จวนอ๋องเฉินการนอนกลางวันครั้งนี้นอนหลับนานมาก ตอนที่ฉู่เชียนหลีตื่น ก็เป็นช่วงพลบค่ำแล้ว บางทีอาจเพราะนอนนานเกินไป จึงรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือเฟิงเย่เสวียนยังนอนอยู่กับนางเมื่อก่อนเฟิงเย่เสวียนต้องไปประชุม ต้องไปทำงาน เขาจะลุกจากเตียงก่อนเสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่นอนกับนางนานเช่นนี้งานไม่ยุ่ง?จู่ๆ ก็ว่างงานเช่นนี้แล้ว?ก็ไหนบอกว่าเทศกาลเช็งเม้งในอีกสองเดือนข้างหน้า จะคัดเลือกผู้นำสักการะบรรพชน องค์ชายทุกท่านล้วนกำลังต่อสู้แย่งชิงกันอย่างเปิดเผยและลับหลัง เหตุใดพอมาถึงช่วงเวลาสำคัญ เขากลับไม่รีบร้อนแล้ว?ฉู่เชียนหลีอยากถาม แต่ก็ไม่สะดวกที่จะถามจะบอกว่าเขาแบ่งเวลามาอยู่กับนาง นางไม่พอใจก็คงไม่ได้กระมัง?เพียงแต่ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของอ๋องหลีเป็นอย่างไรบ้างแล้ว…“กำลังคิดอะไรอยู่?” ใต้คางถูกนิ้วมือที่เย็นเล็กน้อยบีบแล้วยกขึ้นฉับพลัน ประสานสายตาที่ลึกซึ้งเหมือนนกอินทรีย์ของเฟิงเย่เสวียนฉู่เชียนหลีดึงความคิดกลับมา หัวเราะแล้วกล่าว“รู้สึกว่าตัวเองเหมือนง่วงนอนบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ”ประคองท้องลุกขึ้นนั่ง “ต่อไปถ้าหากลูกขี้เกียจเหมือนข้า เช่นนั้นไ
เฟิงเย่เสวียนนั่งตัวตรง ระหว่างนิ้วที่เรียวยาวหนีบพู่กันเล่มหนึ่ง กำลังขีดๆ เขียนๆ อะไรบางอย่างบนแบบภาพเป็นระยะ ท่าทางที่เขาหลุบตาทำงานอย่างตั้งใจสง่างามมาก คิ้วนั่น โครงหน้านั่น แผ่กลิ่นอายของความเป็นผู้ใหญ่และความหนักแน่นทุกที่ฉู่เชียนหลีมองเขาทั้งเช่นนี้…มองเขา…ทันใดนั้น เฟิงเย่เสวียนเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง พลันเงยหน้า ก็ประสานสายตาของฉู่เชียนหลีพริบตานั้นอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน“คิดถึงข้าแล้ว?”เขาวางพู่กันลง ผึ่งรอยหมึกของแบบภาพให้แห้ง จากนั้นพับครึ่งสองครั้ง ก่อนจะส่งให้หานเฟิง “ภายในสามวัน หาตำแหน่งที่แน่นอนให้เจอ”“ขอรับ” หานเฟิงใช้สองมือรับมา โค้งคำนับเสร็จ ก็ถอยออกไปแล้วเฟิงเย่เสวียนทำงานเสร็จแล้ว ลุกขึ้นเดินไปทางฉู่เชียนหลีใบหน้าที่คุ้นเคย กลิ่นปอเหอที่คุ้นเคย และท่าทางอ่อนโยนที่คุ้นเคย ราวกับแบกความรักและความรู้สึกที่อบอุ่นที่ดีที่สุดในหล้าไว้ และแสดงด้านที่ดีที่สุดออกมาต่อหน้านางทั้งหมดฉู่เชียนหลีเงยหน้าเล็กน้อยมองเขา แล้วจู่ๆ ก็กล่าวถาม“รู้จักกันนานเช่นนี้แล้ว ข้าเหมือนไม่เคยเห็นท่าทางที่เจ้าโกรธเลย?”ตอนที่เขาโกรธ จะเป็นท่าทางอย่างไ
การเคลื่อนไหวของเฟิงเย่เสวียนชะงักเล็กน้อย นิ่งเงียบหลายวินาที จึงจะชักมือออกมา ข่มลมหายใจที่ขุ่นมัวเล็กน้อย นอนลงข้างกายนาง ฝ่ามือกดตรงจุดที่อยู่ใต้หน้าอก แล้วเริ่มนวดเบาๆฝ่ามือที่อุ่นๆ บวกกับการนวดที่นุ่มนวล ทำให้รู้สึกสบายมากฉู่เชียนหลีกอดแขนของเขา หลับตา เตรียมตัวนอนกลางคืนเงียบมาก ความคิดในสมองของนางก็วุ่นวายจี้หยกครึ่งชิ้นที่มารดาผู้ให้กำเนิดทิ้งไว้ให้นาง ให้จิ่งอี้ตามหาครึ่งปีแล้วก็ยังไม่มีเบาะแสอะไร ไม่รู้ว่าต้องหาถึงเดือนใดปีใดช่วงนี้เจ้าหนูหลิงเชียนอี้นั่นกับอวิ๋นอิงใกล้ชิดกันมาก เขาโตกว่าอวิ๋นอิงสี่ปี อายุห่างกันปานกลาง นับว่าเหมาะสม…ไม่รู้ว่าลูกที่อยู่ในท้องเป็นชายหรือหญิง เมื่อก่อนคนเฒ่าคนแก่บอกว่าท้องกลมเป็นเด็กผู้ชาย ท้องวงรีเป็นเด็กผู้หญิง แต่นางรู้สึกว่าท้องของตนเองเป็นสี่เหลี่ยม………คิดตรงนี้ คิดตรงนั้น จู่ๆ ก็นึกถึงอ๋องหลีอีกแล้ว…“กระเพาะดีขึ้นบ้างหรือยัง?” เสียงของเฟิงเย่เสวียนดึงความคิดนางกลับมา นางรีบพยักหน้า “ดีขึ้นมากแล้ว!”เฟิงเย่เสวียนเงียบไปครู่หนึ่ง “...”ตอบเร็วเช่นนี้ เสียงชัดเจนมีกำลัง เขานวดมาสองเค่อแล้ว นางยังกระปรี้กระเปร่าเช่นนี้หล
ฉู่เชียนหลีจ้องมองดวงตาที่ขุ่นมัวคู่นั้นของชายหนุ่ม ภายใต้แสงสะท้อนของแสงเทียน จึงทำให้เห็นกล้ามเนื้อทุกตารางนิ้วของเขา แผ่นอกที่ลายกล้ามเนื้อชัดเจน เอวที่ไร้ไขมัน กล้ามท้องเป็นลอนนั่น รวมทั้งเส้นเลือดสีเขียวม่วงที่แทบจะระเบิดออก...หลอดเลือดที่ราวกับมังกรผงาด ซ่อนเร้นไปด้วยแรงระเบิดอันทรงพลังในเวลาเดียวกัน ตนเองที่เห็นร่างกายอันเปลือยเปล่าอย่างชัดเจน...อยากจะซ่อน แต่ก็ไม่มีที่ให้ซ่อนอยากจะหลบ แต่ก็ไม่มีที่ให้หลบจนกระทั่งถูกชายหนุ่มกดมือทั้งสองข้างเอาไว้ บีบคาง จ้องมองการสื่อสารที่ลึกซึ้งอย่างชัดเจน ใบหน้าแดงก่ำร้อนผ่าวดั่งไฟ ราวกับกำลังจะเลือดออก ลมหายใจถี่หอบเป็นอย่างยิ่ง“เฟิงเย่เสวียน...หยุด...ข้าไม่ชอบแบบนี้...”เมื่อชายหนุ่มได้ยินดังนั้น สายตาก็เคร่งขรึม บีบเนื้อนุ่มนิ่มที่บริเวณเอวของนาง น้ำหนักมือไม่เบา“เฟิงเย่เสวียน...”ความรุนแรง ทำให้สติสัมปชัญญะหลุดลอย อารมณ์ยุ่งเหยิง คิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว...เมื่อสูญเสียแรงต่อต้าน ถูกควบคุมอยู่ในกำมือของชายหนุ่ม ยินยอมให้ชักนำ บางครั้งก็อุ้มขึ้น บางครั้งก็นอนราบ บางครั้งก็ตะแคงข้างเหนื่อยเหนื่อยจนพูดไม่ออก แม้ว่าจะเขินอ
เขาลุกขึ้นเดินตามไป “เตรียมหาอาหาร”“ข้าไม่หิว”“เจ้าหิวแล้ว” เขากุมมือของนางเอาไว้ พานางไปที่ข้างโต๊ะ เมื่อเห็นว่านางลุกขึ้นกำลังจะเดินไป แขนยาวก็คว้าเอาไว้ กดนางลงมานั่งที่บนต้นขาของตนเอง มือซ้ายโอบรอบเอวของนาง นางคิดจะไปก็ไปไม่ได้แล้วฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว ลุกไม่ขึ้น จึงไม่ลุกขึ้นเสียเลยหย่อนกดลงบนขาของเขาอย่างแรง ค่อยๆ ยกเท้าทั้งสองข้างขึ้น น้ำหนักทั้งหมดของร่างกาย กดลงไปบนขาของชายหนุ่มน้ำหนักตัวของนางสี่สิบห้ากิโลกรัม บวกกับครรภ์ ตอนนี้อย่างน้อยก็ต้องห้าสิบเอ็ดกิโลกรัมเมื่อชายหนุ่มสังเกตเห็นท่าทางเล็กๆ น้อยๆ นี้ของนาง จึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยท่าทางกระเง้ากระงอดของภรรยา ช่างน่ารักเสียเหลือเกินในไม่ช้า อาหารจัดวางบนโต๊ะ เฟิงเย่เสวียนจะป้อนด้วยตนเอง แต่ฉู่เชียนหลีไม่ต้องการ “ข้าไม่อยากกินปลา”“ได้ เช่นนั้นก็ไม่กิน” เขาตามใจนาง วางเนื้อปลาชิ้นโตลง จากนั้นหันไปคีบไก่ตุ๋นพุทราสีเหลืองอร่ามชั้นหนึ่งนางเม้มปาก “ไม่อยากกินไก่เหมือนกัน”ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “เช่นนั้นก็ไม่กิน”วางเนื้อไก่ที่หอมนุ่มลง หันไปคีบมันฝรั่งเส้นผัดเปรี้ยวหวานที่ค่อนข้างเจริญอาหาร“ข้าไม่อยากกินมันฝรั่งเช
ชายหนุ่มบีบคางของนางเอาไว้ ออกแรงเชยคางขึ้นมาเบา ๆ ลำคอของนางก็ถูกบังคับให้กลืนลงไป น้ำแกงทั้งหมดถูกกลืนลงไปโดยไม่เหลือแม้แต่หยดเดียวฉู่เชียนหลีรีบผลักเขาออก จากนั้นก็ดีดตัวขึ้น เอามือปิดปาก ค้อนเขาด้วยดวงตาที่ปะทุไปด้วยเพลิงโทสะแต่เขากลับแสยะยิ้มเล็กน้อย เลียริมฝีปาก กล่าวหยอกเย้าเสียงเบา“รสชาติไม่เลว?”“!”ฉู่เชียนหลีรู้สึกถึงความโมโหที่คุกรุ่นอยู่ภายในทรวงอก กำลังเพิ่มสูงขึ้น ราวกับว่ากำลังจะระเบิดออก โมโหจนเบ้าตาแดงก่ำมือทั้งสองข้างกำแน่น สาวเท้าพุ่งตัวออกไปด้านนอก“เชียนหลี?” เฟิงเย่เสวียนลุกขึ้นตามไปฉู่เชียนหลีไม่อยากได้ยิน ไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น เดิมทีก็ไม่อยากเห็นเฟิงเย่เสวียน อยากจะออกไปจากจวนอ๋องเฉินเท่านั้น หาสถานที่เงียบสงบไม่มีผู้คนอยู่“เชียนหลี อย่าเดินเร็วขนาดนั้น ระวังท้องด้วย” ชายหนุ่มตามมาหุบปาก!แม้แต่เสียงของเขาก็ไม่อยากได้ยิน!ฉู่เชียนหลีประคองท้อง ยกชายกระโปรงขึ้นกำลังจะเดินหนี จู่ ๆ ข้อมือก็มีแรงกลุ่มหนึ่งมาคว้าเอาไว้ ร่างกายถูกบังคับให้หันกลับไป กระแทกเข้าไปในอ้อมอกที่มีกลิ่นหอมสดชื่นผลักออกกำลังจะหนี ชายหนุ่มก็กอดอีกครั้ง“ยังโกรธอยู่หรือ?
จวนอ๋องหลีเฟิงเจิ้งหลีนั่งพิงเตียงนอน ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่ง ใช้มือข้างซ้ายกดหน้ากระดาษเอาไว้เบา ๆ พลิกหน้าถัดไปเป็นครั้งคราว มือข้างขวาวางไว้อีกข้างอย่างสบาย ๆ ถูกพันด้วยผ้าพันแผลหนา ๆ นิ้วขาวซีดไม่มีสีเลือดเลยแม้แต่น้อยหมดสติ เลือดไหลเวียนไม่คล่อง ไม่ต่างอะไรกับกึ่งพิการฉู่เจียวเจียวประคองถ้วยยา หลายมาวันนี้ร้องไห้ไม่หยุด ร้องไห้จนดวงตาบวมแดง เต็มไปด้วยเส้นเลือด สภาพราวกับแก่ขึ้นสิบปี ซีดเซียวเป็นอย่างมากฮูหยินเว่ยมองดูอยู่ในสายตา เจ็บปวดในใจ คอยเตือนให้นางไปพักผ่อนตลอด แต่นางไม่ยอมไปฮูหยินเว่ยจนปัญญาจึงพูดเกลี้ยกล่อมชายหนุ่มที่อยู่บนเตียง“หลีเอ๋อร์ เจ้าดูเจียวเจียว เพื่อเจ้าแล้วอดหลับอดนอนจนสภาพเป็นเช่นนี้ นางกำลังตั้งท้องลูกของเจ้าอยู่ด้วยนะ...คนที่เจ้าไม่ควรทำให้ผิดหวังที่สุดในชีวิตนี้ ก็คือเจียวเจียว!”นิ้วมือที่กำลังพลิกหน้าหนังสือของชายหนุ่มชะงักไปเล็กน้อย เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น ก็พลิกหน้าใหม่ ราวกับว่าไม่ได้ยินอะไร จงใจไม่ตอบกลับ“หลี...”“ท่านอ๋อง อ๋องเฉินกับพระชายาอ๋องเฉินมาเยี่ยมท่าน” เวลานี้ คนใช้เข้ามารายงานดวงตาของชายหนุ่มเปล่งประกายทันที ในที่สุดบนใ
เขายังคงหลุบตาลงเช่นเดิม “ข้าไม่ได้ทำอะไรที่ไม่สมควรทำ”เขาเพียงแค่เห็นฉู่เชียนหลีเป็นเพียงแค่เพื่อนเท่านั้น ระบายอารมณ์ เขาไม่ได้มีเจตนาที่จะล่วงเกินนางเลยสักนิด เขาไม่ละลายใจต่อคุณธรรมของตนเอง“หลีเอ๋อร์ เจ้าอย่าปิดบังแม่ เจ้าดูสิเจ้าได้รับบาดเจ็บมาสามวันแล้ว ก็มีเพียงอ๋องเฉินกับพระชายาอ๋องเฉินมาเยี่ยมเจ้า...” ในระหว่างที่พูด ฮูหยินเว่ยก็ดวงตาแดงก่ำ สะอึกสะอื้นเป็นเพราะอ๋องหลีไม่ได้รับความโปรดปราน ประกอบกับครั้งนี้เขาได้รับบาดเจ็บ ล่วงเกินคนอื่น ขุนนางที่ยืนอยู่ห่าง ๆ พวกนั้น ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ องค์ชายองค์อื่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจวนอ๋องหลีที่ถูกทอดทิ้ง แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังไม่เคยมา มีเพียงภรรยาอ๋องเฉินที่มาเท่านั้น“เจ้าต้องเชื่อฟังแม่ ทำจิตใจให้สงบ พระชายาอ๋องเฉินจะต้องช่วยรักษาเจ้าจนหายดีแน่ แล้วก็อ๋องเฉินด้วย เขาดีต่อเจ้าถึงเพียงนี้ ยังส่งยาชั้นยอดมาให้อีกด้วย หลังจากที่เจ้าหายดีแล้ว จะต้องไม่ลืมบุญคุณของอ๋องเฉินอย่างเด็ดขาด”เมื่อเฟิงเจิ้งหลีได้ยินคำพูดประโยคนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที สีหน้าดูแย่ราวกับกินแมลงวันเข้าไป มือซ้ายที่ถือหนังสือกำแน่นขึ้นไม่น้อยแต