“เสี่ยวจิ่ว ข้าเอง” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ตบเขาเบา ๆ “จำข้าได้หรือไม่ คนที่พาเจ้ากลับมาเมื่อเช้า”ตงฟางจิ่วคุ้นเสียงของนาง ก็โผล่ออกมาจากในผ้าห่มช้า ๆ มองไปรอบ ๆ ด้วยความกริ่งเกรง กลัวว่าจะมีคนมาทุบตีทำร้ายเขา“เด็กดี” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ปลอบโยนเขา “ไม่ต้องกลัว ที่นี่ไม่มีคนไม่ดีหรอก”นางเข้าไปใกล้อย่างเชื่องช
ตงฟางหลีและตงฟางเจวี๋ยโน้มกายเข้ามาบนกระดาษแผ่นนั้น จุดที่วาดเครื่องหมายถูกคือมีลักษณะพิเศษที่คล้ายคลึงกันในหนึ่งบรรทัดจากเครื่องหมายถูกทั้งหมดนั้น พวกเขาสี่คนพี่น้องมีความคล้ายคลึงกันทุกประการ“หม่อมฉันรู้สึกว่านี่เหลวไหลไปบ้าง แต่ว่า...” ฉินเหยี่ยนเย่ว์คิ้วขมวด “ในบรรดาพวกท่านสี่คน มีเพียงข้อนี้
“เรือนโยวหลานของข้าเล็กยิ่งนัก อีกทั้งยังอากาศหนาวอีกด้วย พวกเจ้าพักผ่อนอยู่ที่นี่ให้ดีเถอะ” ฉินเหยี่ยนเย่ว์ลูบศีรษะพวกเขา “จริงด้วย เสี่ยวจิ่ว แม่นมเองก็พักผ่อนอยู่ในที่ที่อบอุ่นเช่นกัน เจ้าอย่าได้เป็นห่วงนางเลย”ตงฟางจิ่งหยักหน้า เปล่งเสียงอืออาออกจากลำคอ“เสี่ยวจิ่วบอกว่าเขาเคยไปเยี่ยมแม่นมแล้ว แ
ครั้งแรกของทั้งสองฝ่าย ไม่ควรจะอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เร่งรีบทั้งยังเหนื่อยล้าอ่อนแรงเช่นนี้“ไม่ได้ตกลงกันไว้แล้วว่าหนึ่งเดือนมิใช่หรือ?” นางพูดขึ้น “พวกเราเป็นสามีภรรยากันแล้วนะเพคะ ไม่รีบ”“ข้ามิได้รีบร้อน เพียงแค่...ขอโทษ” ตงฟางหลีผินใบหน้าของนางกลับมา แล้วเอ่ยขอโทษอย่างจริงจังฉินเหยี่ยนเย่ว์ชะง
ยามที่ตงฟางหลีก้มหน้าลงมานั้นพลันสบตาเข้ากับนางพอดีภายใต้แสงเทียนที่ส่องลงมากระทบใบหน้านาง คลื่นในแววตาของนางกลับส่องประกายแวววาว รอยยิ้มของนางอบอุ่นราวกับวสันตฤดูเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ตงฟางหลีรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก“ข้าอนุญาตแล้ว” ตางฟางหลีจับมือของนางเอาไว้ พลางเอ่ยเรียกให้ข้ารับใช้นำสำรับอาหารเข้
ยิ่งรอคอยนานเท่าใด ภายในใจของนางยิ่งฟุ้งซ่านมากขึ้นเท่านั้น ฉินเหยี่ยนเย่ว์มิอาจรั้งรอเช่นนี้ได้อีกต่อไป รีบร้อนไปหาตู้เหิงในทันทีพลางกล่าวว่า “ตู้เหิง พาข้าเข้าวังหลวงเร็ว”ตู้เหิงที่กำลังเล่นชกมวยกับเด็ก ๆ อยู่นั้นได้แต่ปาดเหงื่อออกมา “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ หากมิมีป้ายประจำและพระราชโองการ พวกเรามิอาจเข
ตงฟางอิงจึงรับผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดน้ำหูน้ำตาของตนเอง ก่อนจะพยักหน้าลงเล็กน้อย “ท่านมิต้องกังวล ข้าจักค่อย ๆ บอกเขาเอง”“ก่อนหน้านั้น ยามที่เสด็จแม่จากข้าไป ข้าคิดว่าตนเองเป็นบุคคลที่น่าสงสารที่สุดแล้ว หลังจากที่ได้มาเจอเสี่ยวจิ่วนั้น ข้าถึงได้รู้ว่า เขาน่าสงสารกว่าข้ามากนัก”“ข้าตัดสินใจแล้ว ด้วยตำแหน่
“เมื่อวานหลังจากที่บรรพบุรุษเฒ่ามิเห็นท่านมานั้น เขาก็ถูกข้าลากกลับไป ทั้งยังโมโหเสียจนมิเป็นอันกินอันนอน” ลู่ซิวกล่าว “รุ่งเช้าเขายังกล่าวอยู่เลยว่าท่านจักต้องมา มิทันไรท่านก็มาเยือนเสียแล้ว ข้าคิดว่าท่านอ๋องจักมิยอมปล่อยตัวท่านมาเสียอีก ดังนั้นจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย”“ท่านผู้เฒ่าแผนการแยบยลยิ่งนั
“ใต้เท้าหลี่วางใจได้” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พูดขึ้น “พวกเราเพียงเข้าไปตรวจสอบฮูหยินของหลิงอวิ๋นจวินเท่านั้น หาได้เกี่ยวข้องกับองค์ชายหกไม่ พวกเราไม่รู้ว่าองค์ชายหกจะมาอยู่ที่นี่ และองค์ชายหกคงไม่ออกมาพบพวกเราเช่นกัน มิใช่หรือ?”หลี่ชิงอวิ๋นชะงักงันไปชั่วขณะ “พระชายาอ๋องเจ็ดหมายความว่า...”ฉินเหยี่ยนเย่ว์หั
“เจ็บ” ตงฟางหลีเจ็บจนลมหายใจสะดุด สีหน้าซีดขาว“ยัยหนู เจ้าคิดจะลอบสังหารสามีหรือ?”“ก่อนหน้านี้ก็ชนกระดูกซี่โครงของข้าจนหัก ยังมาซวยซ้ำซวยซ้อนอีก เจ้าใจกล้ามากแล้ว”ฉินเหยี่ยนเย่ว์ถึงนึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้เพิ่งถูกนางวิ่งชนจนกระดูกซี่โครงหักไปถึงสามท่อนเคราะห์ยังดี ที่เป็นเพียงกระดูกหักธรรมดา มิได้ม
รูปลักษณ์นั้นอย่างมากที่สุดคือเกินระดับมาตรฐานดูย่ำแย่กว่าหรูอวิ๋นเหม่ยเหรินที่อยู่ข้างกายองค์ชายหกอยู่มากโขหากพูดว่ารักแท้คือการอยู่เคียงข้างกัน ไม่ว่าจะอายุเท่าไร รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ผู้ที่มีความรักท้ายที่สุดก็จะได้ครองคู่กัน นี่คือคำพูดสวยหรูหากแต่สตรีในยุคนี้ สถานภาพดีกว่าที่นางรู้มาเล็ก
สถานที่ที่สายตาของตงฟางหลีมองเห็นก็คือจวนของหลิงอวิ๋นจวินหน้าจวนมีรถม้าหนึ่งคันจอดอยู่อ๋องหกกระโดดลงจากรถม้า ก่อนจะเดินเข้าไปในลานจวนอย่างเปิดเผยและรู้ลู่ทางดี“อ๋องหกเป็นชายรูปงาม ว่ากันว่าสตรีนับไม่ถ้วนในเมืองเหวินจิงต่างหลงใหล มีสตรีข้างกายไม่ขาดสาย เขาสามารถรับมือได้อย่างชำนาญ นับเป็นเรื่องที่
“นางสิสมควรตาย ไม่ใช่ข้า พวกท่านจับคนผิดแล้ว”ฉินเสวี่ยเย่ว์ไม่สามารถส่งเสียงใด ๆ ออกมาได้อีกแล้ว ได้แต่ตะโกนอยู่ในใจเท่านั้นเลือดสาดกระจายเต็มพื้น ย้อมทั้งห้องกลายเป็นสีแดงฉานนางล้มจมกองโลหิต ยืดคอไปข้างหน้าอย่างสิ้นหวัง ก่อนเสียชีวิตยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กระทั่งตายนางก็ยังไม่เข้าใจ เ
ปวดหัว!ปวดหัวหนักมาก!ปวดหัวจนจะตายอยู่แล้ว!ความเจ็บปวดที่น่าหวาดกลัวและไม่อาจควบคุมได้มาเยือนกะทันหันเช่นเดียวกับทหารเรือนพันม้าเรือนหมื่น พุ่งพรวดเข้ามาอย่างรวดเร็วและดุเดือดมากจนไม่ทันได้โต้ตอบเลย“อ๊าก ทำไมกัน? หัวข้าปวดหัวเหลือเกิน”“เหตุใดถึงเป็นข้า?”“อ๊าก ปวด ปวดมากเลย”“ท่านน้า ช่วยข้าด้
“เสวี่ยเอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องกังวลอีก เพราะเกรงว่าเจ้าอาจจะไม่มีวันได้พบกับฉินเหยี่ยนเย่ว์อีกแล้วล่ะ” หมิ่นจูกล่าว “ข้าไม่สบาย เจ้ากินอาหารให้อิ่มท้องเถอะ”ฉินเสวี่ยเย่ว์ไม่วางใจนางทุบประตูอย่างแรง “ท่านน้า ท่านน้า ท่านทำอีกครั้งเถอะ ถ้าฉินเหยี่ยนเย่ว์ไม่ตายอีกเจ็ดแปดครั้งข้าก็ไม่พอใจหรอกนะ”หมิ่นจูหล
หลังจากที่หมิ่นจูดื่มชาครบสามแก้วรวด ก็หยิบเหรียญทองแดงสามเหรียญออกมาจากด้านในแขนเสื้อนางเห็นสัญลักษณ์การทำนายจากเหรียญ ดวงตาหรี่ลงเดินเตร่ร่ำไห้เป็นสายโลหิต ทรายเหลืองเต็มนภา และพลังชีวิตทั้งหมดก็กลายเป็นฝุ่นในชั้นดินลึก——เป็นคำทำนายที่ไม่ดีอย่างยิ่งยวดหมิ่นจูจ้องมองสัญลักษณ์นี้อยู่นานแม้ว่าเป
“ข้าอยากให้นางตาย”“อ๊าก ฉินเหยี่ยนเย่ว์ไปตายซะ”ดวงตาทั้งสองข้างของนางเป็นสีแดงโลหิต ใบหน้าดุร้าย มองบุคลิกที่มีเสน่ห์ในอดีตไม่ออกเลยสักนิดหมิ่นจูจ้องมองฉินเสวี่ยเย่ว์ที่โฉมหน้าเปลี่ยนไป พลางส่ายหัวเล็กน้อยฉินเสวี่ยเย่ว์ผู้นี้ ราวกับถูกแกะสลักจากแม่พิมพ์เดียวกันกับหมิ่นอวี้ไร้วิสัยทัศน์เช่นเดียว