูเขามากขึ้นไปอีก"ไม่ต้องพิธี เอาล่ะๆ ลุกขึ้นเถิด.." รอยยิ้มอันอ่อนโยนได้ปรากฏบนใบหน้าสง่างาม มีเมตตา เหมาะสมตามคำร่ำลือตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน"ขอบพระทัยฝ่าบาท" น้ำเสียงอันหนักแน่น เพื่อกลบเกลื่อนความเป็นสตรีไว้ เสี่ยวเยาเหลือบมองฝ่าบาท ก่อนที่จะกะพริบตาข้างหนึ่ง ส่งสัญญาณให้นางกำนัลรีบหาช่องทางหลบหนีออกไป
"จะ..เจ้า..!" ".........."เสี่ยวเยาประคองนางกำนัลผู้ไร้เรี่ยวแรง แม้จะลุกขึ้นยืน เพื่อความปลอดภัยของนาง อย่างไรเสียก็ต้องออกจากจวนแห่งนี้อย่างเร็วที่สุด "ฮ่า ฮ่า ฮ่า เยี่ยม! เยี่ยม! ข้าเริ่มสนใจนายทหารผู้นี้แล้วซิ! มาอยู่กับข้าดีไหม? "ไม่เพียงแต่พูด ท่านอ๋องผู้นี้ได้มุ่งตรงมายังเสี่ยวเยา ด้วยท่าทางสง่าสมเป็นเชื้อพระวงศ์ แววตาดุดัน ชวนให้น่าหวาดหวั่นยิ่ง ปลายหางคิ้วมีร่องรอยแผลขนาดเล็ก แต่ไม่อาจซ่อนเร้นความหล่อไว้ได้ ข้างกายยังมีกระบี่คู่ใจ เสี่ยวเยาไม่รอช้ารีบใช้กำปั้นของตน หมายจะทุบตรงศีรษะ ไม่เช่นนั้นพวกนางอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับไปได้"อึก!!" นางทำได้เพียงยืนใจดีสู้เสือ แม้จะกลืนน้ำลายลงคอนับครั้งไม่ถ้วน"เจ้าเป็นผู้หญิงซินะ..."เสียงกระซิบเพียงแผ่วเบา ทำให้ดวงตาคู่สวยเบิกโต สบตาเขาด้วยความบังเอิญ ซึ่งเผยยิ้มอย่างมีเลขนัย'ไม่คิดว่าเขาจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของเราได้ ช่างเจ้าเล่ห์ อันตรายกว่าเจิ้งเจี๋ยเสียอีก ทำอย่างไรดี?' ทำได้เพียงแค่คิดในใจ ไม่อาจเอ่ยคำพูดใดออกมาในช่วงเวลานี้"........""ท่านเหยียดหยามข้าเช่นนี้ ไม่สมกับเป็นบุรุษ" เสี่ยวเยาพยายามพูดบ่ายเบี่ยง เพื่อกลบเกลื่อนอาการร
เจิ้งเจี๋ยมองใบหน้าขาวซีด ที่หมดสติภายใต้ออมแขนของตน พร้อมความสับสนวุ่นวายใจ ด้วยเหตุใดกัน ตัวเขาถึงเลือกที่ทิ้งกระบี่มังกรคู่ใจ เพียงเพื่อรับร่างไร้สติของทหารอ่อนแอผู้นี้ได้ ดวงตาเข้มยังคงพินิจพิจารณาทุกส่วนของใบหน้า ขนตาที่เรียวยาว ปากชมพูอันอวบอิ่ม แก้มแดงราวกับมะเขือเทศ มันช่างดูงดงามราวกับสตรีเหลือเกินตึก! ตึก! ตึก! เสียงหัวใจดังขึ้น เต้นแรงอย่างผิดปกติ เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ความกังวลและความสับสนเช่นนี้ เป็นเพราะอะไรกันดอกเหมยฮวาร่วงโรยลงมาบนใบหน้าของเสี่ยวเยาอย่างนุ่มนวล แม่ทัพจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา ก่อนเงยหน้ามองต้นเหมยฮวาด้วยความตกตลึง เหตุใดต้นไม้ที่โดนสาปไปพร้อมกับเขา ถึงร่วงโรยลงมาในเวลานี้ นับสิบปีที่เขาเฝ้ารอคอยให้มีผู้ใดมาแก้คำสาปของตน กลิ่นหอมของดอกเหมยฮวาที่มันปลิวละล่องไปทั่วทุกทิศทาง ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายของเหล่าทหาร ที่ยินดีกับปรากฎการณ์นี้ "เหตุใดดอกเหมยฮวาถึงร่วงโรยลงมา ในขณะที่เจ้าอยู่ในอ้อมแขนข้า หู่หลง? "ร่างบางอ่อนระทวยในชุดทหาร ถูกโอบอุ้มด้วยเเขนแกร่งอันทรงพลัง มุ่งตรงไปยังจวนท่านแม่ทัพ ท่ามกลางเหล่าทหารที่ยืนมองด้วยความสงสัยในพฤติกรรมที่เปลี่ยน