ราวกับกระแสอุ่นไหลเข้าสู่ก้นบึ้งหัวใจ อารมณ์หงุดหงิดและกระวนกระวายใจก็สงบลงท่ามกลางแสงนั้น นางมองเห็นโรงพยาบาลอีกครั้งทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นเดิม คราวนี้ประตูห้องจ่ายยาเปิดออกฉินเหยี่ยนเย่ว์เดินเข้าใกล้ประตูบานนั้นอย่างระมัดระวัง และยื่นมือออกไปหยั่งเชิงมันสามารถยื่นมือเข้าไปได้ พอเข้าใกล้ก็ไม่ถู
ลู่ซิวมองรอยยิ้มของฉินเหยี่ยนเย่ว์แล้วชะงักงันรอยยิ้มนี้เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาอย่างชัดแจ้ง ทว่ากลับวาวแววไร้สิ่งใดเปรียบบริสุทธิ์ สะอาด และอ่อนโยนมาก“เจ้ามาเย็บแผล” ฉินเหยี่ยนเย่ว์พูดขึ้น “ข้าห้ามเลือดของไป๋โค้วไว้แล้ว ขั้นต่อไปต้องทำความสะอาดแผล เป็นขั้นตอนเดียวกันกับการเย็บแผลให้ตงฟางหลีครั้งที่แล
“ท่านอ๋อง ข้อมือของท่านยังไม่หายดีเลย อุ้มไม่ไหวหรอกพ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมทำเองดีกว่า” ตู้เหิงเดินเข้ามาตงฟางหลีก้มหน้าลงมองมือตน ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ ทว่าทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นดำมืด เขาเมินตู้เหิง ใช้มือเดียวคว้าฉินเหยี่ยนเย่ว์เข้ามา วางลงบนไหล่และเร่งฝีเท้าออกไปอย่างรวดเร็วตู้เหิงที่อยู่ข้าง
ตำหนักหมิงอวี้เมื่อฉินเหยี่ยนเย่ว์ตื่นขึ้นมา ฟ้าก็มืดแล้วเสียงกระดิ่งลมดังกังวานอยู่ข้างหูนางค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมองดูม่านเตียงที่พลิ้วไหวไม่หยุด เงยหน้าขึ้นช้า ๆชายคนหนึ่งที่ดูราวกับเป็นเทพเซียนตกสวรรค์ชั้นฟ้ากำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เขาสูงเพรียว นิ้วเรียวยาวแตะกระดิ่งลมสีหยกที่หน้าต่างเบา ๆ
เช่นเดียวกับหลายครั้งก่อนหน้านั้น ที่ทำร้ายนางเพื่อนางแพศยาซูเตี่ยนฉิง?“ตงฟางหลี ท่านก็เป็นเหมือนมู่เหยี่ยที่มีถุงฟางอยู่ในหัวหรือ? มือขวาของท่านยังไม่หายดี ก็แทบจะรอไม่ไหวที่จะเสียมือซ้ายแล้ว?” เสียงของฉินเหยี่ยนเย่ว์เต็มไปด้วยความอารมณ์คุกรุ่น “หม่อมฉันเตือนท่านแล้ว หากท่านบีบคอหม่อมฉันอีกครั้ง ห
ตงฟางหลีมองไปที่ฉินเหยี่ยนเย่ว์ ซึ่งจู่ ๆ ก็โกรธขึ้นมา เขาตะลึงงันเล็กน้อยชั่วขณะหนึ่งที่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดีครั้นฉินเหยี่ยนเย่ว์เห็นว่าเขาเงียบไม่พูดจา ไม่แสดงท่าที ยิ่งตนพูดมากขึ้นอารมณ์ก็ยิ่งขึ้น“ถ้าอยากทุบตีหม่อมฉันก็ทุบตีได้เลย อยากฆ่าหม่อมฉันก็ฆ่าเสีย”“ท่านทุบตีหม่อมฉันหนึ่งที หม่อ
หลังจากนั่งไปได้สักครู่หนึ่งถึงพบว่าประตูและหน้าต่างเปิดอยู่ ในห้องหนาวจัดนางรีบคลุมร่างด้วยผ้าห่มทั้งยังสับสนมึนงงตงฟางหลีหมายความว่าอย่างไรกันแน่?ปกติจะทะเลาะกับนางใหญ่โต ลิ้นพิษล้ำเลิศกว่านางมากวันนี้ปล่อยให้นางด่ากราดอยู่นาน แม้แต่คำเดียวก็ไม่ตอบกลับหลังจากที่นางพูดเรื่องหย่าขาด เขาก็เปิดปร
เมื่อเห็นว่าฉินเหยี่ยนเย่ว์ไม่อยากพูด ลู่ซิวจึงค้อมตัวลงเคารพ “ขอพระนางให้คำแนะนำด้วยเถิด”ฉินเหยี่ยนเย่ว์ยกมือกุมหน้าอกหินก้อนมหึมาที่ปิดกั้นหัวใจของนางไม่สามารถเอาออกได้ กดทับจนทำให้นางหายใจไม่ออก “ขออภัย เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน”“คราวหน้าก็มิทันแล้ว” ลู่ซิวไม่ยอมแพ้ แสร้งทำเป็นถ่อมตัวและเต็มใจที่จ
ความเป็นไปได้มากที่สุด คือพี่ใหญ่ใช้ประโยชน์จากทาสเป่ยลู่คนนั้น ทำเรื่องที่มิอาจเปิดเผยได้เหล่านั้นอยู่ที่นี่หากเป็นเหตุผลเช่นนี้ เบาะแสทุกอย่างล้วนราบรื่นแล้วตงฟางหลีเดินอ้อมห้องอีกหนึ่งรอบใช้มือสัมผัสและเคาะสิ่งของที่น่าสงสัยทั้งหมดเบา ๆ ไปหนึ่งรอบน่าเสียดาย ที่หาร่องรอยของห้องลับไม่เจอ“จางฉู
ตงฟางหลีพยุงตัวกับราวบันได ใบหน้าหล่อเหลานั้นซีดเผือดหากเป็นน้ำพุจริง ๆ ไม่เพียงแต่รสนิยมเลวร้าย มิหนำซ้ำยังส่งกลิ่นเหม็นจนทำให้คนเดือดดาลจางฉู่ส่ายหน้า “มิทราบได้พ่ะย่ะค่ะ แทนที่จะบอกว่าเป็นน้ำพุ มิสู้บอกว่า พวกมันดูเหมือนเสาค้ำยันศาลามากกว่า ที่แห่งนี้เป็นที่ที่เฉียนอ๋องสร้างขึ้นกับมือเพื่ออนุภร
ในแววตาเขาไร้คลื่นลม และน้ำเสียงก็ราบเรียบมากเช่นกันเฟยอิ่งลอบขมวดคิ้วแน่นเขารู้จักจางฉู่มาแต่ไหนแต่ไร จางฉู่มีนิสัยเย็นชา กระทำการสุขุมหนักแน่น ไตร่ตรองพิจารณารอบด้าน มิใช่คนที่มุทะลุบุ่มบ่ามพรรค์นั้นหากแต่พฤตกรรมครานี้ ผิดแปลกไปอย่างแท้จริงแปลกไปจนมิคล้ายกับเป็นจางฉู่ตัวจริงเฟยอิ่งยิ่งคิดก็ยิ
ตงฟางหลีเดิมทีก็มีโรครักความสะอาดอยู่แล้ว ทนรับกลิ่นแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้ที่สุดยามที่กลิ่นเหม็นเน่าสายนั้นถาโถมเข้ามา เขาถึงกับอดถอยหลังไปหลายก้าวไม่ได้ ภายในกระเพาะประหนึ่งพลิกแม่น้ำล้มมหาสมุทรก็มิปานเขารีบล้วงหาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก สะกดความรู้สึกขยะแขยงลงไปเฟยอิ่งเองก็ถูกความรู้สึกน่ารัง
“เหตุผลที่คุณหนูเซียวหย่ากับพี่ใหญ่ เป็นเพราะว่าพี่ใหญ่สังหารลูกของพวกเขาเองกับมือ” ตงฟางหลีพูดต่อไป “ที่นางมิสามารถตั้งครรภ์มาโดยตลอด ก็เป็นการขัดขวางของพี่ใหญ่เช่นกัน”“พี่ใหญ่คิดว่าการตายของทาสเป่ยลู่เกี่ยวข้องกับคุณหนูเซียว จึงเอาโทสะมาระบายใส่คุณหนูเซียว คุณหนูเซียวที่ลุ่มหลงในความรักอย่างลึกซึ
บนใบหน้าเย็นชาและแน่วแน่นั้น เผยให้เห็นถึงสีหน้าไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่งร่างกายสูงใหญ่ของเขาถอยหลังไปอย่างไร้ร่องรอย น้ำเสียงนั้นทั้งลำบากใจทั้งเจ็บปวด “หวั่นเอ๋อร์...ไม่สิ พระชายาเฉียนจากไปแล้ว และคงไม่มีวันกลับมาอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“เรือนบุปผาหาได้มีผู้ใดอยู่ไม่ เชิญท่านอ๋องเจ็ดกลับไปเถิด”ยามที่จางฉู
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าใด เวลาที่เหยี่ยนเย่ว์จะได้รับความทรมานก็จะยิ่งนานมากขึ้นเท่านั้นยามที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา หน้าผากตงฟางหลีถึงกับเต้นตุบ ๆ โดยไม่รู้ตัวไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกไปเองหรือไม่เขามักจะรู้สึกว่า แม้ว่ายัยหนูของเขาจะพลั้งเผลอถูกคนลักพาตัวไปทว่า มิใช่สตรีที่จะปล่อยให้ผู้อื่นเข่นฆ่าได้
ขณะเดียวกันภายในหอฉยงฮวาใบหน้าตงฟางหลีดำทะมึนนิ้วของเขาเคาะที่โต๊ะเบา ๆหลังจากคาดเดาได้ว่าเหยี่ยนเย่ว์อาจถูกเฉียนอ๋องลักพาตัวไปเขากลัวว่าหากเข้าไปหาตรง ๆ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นกลัวว่าหลังจากพี่ใหญ่ที่มีนิสัยวิปริตเช่นนั้นถูกกระตุ้นเข้า จะทำอันตรายต่อเหยี่ยนเย่ว์ดังนั้น จึงมาที่หอฉยงฮวาก่อ
ท่ามกลางการนองเลือดพร่าเลือน เขาตกตะลึงและเผยสีหน้าเหลือเชื่อ “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร?”“ดูเหมือนข้าจะเดาถูก” ฉินเหยี่ยนเย่ว์เย้ยหยันเดิมทีนางไม่แน่ใจนัก และอยากหลอกลวงเขาคิดไม่ถึงว่าการหลอกลวงจะประสบผลสำเร็จในครั้งเดียวการกระทำโหดเหี้ยมเกิดขึ้นที่ก้นทะเลสาบ ช่างเข้ากับนิสัยวิปริตนี้จริง ๆ“เจ้ารู้ได