ตงฟางหลีถึงกับนิ่งงันขณะที่เขาคิดจะเอ่ยปากพูดออกมานั้น ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสขึ้นด้วยสุรเสียงเย็นชา “หากพูดเพิ่มอีกก็โบยเพิ่มอีกสามสิบไม้ และให้โบยเพิ่มสามสิบไม้ทุกครั้งที่พูดออกมา จ้งหมิง เจ้าจับตาดูเขาด้วย”“พ่ะย่ะค่ะ” ท่านอ๋องอี๋หยางขานรับ“ตงฟางหลี หน้าของท่านเป็นอะไรไป?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เห็นว่าท่าที
ภายในตำหนักไท่อี้ยังไร้ความเคลื่อนไหวเขาอยู่ที่ด้านนอกทำได้เพียงแค่ร้อนรนเท่านั้น ยืนลังเลอยู่ได้ครู่หนึ่ง ท้ายที่สุดก็เลือกที่จะไปกินน้ำแกงหัวไชเท้าสงบจิตใจกับอ๋องอี๋หยางตงฟางอิงยังต้องรอให้ฉินเหยี่ยนเย่ว์มารักษาบาดแผลเหมาเหมา ไม่กล้าจากไปไกล จึงเลือกนั่งตรงที่มีกำบังลม ยกสองมือเท้าคาง แล้วเอ่ยพึ
ฉินเหยี่ยนเย่ว์มองพระพักตร์ราบเรียบของฮ่องเต้ ในใจก็เต้นดังตุบ ๆ นาง ไม่รู้เลยว่าฮ่องเต้พระองค์นี้คิดจะทำสิ่งใดหากบอกว่าเป็นการลงโทษ พระองค์ก็เพียงแค่ให้นางฝนหมึก รินชางานเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้เท่านั้นและหากพูดว่ามิใช่บทลงโทษ ทว่านางต้องคุกเข่า และยังถูกตำหนิ “เสด็จพ่อมิได้รับสั่ง ลูกจึงไม่กล้าล
ฮ่องเต้แค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะโยนฎีกาทิ้งไปอย่างแรง สองมือประสานเข้าหากันพลางปรายตามองนาง “ในใต้หล้านี้ มีแค่เจ้าที่กล้าพูดกับเราเช่นนี้ พูดมาเถอะ เจ้าคิดว่าเหตุใดเราถึงรั้งตัวเจ้าไว้ลำพัง”“ลูกทำผิดเพคะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ตอบกลับอย่างว่านอนสอนง่าย“ผิดอันใด?”“ที่ตำหนักใหญ่ลูกมิได้พูดในสิ่งที่เสด็จพ่อต
“ของหวานที่เสด็จพ่อทรงกล่าวถึง มีรสชาติหวาน มีกลิ่นหอมของนม และยังมีไข่มุกให้เคี้ยว เรียกว่าชานมไข่มุกใช่หรือไม่เพคะ?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ถาม“ใช่ คือชื่อนี้ล่ะ” ดวงตาของฮ่องเต้เปล่งประกายระยิบยับแตกต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง “ทำเป็นหรือไม่?”ฉินเหยี่ยนเย่ว์ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับ “หากมีวัตถุดิบ
“ที่แท้ท่านปู่เคยทำให้พระองค์ดื่มแล้ว” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ตระหนักได้ทันทีชายชราชอบทำของหวาน และชานมไข่มุกเป็นสิ่งที่ทำง่ายที่สุด ไม่แปลกใจที่ฮ่องเต้จะรู้เรื่องเช่นนี้ซึ่งไม่ใช่ของในโลกนี้“ปู่ของเจ้ารึ?” ฮ่องเต้กินไข่มุกไปสองสามเม็ด “นักพรตเต๋าเทียนหลิงเป็นปู่ของเจ้ารึ? ปู่ของเจ้ามิใช่ว่าลาลับโลกนี้ไปน
ฉินเหยี่ยนเย่ว์สับสนเล็กน้อยเมื่อครู่พวกเขายังคงพูดคุยกันเรื่องชานมอย่างมีความสุข ทว่าเหตุใดถึงเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน กลับกลายเป็นซูเตี่ยนฉิงอยากแต่งงานเข้าจวนอ๋องเจ็ดเล่า?นางไม่เข้าใจความหมายของฮ่องเต้ ทำได้เพียงต้องก้มหัวลง “เสด็จพ่อคิดเห็นอย่างไรเพคะ?”“ด้วยสถานะของสกุลซู ซูเตี่ยนฉิงเป็นบุตรีภรร
อย่างไรก็ตาม หากสิ่งใดเกินขีดจำกัด ย่อมก่อให้เกิดอันตรายอยู่แล้ว แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าคนผู้นั้นให้เหมาเหมากินไม้เทียนเหลี่ยวไปมากแค่ไหน และไม่รู้ด้วยว่าได้เพิ่มเติมอะไรเข้าไปข้างในหรือไม่“เจ้าสิบ ไปทูลพระพันปีเสียหน่อยว่าข้าจะพาเหมาเหมาไปเลี้ยงที่จวนอ๋องเจ็ดสักสองสามวัน” นางขมวดคิ้ว “อาการของเหมาเหมา
ความเป็นไปได้มากที่สุด คือพี่ใหญ่ใช้ประโยชน์จากทาสเป่ยลู่คนนั้น ทำเรื่องที่มิอาจเปิดเผยได้เหล่านั้นอยู่ที่นี่หากเป็นเหตุผลเช่นนี้ เบาะแสทุกอย่างล้วนราบรื่นแล้วตงฟางหลีเดินอ้อมห้องอีกหนึ่งรอบใช้มือสัมผัสและเคาะสิ่งของที่น่าสงสัยทั้งหมดเบา ๆ ไปหนึ่งรอบน่าเสียดาย ที่หาร่องรอยของห้องลับไม่เจอ“จางฉู
ตงฟางหลีพยุงตัวกับราวบันได ใบหน้าหล่อเหลานั้นซีดเผือดหากเป็นน้ำพุจริง ๆ ไม่เพียงแต่รสนิยมเลวร้าย มิหนำซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นจนทำให้คนเดือดดาลจางฉู่ส่ายหน้า “มิทราบได้พ่ะย่ะค่ะ แทนที่จะบอกว่าเป็นน้ำพุ มิสู้บอกว่า พวกมันดูเหมือนเสาค้ำยันศาลามากกว่า ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เฉียนอ๋องสร้างขึ้นกับมือเพื่ออนุภร
ในแววตาเขาไร้คลื่นลม และน้ำเสียงก็ราบเรียบมากเช่นกันเฟยอิ่งลอบขมวดคิ้วแน่นเขารู้จักจางฉู่มาแต่ไหนแต่ไร จางฉู่มีนิสัยเย็นชา กระทำการสุขุมหนักแน่น ไตร่ตรองพิจารณารอบด้าน มิใช่คนที่มุทะลุบุ่มบ่ามพรรค์นั้นหากแต่พฤตกรรมครานี้ ผิดแปลกไปอย่างแท้จริงแปลกไปจนมิคล้ายกับเป็นจางฉู่ตัวจริงเฟยอิ่งยิ่งคิดก็ยิ
ตงฟางหลีเดิมทีก็มีโรครักความสะอาดอยู่แล้ว ทนรับกลิ่นแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้ที่สุดยามที่กลิ่นเหม็นเน่าสายนั้นถาโถมเข้ามา เขาถึงกับอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้ ภายในกระเพาะประหนึ่งพลิกแม่น้ำล้มมหาสมุทรก็มิปานเขารีบล้วงหาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก สะกดความรู้สึกขยะแขยงลงไปเฟยอิ่งเองก็ถูกความรู้สึกน่ารัง
“เหตุผลที่คุณหนูเซียวหย่ากับพี่ใหญ่ เป็นเพราะว่าพี่ใหญ่สังหารลูกของพวกเขาเองกับมือ” ตงฟางหลีพูดต่อไป “ที่นางมิสามารถตั้งครรภ์มาโดยตลอด ก็เป็นการขัดขวางของพี่ใหญ่เช่นกัน”“พี่ใหญ่คิดว่าการตายของทาสเป่ยลู่เกี่ยวข้องกับคุณหนูเซียว จึงเอาโทสะมาระบายใส่คุณหนูเซียว คุณหนูเซียวที่ลุ่มหลงในความรักอย่างลึกซึ
บนใบหน้าเย็นชาและแน่วแน่นั้น เผยให้เห็นถึงสีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่งร่างกายสูงใหญ่ของเขาถอยหลังไปอย่างไร้ร่องรอย น้ำเสียงนั้นทั้งลำบากใจทั้งเจ็บปวด “หวั่นเอ๋อร์...ไม่สิ พระชายาเฉียนจากไปแล้ว และคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เรือนบุปผาหาได้มีผู้ใดอยู่ไม่ เชิญท่านอ๋องเจ็ดกลับไปเถิด”ยามที่จางฉู
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด เวลาที่เหยี่ยนเย่ว์จะได้รับความทรมานก็จะยิ่งนานมากขึ้นเท่านั้นยามที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา หน้าผากตงฟางหลีถึงกับเต้นตุบ ๆ โดยไม่รู้ตัวไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกไปเองหรือไม่เขามักจะรู้สึกว่า แม้ว่ายัยหนูของเขาจะพลั้งเผลอถูกคนลักพาตัวไปทว่า มิใช่สตรีที่จะปล่อยให้ผู้อื่นเข่นฆ่าได้
ขณะเดียวกันภายในหอฉยงฮวาใบหน้าตงฟางหลีดำทะมึนนิ้วของเขาเคาะที่โต๊ะเบา ๆหลังจากคาดเดาได้ว่าเหยี่ยนเย่ว์อาจถูกเฉียนอ๋องลักพาตัวไปเขากลัวว่าหากเข้าไปหาตรง ๆ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นกลัวว่าหลังจากพี่ใหญ่ที่มีนิสัยวิปริตเช่นนั้นถูกกระตุ้นเข้า จะทำอันตรายต่อเหยี่ยนเย่ว์ดังนั้น จึงมาที่หอฉยงฮวาก่อ
ท่ามกลางการนองเลือดพร่าเลือน เขาตกตะลึงและเผยสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”“ดูเหมือนข้าจะเดาถูก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เย้ยหยันเดิมทีนางไม่แน่ใจนัก และอยากหลอกลวงเขาคิดไม่ถึงว่าการหลอกลวงจะประสบผลสำเร็จในครั้งเดียวการกระทำโหดเหี้ยมเกิดขึ้นที่ก้นทะเลสาบ ช่างเข้ากับนิสัยวิปริตนี้จริง ๆ“เจ้ารู้ได