นอกห้องโถง อวิ๋นอิงกลับมาแล้วนางเหมือนปกติ สวมเสื้อผ้าที่สะอาดเรียบร้อย สะบัดผมสั้นๆ ที่หล่อเหลา ก้าวเท้าเข้ามาอย่างเบาและไว เมื่อเห็นหลิงเชียนอี้ก็อยู่ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย“ท่านโหวน้อย ท่านบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่พักฟื้นที่บ้านดีๆ?”หลิงเชียนอี้ “?”เหตุใดจึงรู้สึกว่าอวิ๋นอิงในตอนนี้ แต่ต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง?เขาไม่สนใจการทำแผล รีบลุกขึ้น วิ่งเข้าไปหานางทันที“อวิ๋นอิง ก่อนหน้านี้ที่เจ้าบอกว่าไม่ตามข้ากลับบ้าน ไม่แต่งงานกับข้า ล้วนโกหกข้าใช่หรือไม่!”อวิ๋นอิงขมวดคิ้ว ถอยหลังหนึ่งก้าว“ท่านโหวน้อย ข้าบอกกับท่านชัดเจนแล้ว เมื่อก่อนท่านดีกับข้ามาก ข้าคิดว่านั้นเป็นความรัก จึงพูดคำสัญญาเช่นนั้นออกไปง่ายๆ”“ตอนนี้ข้าถึงจะเข้าใจ ไม่ใช่ว่าดีกับคนคนหนึ่ง ก็ต้องแต่งงานกับเขา ข้าไม่ได้ชอบท่าน จึงพูดกับท่านให้ชัดเจน พวกเราไม่เหมาะสม”ตอนที่พูดคำพูดนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตะลึงงันครึ่งปีมานี้ ท่านโหวน้อยมาจวนอ๋องทุกวัน ความสัมพันธ์ของเขากับอวิ๋นอิง ล้วนอยู่ในสายตาของทุกคนนางชอบเขาจริงๆเหตุใดจู่ๆ ก็เปลี่ยนใจ?ฉู่เชียนหลีรู้สึกถึงความผิดปกติก่อนหน
เข้ากล้าสาบาน ทุกประโยคที่เขาพูดเป็นความจริง!เขาชอบนาง อย่างจริงแท้แน่นอนอวิ๋นอิงรู้สึกปวดปลายจมูก ใกล้จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว จำเป็นต้องกำมือทั้งสองข้างแน่น พยายามอดกลั้นเอาไว้อย่างสุดชีวิต ใช้กำลังทั้งหมดจนทำให้จิตวิญญาณสั่นสะท้าน พยายามอดกลั้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถชักมือกลับ ถอยหลังไปสองก้าว เพื่อรักษาระยะห่าง กล่าว“ท่านชอบข้า นั่นเป็นเรื่องของท่าน ข้าไม่ชอบท่าน หรือว่าท่านจะบีบบังคับข้า?”หลิงเชียนอี้ตกตะลึงบังคับเขาไม่เคยคิดมาก่อน แล้วก็ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้“ความหมายของเจ้าคือ ความชอบของข้าที่มีต่อเจ้า ทำให้เจ้ารู้สึกเป็นภาระ?” เขาถามด้วยความเหลือเชื่อ ดวงตาที่ลืมขึ้นเล็กน้อย มีอาการแดงจาง ๆ อวิ๋นอิงเห็นแล้ว หัวใจเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีดคนที่ทำใจทำร้ายไม่ได้ที่สุดในชีวิตนี้ นอกจากพระชายาแล้ว ก็คือท่านโหวน้อยนางจะกล้านำตนเองที่มีมลทิน ไปแต่งงานกับเขาได้อย่างไร?นางพยายามอดกลั้นน้ำตาที่จะพรั่งพรูออกมา กัดฟันกล่าว“ใช่!”“ความชอบของท่านหนักหนาเกินไป ข้ารับไว้ไม่ไหว ท่านเอาแต่บีบบังคับข้า ทำให้ข้ารู้สึกกดดันและอึดอัด ข้าไม่ชอบที่คนอื่นบีบบังคับข้า”“เจ
ด้านนอก หลิงเชียนอี้กำลังลากอวิ๋นอิง สาวเท้ายาวเดินออกไปด้านนอกฝีเท้าของเขายาวเกินไป อวิ๋นอิงทำได้เพียงตามไปอย่างโซเซ มีหลายครั้งที่เกือบจะเซล้ม เกือบจะจามเขาไม่ทัน จึงวิ่งเหยาะ ๆ ไปตลอดทาง“ท่านจะพาข้าไปที่ไหน?นางพยายามสะบัดมือ “ปล่อยข้า!”หลิงเชียนอี้จับนางเอาไว้ ฝ่ามือกำแน่นมาก ทั้งเย็นทั้งแน่น เหมือนกับเหล็กเส้นที่พันเอาไว้แน่นเส้นหนึ่ง ไม่ว่าอวิ๋นอิงจะพยายามดิ้นรนอย่างไร ก็ดิ้นไม่หลุด“ท่านโหวน้อย ข้าพูดชัดเจนมากแล้ว ท่านปล่อยข้า!”“ปล่อย!”นางทั้งพยายามขัดขืน ทั้งตบตี แต่ก็ไม่เป็นผลหนุ่มน้อยจับนางเอาไว้แน่น สีหน้าที่หมองหม่น สาวเท้ายาวเดินออกไปทางด้านนอกเมื่อออกจากจวนอ๋องเฉิน ก็อุ้มนางขึ้นไปนั่งบนหลังม้า“ไป!”ม้าวิ่งราววิ่งห้อตะบึง ราวกับลูกธนูที่ออกจากคันธนูบนหลังม้าที่โยกอย่างรุนแรง บาดแผลที่แผ่นหลังของหนุ่มน้อยฉีกขาด สีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ แต่กลับเม้มริมฝีปากแน่น ราวกับว่าไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด จับแขนทั้งสองข้างของอวิ๋นอิงที่พยายามขัดขืน มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ไม่รู้จักใจกลางเมืองหลวงเขาเข้าไปที่ร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปร้านหนึ่งเมื่อเด็กในร้านเห็นเขา ก็ร
ตอนกลางคืน อวิ๋นอิงกลับมาแล้ว ฉู่เชียนหลีเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาคอยนางเมื่อเห็นนางกลับมา จึงลุกขึ้นสีหน้าของอวิ๋นอิงกลับไม่ค่อยดีเท่าไร “พระชายา ข้า...”“เจ้าไม่ต้องพูดอะไรกับข้า” ฉู่เชียนหลีตัดบทนาง “ข้าเพียงแค่อยากจะบอกเจ้าสองข้อ ข้อแรก การตายของจางเฟยไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง”“ข้อสอง เจ้ากับท่านโหวน้อยชอบพอกันและกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่? ถึงได้ทำให้เจ้าพูดจาแบบนั้นออกไป?”“ถ้าหากเจ้าไม่อยากบอกกับข้า ก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าจงจำเอาไว้ว่า ข้ายืนอยู่ข้างเจ้าเสมอ จะช่วยเหลือเจ้าตลอดไป เข้าสามารถเชื่อใจข้าได้โดยไม่ต้องมีความเคลือบแคลงใจใด ๆ ขอเพียงเจ้าต้องการ ข้าจะช่วยเหลือเจ้าอย่างสุดความสามารถแน่นอน”ที่ตรงนี้ ฉู่เชียนหลีพูดจาอย่างกระจ่างแจ้งเบ้าตาของอวิ๋นอิงแดงก่ำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้“พระชายา...”เสียงสะอึกสะอื้นความซาบซึ้งพลุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจ ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้นางรู้ดีว่าพระชายาดีกับนางมาก ปฏิบัติเหมือนกับเป็นน้องสาวแท้ ๆ แต่ถ้าหากพระชายารู้เข้าว่าการตายของจางเฟยเกี่ยวข้องกับนาง ยังจะเข้าข้างนางอยู่หรือไม่?นางกล้าพูดไหม?นางไม
วันรุ่งขึ้น ตอนที่จิ่งอี้มาถึง อวิ๋นอิงกำลังนั่งอยู่บนขั้นบันได หลุบตาลง ท่าทางหดหู่เศร้าซึม กำลังคิดอะไรบางอย่างเหม่อลอยเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ก็เงยหน้าขึ้นหันไปมองภายในชั่วพริบตา ก็ได้สติกลับมา กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที ดวงตาเปล่งประกายไปด้วยความอยากหลบหนี ลุกขึ้นยืนกำลังจะหนีเงาดำสั่นไหว ก็มาถึงตรงหน้านางทันที ขวางทางไปของนางเอาไว้อยากจะหนี แต่กลับถูกจับเอาไว้“เห็นข้า ก็ร้อนตัวหรือ?” รอยยิ้มเย็นชาของชายหนุ่มที่ไม่มีความจริงใจ บรรยากาศบนตัวยิ่งหนาวอวิ๋นอิงตัวแข็งทื่อ “ไม่ใช่ฝีมือข้า...”“ในเมื่อไม่ใช่เจ้า เหตุใดจึงไม่กล้าบอกพระชายา?” เขาย้อนถามเสียงเย็นชา “เป็นเพราะกลัวว่าหลังจากที่พระชายารู้ความจริง จะขับไล่เจ้าออกไปจากจวนอ๋องเฉินงั้นหรือ?”“ข้า...”นางหายใจติดขัดทันทีนางไม่กล้าพูด เป็นเพราะทันทีที่พูดออกไป เรื่องที่ตนเสียตัวไปก็จะถูกเปิดเผยแล้ว นางไม่อยากทิ้งความทรงจำที่ไม่ดีเอาไว้ให้ท่านโหวน้อยอวิ๋นอิงกำมือทั้งสองข้างแน่น เม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง ไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียวไม่ว่านางจะอธิบายอย่างไร เขาก็ไม่มีทางเชื่อ“เป็นใบ้หรือไง?”“ข้า...”ชายหนุ่ม
ภายในเวลาชั่วพริบตา หลังจากผ่านไปสองวัน ก็ถึงวันเชงเม้งวันนี้ อากาศอึมครึม ฝนตกปรอย ๆ เวลาหลายร้อยหลายพันปี ประเพณีดั้งเดิมได้รับการสืบทอดมา ช่วงเทศกาลเชงเม้งฝนตกโปรยปราย เซ่นไหว้บรรพบุรุษ รำลึกถึงคนที่จากไป ชาวบ้านทุกครัวเรือนต่างพากันเผากระดาษเงิน เตรียมของเซ่นไหว้ เพื่อรำลึกถึงญาติที่จากไปการเซ่นไหว้ของราชวงศ์อยู่ที่สุสานหลวงเทศกาลเชงเม้งปีนี้ เนื่องจากตำแหน่งรัชทายาทยังว่าง จึงมีอ๋องหลีเป็นผู้จัดเตรียมทหารกองเกียรติยศ ขั้นตอน การจัดเตรียมองครักษ์รักษาความปลอดภัย ถึงขนาดความน่าเกรงขามของราชวงศ์ จนกระทั่งคนทำความเครื่องเซ่นไหว้ ของทุกชิ้นอ๋องหลีล้วนเป็นคนจัดเตรียมด้วยตนเองฉู่เชียนหลีสวมชุดเรียบง่าย บนเสื้อผ้าปักด้วยรูปใบไผ่อันเรียบง่าย ถ้าหากไม่ดูอย่างละเอียด ก็ยากที่จะมองออก ในความงดงามและสุภาพยังแฝงไปด้วยบุคลิกอันงดงามโดยสารรถม้า จนกระทั่งมาถึงสุสานหลวงตอนที่มาถึง ขุนนางฝ่ายบุ๋นบู๊ต่างก็มาถึงแล้ว ฝ่าบาทก็มาถึงแล้วเช่นกัน พิธีเซ่นไหว้กำลังจะเริ่มขึ้นบริเวณห่างออกไปไม่ไกล ขุนนางสิบกว่าคนกำลังห้อมล้อมอ๋องหลี ประสบสอพลอไม่หยุด“ท่านอ๋องหลีได้จัดเตรียมพิธีเซ่นไหว้เป็น
พิธีเซ่นไหว้ของราชวงศ์ได้มีการจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ พิธีการก็ยาวนานถึงสามชั่วยามกว่า ผู้เข้าร่วมนอกจากสมาชิกทั้งหมดของราชวงศ์แล้ว ยังมีเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายด้วยในตอนต้น ทุกคนเข้าพิธีจากนั้นราชครูขึ้นไปประกอบพิธีกรรมบนแท่นบูชา เซ่นไหว้บรรพชน ภาวนาขอพรให้แคว้นตงหลิง โดยมีหลวงจีนและแม่ชีสองร้อยกว่ารูปนั่งขัดสมาธิรอบแท่นบูชา ท่องพระคัมภีร์ที่เก่าแก่และซับซ้อนผู้คนคุกเข่าและก้มหน้าไว้อาลัยอยู่บนพื้นเนื่องจากฉู่เชียนหลีตั้งครรภ์ คุกเข่าไม่สะดวก ทำได้เพียงยกเก้าอี้มานั่ง และก้มหน้าไว้อาลัยให้บรรพชนเช่นกันท้องฟ้ามืดครึ้ม สายฝนโปรยปราย บรรยากาศในพิธีเงียบสงบและยิ่งใหญ่สิ้นสุดการไว้อาลัย ก็เข้าสู่พิธีการต่อไปพิธีการดำเนินไปอย่างมีระเบียบมาถึงคราวที่ต้องถวายธูปเทียนแล้ว ทุกคนเข้าแถวเดินไปที่ตรงหน้าเครื่องสักการะบนแท่นบูชาทีละคน โดยมีฮ่องเต้เป็นผู้นำ จากนั้นก็อ๋องหลี แล้วตามมาด้วยอ๋องท่านอื่นๆหลังจากอ๋องเฟิง อ๋องเจวี๋ย อ๋องติ้ง อ๋องอันเสร็จแล้ว ก็ถึงคราวของสามีภรรยาอ๋องเฉินทั้งสองเดินเคียงไหล่ขึ้นบนแท่นบูชา นางกำนัลคนหนึ่งถือถาด เดินเข้ามาอย่างนอบน้อม จากนั้นผ้าขาวที่อยู่บน
ก่อนหน้านี้ เคยเกิดกรณีที่อ๋องเฟิงกลั่นแกล้งอ๋องเฉินสองครั้ง ด้วยเหตุนี้ฉู่เชียนหลีจึงระวังตัว สังเกตอ๋องเฟิงเป็นพิเศษ“ฝ่าบาท โอกาสที่สำคัญเช่นนี้ อ๋องเฉินกลับถือเทียนแดง ตกลงมาไว้อาลัยหรือมาฉลองกันแน่? เขาไม่เคารพบรรพชน ไม่เคารพเทพเทวดา ขาดคุณสมบัติของการเป็นองค์ชาย!”ขุนนางใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวโทษด้วยความโกรธอีกคนกล่าวต่อ “แม้เขาเป็นองค์ชายที่มีความสามารถ แต่ต่อให้มีพรสวรรค์เหนือคน ก็ไม่สมควรดูหมิ่นผู้ตาย นี่เป็นปัญหาด้านการอบรมสั่งสอน”ให้คนเช่นนี้มาเป็นฮ่องเต้ในวันข้างหน้า ไม่แน่ว่าจะก่อเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะสีหน้าฮ่องเต้น่าเกลียดมากถ้าหากเป็นเรื่องทั่วไป เขาสามารถแสร้งไม่รู้ไม่เห็น แต่เรื่องสำคัญอย่างเชงเม้งเซ่นไหว้บรรพชน เทพเซียนตลอดหลายร้อยปีของแคว้นตงหลิงมารวมตัวกันที่นี่ เจ้าให้เขาปล่อยไปเรื่องนี้ไปได้อย่างไร?“เฟิงเย่เสวียน เจ้าบังอาจมาก!”“เสด็จพ่อใจเย็นๆ ก่อน” ฉู่เชียนหลีเดินออกมาหนึ่งก้าว พร้อมกับถือเทียนแดงเล่มนั้นไว้ และแบฝ่ามือของเฟิงเย่เสวียนออก “ผิวของเทียนเล่มนี้ถูกคนทาเถ้าขาวหนึ่งชั้น ดูแล้วเหมือนเทียนขาวปกติ แต่ทันทีที่หยิบขึ้นมา เถ้าขาวก็จะร