นางบิดร่างกาย พยายามถีบขาบิดตัว พยายามดิ้นรนอย่างเต็มที่ ขัดขืนการเข้าใกล้ของชายหนุ่มเป็นอย่างหนักชายหนุ่มใช้กำลังกดนางเอาไว้ น้ำหนักของร่างกายราวกับภูเขาลูกใหญ่ ลมหายใจที่รุนแรง พันธนาการอย่างเผด็จการ ยิ่งไม่ให้ขัดขืนนางจำต้องยอมรับ สิ่งที่เขาพยายามยัดเยียดให้!“ข้าไม่ต้องการ!”“ปล่อยข้า!”“อ๊า!”ฉู่เชียนหลีกรีดร้อง จ้องเขม็งอย่างโกรธแค้น พยายามดิ้นรน มีชีวิตมาสองชาติยังไม่เคยเจอกับเรื่องประเภทนี้ ชายหนุ่มใช้ความได้เปรียบทางพละกำลังที่มีมาแต่กำเนิดกดนางเอาไว้อย่างแน่นหนาด้วยมือเท้าทั้งสองข้างขยับเขยื้อนไม่ได้ นางก็เหมือนกับปลาที่ถูกตรึงอยู่บนเขียง ได้เพียงยอมให้ฆ่าแกงเสื้อผ้าไหลลงจากหัวไหล่มาที่แขนหัวไหล่และหน้าอกรู้สึกหนาว...ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนอย่างไรก็ไม่ขยับ ภายใต้ความตื่นตระหนก เงยหน้ากระแทกเข้ากับบ่าของชายหนุ่ม อ้าปากแล้วออกแรงกัดทีหนึ่ง“อือ!”ชายหนุ่มเจ็บปวด การกระทำชะงักไปเล็กน้อยการกัดครั้งนี้ ไม่ออมแรงแม้แต่น้อย ได้ลิ้มรสกลิ่นคาวเลือดโดยตรงชายหนุ่มกวาดสายตาที่เย็นยะเยือกไปยังศีรษะเล็กที่อยู่บริเวณหัวไหล่ ปลายนิ้วที่เย็นเยือกบีบคางของหญิงสาวเอาไว้ ออกแร
ด้านนอกเรือนหานเฟิงฉู่เชียนหลีคว้าเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิง วิ่งที่ด้านหลังภูเขาปลอมด้วยท่าทางตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก วิ่งเข้าไปหลบในสถานที่ลับตาคนถึงจะกล้าหยุดวิ่งกระหืดกระหอบ ฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นเยือกเป็นน้ำตา...นางลูบใบหน้าที่เปียกชื้นอย่างตกใจกลัว นางไม่กลัวฟ้า ไม่กลัวดิน ฝีมืออยู่กับตัว กล้าหือกับทุกคน แต่กลับถูกเฟิงเย่เสวียนทำให้ตกใจจนร้องไห้ออกมา?ไม่เอาไหนจริง ๆ !เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อครู่นี้ สีหน้าของนางก็หม่นหมองลงอึมครึมเป็นอย่างยิ่งเป็นเซียวจือฮว่าบอกนาง ว่ามีคนมาหานางเฟิงเย่เสวียนก็รู้เรื่องที่นางไปพบกับหานมู่ซีเดาออกได้ไม่ยาก เรื่องนี้จะต้องเป็นฝีมือของเซียวจือฮว่าเซียวจือฮว่า!ฉู่เชียนหลีจัดเสื้อผ้า นำผมที่ยุ่งเหยิงทัดข้างหูเรียบร้อย ปรับลมหายใจเรียบร้อย รอจนกระทั่งตอนที่มองความผิดปกติใดๆไม่ออก ถึงได้เดินออกมาจากด้านหลังภูเขาปลอม เดินมุ่งหน้าไปยังเรือนหมิงเยว่ด้วยสายตาที่มืดครึ้มระหว่างทาง มีคนจำนวนไม่น้อยจ้องมองนางเดิมทีอยากจะทำความเคารพ แต่เมื่อเห็นท่าทางที่เคร่งขรึมบึ้งตึงนั้นของพระชายาก็ตกใจจนก้มหน้างุด ไม่กล้าพูดมากจ
เซียว เป็นแซ่ของเซียวกุ้ยเฟยมารดาของอ๋องเฉินนางเป็นหลานสาวของเซียวกุ้ยเฟย!ฉู่เชียนหลีถูกเซียวจือฮว่าผลักอย่างรุนแรง ถอยหลังไปสามสี่ก้าว ความโกรธครอบงำจิตใจ จึงเข้าไปชนผลักนางคืน“อ๊า!”เซียวจือฮว่าถอยหลังไปเจ็ดแปดก้าวอย่างไม่ทันตั้งตัว กระแทกเข้ากับมุมโต๊ะ ศีรษะกระแทกลงบนพื้น หน้าผากแตกเลือดไหลอาบ“นายหญิง!”เป่าอวี้ตกใจจนส่งเสียงกรีดร้องออกมา “เลือด...อ๊า! เลือดไหล...!”ฉู่เชียนหลีแสยะมุมปากอย่างเย็นชา เหลือบตามองลงไปยังคนที่อยู่แทบเท้า เอ่ยเยาะหยัน“กล้าผลักข้า? เจ้าคิดว่าข้ารังแกได้ง่าย ๆ สินะ! ข้าจัดการเฟิงเย่เสวียนไม่ได้ หรือว่าจะจัดการดอกบัวขาวที่กระโดดโลดเต้นมั่วไปทั่วเช่นเจ้าไม่ได้?”เป็นถึงหมอเทวดาแห่งศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด จะยอมถูกนังแพศยาคนนี้รังแกได้อย่างนั้นเหรอ?ถ้าหากมีครั้งหน้า ก็คงไม่ใช่แค่การผลักทีเดียวง่าย ๆ แบบนี้อีกแล้ว!เฮอะ!นางนวดหัวไหล่ที่เจ็บปวด สะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชาแล้วเดินจากไปเซียวจือฮว่าล้มอยู่บนพื้นด้วยท่าทางอ่อนแอ เจ็บปวดจนหายใจหอบเป็นระยะ รู้สึกว่าเลือดนั้นไหลเข้าตา ย้อมสายตาที่มองเห็นเป็นสีแดง แต่นางกลับค่อย ๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มแปลกประหล
“แค่ก ๆ... แค่ก...”บนตั่งนอน เซียวจือฮว่าร่างกายแขนขาอ่อนแรง “แค่ก...เฉิน ไม่ ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่หญิง...แค่ก ๆ”เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ เพียงประโยคเดียว นางพูดด้วยความลำบากยิ่ง ไอไม่หยุด หลังจากพูดจบ ก็หายใจติดขัด ใบหน้างามยิ่งซีดเซียวบาดดวงตาเฟิงเย่เสวียนกดบ่านางเอาไว้ “นอนดี ๆ เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรม ข้าย่อมต้องทวงคืนความยุติธรรมให้แก่เจ้า”ทันทีที่เซียวจือฮว่าได้ยินประโยคนี้ก็ร้อนใจ มือเล็กที่เย็นเฉียบรีบคว้ามือของชายหนุ่มเอาไว้“อย่า อย่า...เป็นฮว่าเอ๋อร์...แค่ก ๆ ที่ไม่ระวังล้มเอง...แค่ก...”“อย่าทำให้พี่หญิงลำบากใจ...แค่ก ๆ!”ตัวนางบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ยังไม่ห่วงความปลอดภัยของตนเองคิดแทนพระชายา ฉากนี้อยู่ในสายตาของบรรดาคนรับใช้ เบ้าตาแดงก่ำอย่างอดไม่ได้พระชายารองเซียวจิตใจเมตตาเกินไปแล้ว!พระชายารังแกนางถึงขนาดนั้น แล้วยังทำให้อายุขัยของนางลดไปสามสิบปี คิดไม่ถึงว่านางเลือกที่จะให้อภัยเป่าอวี้ร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำ น้ำเสียงแหบแห้ง“นายหญิง ท่านอย่าดื้อรั้นเลยเจ้าค่ะ ท่านอ๋องจะคืนความเป็นธรรมให้ท่าน ถ้าหากท่านไม่ยอมพูด เช่นนั้นบ่าวจะพูดเองเจ้าค่ะ!”เซียวจือฮว่าร้อนใจทัน
เมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินสองคำนี้ ก็อยากจะหัวเราะทันทีให้นางก้มหัว?นอกเสียจากจะตีนางให้ตาย“นางผลักข้าก่อน ข้าก็แค่เอาคืนเท่านั้น เหตุใดต้องขอโทษ? ถ้าหากจะพูดขอโทษ ไม่ใช่ว่านางต้องเป็นฝ่ายมาขอโทษข้าหรอกหรือ?”ชายหนุ่มสายตาเย็นชาลงเซียวจือฮว่าผลักนาง?แต่เรื่องจริงที่เขาได้ยินมาไม่ใช่แบบนี้“จือฮว่าร่างกายอ่อนแอมาตลอด เหตุใดนางจึงต้องผลักเจ้าโดยไม่มีสาเหตุ? เจ้าจงใจไปถึงเรือนหมิงเยว่ ก็คือเป็นฝ่ายไปหาถึงที่ เพื่อให้จือฮว่าผลักเจ้า?”ฉู่เชียนหลีสะอึกทันทีคิดไม่ถึงว่าคำพูดประโยคนี้นางจะไม่มีเหตุผลมาหักล้าง“เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน ในจวนมีคนรับใช้สิบกว่าคนเห็นเจ้า บุกเข้าไปที่เรือนหมิงเยว่ด้วยสีหน้าดุร้ายและโกรธเคือง เจ้ายังกล้าพูดว่าจือฮว่ารังแกเจ้า?”เขาก้าวไปด้านหน้า คว้าข้อมือเรียวเล็กของนางเอาไว้ กระชากนางมาข้างหน้าด้วยท่าทางเย็นยะเยือก“ฉู่เชียนหลี ในใจของเจ้ามีความโกรธก็มาระบายกับข้าซิ รังแกเซียวจือฮว่าที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงนับว่าเก่งอะไร?”“ตามข้าไปขอโทษนาง!”ฉู่เชียนหลีรีบหย่อนก้น ออกแรงถอยไปด้านหลังแล้วเกร็งตัว“ข้าไม่ไป!”นางไม่ได้ทำอะไรผิด เหตุใดจึงต้องยอมก้มหัวให
เฟิงเย่เสวียนกลับมาถึงที่เรือนหมิงเยว่เซียวจือฮว่านอนอยู่บนตั่งนอน เพิ่งดื่มยาไป ใบหน้าซีดเซียว เมื่อเห็นชายหนุ่มก็พยุงร่างกายที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงขึ้น“ท่านอ๋อง แค่ก ๆ...เรื่องทั้งหมดเป็นฮว่าเอ๋อร์ที่ไม่ดี ท่านอย่าไปได้หาเรื่องพี่หญิงเลย...”พูดไม่กี่คำก็ไอสองสามที ช่างทำให้คนสงสารจับใจชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าดูไม่ดีสักเท่าไหร่ เม้มริมฝีปากแล้วย่อตัวลงนั่ง“บาดแผลยังเจ็บอยู่หรือไม่?”“ทายาก็ไม่เจ็บแล้ว ฮว่าเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ไม่ต้องการให้ท่านเกิดความขัดแย้งกับพี่หญิงเพราะฮว่าเอ๋อร์ ไม่อยากให้เรื่องทะเลาะเบาะแว้งเรือนหลังต้องรบกวนจิตใจของท่านอ๋อง...”นางรู้ความยิ่ง คิดแทนท่านอ๋องกับพระชายาไปเสียทุกเรื่องแต่เมื่อเฟิงเย่เสวียนคิดถึงการเป็นปฏิปักษ์กับต่อต้านของฉู่เชียนหลี หว่างคิ้วก็ขมวดแน่นขึ้นไม่น้อยถ้าหากวันนั้นที่ฉู่เชียนหลีเกิดเชื่อฟังขึ้นมา นั่นก็หมายความว่าเป็นเวลาที่ฟ้าถล่ม“รักษาตัวให้ดี ข้าจะคิดหาหนทางเรื่องสุขภาพของเจ้า แม้ว่าจะต้องใช้สมุนไพรที่ดีที่สุดในใต้หล้า ข้าก็จะให้เจ้ามีชีวิตยืนยาวร้อยปี”น้ำเสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำ ทำให้เบ้าตา
ในเมืองหลวงช่วงตอนต้นของความเจริญรุ่งเรือง ตามถนนใหญ่และตรอกเล็กเต็มไปด้วยผู้คนสัญจรไปมา เสียงตะโกนเรียกลูกค้า เสียงร้องขายของ เสียงต่อราคา ผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างครึกครื้น ท่ามกลางเงาผู้คนที่ทับซ้อนกัน มีร่างเพรียวบาง กำลังเดินอย่างไร้จุดหมายใกล้เวลาพลบค่ำ สีท้องฟ้าค่อนข้างมืดมัว ภายใต้แสงพระอาทิตย์ยามอัสดง ก้อนเมฆดำปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าฝนกำลังจะตกแล้ว“ลูกรัก เลิกเล่นได้แล้ว ควรกลับบ้านแล้ว...”“ท่านอาหลี่ ยังทำธุระไม่เสร็จหรือ?”“กลับบ้านเก็บเสื้อผ้าแล้ว...”บรรดาชาวบ้านแต่ละคนเดินกันอย่างรวดเร็ว เดินกันขวักไขว่ แต่ร่างที่เดินอยู่นั้น เห็นได้ชัดว่าอยู่ในอาการงุนงงยิ่ง ไม่มีทิศทาง ไม่มีจุดหมายฉู่เชียนหลีมองไปด้านหน้า จ้องมองใบหน้าของชาวบ้านแต่ละคนพวกเขาบางคนกลับบ้าน บางคนดูแลลูก สองสามีภรรยาช่วยกันทำงาน แต่ละคนมีครอบครัวที่ต่างกันไป ทั้งครึกครื้นทั้งอบอุ่นหัวใจมากขนาดนั้นตัวอาศัยอยู่ในต่างโลก เพียงลำพังท่านพ่อไม่โปรดปราน ท่านแม่ไม่รัก ไม่มีพี่น้อง ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่มีแม้กระทั่งคนที่จะพูดด้วยนางเข้ากับโลกใบนี้ไม่ได้ฝนตกแล้วเม็ดฝนละเอียดลอยเข้าปะทะใบหน้าตามกระ
ฉู่เชียนหลีจ้องมองเขาอย่างเลื่อนลอย คนนี้เป็นคนแรกที่ดีต่อนางในต่างโลกนี้...“ท่านเป็นใคร?”ตอนนั้นเจอเขาที่ในวัง บัดนี้เจอเขาที่บนถนนอีกครั้งชายหนุ่มไม่พูดจา แกะลูกกวาด หยิบลูกกวาดสีชมพูเขียวเม็ดหนึ่งออกมา ลูกกวาดรสพุทราเขียวผสมนมวัว ยื่นเข้าไปใกล้ริมฝีปากของนางเล็กน้อย“อู๋หมิงจือเป้ย[footnoteRef:1]” [1: อู๋หมิงจือเป้ย หมายถึง บุคคลนิรนาม] “ใต้หล้ายังมีคนที่มีชื่อแปลกประหลาดขนาดนี้อยู่ด้วยหรือ? แซ่อู๋ ชื่อหมิงจือเป้ย?”“…”ฉู่เชียนหลีเห็นชายหนุ่มสำลัก รู้สึกว่าตลกขบขันรวมทั้งลูกกวาด หวาน ๆ เปรี้ยว ๆ“ขอบคุณ!”อารมณ์ของนางดีขึ้นเล็กน้อยทันที มือทั้งสองข้างยันขั้นบันไดข้างหลังเอาไว้ แล้วเงยหน้าขึ้น มองชายหนุ่มด้วยท่าทางสบาย ๆ“ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว ตอนที่ข้าเคยเห็นท่าทางจนตรอกของท่าน ท่านก็เคยเห็นท่าทางจนตรอกที่สุดของข้า ท่านต้องเก็บเป็นความลับ ห้ามพูดกับผู้ใดเด็ดขาด”ท่าทางนางร้องไห้จะต้องอัปลักษณ์มากแน่ ๆ “อืม ไม่พูด” ชายหนุ่มอารมณ์ดีมาก น้ำเสียงอ่อนโยน“เกี่ยวก้อยสัญญา”ฉู่เชียนหลียกมือขวาขึ้น ยื่นนิ้วก้อยออกมาแล้วเกี่ยวกันมุมริมฝีปากของชายหนุ่มฉีกยิ้ม ก้าวไปข้างหน