ฉู่เชียนหลีตักปลาไหลในจาน มีความคิดอีกอย่างปรากฏขึ้นในใจหากอ๋องหลีอยากประท้วง สามารถส่งคนไปก่อเรื่องในเมืองหลวงสักสองสามคน ดึงดูดความสนใจของฝ่าบาท เหตุใดต้องเอาร่างกายของตนเองมาล้อเล่น?คนคนหนึ่งต้องเหี้ยมเพียงใด จึงจะสามารถลงมือกับตนเอง?ความจริงเป็นอย่างที่เฟิงเย่เสวียนพูด?ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของอ๋องหลีเป็นอย่างไรบ้างแล้ว อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้างแล้ว หมอหลวงหยางสามารถจัดการได้หรือไม่ นางควรจะไปดูสักหน่อยใช่หรือไม่?เมื่อนึกถึงตรงนี้ เอ่ยปากถามกะทันหัน“เจ้าไม่ลองไปเยี่ยมเขาที่จวนอ๋องหลีหน่อยหรือ?”“เยี่ยมอะไร?” เฟิงเย่เสวียนมองนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “หากเขาแสดงและกำกับเอง อ่อนแอเช่นนี้ ไม่คู่ควรให้ข้าไปเยี่ยม หากถูกคนทำร้าย ไร้ประโยชน์เช่นนี้ ไปเยี่ยมอย่างเอิกเกริก มีแต่จะทำให้ราชวงศ์เสียหน้า”ฉู่เชียนหลีชะงักโดยตรงเขาพูดมีเหตุผลมาก…กล่าวอีกนัยก็คือเรื่องที่อ๋องหลีบาดเจ็บถูกปิดเป็นความลับ คนที่รู้เรื่องนี้มีน้อยมากนางก้มหน้าลง ตักปลาไหลที่อยู่ในจาน ไม่รู้ว่าควรพูดต่ออย่างไร จึงเลือกที่จะนิ่งเงียบเฟิงเย่เสวียนมองนางครู่หนึ่ง “ในเมื่อไม่อยากกิน เช่นนั้นก็ไม่ต้
“ตกลงเป็นไอ้สารเลวคนไหนที่ทำเรื่องเช่นนี้! ตกลงเป็นใครกันแน่! ถ้าหากข้ารู้นะ ข้าจะเอาคืนเป็นสิบเท่าร้อยเท่าแน่นอน! จะเอาคืนแน่นอน!”ฉู่เจียวเจียวกำหมัดแน่น โมโหมากจนหายใจไม่ทัน ประกอบกับโลหิตจางเล็กน้อย หน้ามืดฉับพลัน ล้มนั่งลงบนเก้าอี้อย่างโซเซ“เจียวเจียว!”“พระชายา!”อย่าให้ความโกรธมากระทบต่อลูกนะ!ฮูหยินเว่ยรีบตบหลังมือฉู่เจียวเจียว ให้นางใจเย็นๆ รอสีหน้าของนางดูดีขึ้นเล็กน้อย ก้าวเท้ายาวไปที่หน้าเตียง“หลีเอ๋อร์…”ในน้ำเสียงที่ขมขื่น เต็มไปด้วยการสะอึกสะอื้นและการอ้อนวอน“แม่เคยบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว อย่าไปแย่งชิงสิ่งที่ไม่ใช่ของเจ้า และอย่าไปแตะต้อง ยิ่งอย่าคิดเพ้อฝัน เป็นเพราะเจ้าไม่ฟังคำพูดของแม่ ล่วงเกินพวกเขาใช่หรือไม่ ดังนั้นจึง…”พวกเขาในที่นี้ หมายถึงองค์ชายองค์อื่นนางคิดว่าอ๋องหลีเกิดความคิดแย่งชิง จึงถูกองค์ชายองค์อื่นเล่นงาน จึงต้องพบกับภัยเช่นนี้“เหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อฟังแม่เลย นี่เจ้ากำลังจะทรมานตัวเองจนตายนะ!” ฮูหยินเว่ยกระทืบเท้าอย่างร้อนใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ คำพูดที่ดีและไม่ดีพูดออกมาหมด นางแค่อยากให้ลูกปลอดภัย!เฟิงเจิ้งหลีหลุบตาอย่างเรียบเฉย เหมือนกับร่าง
ทุกคนออกไป เฟิงเจิ้งหลีได้อยู่คนเดียวและพักผ่อน องครักษ์ลับปรากฏตัว คุกเข่าลงบนพื้น“ข้าน้อยไร้ความสามารถ นายท่านโปรดลงโทษด้วย!” เขากุมแขนที่ได้รับบาดเจ็บของตนเอง โขกศีรษะลงพื้นอย่างแรงด้วยความรู้สึกผิดและโทษตนเองเฟิงเจิ้งหลียกเปลือกตาขึ้น เพียงแค่กวาดมองเขาอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรสักคำสายตามองมือที่ได้รับบาดเจ็บ อาจเพราะเจ็บเกินไป เจ็บจนชา หรืออาจเพราะมือข้างนี้พิการแล้ว ตอนนี้สูญเสียความรู้สึกแล้วไม่รู้สึกเจ็บ และขยับไม่ได้แล้วกลายเป็นคนพิการ สำหรับคนทั่วไป เป็นความสะเทือนใจที่รุนแรงมาก แต่เวลานี้จิตใจของเขาสงบจนน่าประหลาดเดิมทีเขาก็ไม่มีอะไร และทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว กลายเป็นคนพิการแล้วอย่างไร เขาโดดเดี่ยวมาโดยตลอด สามารถมองข้ามแม้แต่ชีวิต ยังมีอะไรที่เขาสูญเสียไม่ได้อีก?พิการแล้วก็ให้มันพิการไร้อำนาจในมือ ตกอยู่ในการควบคุมของผู้อื่น เป็นเรื่องที่คาดการณ์ไว้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ?เฟิงเย่เสวียน เจ้าโหดเหี้ยมมาก… วังหลวง ห้องทรงพระอักษรเนื่องจากเรื่องของอ๋องหลี ฝ่าบาทปวดศีรษะ แม้ได้ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว แต่ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดก็คิดได้ เรื่องนี้หนีไม่พ้น ‘เรื่องค
จวนอ๋องเฉินการนอนกลางวันครั้งนี้นอนหลับนานมาก ตอนที่ฉู่เชียนหลีตื่น ก็เป็นช่วงพลบค่ำแล้ว บางทีอาจเพราะนอนนานเกินไป จึงรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อย แต่สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจก็คือเฟิงเย่เสวียนยังนอนอยู่กับนางเมื่อก่อนเฟิงเย่เสวียนต้องไปประชุม ต้องไปทำงาน เขาจะลุกจากเตียงก่อนเสมอ นี่เป็นครั้งแรกที่นอนกับนางนานเช่นนี้งานไม่ยุ่ง?จู่ๆ ก็ว่างงานเช่นนี้แล้ว?ก็ไหนบอกว่าเทศกาลเช็งเม้งในอีกสองเดือนข้างหน้า จะคัดเลือกผู้นำสักการะบรรพชน องค์ชายทุกท่านล้วนกำลังต่อสู้แย่งชิงกันอย่างเปิดเผยและลับหลัง เหตุใดพอมาถึงช่วงเวลาสำคัญ เขากลับไม่รีบร้อนแล้ว?ฉู่เชียนหลีอยากถาม แต่ก็ไม่สะดวกที่จะถามจะบอกว่าเขาแบ่งเวลามาอยู่กับนาง นางไม่พอใจก็คงไม่ได้กระมัง?เพียงแต่ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของอ๋องหลีเป็นอย่างไรบ้างแล้ว…“กำลังคิดอะไรอยู่?” ใต้คางถูกนิ้วมือที่เย็นเล็กน้อยบีบแล้วยกขึ้นฉับพลัน ประสานสายตาที่ลึกซึ้งเหมือนนกอินทรีย์ของเฟิงเย่เสวียนฉู่เชียนหลีดึงความคิดกลับมา หัวเราะแล้วกล่าว“รู้สึกว่าตัวเองเหมือนง่วงนอนบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆ”ประคองท้องลุกขึ้นนั่ง “ต่อไปถ้าหากลูกขี้เกียจเหมือนข้า เช่นนั้นไ
เฟิงเย่เสวียนนั่งตัวตรง ระหว่างนิ้วที่เรียวยาวหนีบพู่กันเล่มหนึ่ง กำลังขีดๆ เขียนๆ อะไรบางอย่างบนแบบภาพเป็นระยะ ท่าทางที่เขาหลุบตาทำงานอย่างตั้งใจสง่างามมาก คิ้วนั่น โครงหน้านั่น แผ่กลิ่นอายของความเป็นผู้ใหญ่และความหนักแน่นทุกที่ฉู่เชียนหลีมองเขาทั้งเช่นนี้…มองเขา…ทันใดนั้น เฟิงเย่เสวียนเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง พลันเงยหน้า ก็ประสานสายตาของฉู่เชียนหลีพริบตานั้นอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน“คิดถึงข้าแล้ว?”เขาวางพู่กันลง ผึ่งรอยหมึกของแบบภาพให้แห้ง จากนั้นพับครึ่งสองครั้ง ก่อนจะส่งให้หานเฟิง “ภายในสามวัน หาตำแหน่งที่แน่นอนให้เจอ”“ขอรับ” หานเฟิงใช้สองมือรับมา โค้งคำนับเสร็จ ก็ถอยออกไปแล้วเฟิงเย่เสวียนทำงานเสร็จแล้ว ลุกขึ้นเดินไปทางฉู่เชียนหลีใบหน้าที่คุ้นเคย กลิ่นปอเหอที่คุ้นเคย และท่าทางอ่อนโยนที่คุ้นเคย ราวกับแบกความรักและความรู้สึกที่อบอุ่นที่ดีที่สุดในหล้าไว้ และแสดงด้านที่ดีที่สุดออกมาต่อหน้านางทั้งหมดฉู่เชียนหลีเงยหน้าเล็กน้อยมองเขา แล้วจู่ๆ ก็กล่าวถาม“รู้จักกันนานเช่นนี้แล้ว ข้าเหมือนไม่เคยเห็นท่าทางที่เจ้าโกรธเลย?”ตอนที่เขาโกรธ จะเป็นท่าทางอย่างไ
การเคลื่อนไหวของเฟิงเย่เสวียนชะงักเล็กน้อย นิ่งเงียบหลายวินาที จึงจะชักมือออกมา ข่มลมหายใจที่ขุ่นมัวเล็กน้อย นอนลงข้างกายนาง ฝ่ามือกดตรงจุดที่อยู่ใต้หน้าอก แล้วเริ่มนวดเบาๆฝ่ามือที่อุ่นๆ บวกกับการนวดที่นุ่มนวล ทำให้รู้สึกสบายมากฉู่เชียนหลีกอดแขนของเขา หลับตา เตรียมตัวนอนกลางคืนเงียบมาก ความคิดในสมองของนางก็วุ่นวายจี้หยกครึ่งชิ้นที่มารดาผู้ให้กำเนิดทิ้งไว้ให้นาง ให้จิ่งอี้ตามหาครึ่งปีแล้วก็ยังไม่มีเบาะแสอะไร ไม่รู้ว่าต้องหาถึงเดือนใดปีใดช่วงนี้เจ้าหนูหลิงเชียนอี้นั่นกับอวิ๋นอิงใกล้ชิดกันมาก เขาโตกว่าอวิ๋นอิงสี่ปี อายุห่างกันปานกลาง นับว่าเหมาะสม…ไม่รู้ว่าลูกที่อยู่ในท้องเป็นชายหรือหญิง เมื่อก่อนคนเฒ่าคนแก่บอกว่าท้องกลมเป็นเด็กผู้ชาย ท้องวงรีเป็นเด็กผู้หญิง แต่นางรู้สึกว่าท้องของตนเองเป็นสี่เหลี่ยม………คิดตรงนี้ คิดตรงนั้น จู่ๆ ก็นึกถึงอ๋องหลีอีกแล้ว…“กระเพาะดีขึ้นบ้างหรือยัง?” เสียงของเฟิงเย่เสวียนดึงความคิดนางกลับมา นางรีบพยักหน้า “ดีขึ้นมากแล้ว!”เฟิงเย่เสวียนเงียบไปครู่หนึ่ง “...”ตอบเร็วเช่นนี้ เสียงชัดเจนมีกำลัง เขานวดมาสองเค่อแล้ว นางยังกระปรี้กระเปร่าเช่นนี้หล
ฉู่เชียนหลีจ้องมองดวงตาที่ขุ่นมัวคู่นั้นของชายหนุ่ม ภายใต้แสงสะท้อนของแสงเทียน จึงทำให้เห็นกล้ามเนื้อทุกตารางนิ้วของเขา แผ่นอกที่ลายกล้ามเนื้อชัดเจน เอวที่ไร้ไขมัน กล้ามท้องเป็นลอนนั่น รวมทั้งเส้นเลือดสีเขียวม่วงที่แทบจะระเบิดออก...หลอดเลือดที่ราวกับมังกรผงาด ซ่อนเร้นไปด้วยแรงระเบิดอันทรงพลังในเวลาเดียวกัน ตนเองที่เห็นร่างกายอันเปลือยเปล่าอย่างชัดเจน...อยากจะซ่อน แต่ก็ไม่มีที่ให้ซ่อนอยากจะหลบ แต่ก็ไม่มีที่ให้หลบจนกระทั่งถูกชายหนุ่มกดมือทั้งสองข้างเอาไว้ บีบคาง จ้องมองการสื่อสารที่ลึกซึ้งอย่างชัดเจน ใบหน้าแดงก่ำร้อนผ่าวดั่งไฟ ราวกับกำลังจะเลือดออก ลมหายใจถี่หอบเป็นอย่างยิ่ง“เฟิงเย่เสวียน...หยุด...ข้าไม่ชอบแบบนี้...”เมื่อชายหนุ่มได้ยินดังนั้น สายตาก็เคร่งขรึม บีบเนื้อนุ่มนิ่มที่บริเวณเอวของนาง น้ำหนักมือไม่เบา“เฟิงเย่เสวียน...”ความรุนแรง ทำให้สติสัมปชัญญะหลุดลอย อารมณ์ยุ่งเหยิง คิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว...เมื่อสูญเสียแรงต่อต้าน ถูกควบคุมอยู่ในกำมือของชายหนุ่ม ยินยอมให้ชักนำ บางครั้งก็อุ้มขึ้น บางครั้งก็นอนราบ บางครั้งก็ตะแคงข้างเหนื่อยเหนื่อยจนพูดไม่ออก แม้ว่าจะเขินอ
เขาลุกขึ้นเดินตามไป “เตรียมหาอาหาร”“ข้าไม่หิว”“เจ้าหิวแล้ว” เขากุมมือของนางเอาไว้ พานางไปที่ข้างโต๊ะ เมื่อเห็นว่านางลุกขึ้นกำลังจะเดินไป แขนยาวก็คว้าเอาไว้ กดนางลงมานั่งที่บนต้นขาของตนเอง มือซ้ายโอบรอบเอวของนาง นางคิดจะไปก็ไปไม่ได้แล้วฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว ลุกไม่ขึ้น จึงไม่ลุกขึ้นเสียเลยหย่อนกดลงบนขาของเขาอย่างแรง ค่อยๆ ยกเท้าทั้งสองข้างขึ้น น้ำหนักทั้งหมดของร่างกาย กดลงไปบนขาของชายหนุ่มน้ำหนักตัวของนางสี่สิบห้ากิโลกรัม บวกกับครรภ์ ตอนนี้อย่างน้อยก็ต้องห้าสิบเอ็ดกิโลกรัมเมื่อชายหนุ่มสังเกตเห็นท่าทางเล็กๆ น้อยๆ นี้ของนาง จึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยท่าทางกระเง้ากระงอดของภรรยา ช่างน่ารักเสียเหลือเกินในไม่ช้า อาหารจัดวางบนโต๊ะ เฟิงเย่เสวียนจะป้อนด้วยตนเอง แต่ฉู่เชียนหลีไม่ต้องการ “ข้าไม่อยากกินปลา”“ได้ เช่นนั้นก็ไม่กิน” เขาตามใจนาง วางเนื้อปลาชิ้นโตลง จากนั้นหันไปคีบไก่ตุ๋นพุทราสีเหลืองอร่ามชั้นหนึ่งนางเม้มปาก “ไม่อยากกินไก่เหมือนกัน”ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “เช่นนั้นก็ไม่กิน”วางเนื้อไก่ที่หอมนุ่มลง หันไปคีบมันฝรั่งเส้นผัดเปรี้ยวหวานที่ค่อนข้างเจริญอาหาร“ข้าไม่อยากกินมันฝรั่งเช
อันธพาลเจ็บจนกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด “อ๊ะๆ!”ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็โดนถีบจนไปกลิ้งอยู่บนพื้น รองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนหน้าอก หนักจนทำให้เขาหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมา“พู่!”เขากอดต้นขาของอวิ๋นอิง อยากดิ้นให้หลุด แต่หาของอวิ๋นอิงกดทับอยู่บนร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า และเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ถูกตอกตะปูอยู่บนเขียง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเจอผีแล้ว!ทั้งที่นางผอมเช่นนี้ เหตุใดจึงมีแรงมากเช่นนี้?ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?ชาวบ้านก็ตะลึงเช่นกันอวิ๋นอิงอุ้มลูกสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ ก้มลง ยกฝ่ามืออีกข้าง เหวี่ยงไปที่ใบหน้าของอันธพาลโดยตรง“ข้าสั่งให้เจ้าเก็บ”เพียะ!“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”เพียะ!“หูหนวกหรือ?”เพียะ!หนึ่งประโยค หนึ่งฝ่ามือ ตบจนอันธพาลหันซ้ายหันขวา มุมปากแตกมีเลือดไหล หูอื้อ สะบักสะบอมเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ไม่หลงเหลือความฮึกเหิมของก่อนหน้านี้เลย“ลูกพี่!”ลิ่วล้อสามคนคว้าโต๊ะเก้าอี้และท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ฟาดไปทางอวิ๋นอิงอย่างแรงอวิ๋นอิงกระโดนหมุนตัวเตะพวกเขาสามคนจนลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร โดยไม่หั
ตงหลิงเจียงหนาน ทำเนียบสามเดือนที่พระชายาจากไป อ๋องเฉินเอาแต่เก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หานเฟิงต้องรับผิดชอบงานแทนทุกอย่าง เมื่อนานวันเข้า โลกภายนอกต่างกำลังคาดเดา จิตใจของอ๋องเฉินได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เกรงว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วช่วงนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้ก็ดีขึ้นแล้วอาการบาดเจ็บทางกระดูกหรือเส้นเอ็น ต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันในที่สุดกระดูกซี่โครงที่หักสองซี่ก็หายดีแล้ว สามารถขี่ม้าได้แล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่าจะนำทัพกลับแคว้นซีอวี้ทันทีแต่ก่อนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ“เหตุใดไม่เจอแม่นางอวิ๋นอิงเลย?”จ้านหูจริงจังขึ้นมาทันที เขาตอบ“องค์ชายใหญ่ ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้!”“ไม่ต้อง”หลังจากปฏิเสธอย่างเฉยเมย ปีนขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปคนเดียวแล้วจ้านหู “?”หมายความว่าอย่างไร?ตอนที่องค์ชายใหญ่หมดสติ แม้อวิ๋นอิงบอกว่าไม่สนใจ แต่แอบมาเยี่ยมองค์ชายใหญ่ตอนดึกดื่นเวลาที่ไม่มีคนองค์ชายใหญ่ก็อีกคน ทั้งที่คิดถึงอวิ๋นอิง แต่ไม่ยอมรับในใจของพวกเขาสองคนล้วนมีอีกฝ่าย ลูกสาวก็อายุเกือบครึ่งขวบแล้ว เหตุใดไม่ลองเปิดใจสักนิดแล้วอยู่ด้วยกันเลย
คืนแรกที่มาถึงต่างโลก ฉู่เชียนหลีฝันในความฝัน นางอยู่บนสนามรบ สู้จนตัวตาย เลือดไหลเป็นแม่น้ำ น่าสลดใจนัก…ในความฝัน นางได้ต่อสู้ร่วมกับชายคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่วมเป็นร่วมตาย และยังมีเสียงที่นุ่มนิ่มของเด็ก เรียก ‘ท่านแม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน ราวกับนางได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ หัวใจเจ็บปวด และพยายามอธิบายสุดชีวิต แต่พวกคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ครอบครัว’ ไม่เชื่อนาง และยังบีบคั้นนางสู่เส้นทางที่สิ้นหวังในความฝัน…มีคนกำลังเรียกนาง‘เชียนหลี…เชียนหลี…’ฉึก!ฉู่เชียนหลีลืมตาฉับพลัน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอากาศ สงบมากนางรู้สึกเวียนศีรษะ และแน่นหน้าอกราวกับนางอยู่ในความฝันอันยาวนานจริงๆนางได้รับความอยุติธรรมนางถูกคนในครอบครัวฆ่าตายแต่เหตุใดนางจำผู้ชายที่เรียกนาง และภาพที่เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ได้เลย“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”เมื่ออ้ายอ้ายได้ยินเสียง ถือกะละมังน้ำอุ่นกับเครื่องใช้เข้ามาปรนนิบัติฉู่เชียนหลีนวดขมับ อยู่ในอาการเหม่อลอย แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงขยับ ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง สวมรองเท้
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบฝนหมึกอย่างเชื่อฟังมองดูองค์หญิงรีบหยิบพู่กัน เขียนอะไรบางอย่าง ท่าทางที่รีบร้อนนั่น เมื่อก่อนเวลาที่นังเป็นห่วงคุณชายเซิ่น ยังไม่รีบร้อนเช่นนี้เลยองค์หญิงกระโดดสระน้ำ หมดสติไปสามวัน หลังจากฟื้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย?นิสัยเปลี่ยนไปน้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่เมื่อลองตั้งใจมอง องค์หญิงยังคงเป็นองค์หญิง ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยฉู่เชียนหลีเขียนอย่างรวดเร็ว…อ๋องเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยู่แคว้นหนานยวน…พลางเขียน พลางกล่าวอย่างรีบร้อน “รีบไปหาคน ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้อ๋องเฉินที่ตงหลิงเจียงหนาน”นางอยากบอกความจริงกับเฟิงเย่เสวียน ต่อให้ตนลืมแล้ว แต่เฟิงเย่เสวียนจำนางได้เขาจะต้องมาหานางแน่นอนไม่ช้าก็เร็วสักวัน พวกเขาครอบครัวสี่คนจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา“อ๋องเฉินแห่งตงหลิงเจียงหนาน?”สาวใช้เกาศีรษะด้วยความสงสัย “องค์หญิง ท่านส่งจดหมายให้อ๋องเฉินทำไม? ท่านรู้จักอ๋องเฉินตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรีบกล่าว“อธิบายกับเจ้าไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับอ๋องเฉินไม่ธรรมดา…อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินตงหลิง?”เงยหน้าฉับพลัน“ข้ารู้จักอ๋องเฉ
ทุกคน “...”สีหน้าฮ่องเต้หนานยวนดูไม่ดีนัก เซิ่ยซือเฉินเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เพื่อบัณฑิตคนหนึ่ง ต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้เลย ต้องตื่นเต้นเช่นนี้เลย?ในฐานะองค์หญิง ไม่ควรมองให้ไกลกว่านี้หน่อยหรือ?เพื่อป้องกันจวินลั่วยวนทำร้ายตัวเอง เขาออกคำสั่ง มัดมือและเท้าของนางโดยตรงจวินลั่วยวนขยับไม่ได้แล้วเห็นท่าทางที่จะยิ้มไม่ยิ้มของฉู่เชียนหลี และยังเลิกคิ้วอย่างยั่วยุ นางโมโหจนแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ไปจากตำหนักองค์หญิงฉู่เชียนหลีกับหลิงอี้ซิงเดินเคียงข้างกันจากไป เมื่ออารมณ์ดี จังหวะการเดินก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเบาๆฮัมไปฮัมมา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงอี้ซิงเป็นผู้มีจิตใจเมตตา อุทิศตนให้กับความดีและคุณธรรมหยุดฝีเท้าหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านน่าจะเห็นกระมัง ว่าข้าจงใจรังแกจวินลั่วยวน?”หลิงอี้ซิงเดินตามปกติ สายตามองไปข้างหน้า พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน ตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว“อืม”“ท่านไม่รู้สึกว่าข้านิสัยไม่ดีหรือ?”เขาหยุดเดินหันมามองนาง กล่าวอย่างจริงจัง “ที่เจ้ารังแกนาง นั่นก็ต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินเจ้าก่อนแน่นอน ล้วนเป็นความผิดของนาง”เขาไ
“ยวนเอ๋อร์! ยวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้หนานยวนร้อนใจจนหน้าถอดสี “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ยวนเอ๋อร์เสียเลือดมากเกินไป หมดสติไปแล้ว!”จวินลั่วยวนที่ ‘เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติ’ “...”เจ้าน่ะสิที่เสียเลือดมากเกินไปเจ้าเสียเลือดมากเกินไปทั้งครอบครัว!หมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากทำแผลให้จวินลั่วยวนเสร็จ ถอนหายใจด้วยความกังวล “สามเดือนแล้ว ในที่สุดเอ็นขององค์หญิงก็เชื่อมต่อกัน คิดไม่ถึงว่าขาดอีกแล้ว ความพยายามในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า” ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสามเดือน เปิดบาดแผล บำรุงเอ็นทุกวันเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำนี้ เบ้าตาแดงฉับพลัน“ล้วนเป็นความผิดของข้า…”นางดึงชายเสื้อของหลิงอี้ซิง กล่าวเสียงสะอึก“ท่านพี่ ข้ามันไม่ดี ต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณชายเซิ่นแน่ องค์โกรธข้า ไม่ชอบข้า จึงฟาดมือของตัวเองใส่เสา เพื่อเป็นการแสดงความรังเกียจต่อข้า”“ข้าทำร้ายนาง ฮือๆ…”หลิงอี้ซิงรักน้องสาว ทุกคนในแคว้นหนานยวนรู้เรื่องนี้แล้วฮ่องเต้หนานยวนกล่าวโทษนางได้อย่างไร?กลับกัน เขายังต้องขอร้องหลิงอี้ซิงทักษะการทำนายของหลิงอี้ซิงมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้ฟ้า ตลอดหลายปีที่เขานั่งตำแหน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง จวินลั่วยวนนอนหลับแล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน หน้าซีดซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง“เหตุใดข้อมือของนางยังมีเลือด?”สามเดือนแล้ว แผลยังไม่หาย?นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตอบ“หมอหลวงบอกว่า จะใช้ยาพิเศษรักษาเอ็นมือและเท้าที่ขาดขององค์หญิง จำเป็นต้องเปิดแผล ขยับเอ็นที่ขาดไปรวมกันทุกวัน จนกระทั่งเชื่อมต่อกัน”“ฮืม?”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ก็เท่ากับว่า จวินลั่วยวนต้องทนกับความเจ็บปวดที่ใช้มีดเปิดปากแผลทุกวันติดต่อกันสามเดือนเต็มๆ น่าสังเวชน่าจะเจ็บมากกระมัง?นางค่อยๆ นั่งลง จับข้อมือของจวินลั่วยวนเบาๆ มองผ้าพันแผลที่ถูกพันห้าหกรอบอย่างครุ่นคิดทันใดนั้นออกแรงกดที่นิ้ว“ซี้ด…!”จวินลั่วยวนเจ็บจนตื่น ลืมตาทันทีฉู่เชียนหลีรีบปล่อยมือ “โอ๊ย…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจแตะตัวท่าน ดูท่านเจ็บมากเลยนะ ขอโทษจริงๆ”“!”หลินเหยี่ยมาอยู่ในตำหนักของนางได้อย่างไร?นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้ที่สุด!อาศัยที่พี่ชายของตัวเองเป็นราชครู แสร้งทำเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ทำแต่ความดีทุกวัน มีแต่คนบอกว่าองค์หญ
เซิ่นสือเฉิน “?”เหตุใดวันนี้รู้สึกว่าหลิงเหยี่ยแปลกๆ?เมื่อก่อนนางชอบเขามากเลยไม่ใช่หรือ? เวลาที่เขาอ่านหนังสือ นางชอบมาอยู่ข้างๆ ฝนหมึกพัดลมให้เขา เวลาที่เขาเขียนหนังสือ นางชอบแอบที่นอกหน้าต่าง จับจิ้งหรีดเล่น เวลาที่เขางีบหลับ นางมักจะชงชาหิมะชั้นดีมาให้เขานางยังบอกว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเหตุใดแค่วันเดียว ก็ปล่อยวางได้แล้ว?“องค์หญิงหลิง ข้าขอโทษ” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดที่จริงเขาก็ชอบหลิงเหยี่ยเช่นกัน แต่องค์หญิงยวนบอกเขาว่าหลิงเหยี่ยนิสัยไม่ดี ชอบรังแกคนรับใช้ หาเรื่องชาวบ้าน ใส่ร้ายโยนความผิดให้ผู้อื่นด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ และทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายเขาเป็นคนเรียนหนังสือ นิสัยซื่อตรง ไม่สามารถยอมรับคนที่จิตใจอำมหิตอย่างหลิงเหยี่ยเมื่อเปรียบเทียบกัน เขาชอบจวินลั่วยวนที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และร่าเริงมากกว่า“เมื่อก่อนท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ช่วยข้าหาอาจารย์ ใช้เส้นสาย ทำให้ข้าสอบติดขุนนาง…บุญคุณส่วนนี้ ข้า ข้าทำได้เพียงตอบแทนท่านชาติหน้าแล้ว…”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”“ได้ยินมาว่าองค์หญิงยวนได้รับบาดเจ็บ พวกเราเข้าวังไปดูนางกันเ
องค์หญิง?คุณชายเซิ่น?ฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความทรงจำใดๆ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก สับสนและงงงวยเล็กน้อยยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงและเสียงต่อต้านดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าหลิง! ใต้เท้าหลิง ต่อให้ท่านบีบคั้นข้าจนตาย ข้าก็ไม่แต่งงานกับนาง!”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจข้ามีเพียงองค์หญิงยวนเอ๋อร์เท่านั้น!”ยวนเอ๋อร์?องค์หญิง?ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองไป เห็นชายหนุ่มสวมชุดเพ้าสีขาวและที่ครอบผมหยก กำลังลากผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเหมือนคนเรียนหนังสือเข้ามานางตระหนักถึงบางอย่าง รีบดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาถามเบาๆ“ที่นี่คือแคว้นหนานยวน?”สาวใช้ “?”องค์หญิงเป็นอะไรไป?เหตุใดถามคำถามเช่นนี้?“องค์หญิง ท่าน…”“อย่าพูดไร้สาระ ตอบข้า!”สาวใช้ตกใจ รีบกล่าว “ท่านคือหลิงเหยี่ย องค์หญิงต่างแซ่ของแคว้นหนานยวน ใต้เท้าคือมหาราชครูของแคว้นหนวนยวน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เพราะใต้เท้าชำนาญการทำนาย เคยช่วยแคว้นสามครั้ง สร้างคุณประโยชน์มากมาย ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต่างแซ่…”คำพูดที่เหลือ ฉู่เชียนหลีมองข้ามโดยตรงสิ่งเดียวที่นางคิดคือ นางถูกส่งมาเป็นองค์หญิงต่างแซ่ อีกท