ตงฟางหลีพูดน้ำเสียงหนักแน่น “ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ให้เคลื่อนไหวคำสั่งจื่อจิน”“ท่านอ๋อง!” ตู้เหิงสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก “คิดไตร่ตรองอีกครั้งด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ที่เขาเพิ่งพูดเมื่อสักครู่นี้ ท่านอ๋องไม่ได้ฟังแม้แต่น้อยเลยหรืออย่างไร?“ข้าเดาออกแล้วว่าฉินเหยี่ยนเย่ว์อยู่ที่ไหน” ตงฟางหลีพูด “คำสั่งที่
ตงฟางหลีเคยบอกนางเอาไว้ ว่าอำนาจขององครักษ์จื่ออวี๋มีมากมายนักเพียงแค่เรียกพวกเขา คำสั่งที่สั่งออกไปก็จักเทียบเท่ากับคำสั่งที่ฮ่องเต้ทรงรับสั่งนับตั้งแต่หลังจากที่ฮ่องเต้มอบองครักษ์สองคนนั้นให้นาง นางก็ระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ยังไม่เคยเรียกใช้พวกเขาเลยสักครั้งครั้งนี้ได้มาถึงจุดที่ต้องเรียกใช้แ
ฉินเหยี่ยนเย่ว์สัมผัสได้ว่าเสียงของหญิงงามค่อย ๆ แผ่วหายไป ก็ลืมตาขึ้นเล็กน้อยภาพตรงหน้า ทำให้นางเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าท่านอ๋องสามราวกับเสียสติไป ดวงตาสองข้างฉายชัดถึงความกระหายเลือด ใบหน้าดุร้าย กำลังใช้มือที่แข็งราวเหล็กทั้งสองข้างกุมรอบลำคอของหญิงงามอย่างแรงภาพตรงหน้าน่าสะเทือนใจยิ่ง“
ในช่วงเวลาวิกฤตนางได้เก็บคำสั่งกลับมา นางไม่ต้องการแบกรับชื่อจากการสังหารพี่ชาย และยิ่งไม่ต้องการเพิ่มปัญหาให้กับเสด็จพ่อเพียงแต่ คนผู้นี้วิปริตและน่ารังเกียจเกินไปมากจริง ๆ หากไม่ลงโทษด้วยการตัดอวัยอวะส่วนนั้นของเศษสวะเช่นนี้ ก็คงผิดต่อเหล่าสตรีบริสุทธิ์ที่ตายด้วยน้ำมือของเขา“องครักษ์จื่ออวี๋ทั้ง
วรยุธท์ท่านอ๋องสามไม่เลว ทว่า ยังห่างชั้นจากองครักษ์จื่ออวี๋อยู่มาก ไม่นานก็ถูกจับตัวองครักษ์จื่ออวี๋เห็นว่าท่านอ๋องสามดิ้นรนอย่างแรง แววตาก็ดำมืด จากนั้นก็ทุบจนเขาหมดสติ พาตัวเขาไปยังอีกห้อง แล้วทำการตอนหลังจากพลุส่งสัญญาณดัง กลับไม่มีอีกาดำปรากฏขึ้นตามที่คาดหวังไว้มีเพียงองครักษ์ที่คอยรับใช้ท่า
ภายในห้องไม่ค่อยสว่างสักเท่าใด จึงทำให้ตู้เหิงมองเห็นได้ไม่ค่อยชัดเห็นเพียงถาดขนาดเล็กใบหนึ่งได้ลาง ๆ ในถาดเล็กใบนั้นเต็มไปด้วยเลือด ที่พื้นยังมีขี้เถ้าไม้ที่ถูกจุดไว้หลงเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง ราวกับว่ากำลังทำพิธีกรรมลึกลับอะไรบางอย่าง“ท่านอ๋องสาม ล่วงเกินแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ตู้เหิงกล่าวอย่างระมัดระวัง “
เขาเปิดผ้าห่มออกอย่างระมัดระวัง คนข้างในเป็นท่านอ๋องสามตัวจริงอย่างไม่ต้องสงสัย“อามิตตาพุทธ อย่างที่คิดไว้จริง ๆ จะล่วงเกินผู้ใดก็ได้แต่จะล่วงเกินพระชายาไม่ได้ ยามที่พระชายาโหดร้ายขึ้นมาแล้วน่ากลัวเสียจริง ท่านอ๋องสาม โประระงับความเสียใจด้วย ใครใช้ให้คนที่ท่านล่วงเกินเป็นพระชายาล่ะ” ตู้เหิง วางผ้าห
ตงฟางหลีถึงกับยืนนิ่ง ก่อนจะหลุบตาลงเมื่อคืนวานนี้ ยัยหนูเคยพูดเอาไว้จริง ๆ ว่าร่างกายนางไม่สบาย ด้วยสถานการณ์ที่รีบร้อนเขาจึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท“ถ้าอย่างนั้นควรจะทำอย่างไรดี?” เขาถาม“ขจัดความเย็นไงล่ะ” ลู่จิ้นพูดอย่างไม่สบอารมณ์เขาให้คนพาตัวฉินเหยี่ยนเย่ว์ไปเปลี่ยนอาภรณ์ ทั้งยังเตรียมยาสมุนไ
เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตงฟางหลีรู้สึกว่าตงฟางเจวี๋ยผิดปกติทีเดียวเมื่อก่อนพี่รองดื่มสุราน้อยมาก ยกแก้วก็ดื่มจนหมดเหมือนเช่นนี้ หาได้ยากมาก ๆ“พี่รอง ข้าจำได้ว่าเหยี่ยนเย่ว์เคยบอกว่าท่านไม่สามารถดื่มเหล้าได้” เขาจะแย่งแก้วสุราของตงฟางเจวี๋ยมา“วันนี้เจ้าให้ข้าดื่มสักหน่อยเถอะ” ตงฟางเจวี๋หลบนิ้วม
สีหน้าของฮ่องเต้ยังคงมืดทะมึนนักลูกหลานเชื้อพระวงศ์ ไหนเลยจะไม่มีสามภรรยาสี่อนุชายา ถือเป็นความสุขของผู้คนทั่วไป?แม้แต่เจ้าห้าซึ่งกลัวภรรยาที่สุดก็ยังมีเรือนอนุชายาถึงสองเรือนเจ้าเจ็ดอยากจะแต่งภรรยาเพียงคนเดียวจริง ๆ ซึ่งเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในราชวงศ์“เจ้าเจ็ด เจ้าจะขัดราชโองการหรือ?”“ล
“จริงแท้แน่นอน”“หลายปีมานี้ ซูเตี่ยนฉิงโกหกเจ้ามาตลอดหรือ?” แม้แต่ฮ่องเต้เองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าประหลาดใจ และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรกขึ้นมาในวังนั้นคนอื่นมีอำนาจก็ประจบสอพลอ สูญสิ้นอำนาจก็ไม่แยแส หลังจากพระสนมอวิ๋นประสบกับความลำบาก อ๋องเจ็ดก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก และยังเกือบจะเสียชีวิตอยู่ในทะเ
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง “เมื่อก่อนมิใช่ว่าเจ้าอยากแต่งงานกับนางมากหรือ?”ในฐานะพระโอรสลำดับที่เจ็ด การที่จะมีสตรีโปรดปรานหลายคนถือเป็นเรื่องปกติมาก ๆแต่งงานกับคนนี้แล้ว แต่งงานกับคนนั้นต่อ ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกันแม้ว่าฉินเหยี่ยนเย่ว์จะริษยา ก็ไม่ควรให้นางทำตามอำเภอใจหากต่อไปสามารถส
เมื่อหายโกรธแล้วอย่าลืมคืนตำแหน่งให้เหยี่ยนเย่ว์กลับมา...ฮ่องเต้มองท่าทีของตงฟางหลี ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “มองไม่ออกเลยว่าเจ้ายังมีความรักหวานซึ้งด้วย รอนางให้กำเนิดท่านอ๋องน้อยก่อน เราถึงจะคืนตำแหน่งพระชายาเอกให้นาง”สีหน้าของตงฟางหลีไม่น่ามอง “นี่คงต้องใช้เวลานานทีเดียว”“ทำไม เจ้าไม่ไหว หรือศิษย์น
ครั้นได้ยินคำว่า “แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์” สองคำนี้จากปากของฮ่องเต้สีหน้าของตงฟางหลีพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาความหมายของการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์คือ หนานลู่จะส่งองค์หญิงมาแต่งงานที่ตงลู่ฮ่องเต้เรียกเขาและพี่รองมาเข้าพบโดยเฉพาะ ซึ่งความหมายก็ชัดเจนมากองค์หญิงหนานลู่อาจจะแต่งงานกับเขา หรืออาจจะแต่งงานกับ
“เชื่อฟังนะเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ่ยขึ้น“ภรรยาเจ้าเจ็ด อย่ากระซิบกระซาบกับเจ้าเจ็ดอีกเลย เจ้ากลับมาพอดี รีบไปเตรียมขนมให้เราที” ฮ่องเต้เอ่ยขึ้น “เราอยากกิน ไม่ใช่สิ เป็นเสด็จอาของเจ้าต่างหากที่อยากกินอันนั้นน่ะ...”“ขนมที่เรียกว่ามูสอะไรสักอย่างอันนั้นน่ะ ขันทีหลาน เจ้าไปกับพระชายาอ๋องเจ็ดเสีย เป็น
มีโต๊ะไม้จันทน์สีแดงแปดเซียนฝังทองวางอยู่กลางห้องโถงใหญ่บนโต๊ะแปดเซียนวางเตากระต่ายทองขนาดเล็ก และมีหม้อทองแดงวางอยู่บนเตาน้ำแกงในหม้อทองแดงกำลังเดือดปุด ๆ และทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเข้มข้นของอาหารในที่นั่งตรงกลาง ฮ่องเต้ถือแก้วสุราและดื่มกับอ๋องอี๋หยางที่นั่งตรงข้ามอย่างมีความสุขในที่นั่งทั
“อืม” ฉินเหยี่ยนเย่ว์รู้ว่าเรื่องนี้มิอาจเร่งรีบได้พระชายาเฉียนไหว้วานให้มนุษย์เงาไปสืบสวนลู่จิ้นและตงฟางหลีเองก็กำลังสืบสวนเช่นกัน ช้าเร็วจะได้รู้ผล“เช่นนั้น ศิษย์พี่รู้หรือไม่ ท่านปู่...ไม่สิ อาจารย์มีภรรยาหรือไม่?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ถามอีกครั้งเนื่องจากเป็นศิษย์คนสุดท้ายของท่านปู่ เรื่องนี้ลู่จิ