เจิ้งเจี๋ยมองใบหน้าขาวซีด ที่หมดสติภายใต้ออมแขนของตน พร้อมความสับสนวุ่นวายใจ ด้วยเหตุใดกัน ตัวเขาถึงเลือกที่ทิ้งกระบี่มังกรคู่ใจ เพียงเพื่อรับร่างไร้สติของทหารอ่อนแอผู้นี้ได้ ดวงตาเข้มยังคงพินิจพิจารณาทุกส่วนของใบหน้า ขนตาที่เรียวยาว ปากชมพูอันอวบอิ่ม แก้มแดงราวกับมะเขือเทศ มันช่างดูงดงามราวกับสตรีเหลือเกิน ตึก! ตึก! ตึก! เสียงหัวใจดังขึ้น เต้นแรงอย่างผิดปกติ เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ความกังวลและความสับสนเช่นนี้ เป็นเพราะอะไรกัน ดอกเหมยฮวาร่วงโรยลงมาบนใบหน้าของเสี่ยวเยาอย่างนุ่มนวล แม่ทัพจ้องมองนางอย่างไม่ละสายตา ก่อนเงยหน้ามองต้นเหมยฮวาด้วยความตกตลึง เหตุใดต้นไม้ที่โดนสาปไปพร้อมกับเขา ถึงร่วงโรยลงมาในเวลานี้ นับสิบปีที่เขาเฝ้ารอคอยให้มีผู้ใดมาแก้คำสาปของตน กลิ่นหอมของดอกเหมยฮวาที่มันปลิวละล่องไปทั่วทุกทิศทาง ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายของเหล่าทหาร ที่ยินดีกับปรากฎการณ์นี้ "เหตุใดดอกเหมยฮวาถึงร่วงโรยลงมา ในขณะที่เจ้าอยู่ในอ้อมแขนข้า หู่หลง? " ร่างบางอ่อนระทวยในชุดทหาร ถูกโอบอุ้มด้วยเเขนแกร่งอันทรงพลัง มุ่งตรงไปยังจวนท่านแม่ทัพ ท่ามกลางเหล่าทหารที่ยืนมองด้วยความสงสัยในพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของท่านแม่ทัพ เพราะไม่เคยมีทหารผู้ใดถูกปฏิบัติด้วยความอ่อนโยนดังเช่นนายทหารผู้นี้มาก่อน แต่ถึงกระนั้นก็อย่าได้ชะล่าใจไปเพราะนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ก่อนหน้านี้... "เอาพวกนางไปขังไว้ อย่าให้เห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่เช่นนั้นก็ส่งตัวกลับวังไปซะ!!" น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเดือดดาลของท่านแม่ทัพ 'เจิ้งเจี๋ย' ทำให้เหล่านางกำนัลต่างหวาดกลัว จนตัวสั่นราวกับลูกนกในกำมือ ท่ามกลางเหล่าทหารนับสิบยืนล้อมเหล่าพวกนาง ด้วยสีหน้าอันโหดเหี้ยม พร้อมกระบี่จี้ตรงคอ หมายจะสบั่นให้ขาดในพลิบตา เมื่อมีรับสั่ง "ฝ่าบาททรงรู้ว่า ท่านแม่ทัพต้องปฏิเสธ จึงรับสั่งไว้ว่า ท่านแม่ทัพต้องเลือกนางกำนัลไว้ปรนนิบัติรับใช้ให้จงได้ มิเช่นนั้นก็แต่งตั้งทหารชั้นผู้น้อยไว้รับใช้แทนนางกำนัลเจ้าคะ"กูกูผู้ที่ยึดมั่นในคำสั่ง มีหรือที่นางจะยอมกลับไปแต่โดยดี แม้ต้องยืนรออยู่ตรงนี้เจ็ดชั่วยาม ก็จะทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จลุล่วงไปด้วยดีเสียก่อน "ข้าจะคัดเลือกเหล่าทหารชั้นผู้น้อย ไว้ปรนนิบัติของกาย แทนพวกนางกำนัลของเจ้า จงกลับเข้าวังไปซะเถอะ! ท่านกูกูย่อมรู้ดีว่า เหตุใดข้าถึงจงเกลียดจงชังเหล่านางกำนัลยิ่งนัก " กูกูรับรู้ได้ถึงคำพูดอันหนักแน่นของท่านแม่ทัพ ขืนนางยังฝืนอยู่อย่างนี้ คงมีแต่จะเอาชีวิตตนและพวกนางกำนัลมาแขวนอยู่บนเส้นด้ายเสียเปล่าๆ ท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย นับว่าเป็นแม่ทัพคนโปรดขององค์จักรพรรค หากจะให้ขนานนามที่ถูกต้องก็คือ เจิ้งเจี๋ย มีชื่อเสียงที่เลื่องลือทางด้านสติปัญญา ที่เฉียบคม มองการไกล แถมวรยุทธ์เป็นเลิศมิอาจมีผู้ใดในใต้หล้าเทียบเคียงได้ ความโหดเหี้ยมที่เล่าขานกันปากต่อปากเป็นเพียงตำนานที่ไม่มีผู้ใดพบเจอกับตัวมาก่อน รู้เพียงว่าเคยต่อสู้สงครามเคียงข้างองค์จักรพรรคด้วยความจงรักภักดีดั่งเช่นบิดาของเขา จนชนะศึกสงครามสามแคว้นใหญ่ ผู้คนในใต้หล้าไม่ผู้ใดไม่รู้จักท่านแม่ทัพ'เจิ้งเจี๋ย' "ข้าน้อยขอลาท่านแม่ทัพ" กูกูและเหล่านางกำนัลต่างพากันกลับ ด้วยความจำนนแต่โดยดี เหล่านางกำนัลทั้งหลาย ต่างรู้สึกโล่งใจไร้ความหวาดกลัวจนสิ้น เพราะไม่มีผู้ใดอยากทำงานอยู่ในจวนท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย นอกเสียจาก...นางกำนัลผู้นั้น ที่บัดนี้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย สองกำนัลผู้น้อยกำลังซุบซิบนินทากันโดยไม่ทันระวังตนว่า มีบุคคลอื่นแอบฟังเรื่องราวอยู่ตรงมุมอับ ผู้ที่ว่านั้นเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก 'เสี่ยวเยา' "ว่ากันว่าท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ยสั่งฆ่านางกำนัลเหมยหลิน เห็นว่านางถูกท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย ผลักตกหน้าผาอสรพิษดำ" "ยึ๋ย!! ข้านึกถึงหน้าผาด้านล่างนั่น ที่เต็มไปด้วยเหล่าอสรพิษดำ ท่านแม่ทัพเลี้ยงดูพวกมัน เพื่อเป็นใช้อาวุธสังหารคนที่โหดเหี้ยมเกินมนุษย์ ฝ่าบาททรงโปรดปรานท่านแม่ทัพผู้นี้ได้อย่างไรกัน" "จุ๊ๆ เบาเสียงหน่อย เจ้าอย่าเอ่ยถึงเบื้องบน หากมีใครผ่านมาได้ยินเข้า เราสองคนคอขาดแน่ เจ้าก็รู้ว่าท่านแม่ทัพเป็นอนุชาคนโปรดของฝ่าบาท แต่มีเรื่องที่ข้าเพิ่งได้ยินมาจากเหล่านทหาร ที่ว่ากันว่า ท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ยโดนคำสาปด้วย" "โดนคำสาป!! " "ใช่ ว่ากันว่าใครที่อยู่เคียงข้างท่านแม่ทัพ ย่อมถึงแก่ความตายทุกคนไป" นางกำนัลทั้งสองที่กำลังนำเสื้อผ้าแพร่ไหมปักลวดลายมังกรทอง เดินตามท่านกูกูไปยังตำหนักใหญ่ "อ...อึก!!!เป็นอนุชาของฝ่าบาท มิน่าล่ะ! ถึงเหิมเกริมได้ถึงเพียงนี้ แถมยังโครตน่ากลัว รีบหาทางหนีกลับบ้านก่อนดีกว่า" เสี่ยวเยาผู้ที่แกล้งทำเป็นสลบ ใช้กลอุบายจนแอบออกจากจวน นางผ่านกำแพงหลังจวนท่านแม่ทัพออกมาได้ ด้วยวิธีการที่ไม่มีผู้ใดหลอกเลียนแบบได้ เสี่ยวเยาแอบเข้าวังเพื่อตามหากูกูท่านนั้น ผู้ที่รู้วิธีการกลับไปยังโลกปัจจุบัน "เหมือนเห็นหลังกูกูอยู่ไวไว หายไปไหนแล้วนะ!" "........" "นางกำนัลต่ำต้อยกล้าดีอย่างไร!! ขัดคำสั่งท่านอ๋อง ถอดเสื้อผ้าของเจ้าซ่ะ " "ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด ข้ามิอาจทำได้" พลั๊วะ! ใบหน้าสวยงามของนางกำนัลผู้น้อยโดยฝ่ามือทรงพลังผู้ที่ขึ้นชื่อว่าบุรุษ กวัดแกว่งไปยังแก้มทั้งสองข้างอย่างไร้ความปราณี วีรบุรุษเยี่ยงนี้ไม่ควรเกิดมาด้วยซ้ำ ว่าแต่ท่านอ๋องผู้นั้นกับนั่งดื่มน้ำชาอย่างสำราญใจ เสมือนว่าตนไม่ได่นั่งอยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้ได้อย่างไร ไม่สะทกสะท้านช่างไร้ความรู้สึก เสี่ยวเยาได้แต่มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่ละสายตา 'ผู้ชายตบตีผู้หญิงมีมาตั้งแต่ยุคนี้เลยเหรอ' นางครุ่นคิดในใจก่อนจะเดินดรุ่ยๆมุ่งตรงไปยังจวนท่านอ๋อง เพราะภาพตรงหน้านั้น ยิ่งทำให้นางรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาอย่างลืมตน "ได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด"น้ำเสียงที่อ้อนวอนร้องขอชีวิตเล็กๆไร้ซึ่งหนทางหลีกหนีได้ ช่างดูไร้ค่ายิ่ง สำหรับบุรุษที่ยืนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "ตบตีผู้หญิงแบบนี้ หมายจะฆ่าให้ตายหรือไง เจ้าคนชั่ว นี่เพศแม่แกเลยนะ!!"น้ำเสียงตะคอกดังขึ้นด้วยความโกรธกริ้วสุดจะอดกลั้นไว้อีกต่อไป "เอ๊ะ!! ทหารผู้นี้พูดจาแปลกประหลาด แถมยังรนหาที่ตาย กล้าดีอย่างไร? ต่อหน้าท่านอ๋อง ยังกล้า ช่างเอิมเกิมยิ่งนัก! "บุรุษผู้มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยความสงสัยในรูปลักษณ์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน "แล้วไง? วีรบุรุษระยำเลวทราม เยี่ยงพวกท่าน สมควรให้ฉันคำนับหรือไง?" "เจ้า!! รนหาที่ตายเสียแล้ว" 'หึหึ เจ้าต่างหากที่รนหาที่ตาย"เสี่ยวเยายิ้มตรงมุมปากเล็กน้อย อย่างน้อยนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอ ตบตีกับพวกดูถูกผู้หญิง "ตายซะเถอะ! "" อ๊ากกก สู้ตายเว้ยย!!" "ฮ๊าาา" เสี่ยวเยากระโดดขึ้นคอนายพลท่านนั้น อย่างไม่ลังเล ถึงนางจะไม่เป็นวรยุทธิ์ ไม่มีทักษะใดๆ แต่ไม่เคยให้ใครรังแกตนได้ง่ายดายหรอก "โป๊ก!! โป๊ก!! นี่แนะ!! นี่แนะ!! กล้าดีอย่างไรมาทำร้ายเพศแม่ของแกฮ่ะ" นางใช้กำปั้นอันทรงพลัง ที่ไม่รู้ว่าได้พลังนี้มาอย่างไร นางทุบกำปั้นลงไปบนศรีษะ และลำตัวของพลทหารผู้นั้นนับครั้งไม่ถ้วน อย่างเมามัน ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น คือนางไม่เจ็บมือเลยสักนิด "อะไรเนี่ย!! ไม่เจ็บมือเลยเหรอ ว้าวสุดยอด" "โฮ้ย! โฮ้ย! แค่มัดเล็กๆ ทำไมเจ็บปวดเช่นนี้" "นั้นซิ ดังนั้น ข้าจะพวกทุบเจ้าด้วยมัดเล็กนี้ จนกว่าพวกเจ้าจะขอโทษ นางกำนัลผู้นี้ ไม่สิ ลองท่าไม้ตายของข้าเป็นไง ย๊าก!!!" "ฮ๊ากกกกกก!!! จ..จะ..เจ้า!" ทหารผู้นั้นร้องโอดครวญขึ้นด้วยความเจ็บปวด เลือดขึ้นหน้าจุกไปทั้งกายและใจ ดิ้นทุรนทุราย เหมือนจะตายเสียให้ได้ เมื่อเสี่ยวเยาขย่ำสุดแรง ตรงแก่นกายน้อยอย่างไร้ความเมตตา "วรยุทธ์ของข้าคือ กำให้มิด บิดให้แน่นไงล่ะ เชอะ!"เสียงกระซิบเบาๆของนางทำให้ดวงตาเบิกโพลงด้วยตกตลึง "อึก!! T-T จะ..เจ้า..อึก!" ".........." เสี่ยวเยาประคองนางกำนัลผู้บาดเจ็บให้ลุกขึ้นยืน เพื่อจะก้าวออกจากจวนหลังนี้ให้ไว "ฮ่า ฮ่า ฮ่า เยี่ยม เยี่ยม ข้าชักสนใจทหารน้อยผู้นี้แล้วซิ " บัดนี้ ท่านอ๋องผู้นั้นได้ลุกขึ้นเดินตรงมายังพวกนางทั้งสอง อย่างสง่าฝ่าเผย ไร้ความรู้สึก เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง ตรงปลายคิ้วมีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ แต่ไม่อาจกลบกลื่นความหล่อเหลา ดุจดั่งท่านชายในเทพนิยายได้ ข้างกายมีดาบดำคู่ใจ แววตาที่ไร้ความกลัว ไร้ความรู้สึก มันคืออะไรกันนะ เสี่ยวเยาไม่รอช้ารีบใช้กำปั้นของตน หมายจะทุบตีตรงศรีษะ ไม่เช่นนั้นนาง และนางกำผู้นี้อาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับไปก็ได้
"จะ..เจ้า..!" ".........."เสี่ยวเยาประคองนางกำนัลผู้ไร้เรี่ยวแรง แม้จะลุกขึ้นยืน เพื่อความปลอดภัยของนาง อย่างไรเสียก็ต้องออกจากจวนแห่งนี้อย่างเร็วที่สุด "ฮ่า ฮ่า ฮ่า เยี่ยม! เยี่ยม! ข้าเริ่มสนใจนายทหารผู้นี้แล้วซิ! มาอยู่กับข้าดีไหม? "ไม่เพียงแต่พูด ท่านอ๋องผู้นี้ได้มุ่งตรงมายังเสี่ยวเยา ด้วยท่าทางสง่าสมเป็นเชื้อพระวงศ์ แววตาดุดัน ชวนให้น่าหวาดหวั่นยิ่ง ปลายหางคิ้วมีร่องรอยแผลขนาดเล็ก แต่ไม่อาจซ่อนเร้นความหล่อไว้ได้ ข้างกายยังมีกระบี่คู่ใจ เสี่ยวเยาไม่รอช้ารีบใช้กำปั้นของตน หมายจะทุบตรงศีรษะ ไม่เช่นนั้นพวกนางอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับไปได้"อึก!!" นางทำได้เพียงยืนใจดีสู้เสือ แม้จะกลืนน้ำลายลงคอนับครั้งไม่ถ้วน"เจ้าเป็นผู้หญิงซินะ..."เสียงกระซิบเพียงแผ่วเบา ทำให้ดวงตาคู่สวยเบิกโต สบตาเขาด้วยความบังเอิญ ซึ่งเผยยิ้มอย่างมีเลขนัย'ไม่คิดว่าเขาจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของเราได้ ช่างเจ้าเล่ห์ อันตรายกว่าเจิ้งเจี๋ยเสียอีก ทำอย่างไรดี?' ทำได้เพียงแค่คิดในใจ ไม่อาจเอ่ยคำพูดใดออกมาในช่วงเวลานี้"........""ท่านเหยียดหยามข้าเช่นนี้ ไม่สมกับเป็นบุรุษ" เสี่ยวเยาพยายามพูดบ่ายเบี่ยง เพื่อกลบเกลื่อนอาการร
"บังอาจ! กล้าใส่ความท่านอ๋อง สมควรตาย องครักษ์จับนายทหารผู้นี้"ข้ารับใช้คนสนิทของจี๋ชงเอ่ยขึ้นด้วยแววตาขุ่นเคือง "ไม่เป็นไรๆ เจ้าเด็กน้อย ช่างฉลาดยิ่ง นามว่าอะไร " ฝ่าบาทจ้องมองนาง ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาทั้งคู่ทะเลาะกันเพียง เพราะทหารคนเดียว ตั้งแต่ทะลุมิติมาที่วังหลวงแห่งนี้ ไม่มีความสงบเรียบร้อย แต่ยังคงความเป็นตัวเอง คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น ไม่สนใจผู้ใด แต่ทว่าท่านผู้นี้คือ องค์จักรพรรดิของแผ่นดิน ที่เธอมิอาจทำตัวไร้มารยาทได้ เพราะประวัติศาสตร์ได้จารึกแต่คุณงามความดีไว้มากมาย มันน่าละอายใจเหลือเกินหากเธอทำตัวไร้มารยาท"ข้าน้อย ยู่หลง คารวะฝ่าบาท ขอให้อายุยืนหมื่นๆ ปี" เสี่ยวเยาคุกเข่าลง เพื่อแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม แลดูจริงใจ ยิ่งทำให้ฝ่าบาทเอ็นดูเขามากขึ้นไปอีก"ไม่ต้องพิธี เอาล่ะๆ ลุกขึ้นเถิด.." รอยยิ้มอันอ่อนโยนได้ปรากฏบนใบหน้าสง่างาม มีเมตตา เหมาะสมตามคำร่ำลือตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน"ขอบพระทัยฝ่าบาท" น้ำเสียงอันหนักแน่น เพื่อกลบเกลื่อนความเป็นสตรีไว้ เสี่ยวเยาเหลือบมองฝ่าบาท ก่อนที่จะกะพริบตาข้างหนึ่ง ส่งสัญญาณให้นางกำนัลรีบหาช่องทางหลบหนีออกไป
แสงสว่างจากดวงจันทราสาดส่องเพียงพอให้นางมองเห็นสภาพภายในจวน เสี่ยวเยาต้องแปลกใจปนความสงสัย เมื่อพบว่ามันช่างว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งของมีค่าอย่างที่ผู้คนต่างร่ำลือไว้ มีเพียงโต๊ะไม้เก่าๆ ไว้ดื่มชา กับเตียงนอนเรียบง่ายที่ไม่อลังการ พร้อมแกะสลักลวดลายหมาป่าที่น่าเกรงขามไว้เท่านั้น ไม่สมกับเป็นเชื้อสายพระวงศ์ แม้แต่น้อย ผิดจากภายนอกจวนที่ตกแต่งหรูหรา ดูอลังการสง่างาม จนน่าอิจฉาแท้จริงแล้วด้านในกลับมีแต่ความว่างเปล่า ไม่เหมือนดั่งที่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า "ท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ยผู้นี้ใช้ชีวิตสุขสบาย หรูหราฟุ่มเฟือย ข้าวของเครื่องใช้ทำด้วยทองคำ ร่ำรวยกว่าองค์จักรพรรค์เสียอีก สาเหตุเพราะยึดทรัพย์สมบัติของเหล่ารัฐที่ตนไปทำสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน โดยได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท เพื่อเป็นรางวัลชนะศึก""อะไรเนี่ย!!" เสี่ยวเยาเดินสำรวจรอบๆ ไม่วายคลางแคลงใจ ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปยังผู้กำลังหลับใหล ด้วยใบหน้าซีดเผือด ผิดมนุษย์มนา หรือ เขากำลังแอบซ่อนอะไรไว้"........""หลับสบายเชียวนะ! ปล่อยให้ข้ายืนรอตั้งนานสองนาน มันน่าฆ่าให้ตายเสียจริง ฮึ! " นางเอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิดใจ ที่ตนต้องยืนรอตั้งสองชั่วยาม เห
ภาพคนทั้งคู่หนุนเตียงกันได้สร้างบาดแผลครั้งใหญ่ต่อเจิ้งเจี๋ย ความคับแค้นใจก่อตัวขึ้น จนลืมไปว่าแท้จริงแล้วนางเป็นผู้หญิงเช่นไร "เอานายทหารผู้นี้ไปโบยสามร้อยครั้ง แล้วจงโรยด้วยเกลือ!!" น้ำเสียงเคร่งขรึมของเขาสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้คนทั้งคู่ ที่ตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่ใต้ผ้าห่มฝืนเดียวกัน ด้วยร่างอันเปลือยเปล่า โดยเฉพาะเหมยหลินคนรักเขาของเขา ที่พยายามจะอธิบายให้ท่านแม่ทัพเข้าใจทั้งน้ำตาด้วยใจทุกข์ระทม เจิ้งเจี๋ยเองก็เจ็บลึกในทรวงไม่แพ้กัน เพียงเก็บอาการไว้ เพื่อเห็นแก่ความผลงานและความดีที่ผ่านมาจึงไม่ฆ่าทหารผู้นั้นทิ้ง ก็นับว่าเมตตามากพอแล้ว "อึก! ท่านแม่ทัพ ได้โปรดเชื่อข้าเถอะ! ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นเช่นนี้...อึก" น้ำเสียงอันสั่นเครือของนาง แววตาดูจริงใจเปล่งประกายขึ้น แม้ว่าขอบตาจะเอ่อล้นไปด้วยน้ำใสที่ไหลรินอาบสองแก้มอันอวบอิ่มก็ตามเจิ้งเจี๋ยก้าวฝีเท้ามายังนาง เขาคุกเข่าลงตรงหน้าเฉกเช่นเดียวกับนาง ดวงตาฉายแววผิดหวังบ่นความขุ่นเคืองใจ จ้องมองพวกเขาทั้งคู่ แม้จะเคยเห็นทั้งคู่พูดคุยหยอกล้อกันปล่อยๆ แค่คิดว่าเป็นเพราะความสนิทดั่งมิตรสหายเท่านั้น ไม่น่ามาลงเอยเช่นนี้เลย"เ
หลานจิน และเสี่ยวเยา เขาทั้งสองต่างมุ่งหน้าไปยังที่พักของตนเอง ท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงความสว่างจากโคมไฟนำทาง เสี่ยวเยาเหลือบมองหลานจิน ผู้หล่อเหลา ตั้งแต่ทะลุมิติมา เจอสหายคนแรกที่พึ่งพาได้ตอนนี้ มีเพียงเขาผู้นี้เท่านั้น "นี่หลานจิน หากข้าต้องการไปหน้าผาอสรพิษ ต้องทำอย่างไรเหรอ?" เสี่ยวเยาเอ่ยขึ้นในขณะที่เดินมาถึงสระน้ำกว้างใหญ่ ของจวนท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย"ยู่หลงนี่เจ้าคิด...อุ๊บ" ไม่ทันที่เขาจะพูดจบกลับโดนปิดปากไว้ด้วยมือของเสี่ยวเยา แต่ทว่าเขารู้สึกประหลาดใจเมื่อสัมผัสถึงผิวที่เรียบเนียน พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเครื่องหอมปรุงแต่งกลิ่นจากบุพผา"อย่าเสียงดังสิ! ข้าตามหาพี่สาวของข้า เจ้าก็รู้นี้!!" เสียงเข้มของนาง สลัดความสงสัยนั้นออกไปจนหมดสิ้น "ยู่หลง เจ้าช่างรนหาที่ตายเสียจริง ผู้ใดที่ได้ไปเยือน ยากนักจะได้กลับมา มีเพียงท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย และทหารคนสนิทเท่านั้นที่รู้เส้นทางที่ปลอดภัย ""ทหารคนสนินเหรอ... ลี่เจิน กับลี่ซานใช่ไหม?""อืม...หยุดคิดซะเถอะ พรุ่งนี้พวกเขาก็ออกเดินทางแล้ว" เสี่ยวเยาเบิกตาพองโต ดวงตาเปล่งประกายอย่างมีความหวัง ก่อนยิ้มแย้มแจ่มใสสุขสมดั่งใจที่ไม่เคยเป็นมาก
รถม้าเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยว ผ่านทิวทัศน์อันงดงามของภูเขา และแม่น้ำใสสะอาดจนเห็นโขดหินอย่างชัดเจน สายลมหนาวยังคงพัดเย็นๆ ผ่านเบื้องหน้าของทุกคน ทำให้รู้สึกสดชื่น และผ่อนคลายลง"หลานจิน เมื่อไหร่จะถึงหุบเขาอสรพิษดำ" เสี่ยวเยาถามขึ้น เมื่อพบว่าระยะทางที่ผ่านมามันช่างยาวนานนัก "พรุ่งนี้ ยามอาทิตย์ตกดินคงจะถึงจะที่หมาย ข้าก็เคยมาเป็นครั้งแรกเหมือนเจ้า ""เอ๊ะ! แล้วคืนนี้จะนอนที่ไหน บริเวณนี้มีป่าไม้ไผ่ ต้นไม้หนา นานแล้วที่ข้าไม่เห็นโรงเตี้ยมเลย เริ่มจะมืดแล้วด้วย" ความตระหนกตกใจของนาง ทำให้เขาดูเป็นกังวลใจยิ่งนัก"เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง""ข้าไม่ได้กลัวภัยอันตราย แต่ข้ากลัวความมืดมากกว่า.." นางกระซิบเบาๆ จนเขาหัวร่อต่อกระซิก ไม่คิดว่าทหารกล้าหาญอย่างเขา จะกลัวความมืดได้ถึงเพียงนี้"หยุดหัวเราะนะ หลานจิน""ได้ๆ ข้าหยุดก็ได้ ทางข้างหน้าแคบ เจ้าระวังตัวด้วย "สิ้นคำพูดของเขา ทางเดินข้างหน้าเริ่มแคบ และชันลง รถม้าของท่านแม่ทัพไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปไดเ"หยุด" สิ้นเสียงท่านแม่ทัพ รถม้าหยุดลง ดวงตาคมกริบเหลือบมอง ทหารร่างบางที่บนนั่งม้าด้วยท่าทางเหม่อลอย เหมือนครุ่นคิดสิ่
เนื่องด้วยอาการหนาวเย็นยะเยือกแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณป่าทึบ เสี่ยวเยา นอนคดคู้ เพราะชุดทหารไม่ได้หนาพอที่จะให้ความอบอุ่นได้ตลอดทั้งคืน ทว่าว่ากลับได้รับความอบอุ่นจากกองเพลิงที่ลุกโชนอย่างดี ในทางกลับกันหากนางนอนฝั่งเดียวกับหลานจิน ที่อยู่ห่างไกลจากกองไฟ คงจะหนาวสั่นจนตายเเน่นอน เสี่ยวเยาเพ่งสายตาไปยังบุรุษที่นอนพิงพาย ใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่ห่างไกลจากตนเองมากนัก ใบหน้าหล่อเหลา กระทบกับแสงจันทร์ เป็นบุรุษที่ยิ่งดู ยิ่งมีเสน่ห์ ไม่อาจรู้ได้ว่าเนื้อในที่จริงเป็นอย่างที่จารึกไว้หรือเปล่า ทั้งโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน ไร้ความเมตตา ตรงกันข้ามนางสัมผัสถึงความใส่ใจ และห่วงใยต่อนาง แต่ทว่าเสี่ยวเยาไม่รู้อะไรเลย แท้จริงแล้วเจิ้งเจี๋ยปฏิบัติต่อนางแตกต่างจากผู้อื่น.."ไม่เห็นเหมือนที่อ่านไว้เลย""มองข้าพอหรือยัง" เสียงทุ้มดังขึ้น แม้ว่าเขายังหลับตาอยู่ก็ตาม"ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมองท่าน มองชุดที่ท่านสวมใส ดูอบอุ่นดีต่างหากล่ะ " นางยิ้มแห้งๆ "อย่างนั้นเหรอ!" "เอ๊ะ! จะทำอะไรนะ!" เสี่ยวเยาลุกพรวดอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันตัว ขณะที่ท่านแม่ทัพถอดชุดคลุมขนสัตว์ ก่อนจะนั่งยองๆ ห่มมันให้กับนาง โดยไม่สบตา เดินกลับไปนอนตา
ท่านแม่ทัพเดินนำทางไปยังที่พักด้วยความนิ่งสงบ ไม่เอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา จนน่าประหลาดใจ เพราะดวงตาคมมัวสอดส่องไปทั่วบริเวณ เมื่อพบว่าตลอดเส้นทางในป่าแห่งนี้ มันช่างเงียบผิดปกติเหลือเกิน เสี่ยวเยาเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย 'แค่มาอาบน้ำเอง ไม่พอใจขนาดนี้เลยเหรอ' น้ำเสียงเพียงแผ่วเบา ทำให้เขาพินหน้ามองนาง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ด้วยแววตานิ่งแต่มีนัยแอบแฝง"เจ้าต่อสู้ได้ใช่ไหม?""เอ๊ะ! อืม สบายมาก"สิ้นคำตอบนาง เจิ้งเจี๋ยนำกระบี่ออกมา ดวงตาสวยพองโตขึ้น สะดุ้งเฮือก เมื่อเขายื่นกระบี่คู่กายให้นางอย่างไม่ลังเล"เริ่ม!" แววตาคมกริบเพ่งมองไปด้านหน้าในขณะเดียวกันที่ปรากฏกลุ่มชายชุดดำ กระโจนโจมตีทั้งคู่"พวกเจ้าเป็นโจรป่าใช่ไหม?" "....." มีเพียงเสียงคมกระบี่ที่ให้คำตอบนาง เจิ้งเจี๋ยใช้เพียงมือเปล่าจัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย ไม่แปลกใจที่เขาจะเป็นที่ไว้วางใจขององค์จักรพรรดิ เพราะสติปัญญา มาพร้อมความเจ้าระเบียบรอบคอบ อีกทั้งวรยุทธ์ที่เก่งกาจของเขา ได้สร้างคุณงามความดีต่อบ้านเมืองไว้อย่างมากมาย แม้ว่าจะโดนตราหน้าว่า เป็นผู้นำทัพทำสงครามอย่างเหี้ยมโหดก็ตาม "ยู่หลง ระวัง! " น้ำเสียงเข้มแฝงความห่วงใยเรียกสติ
เสียงนกน้อยขับร้องไพเราะ ดังสนั่นไปทั่วหุบเขา แสงอรุณกระทบบุพผา ราวกับต้อนรับเช้าวันใหม่อันสดใสในเหมันตฤดู ซึ่งมีเพียงดอกเหมยฮวาเท่านั้นที่คงความงาม และความสดชื่นอยู่จนถึงต้นวสันตฤดู จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการมาของวสันตฤดูด้วย รวมถึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขเกษม เบิกบานสำราญใจของผู้คน ท่านแม่ทัพลืมตาตื่น ด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียเล็กน้อย ดวงตาคมเบิกกว้าง เมื่อพบว่าเสี่ยวเยานอนหลับใหลอยู่ข้างเตียงเขา ใบหน้านั้นแสดงถึงความอ่อนล้า เจิ้งเจี๋ยลุกนั่งเพ่งพินิจ ขนตางอน แก้มอิ่มเอิบไร้สีสันแต่งแต้ม และริมฝีปากบางชมพู เพียงเท่านี้นางยังดูงดงามเหลือเกิน หากนางแต่งองค์ทรงเครื่องจะสวยงามมากเพียงใดกัน "หากนางแต่งหญิงจะเป็นเช่นไรนะ!" น้ำเสียงเพียงแผ่วเบา ไม่สามารถทำให้ผู้หลับลึกได้ยิน เจิ้งเจี๋ยเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนหลบยิ้มลงเมื่อนึกถึงฝันร้ายของตน "อย่างไรเสีย! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าทรยศข้า เหมือนดั่งเช่นพี่สาวของเจ้า" ถึงแม้น้ำเสียงนั้นจะเย็นชา แต่แอบแฝงไปด้วยความห่วงใย ทั้งที่ควรกำจัดนางไปเสีย แต่เขากลับทำเช่นนั้นไม่ได้ อย่างไรเสียในสายตาเขา นางยังเป็นเด็กสาวที่ไร้เดียงสา ไม่มีพิษภัย แววตาใสซื่ออย่า
เสี่ยวเยายังคงใช้ชีวิตอย่างปกติ ซ้อมประลองกระบี่อย่างกล้าหาญ ดั่งเช่นทหารทั่วไป โดยไม่ปริปากบ่นเลยสักนิด นางไม่รู้เลยว่า ทุกการกระทำของนางนั้น ได้อยู่ในสายตาของท่านแม่ทัพตลอดเวลา ผู้เดียวที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของนาง อีกทั้งยังมองนางเปลี่ยนไปจากเดิม"ลี่ซาน ข้าว่าพักหลังมานี่ ท่านแม่ทัพดูจะสนใจยู่หลงเป็นพิเศษ หรือเจ้าว่าข้าคิดผิดไปเอง" "ข้าเห็นด้วยกับเจ้า หากเป็นเช่นนี้ หรือว่า""หรือว่าอะไร""ท่านแม่ทัพจะหลงเสน่ห์ยู่หลง!""เสียสติไปแล้วหรือไง พวกเขาเป็นบุรุษทั้งคู่ ช่างเถอะๆ ถามเจ้าไปก็เท่านั้น " ลี่หวังสะบัดหน้าเดินหนีเขาไปอย่างเอือมระอา"นี่..ลี่หวัง!! เจ้าหมายความว่าอย่างไร?" ลี่ซานเดินตามผู้เป็นน้องไปอย่างไม่เข้าใจว่าตนนั้นพูดอะไรผิดไปแม้ว่าท่านแม่ทัพจะทำทุกอย่างเหมือนเช่นที่เคยเป็นต่อหน้าทุกคน แต่ส่วนลึกในจิตใจ ยังคงคิดถึง ความจริงที่เขาเพิ่งรู้ ทางกลับกันเสี่ยวเยายังคงค้นหา เส้นทางลับที่อาจจะนำนางไปยังหน้าผาอสรพิษดำได้ แม้จะเป็นสถานที่ต้องห้ามอีกทั้งน่าหวาดกลัว หากฟังไม่ผิดคงอยู่ด้านหลังค่ายทหาร ที่มีทหารเฝ้ายามกันอย่างแน่นหนาจนน่าสงสัย ยามว่างของนางวันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวัน
ท่านแม่ทัพเดินนำทางไปยังที่พักด้วยความนิ่งสงบ ไม่เอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา จนน่าประหลาดใจ เพราะดวงตาคมมัวสอดส่องไปทั่วบริเวณ เมื่อพบว่าตลอดเส้นทางในป่าแห่งนี้ มันช่างเงียบผิดปกติเหลือเกิน เสี่ยวเยาเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัย 'แค่มาอาบน้ำเอง ไม่พอใจขนาดนี้เลยเหรอ' น้ำเสียงเพียงแผ่วเบา ทำให้เขาพินหน้ามองนาง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ด้วยแววตานิ่งแต่มีนัยแอบแฝง"เจ้าต่อสู้ได้ใช่ไหม?""เอ๊ะ! อืม สบายมาก"สิ้นคำตอบนาง เจิ้งเจี๋ยนำกระบี่ออกมา ดวงตาสวยพองโตขึ้น สะดุ้งเฮือก เมื่อเขายื่นกระบี่คู่กายให้นางอย่างไม่ลังเล"เริ่ม!" แววตาคมกริบเพ่งมองไปด้านหน้าในขณะเดียวกันที่ปรากฏกลุ่มชายชุดดำ กระโจนโจมตีทั้งคู่"พวกเจ้าเป็นโจรป่าใช่ไหม?" "....." มีเพียงเสียงคมกระบี่ที่ให้คำตอบนาง เจิ้งเจี๋ยใช้เพียงมือเปล่าจัดการพวกมันได้อย่างง่ายดาย ไม่แปลกใจที่เขาจะเป็นที่ไว้วางใจขององค์จักรพรรดิ เพราะสติปัญญา มาพร้อมความเจ้าระเบียบรอบคอบ อีกทั้งวรยุทธ์ที่เก่งกาจของเขา ได้สร้างคุณงามความดีต่อบ้านเมืองไว้อย่างมากมาย แม้ว่าจะโดนตราหน้าว่า เป็นผู้นำทัพทำสงครามอย่างเหี้ยมโหดก็ตาม "ยู่หลง ระวัง! " น้ำเสียงเข้มแฝงความห่วงใยเรียกสติ
เนื่องด้วยอาการหนาวเย็นยะเยือกแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณป่าทึบ เสี่ยวเยา นอนคดคู้ เพราะชุดทหารไม่ได้หนาพอที่จะให้ความอบอุ่นได้ตลอดทั้งคืน ทว่าว่ากลับได้รับความอบอุ่นจากกองเพลิงที่ลุกโชนอย่างดี ในทางกลับกันหากนางนอนฝั่งเดียวกับหลานจิน ที่อยู่ห่างไกลจากกองไฟ คงจะหนาวสั่นจนตายเเน่นอน เสี่ยวเยาเพ่งสายตาไปยังบุรุษที่นอนพิงพาย ใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่ห่างไกลจากตนเองมากนัก ใบหน้าหล่อเหลา กระทบกับแสงจันทร์ เป็นบุรุษที่ยิ่งดู ยิ่งมีเสน่ห์ ไม่อาจรู้ได้ว่าเนื้อในที่จริงเป็นอย่างที่จารึกไว้หรือเปล่า ทั้งโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน ไร้ความเมตตา ตรงกันข้ามนางสัมผัสถึงความใส่ใจ และห่วงใยต่อนาง แต่ทว่าเสี่ยวเยาไม่รู้อะไรเลย แท้จริงแล้วเจิ้งเจี๋ยปฏิบัติต่อนางแตกต่างจากผู้อื่น.."ไม่เห็นเหมือนที่อ่านไว้เลย""มองข้าพอหรือยัง" เสียงทุ้มดังขึ้น แม้ว่าเขายังหลับตาอยู่ก็ตาม"ข้าไม่ได้ตั้งใจจะมองท่าน มองชุดที่ท่านสวมใส ดูอบอุ่นดีต่างหากล่ะ " นางยิ้มแห้งๆ "อย่างนั้นเหรอ!" "เอ๊ะ! จะทำอะไรนะ!" เสี่ยวเยาลุกพรวดอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันตัว ขณะที่ท่านแม่ทัพถอดชุดคลุมขนสัตว์ ก่อนจะนั่งยองๆ ห่มมันให้กับนาง โดยไม่สบตา เดินกลับไปนอนตา
รถม้าเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยว ผ่านทิวทัศน์อันงดงามของภูเขา และแม่น้ำใสสะอาดจนเห็นโขดหินอย่างชัดเจน สายลมหนาวยังคงพัดเย็นๆ ผ่านเบื้องหน้าของทุกคน ทำให้รู้สึกสดชื่น และผ่อนคลายลง"หลานจิน เมื่อไหร่จะถึงหุบเขาอสรพิษดำ" เสี่ยวเยาถามขึ้น เมื่อพบว่าระยะทางที่ผ่านมามันช่างยาวนานนัก "พรุ่งนี้ ยามอาทิตย์ตกดินคงจะถึงจะที่หมาย ข้าก็เคยมาเป็นครั้งแรกเหมือนเจ้า ""เอ๊ะ! แล้วคืนนี้จะนอนที่ไหน บริเวณนี้มีป่าไม้ไผ่ ต้นไม้หนา นานแล้วที่ข้าไม่เห็นโรงเตี้ยมเลย เริ่มจะมืดแล้วด้วย" ความตระหนกตกใจของนาง ทำให้เขาดูเป็นกังวลใจยิ่งนัก"เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องเจ้าเอง""ข้าไม่ได้กลัวภัยอันตราย แต่ข้ากลัวความมืดมากกว่า.." นางกระซิบเบาๆ จนเขาหัวร่อต่อกระซิก ไม่คิดว่าทหารกล้าหาญอย่างเขา จะกลัวความมืดได้ถึงเพียงนี้"หยุดหัวเราะนะ หลานจิน""ได้ๆ ข้าหยุดก็ได้ ทางข้างหน้าแคบ เจ้าระวังตัวด้วย "สิ้นคำพูดของเขา ทางเดินข้างหน้าเริ่มแคบ และชันลง รถม้าของท่านแม่ทัพไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อไปไดเ"หยุด" สิ้นเสียงท่านแม่ทัพ รถม้าหยุดลง ดวงตาคมกริบเหลือบมอง ทหารร่างบางที่บนนั่งม้าด้วยท่าทางเหม่อลอย เหมือนครุ่นคิดสิ่
หลานจิน และเสี่ยวเยา เขาทั้งสองต่างมุ่งหน้าไปยังที่พักของตนเอง ท่ามกลางความมืดมิด มีเพียงความสว่างจากโคมไฟนำทาง เสี่ยวเยาเหลือบมองหลานจิน ผู้หล่อเหลา ตั้งแต่ทะลุมิติมา เจอสหายคนแรกที่พึ่งพาได้ตอนนี้ มีเพียงเขาผู้นี้เท่านั้น "นี่หลานจิน หากข้าต้องการไปหน้าผาอสรพิษ ต้องทำอย่างไรเหรอ?" เสี่ยวเยาเอ่ยขึ้นในขณะที่เดินมาถึงสระน้ำกว้างใหญ่ ของจวนท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย"ยู่หลงนี่เจ้าคิด...อุ๊บ" ไม่ทันที่เขาจะพูดจบกลับโดนปิดปากไว้ด้วยมือของเสี่ยวเยา แต่ทว่าเขารู้สึกประหลาดใจเมื่อสัมผัสถึงผิวที่เรียบเนียน พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเครื่องหอมปรุงแต่งกลิ่นจากบุพผา"อย่าเสียงดังสิ! ข้าตามหาพี่สาวของข้า เจ้าก็รู้นี้!!" เสียงเข้มของนาง สลัดความสงสัยนั้นออกไปจนหมดสิ้น "ยู่หลง เจ้าช่างรนหาที่ตายเสียจริง ผู้ใดที่ได้ไปเยือน ยากนักจะได้กลับมา มีเพียงท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ย และทหารคนสนิทเท่านั้นที่รู้เส้นทางที่ปลอดภัย ""ทหารคนสนินเหรอ... ลี่เจิน กับลี่ซานใช่ไหม?""อืม...หยุดคิดซะเถอะ พรุ่งนี้พวกเขาก็ออกเดินทางแล้ว" เสี่ยวเยาเบิกตาพองโต ดวงตาเปล่งประกายอย่างมีความหวัง ก่อนยิ้มแย้มแจ่มใสสุขสมดั่งใจที่ไม่เคยเป็นมาก
ภาพคนทั้งคู่หนุนเตียงกันได้สร้างบาดแผลครั้งใหญ่ต่อเจิ้งเจี๋ย ความคับแค้นใจก่อตัวขึ้น จนลืมไปว่าแท้จริงแล้วนางเป็นผู้หญิงเช่นไร "เอานายทหารผู้นี้ไปโบยสามร้อยครั้ง แล้วจงโรยด้วยเกลือ!!" น้ำเสียงเคร่งขรึมของเขาสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้คนทั้งคู่ ที่ตื่นขึ้นมาพบว่าอยู่ใต้ผ้าห่มฝืนเดียวกัน ด้วยร่างอันเปลือยเปล่า โดยเฉพาะเหมยหลินคนรักเขาของเขา ที่พยายามจะอธิบายให้ท่านแม่ทัพเข้าใจทั้งน้ำตาด้วยใจทุกข์ระทม เจิ้งเจี๋ยเองก็เจ็บลึกในทรวงไม่แพ้กัน เพียงเก็บอาการไว้ เพื่อเห็นแก่ความผลงานและความดีที่ผ่านมาจึงไม่ฆ่าทหารผู้นั้นทิ้ง ก็นับว่าเมตตามากพอแล้ว "อึก! ท่านแม่ทัพ ได้โปรดเชื่อข้าเถอะ! ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นเช่นนี้...อึก" น้ำเสียงอันสั่นเครือของนาง แววตาดูจริงใจเปล่งประกายขึ้น แม้ว่าขอบตาจะเอ่อล้นไปด้วยน้ำใสที่ไหลรินอาบสองแก้มอันอวบอิ่มก็ตามเจิ้งเจี๋ยก้าวฝีเท้ามายังนาง เขาคุกเข่าลงตรงหน้าเฉกเช่นเดียวกับนาง ดวงตาฉายแววผิดหวังบ่นความขุ่นเคืองใจ จ้องมองพวกเขาทั้งคู่ แม้จะเคยเห็นทั้งคู่พูดคุยหยอกล้อกันปล่อยๆ แค่คิดว่าเป็นเพราะความสนิทดั่งมิตรสหายเท่านั้น ไม่น่ามาลงเอยเช่นนี้เลย"เ
แสงสว่างจากดวงจันทราสาดส่องเพียงพอให้นางมองเห็นสภาพภายในจวน เสี่ยวเยาต้องแปลกใจปนความสงสัย เมื่อพบว่ามันช่างว่างเปล่า ไร้ซึ่งสิ่งของมีค่าอย่างที่ผู้คนต่างร่ำลือไว้ มีเพียงโต๊ะไม้เก่าๆ ไว้ดื่มชา กับเตียงนอนเรียบง่ายที่ไม่อลังการ พร้อมแกะสลักลวดลายหมาป่าที่น่าเกรงขามไว้เท่านั้น ไม่สมกับเป็นเชื้อสายพระวงศ์ แม้แต่น้อย ผิดจากภายนอกจวนที่ตกแต่งหรูหรา ดูอลังการสง่างาม จนน่าอิจฉาแท้จริงแล้วด้านในกลับมีแต่ความว่างเปล่า ไม่เหมือนดั่งที่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า "ท่านแม่ทัพเจิ้งเจี๋ยผู้นี้ใช้ชีวิตสุขสบาย หรูหราฟุ่มเฟือย ข้าวของเครื่องใช้ทำด้วยทองคำ ร่ำรวยกว่าองค์จักรพรรค์เสียอีก สาเหตุเพราะยึดทรัพย์สมบัติของเหล่ารัฐที่ตนไปทำสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน โดยได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท เพื่อเป็นรางวัลชนะศึก""อะไรเนี่ย!!" เสี่ยวเยาเดินสำรวจรอบๆ ไม่วายคลางแคลงใจ ดวงตาคู่สวยเหลือบมองไปยังผู้กำลังหลับใหล ด้วยใบหน้าซีดเผือด ผิดมนุษย์มนา หรือ เขากำลังแอบซ่อนอะไรไว้"........""หลับสบายเชียวนะ! ปล่อยให้ข้ายืนรอตั้งนานสองนาน มันน่าฆ่าให้ตายเสียจริง ฮึ! " นางเอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิดใจ ที่ตนต้องยืนรอตั้งสองชั่วยาม เห
"บังอาจ! กล้าใส่ความท่านอ๋อง สมควรตาย องครักษ์จับนายทหารผู้นี้"ข้ารับใช้คนสนิทของจี๋ชงเอ่ยขึ้นด้วยแววตาขุ่นเคือง "ไม่เป็นไรๆ เจ้าเด็กน้อย ช่างฉลาดยิ่ง นามว่าอะไร " ฝ่าบาทจ้องมองนาง ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาทั้งคู่ทะเลาะกันเพียง เพราะทหารคนเดียว ตั้งแต่ทะลุมิติมาที่วังหลวงแห่งนี้ ไม่มีความสงบเรียบร้อย แต่ยังคงความเป็นตัวเอง คิดอย่างไรพูดอย่างนั้น ไม่สนใจผู้ใด แต่ทว่าท่านผู้นี้คือ องค์จักรพรรดิของแผ่นดิน ที่เธอมิอาจทำตัวไร้มารยาทได้ เพราะประวัติศาสตร์ได้จารึกแต่คุณงามความดีไว้มากมาย มันน่าละอายใจเหลือเกินหากเธอทำตัวไร้มารยาท"ข้าน้อย ยู่หลง คารวะฝ่าบาท ขอให้อายุยืนหมื่นๆ ปี" เสี่ยวเยาคุกเข่าลง เพื่อแสดงความเคารพอย่างนอบน้อม แลดูจริงใจ ยิ่งทำให้ฝ่าบาทเอ็นดูเขามากขึ้นไปอีก"ไม่ต้องพิธี เอาล่ะๆ ลุกขึ้นเถิด.." รอยยิ้มอันอ่อนโยนได้ปรากฏบนใบหน้าสง่างาม มีเมตตา เหมาะสมตามคำร่ำลือตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน"ขอบพระทัยฝ่าบาท" น้ำเสียงอันหนักแน่น เพื่อกลบเกลื่อนความเป็นสตรีไว้ เสี่ยวเยาเหลือบมองฝ่าบาท ก่อนที่จะกะพริบตาข้างหนึ่ง ส่งสัญญาณให้นางกำนัลรีบหาช่องทางหลบหนีออกไป