“พวกเจ้ามิต้องมาจับข้าแล้ว ข้าไม่หลบแล้ว ข้าไม่หนีแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่จวนตระกูลฉิน ทว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้า หาได้เกี่ยวข้องกับสาวน้อยขี้โมโหผู้นี้ไม่ พวกเจ้าปล่อยนางไปเถิด”“เหตุใดเจ้ามิรู้จักจำ” ไป๋โค้วต่อยเขาอีกครั้ง “ปากเจ้าพูดดี ๆ มิเป็นเลยงั้นรึ? ผู้ใดเป็นสาวน้อยกัน? ข้าคือมารดาของเจ้
มุมปากของไป๋โค้วพลันกระตุกขึ้นมาหลายครั้งนางมิคิดเลยว่า เด็กหนุ่มเกเรไร้อนาคตเช่นนี้จักเป็นน้องชายของพระชายาไปได้พระชายามีน้องชายเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าขายหน้ายิ่งนัก“เจ้าอธิบายกับมารดาดี ๆ เสีย” ไป๋โค้วจึงลงมือต่อยเขาอีกครั้ง “ติดหนี้ผู้อื่นทั้งยังถูกตามทวงหนี้เช่นนี้ ทั้งยังเอาแต่หลบ ๆ ซ
ชายผู้ร่ำรวยที่ตกใจกับท่าทีที่แข็งแกร่งของไป๋โค้วนั้น เมื่อได้ยินนางเอ่ยถามเช่นนี้ทำเอาเขาถึงกับตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะได้สติกลับมา พร้อมรีบร้อนเอ่ยถามว่า “ไม่ ไม่ท่ากันขอรับ น้อยสุดคือหนึ่งอิแปะ มากสุดคือร้อยตำลึงขอรับ โดยปกติแล้วมักจะลงกันที่หนึ่งตำลึงขอรับ”ไป๋โค้วค้นหาตามตัวอยู่ครู่หนึ่ง นับว่
เถ้าแก่บ่อนพนันถึงกับปาดเหงื่อเย็น ๆ ออกมา พลางรีบร้อนกล่าวออกมาว่า “พวกเจ้าเลิกตกตะลึงไปได้แล้ว รีบไปบอกให้คนที่เล่นกลโกงนั้นหยุดมือเสีย กลโกงพวกนั้นสำหรับนางแล้วหาได้มีประโยชน์อันใดไม่ รีบไปตระเตรียมเงินแสนตำลึงมาให้นางเสีย ให้นางได้ชนะ เล่นเป็นเพื่อนนางให้สนุกก็พอ”เหล่าอันธพาลต่างพากันมองหน้ากัน
“นี่ นี่เจ้าชนะทั้งหมดนี่เลยหรือ?” เขายังคงจมอยู่กับความตื่นเต้น“ถ้าไม่ใช่ข้า แล้วจะเป็นท่านหรือไร?” ไป๋โค้วยื่นตั๋วเงินหนึ่งแสนตำลึงให้กับชายผู้ร่ำรวยชายผู้ร่ำรวยยื่นสัญญาหนี้ให้ไป๋โค้วหลังจากที่นางฉีกสัญญาหนี้แล้ว จึงให้คนนำกระดาษว่างเปล่ามา และเขียนคำว่า “หนี้ชำระคืนแล้ว” ลงไปเขียนเหมือนกันสาม
ฉินจวิ้นเลี่ยรู้ว่านางกังวลว่าเขาจะฟ้องฉินเหยี่ยนเย่ว์ ขณะที่สูดลมหายใจเข้าก็พูดขึ้นว่า “วางใจเถิด พี่หญิงใหญ่จะไม่ถามหรอก และแม้ว่าจะถามข้าก็ไม่บอก”“ไม่อย่างนั้นเจ้าไปก่อนเถอะ ข้าจะรอจนอาการบวมบนหน้าหายก่อนค่อยเข้าไป” เขาพูดต่อ “พอเข้าจวนแล้วเจ้าก็แสร้งทำเป็นไม่รู้จักข้าด้วยล่ะ ถ้าท่านแม่ข้ารู้ว่า
พวกนางทั้งสองคนมองหน้ากัน สุดท้ายก็หัวเราะพรืดออกมา“ไป๋โค้วคนนี้แจ่มใสเสียจริง” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “โชคดีที่นางยังเป็นสาวเป็นแซ่อยู่ เสื้อผ้ายังหายได้”เฟ่ยชุ่ยหัวเราะตายิ้ม “ใครบอกว่ามิใช่กัน? ก็ไม่แปลกใจเลยที่ชื่อเจี้ยนไม่วางใจนาง”พูดจบ นางพูดอย่างเป็นกังวลอีก “ไป๋โค้วมีนิสัยต
เฟ่ยชุ่ยสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดนางตระหนักได้ว่าพฤติกรรมของตนเมื่อครู่ค่อนข้างจะอุกอาจไม่ว่าฉินจวิ้นเลี่ยจะเหลืออดแค่ไหน ไม่ว่าจะสมควรตายแค่ไหน ก็มิใช่คราวที่นางในฐานะสาวใช้ที่จะสอนบทเรียนให้เขาพระชายาจำได้ว่านางขุ่นเคืองใจกับการตายของอวิ๋นเซียง จึงยอมให้เฟ่ยชุ่ยทุบตีคนแต่นางไม่สามารถก้าวล่วงได้อีก
“ท่านต้องการทำอะไรกันแน่?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ยังคงเดินไปข้างหน้าสีหน้าของนางเย็นชา “ท่านเป็นคนวิปริต จัดการกับเด็กคนหนึ่งจะนับเป็นอะไรได้? ปล่อยเจ้าสิบไปเสีย หากมีอะไรก็มาหาข้า”ไป๋หลินยวนยกตงฟางอิงขึ้น และจ้องมองเขาอย่างถี่ถ้วนอย่างไรก็ตามตงฟางอิงยังเป็นเด็ก เมื่อถูกคนวิปริตจ้องมองเหมือนจะเขมือบกินเ
ไป๋หลินยวนมองฉินเหยี่ยนเย่ว์ที่ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูอันน่าเกรงขาม รอยยิ้มบนใบหน้าก็กว้างขึ้นใบหน้านั้นเดิมทีเป็นของปลอม และท่าทีที่เขายิ้มก็ดูแปลกเล็กน้อยตงฟางอิงแอบสังเกตเขาอย่างระมัดระวังอยู่ตลอด“พี่สะใภ้เจ็ด” มือเล็ก ๆ ของเขาดึงแขนเสื้อของฉินเหยี่ยนเย่ว์ “หมอหลวงผู้นี้แปลกมาก”“มิใช่ว่า
เขาเอียงหัว “พวกท่านรู้จักกันหรือ?”“พี่สะใภ้เจ็ด ท่านพบบุรุษคนใหม่ลับหลังพี่เจ็ดหรือ?”สายตาของพี่สะใภ้เจ็ด ไม่ค่อยดีนักบุรุษผู้นี้เยือกเย็น ดูแล้วน่ากลัวมากยังห่างไกลจากพี่เจ็ดมากแล้วก็สู้เขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ“อย่าพูดเหลวไหล” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เอ็ดใส่ “หรือว่าเจ้าไม่เห็นหมวกบนศีรษะของเขาหรือ?”“สาม
ตงฟางอิงลูบจมูก เจ็บจนน้ำตาไหล “ทำไมตรงนี้ถึงมีกำแพงด้วย?”เขาเงยหน้าขึ้น มองเห็นใบหน้าของชายแปลกหน้าผู้นั้นก็ตกตะลึงทันทีที่เผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม เขาได้ปกป้องฉินเหยี่ยนเย่ว์ให้อยู่ข้างหลังตน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านเป็นใคร? เข้าวังมาได้อย่างไร? ท่านคิดจะทำอะไร?”“โอ้ วีรบุรุษ
“เจ้ายอมให้ข้าหนาวตาย แต่จะไม่ยอมช่วยข้าใช่หรือไม่?” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พูดเสียงเบา“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่” ตงฟางอิงเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงดูเหมือนเขาจะรวบรวมความกล้าไว้ให้มาก และในที่สุดก็หันหลังกลับมาราวกับกำลังเร่งรีบที่จะเข้าสู่สนามรบ มีรัศมีของไม่ยี่หระต่อความตายใด ๆ ทั้งสิ้นอย่างมากทีเดียวเขาเดินมาถึง
ฉินเหยี่ยนเย่ว์มองการกระทำของตงฟางอิงผ่านฉากกั้นลม และรู้สึกตลกเล็กน้อยนางมีความคิดที่จะแกล้งเล่นอีก แสร้งทำเป็นว่าเท้าแพลง และยังส่งเสียงอุทานออกมาด้วย“แย่แล้ว เจ้าสิบ ข้าข้อเท้าแพลง เจ้ามาช่วยประคองข้าที”ตงฟางอิงหน้าแดงมากยิ่งขึ้น“ประคอง ประคองท่านน่ะหรือ? ข้า ข้าเป็นบุรุษนะ ท่านเป็นสตรี บุรุษ
ขันทีหลานหน้าซีดเผือด เขาทำความเคารพ หมอบต่ำอยู่บนพื้น “กราบทูลฝ่าบาท มิใช่ว่าบ่าวมาตรงเวลา ทว่าบังเอิญบ่าวมีเรื่องสำคัญต้องรายงานพ่ะย่ะค่ะ”น้ำเสียงของเขาสั่นไหวเล็กน้อย “ฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ชู่” ฮ่องเต้เหลือบมองพระสนมอวิ๋นที่ยังคงนอนหลับอยู่ “เบาเสียงลงหน่อย”ขันทีหลานผู้ซึ่งส
เมื่อฮ่องเต้นึกถึงฉินเหยี่ยนเย่ว์ผู้ชอบทำตัวกำเริบเสิบสานก็พิโรธมากวิธีการกระทำเรื่องต่าง ๆ ของนาง เสมือนเป็นนักพรตเต๋าเทียนหลิงอีกคนแม้กระทั่งบางเวลาจะทำตัวกำเริบเสิบสานยิ่งกว่านักพรตเต๋าเทียนหลิงไปอีกหลายส่วนด้วยซ้ำ“ไม่ไป นางรู้นานแล้วว่าข้าอยู่ที่นี่” ฮ่องเต้แค่นหัวเราะเสียงเย็น “จมูกของนางนั่
“ข้ากับเสด็จแม่มีนิสัยคล้ายกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับแตกต่างกัน”ความรู้สึกของพระสนมอวิ๋นที่มีต่อฮ่องเต้นั้นเป็นเรื่องจริงความรู้สึกของฮ่องเต้ที่มีต่อพระสนมอวิ๋นนั้น ย่อมเป็นเรื่องจริงเช่นกันอย่างไรก็ตามเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว เกรงว่าจะมิใช่เช่นนี้ในตอนนั้น หากได้รับการสนับสนุนอย่างแน่วแน่จากฮ่องเต