พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอกโดยไม่รู้ตัว เงยหน้ามองไป ประสานกับสายตาของเฟิงเย่เสวียนที่อ่อนโยนและมีเจตนายิ้ม เหตุใดจึงรู้สึกร้อนตัว…นางสงสัยเขาได้อย่างไร…รีบปัดความคิดฟุ้งซ่านในใจออกไป กล่าวอธิบาย“ดูเหมือนช่วงนี้เจ้ายุ่งมาก ข้าก็เลยลองถามหานเฟิง มีตรงไหนที่ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ ข้าอยากแบ่งเบาภาระของเจ้า”เฟิงเย่เสวียนเดินเข้ามา “มันก็มีเรื่องให้เจ้าช่วยจริงๆ นั่นแหละ”“หืม?” ฉู่เชียนหลีเอียงศีรษะยินดีมากนางบำรุงครรภ์ในจวนทุกวัน สิ่งที่ทำเยอะที่สุดในแต่ละวันก็คือกินๆ ดื่มๆ กินจนอ้วนขึ้นยี่สิบชั่งแล้ว หากยังไม่หาอะไรทำหน่อย เกรงว่าจะกลายเป็นคนอ้วนที่หนักสองร้อยชั่งแล้ว เฟิงเย่เสวียนเดินเข้ามาใกล้เก้าอี้นอน นั่งยองลงอย่างช้าๆ ฝ่ามือใหญ่ลูบท้องของนางเบาๆ สายตาลึกซึ้งและอ่อนโยน“คลอดเจ้าอ้วนน้อยให้ข้า หรือมันไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรทำมากที่สุด? เมื่อมีลูกแล้ว เจ้าน่าจะยุ่งจนไม่มีเวลาออกจากบ้านแล้วกระมัง?”ฟังเหมือนเป็นคำพูดที่ห่วงใย แต่ก็เหมือนมีความหมายที่ลึกซึ้งแฝงอยู่ฉู่เชียนหลีไม่ทันได้คิดอย่างละเอียด เขากล่าวต่อ“ทางห้องครัวมารายงาน เจ้าไม่กินข้าว เกิดอะไรขึ้น?”“ข
เขามอบสิ่งที่ดีที่สุดในโลกให้นางจริงๆ——ความรักของเขาแต่นางก็ตอบสนองกลับอย่างสอดคล้องเช่นกัน อยู่เคียงข้างเขาอย่างสุดจิตสุดใจ ช่วยเขาแบ่งเบาภาระ เกื้อหนุนเขาและอบรมสั่งสอนลูกคนสองคนอยู่ด้วยกัน มันคือการเสียสละให้กันและกันฉู่เชียนหลีกลืนอาหารที่อยู่ในปากลงไปอย่างฝืนใจ “เจ้ารู้สึกว่าข้าไม่ได้เสียสละเลย?”“ข้าไม่เคยมีความคิดเช่นนี้” เขาส่ายศีรษะ “เจ้ามอบครอบครัวให้ข้า เป็นครอบครัวที่อบอุ่น สิ่งนี้มันล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดในโลก”เขาหลุบตา มองไปที่ท้องของนางอีกห้าเดือนกว่า ลูกของพวกเขาก็จะเกิดแล้วสิ่งที่สวยงามที่สุดในความรัก ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำว่าลูกเขาวางตะเกียบลงในมือของนาง “กินปลาตัวนี้ให้หมด”“ข้าไม่อยาก…”“หมอหลวงบอกว่ากินปลาดีต่อลูก ในโลกนี้มีผู้หญิงคนไหนไม่รักลูกของตัวเอง? ต่อให้คลื่นไส้ เชียนหลีก็จะกินให้หมดแต่โดยดีใช่หรือไม่?” เขาลูบศีรษะนางเบาๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแสงอาทิตย์สาดส่องลงบนร่างกาย อบอุ่นเป็นพิเศษ แต่ฉู่เชียนหลีกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องความหมายของเขาคือหากนางไม่กิน ก็ไม่รักลูกอย่างนั้นหรือ?แม้รู้สึกว่าคำพูดของเขาแปลกมาก แต่เขายังคงเป็นห่วง
ฉู่เชียนหลีตักปลาไหลในจาน มีความคิดอีกอย่างปรากฏขึ้นในใจหากอ๋องหลีอยากประท้วง สามารถส่งคนไปก่อเรื่องในเมืองหลวงสักสองสามคน ดึงดูดความสนใจของฝ่าบาท เหตุใดต้องเอาร่างกายของตนเองมาล้อเล่น?คนคนหนึ่งต้องเหี้ยมเพียงใด จึงจะสามารถลงมือกับตนเอง?ความจริงเป็นอย่างที่เฟิงเย่เสวียนพูด?ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของอ๋องหลีเป็นอย่างไรบ้างแล้ว อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้างแล้ว หมอหลวงหยางสามารถจัดการได้หรือไม่ นางควรจะไปดูสักหน่อยใช่หรือไม่?เมื่อนึกถึงตรงนี้ เอ่ยปากถามกะทันหัน“เจ้าไม่ลองไปเยี่ยมเขาที่จวนอ๋องหลีหน่อยหรือ?”“เยี่ยมอะไร?” เฟิงเย่เสวียนมองนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หากเขาแสดงและกำกับเอง อ่อนแอเช่นนี้ ไม่คู่ควรให้ข้าไปเยี่ยม หากถูกคนทำร้าย ไร้ประโยชน์เช่นนี้ ไปเยี่ยมอย่างเอิกเกริก มีแต่จะทำให้ราชวงศ์เสียหน้า”ฉู่เชียนหลีชะงักโดยตรงเขาพูดมีเหตุผลมาก…กล่าวอีกนัยก็คือเรื่องที่อ๋องหลีบาดเจ็บถูกปิดเป็นความลับ คนที่รู้เรื่องนี้มีน้อยมากนางก้มหน้าลง ตักปลาไหลที่อยู่ในจาน ไม่รู้ว่าควรพูดต่ออย่างไร จึงเลือกที่จะนิ่งเงียบเฟิงเย่เสวียนมองนางครู่หนึ่ง “ในเมื่อไม่อยากกิน เช่นนั้นก็ไม่ต้
“ตกลงเป็นไอ้สารเลวคนไหนที่ทำเรื่องเช่นนี้! ตกลงเป็นใครกันแน่! ถ้าหากข้ารู้นะ ข้าจะเอาคืนเป็นสิบเท่าร้อยเท่าแน่นอน! จะเอาคืนแน่นอน!”ฉู่เจียวเจียวกำหมัดแน่น โมโหมากจนหายใจไม่ทัน ประกอบกับโลหิตจางเล็กน้อย หน้ามืดฉับพลัน ล้มนั่งลงบนเก้าอี้อย่างโซเซ“เจียวเจียว!”“พระชายา!”อย่าให้ความโกรธมากระทบต่อลูกนะ!ฮูหยินเว่ยรีบตบหลังมือฉู่เจียวเจียว ให้นางใจเย็นๆ รอสีหน้าของนางดูดีขึ้นเล็กน้อย ก้าวเท้ายาวไปที่หน้าเตียง“หลีเอ๋อร์…”ในน้ำเสียงที่ขมขื่น เต็มไปด้วยการสะอึกสะอื้นและการอ้อนวอน“แม่เคยบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว อย่าไปแย่งชิงสิ่งที่ไม่ใช่ของเจ้า และอย่าไปแตะต้อง ยิ่งอย่าคิดเพ้อฝัน เป็นเพราะเจ้าไม่ฟังคำพูดของแม่ ล่วงเกินพวกเขาใช่หรือไม่ ดังนั้นจึง…”พวกเขาในที่นี้ หมายถึงองค์ชายองค์อื่นนางคิดว่าอ๋องหลีเกิดความคิดแย่งชิง จึงถูกองค์ชายองค์อื่นเล่นงาน จึงต้องพบกับภัยเช่นนี้“เหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อฟังแม่เลย นี่เจ้ากำลังจะทรมานตัวเองจนตายนะ!” ฮูหยินเว่ยกระทืบเท้าอย่างร้อนใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คำพูดที่ดีและไม่ดีพูดออกมาหมด นางแค่อยากให้ลูกปลอดภัย!เฟิงเจิ้งหลีหลุบตาอย่างเรียบเฉย เหมือนกับร่าง
ทุกคนออกไป เฟิงเจิ้งหลีได้อยู่คนเดียวและพักผ่อน องครักษ์ลับปรากฏตัว คุกเข่าลงบนพื้น“ข้าน้อยไร้ความสามารถ นายท่านโปรดลงโทษด้วย!” เขากุมแขนที่ได้รับบาดเจ็บของตนเอง โขกศีรษะลงพื้นอย่างแรงด้วยความรู้สึกผิดและโทษตนเองเฟิงเจิ้งหลียกเปลือกตาขึ้น เพียงแค่กวาดมองเขาอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรสักคำสายตามองมือที่ได้รับบาดเจ็บ อาจเพราะเจ็บเกินไป เจ็บจนชา หรืออาจเพราะมือข้างนี้พิการแล้ว ตอนนี้สูญเสียความรู้สึกแล้วไม่รู้สึกเจ็บ และขยับไม่ได้แล้วกลายเป็นคนพิการ สำหรับคนทั่วไป เป็นความสะเทือนใจที่รุนแรงมาก แต่เวลานี้จิตใจของเขาสงบจนน่าประหลาดเดิมทีเขาก็ไม่มีอะไร และทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว กลายเป็นคนพิการแล้วอย่างไร เขาโดดเดี่ยวมาโดยตลอด สามารถมองข้ามแม้แต่ชีวิต ยังมีอะไรที่เขาสูญเสียไม่ได้อีก?พิการแล้วก็ให้มันพิการไร้อำนาจในมือ ตกอยู่ในการควบคุมของผู้อื่น เป็นเรื่องที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ?เฟิงเย่เสวียน เจ้าโหดเหี้ยมมาก… วังหลวง ห้องทรงพระอักษรเนื่องจากเรื่องของอ๋องหลี ฝ่าบาทปวดศีรษะ แม้ได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว แต่ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดก็คิดได้ เรื่องนี้หนีไม่พ้น ‘เรื่องค
จวนอ๋องเฉินการนอนกลางวันครั้งนี้นอนหลับนานมาก ตอนที่ฉู่เชียนหลีตื่น ก็เป็นช่วงพลบค่ำแล้ว บางทีอาจเพราะนอนนานเกินไป จึงรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือเฟิงเย่เสวียนยังนอนอยู่กับนางเมื่อก่อนเฟิงเย่เสวียนต้องไปประชุม ต้องไปทำงาน เขาจะลุกจากเตียงก่อนเสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่นอนกับนางนานเช่นนี้งานไม่ยุ่ง?จู่ๆ ก็ว่างงานเช่นนี้แล้ว?ก็ไหนบอกว่าเทศกาลเช็งเม้งในอีกสองเดือนข้างหน้า จะคัดเลือกผู้นำสักการะบรรพชน องค์ชายทุกท่านล้วนกำลังต่อสู้แย่งชิงกันอย่างเปิดเผยและลับหลัง เหตุใดพอมาถึงช่วงเวลาสำคัญ เขากลับไม่รีบร้อนแล้ว?ฉู่เชียนหลีอยากถาม แต่ก็ไม่สะดวกที่จะถามจะบอกว่าเขาแบ่งเวลามาอยู่กับนาง นางไม่พอใจก็คงไม่ได้กระมัง?เพียงแต่ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของอ๋องหลีเป็นอย่างไรบ้างแล้ว…“กำลังคิดอะไรอยู่?” ใต้คางถูกนิ้วมือที่เย็นเล็กน้อยบีบแล้วยกขึ้นฉับพลัน ประสานสายตาที่ลึกซึ้งเหมือนนกอินทรีย์ของเฟิงเย่เสวียนฉู่เชียนหลีดึงความคิดกลับมา หัวเราะแล้วกล่าว“รู้สึกว่าตัวเองเหมือนง่วงนอนบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ”ประคองท้องลุกขึ้นนั่ง “ต่อไปถ้าหากลูกขี้เกียจเหมือนข้า เช่นนั้นไ
เฟิงเย่เสวียนนั่งตัวตรง ระหว่างนิ้วที่เรียวยาวหนีบพู่กันเล่มหนึ่ง กำลังขีดๆ เขียนๆ อะไรบางอย่างบนแบบภาพเป็นระยะ ท่าทางที่เขาหลุบตาทำงานอย่างตั้งใจสง่างามมาก คิ้วนั่น โครงหน้านั่น แผ่กลิ่นอายของความเป็นผู้ใหญ่และความหนักแน่นทุกที่ฉู่เชียนหลีมองเขาทั้งเช่นนี้…มองเขา…ทันใดนั้น เฟิงเย่เสวียนเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง พลันเงยหน้า ก็ประสานสายตาของฉู่เชียนหลีพริบตานั้นอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน“คิดถึงข้าแล้ว?”เขาวางพู่กันลง ผึ่งรอยหมึกของแบบภาพให้แห้ง จากนั้นพับครึ่งสองครั้ง ก่อนจะส่งให้หานเฟิง “ภายในสามวัน หาตำแหน่งที่แน่นอนให้เจอ”“ขอรับ” หานเฟิงใช้สองมือรับมา โค้งคำนับเสร็จ ก็ถอยออกไปแล้วเฟิงเย่เสวียนทำงานเสร็จแล้ว ลุกขึ้นเดินไปทางฉู่เชียนหลีใบหน้าที่คุ้นเคย กลิ่นปอเหอที่คุ้นเคย และท่าทางอ่อนโยนที่คุ้นเคย ราวกับแบกความรักและความรู้สึกที่อบอุ่นที่ดีที่สุดในหล้าไว้ และแสดงด้านที่ดีที่สุดออกมาต่อหน้านางทั้งหมดฉู่เชียนหลีเงยหน้าเล็กน้อยมองเขา แล้วจู่ๆ ก็กล่าวถาม“รู้จักกันนานเช่นนี้แล้ว ข้าเหมือนไม่เคยเห็นท่าทางที่เจ้าโกรธเลย?”ตอนที่เขาโกรธ จะเป็นท่าทางอย่างไ
การเคลื่อนไหวของเฟิงเย่เสวียนชะงักเล็กน้อย นิ่งเงียบหลายวินาที จึงจะชักมือออกมา ข่มลมหายใจที่ขุ่นมัวเล็กน้อย นอนลงข้างกายนาง ฝ่ามือกดตรงจุดที่อยู่ใต้หน้าอก แล้วเริ่มนวดเบาๆฝ่ามือที่อุ่นๆ บวกกับการนวดที่นุ่มนวล ทำให้รู้สึกสบายมากฉู่เชียนหลีกอดแขนของเขา หลับตา เตรียมตัวนอนกลางคืนเงียบมาก ความคิดในสมองของนางก็วุ่นวายจี้หยกครึ่งชิ้นที่มารดาผู้ให้กำเนิดทิ้งไว้ให้นาง ให้จิ่งอี้ตามหาครึ่งปีแล้วก็ยังไม่มีเบาะแสอะไร ไม่รู้ว่าต้องหาถึงเดือนใดปีใดช่วงนี้เจ้าหนูหลิงเชียนอี้นั่นกับอวิ๋นอิงใกล้ชิดกันมาก เขาโตกว่าอวิ๋นอิงสี่ปี อายุห่างกันปานกลาง นับว่าเหมาะสม…ไม่รู้ว่าลูกที่อยู่ในท้องเป็นชายหรือหญิง เมื่อก่อนคนเฒ่าคนแก่บอกว่าท้องกลมเป็นเด็กผู้ชาย ท้องวงรีเป็นเด็กผู้หญิง แต่นางรู้สึกว่าท้องของตนเองเป็นสี่เหลี่ยม………คิดตรงนี้ คิดตรงนั้น จู่ๆ ก็นึกถึงอ๋องหลีอีกแล้ว…“กระเพาะดีขึ้นบ้างหรือยัง?” เสียงของเฟิงเย่เสวียนดึงความคิดนางกลับมา นางรีบพยักหน้า “ดีขึ้นมากแล้ว!”เฟิงเย่เสวียนเงียบไปครู่หนึ่ง “...”ตอบเร็วเช่นนี้ เสียงชัดเจนมีกำลัง เขานวดมาสองเค่อแล้ว นางยังกระปรี้กระเปร่าเช่นนี้หล