“น้าสะใภ้ระวัง!”“พระชายา!”ฉู่เชียนหลีตั้งหลักอย่างมั่นคง พลันหรี่ตาลง ยกมือก็กระชากข้อมือของกู้ชิงชิง “ข้าอาศัยตระกูลฉู่?”นี่เป็นเรื่องที่ตลกที่สุดในปีนี้ตอนอยู่ตระกูลฉู่ บิดาไม่ห่วง มารดาไม่รัก พี่สาวรังแก อดทนอดกลั้นหลังจากออกเรือน จวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายฉู่ไม่เคยช่วยเหลือนาง นางอันมักต้องการใช้ประโยชน์นาง และเอาทุกอย่างของนางไปนางอาศัยตระกูลฉู่ขึ้นนั่งตำแหน่งพระชายาอ๋องเฉิน? เหอะ!“แล้วเช่นนั้นเจ้าอาศัยอะไรล่ะ?” นิ้วมือที่เย็นเฉียบบีบคางของกู้ชิงชิง ยกขึ้นอย่างเย็นชา “อาศัยจิตใจดำมืดที่ทำร้ายคนของเจ้าหรือ?”อายุแค่นี้ จิตใจชั่วช้า เกรงว่าเคยอาศัยสถานะรังแกคนไม่น้อย“คุณหนูกู้ ถ้าหากเจ้ามาจวนโหวติ้งกว๋อเพื่อก่อความวุ่นวาย ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า ใครก็ได้ ส่งแขก!” พลันหลิงเชียนอี้โบกมือ ‘เชิญ’ คนออกไปอย่างหมดความอดทนกู้ชิงชิงเสียหน้า กล่าวเตือนอย่างเย็นชา“พี่อี้ พวกเรามีสัญญาแต่งงานตั้งแต่เด็ก ท่านเข้าข้างคนนอกได้อย่างไร?”“ไม่ว่าท่านไปหอนางโลมก็ดี เลี้ยงเมียน้อยก็ดี ภรรยาคนสุดท้ายของท่านต้องเป็นข้าเท่านั้น!”นางเป็นคนนิสัยโอ้อวดหยิ่งผยอง และยิ่งเป็นคนอารมณ์ร้อน
กลับถึงเรือนหลัก หลิงเชียนอี้มองไปทางมารดา ส่วนอวิ๋นอิงได้ยินเรื่องของหมอหญิงทำร้ายคน และยังโยนความผิดให้พระชายา นางเริ่มอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงแต่หลังจากเข้าใจสาเหตุของเรื่องราว จู่ๆ ก็ขมวดคิ้ว“พระชายา นี่เหมือนจะไม่ค่อยถูกต้อง”ฉู่เชียนหลีอึ้งไปครู่หนึ่ง รู้ว่าภายนอกของอวิ๋นอิงเป็นคนอุกอาจไร้ข้อผูกมัด แต่จิตใจกลับละเอียดอ่อนเหมือนผ้าไหม นางรีบกล่าวถามต่อ“ไม่ถูกต้องตรงไหน?”สีหน้าอวิ๋นอิงเคร่งขรึม วิเคราะห์อย่างจริงจัง “ท่านกับหมอหญิงคนนั้นไม่เคยเจอกัน นางจะทำร้ายท่านได้อย่างไร? เบื้องหลังต้องมีคนบงการแน่นอน!”ฉู่เชียนหลีเหมือนตื่นรู้ทันทีซี้ด…“ข้าคิดว่าหมอหญิงคนนั้นอยากทำร้ายองค์หญิงใหญ่ แค่ลากข้ามาเป็นแพะรับบาปมาโดยตลอด”“พระชายา ท่านคิดดูดีๆ หมอหญิงไม่เคยเข้าใกล้ท่าน เป็นไปได้อย่างไรที่จะนำเมล็ดเชียนอิงใส่บนตัวท่าน?”เมื่อวิเคราะห์เช่นนี้ คนที่มีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่หมอหญิงคนเดียว ยิ่งกว่านั้นพุ่งเป้ามาที่ฉู่เชียนหลีใครกันที่ใส่เมล็ดเชียนอิงลงในแขนเสื้อฉู่เชียนหลี?ฉู่เชียนหลีจับแขนเสื้อ “ข้าอยู่จวนอ๋องเฉินตลอด หลังจากได้รับข่าวก็รีบมาทันที นอกจากเจ้ากับเย
นายท่านไม่เคยถามคำถามเช่นนี้กับนาง จู่ๆ ก็ถามขึ้นมา ต้องมีเหตุผลแน่นอนหานอิ๋งสบตาที่โกลาหลคู่นั้นของเขา เหมือนกับมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ก็เหมือนมองทะลุปรุโปร่ง นางรีบคุกเข่าข้างหนึ่งอย่างร้อนตัว“ไม่รู้ว่าข้าน้อยทำอะไรผิด นายท่านโปรดพูดให้ชัดเจน!”เฟิงเย่เสวียนหลุบตา มองนางอย่างเรียบเฉยเมื่อสิบกว่าปีก่อน พวกเขาเติบโตด้วยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมเป็นร่วมตาย เป็นนายกับบ่าว และยิ่งเป็นพี่น้อง ถ้าหากวันหนึ่ง คนที่ใกล้ชิดที่สุดใช้มีดแทงข้างหลัง…“ครั้งหนึ่งเซียวจือฮว่าทำผิด ข้าเคยให้โอกาสนางหนึ่งครั้ง วันนี้ ก็ให้เจ้าหนึ่งครั้ง”สิ้นเสียงที่เรียบเฉย เฟิงเย่เสวียนจับเสา ลากฝีเท้าที่หนักอึ้ง เดินเข้าไปในห้องหนังสืออย่างโอนเอนไม่มั่นคง“นายท่าน…”เซียวจือฮว่าทำผิดครั้งแรก เนื่องจากสาบานต่อหน้าป้ายวิญญาณบรรพชนของตระกูลเซียว จึงได้รับการให้อภัย ครั้งที่สอง นางบังอาจลักพาตัวฉู่เชียนหลี ถูกนายท่านฆ่าตายด้วยกระบี่เดียวกับมือนางรู้จักนิสัยของนายท่านเป็นอย่างดี ถ้าหากนางทำผิดอีกครั้ง จุดจบก็จะเหมือนกับเซียวจือฮว่าผู้ชายที่เย็นชาคนนี้ พูดหนึ่งไม่เป็นสอง ให้รางวัลและลงโทษแบ่งแยกชัดเจน ไม่ว่
แขนยาวข้างหนึ่งที่ยกขึ้น ขวางทางของอวิ๋นอิงไว้อวิ๋นอิงขมวดคิ้วเหมือนว่าไม่ว่าจะไปที่ใด ก็ต้องเจอเขาตลอด ทุกครั้งที่เจอกัน ไม่เคยมีเรื่องดีอะไรนางยกเท้าจะเดิน แขนข้างนั้นยังคงขวางนางไว้ พลันระหว่างคิ้วปรากฏความโกรธ ยกมือขึ้นก็คว้าแขนของจิ่งอี้ พาดไว้ที่ข้อพับแขน ออกแรงกระชากฉับพลันแต่การเคลื่อนไหวของเขาเร็วกว่า พลิกมือจับท้ายทอยของนางไว้โดยตรง พลันมืออีกข้างเคลื่อนไหว บิดแขนขวาของนางกลับหลัง กดนางลงไปข้างล่าง“อ๊า!”อวิ๋นอิงถูกกดให้ก้มลง เพิ่งคิดจะดิ้นรน แขนเจ็บปวดอย่างรุนแรง จำเป็นต้องรักษาท่าทางที่ก้มเอวไว้ ขยับไม่ได้แม้แต่นิดเดียวแค่ท่าเดียว!แค่ท่าเดียว!นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้ชายคนนี้วรยุทธ์ของเขาสูงเพียงใด นางไม่กล้าคิด“ปล่อยข้า!” นางอดกลั้นความเจ็บปวดแล้วดิ้นรน กัดฟันแน่น บนใบหน้าเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธที่ลุกโชนต่อให้สู้เขาไม่ได้ ความแน่วแน่บนตัวนางก็ไม่เคยยอมแพ้จิ่งอี้ใช้แค่มือข้างเดียว ก็สยบนางแล้ว ง่ายเหมือนกับจับลูกไก่ตัวหนึ่ง เหลือบมองคนที่อยู่ข้างเท้าจากเบื้องสูง กล่าวถากถาง“ลงมือกับข้า ไม่เจียมตัว”คำพูดที่เรียบง่ายแปดคำ ดูถูกและโอ้อวด ราวกับ
ตอนบ่าย องค์หญิงใหญ่ยังคงนอนหลับกลางคืน ก็ยังนอนหลับหลังอาหารเย็นจนถึงดึกดื่น แล้วกินมื้อดึก องค์หญิงใหญ่ยังคงไม่มีท่าทีที่จะตื่นโหวติ้งกว๋ออดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง “นางหนูฉู่ เหตุใดที่รักของข้ายังไม่ตื่น คงจะไม่เกิดเรื่องอะไรกระมัง?”ฉู่เชียนหลีนิ่งเงียบครู่หนึ่งนางหนูฉู่?ที่รักของข้า?ท่านโหวเป็นผู้ชายที่ ‘เก่งมาก’ จริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่หลิงเชียนอี้ก็ ‘เก่ง’ เช่นนั้น สิ่งนี้ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงการกระทำที่ดึงปลายหู แล้วบอกเคล็ดลับให้กับนาง… เขา ‘เก่ง’ มากจริงๆ!นางตรวจชีพจรให้องค์หญิงใหญ่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ท่านโหวไม่ต้องเป็นห่วง ทุกอย่างคงที่ การคลอดลูกเป็นเรื่องใหญ่ที่เดิมพันด้วยชีวิต ร่างกายองค์หญิงใหญ่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ดังนั้นจึงนอนหลับนานขึ้นเป็นเรื่องปกติ”“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี…”โหวติ้งกว๋อพึมพำอย่างสบายใจขึ้น จับสองมือขององค์หญิงใหญ่ไว้ จูบอย่างแผ่วเบา“ลำบากที่รักแล้ว ต่อไปพวกเราจะไม่คลอดอีกแล้ว ต้องโทษเจ้าที่ไม่เชื่อฟังข้า บอกว่าอะไรนะ จะคลอดน้องชายน้องสาวให้มาเป็นเพื่อนอี้เอ๋อร์ หลังจากพวกเราอายุร้อยปี เขาก็มีครอบครัวของเขาแล้ว เขายังจะโดด
แม้ทั้งคู่จะเกิดความขัดแย้งทางวาจา แต่หัวใจทั้งสองดวงผูกติดกันแน่น ไม่ว่ากายจะอยู่แห่งหนใด เวลาใด ต่างก็คิดถึงกันและกันบางทีนี่ก็คือความรักฉู่เชียนหลีนั่งอยู่บนพื้น กอดเข่าของตนเอง ค่อยๆ เงยหน้ามองไปทางเขาที่ยืนย้อนแสงมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัด แต่คุ้นเคยกลิ่นอายและกลิ่นตัวของเขากัดริมฝีปากล่างเบาๆ คำพูดมากมายมาถึงปลายลิ้น กลายเป็นคำพูดที่แหบแห้งและเรียบง่ายประโยคหนึ่ง“วันนั้น…ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนเองเป็นอะไร จู่ๆ ก็หงุดหงิด คำพูดที่โพล่งออกจากปาก เหมือนคมกระบี่ที่ทำร้ายคน ฆ่าคนโดยไม่รู้ตัวนางผิดนางยอมรับผิดเฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ดวงตาสีหมึกมองดูนางที่ล้มอยู่บนพื้น ไม่พูดอะไรสักคำ ก้มเอวลงอย่างเงียบๆ แขนยาวลอดผ่านใต้รักแร้ จากนั้นช้อนข้อพับขาทั้งสองข้างของนาง ออกแรงเล็กน้อยก็อุ้มขึ้นมาแล้วเขาพูด “เบาลงนะ”เสียงที่คุ้นเคย คำถามไถ่ที่ห่วงใย ทำให้ฉู่เชียนหลีทนไม่ไหวอีกแล้วหลายวันนี้นางกินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ ร่างกายย่อมเบาลงอยู่แล้ว เขากลับรู้สึกได้อย่างละเอียดในพริบตา ความอ่อนโยนและความใส่ใจฝังอยู่ในกระดูกกัดริมฝีปากล่างแน่น ลืมตาทั้งคู่ที่เปียกชุ่ม
มองดูการแสดงออกที่มองความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิของฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียนเงียบไปหลายวินาที หลังจากนั้นซัดกำลังภายในสายหนึ่งออกมาดับเทียน ดึงผ้าห่มมาคลุมร่างทั้งสอง ก่อนจะนอนหลับฉู่เชียนหลีกลับตะลึงงันประหลาดใจครู่หนึ่งเมื่อก่อนเขาเป็นฝ่ายรุกตลอด เหตุใดคืนนี้จึงนิสัยเปลี่ยน?“เหตุใดเจ้าไม่ต้องการข้า?”“...” คำพูดที่เรียบง่ายแต่หยาบคาย ทำให้เฟิงเย่เสวียนสำลักทันที“ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน เจ้าก็ไปมีผู้หญิงคนอื่นที่ข้างนอกแล้ว?”“...”“เจ้ายังโกรธข้าใช่หรือไม่ ดังนั้นจึงไม่ต้องการข้า ที่จริงเจ้ายังไม่ได้ให้อภัยข้า?”“...”“เฟิงเย่เสวียน คำพูดที่ข้าพูดวันนั้นเจ้าอย่าเก็บเอาไปใส่ใจนะ อาจเป็นเพราะสองสามวันนั้นข้าจิตตก เป็นโรคซึมเศร้ากระมัง ข้าไม่สามารถควบคุมแม้แต่อารมณ์ของตัวเอง ถ้าหากข้าโทษเจ้าจริง ก็คงไม่ใช้ชีวิตกับเจ้าและอยู่จวนอ๋องเฉินอย่างสงบจิตสงบใจ”เมื่อสิ้นเสียง เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะผ่านไปครู่ใหญ่ ภายในห้องที่มืดสลัว จึงจะมีเสียงที่เรียบเฉยของเฟิงเย่เสวียนดังขึ้น“อืม”“เช่นนั้นเจ้าก็ทำกิจกรรมกับข้าเถอะ!”“...”“เจ้าไม่คิดถึงลูกชายหรือ? วันนี้ลูกชายถีบข้าสิบกว่าห
“พระชายา เมื่อคืนท่านเฝ้าองค์หญิงใหญ่ตลอด และกลับมาดึกเช่นนั้น ข้ากลัวรบกวนการพักผ่อนของท่าน จึงไม่ได้บอกท่าน”“สืบเจอแล้วเจ้าค่ะ”อวิ๋นอิงเดินไปข้างหน้า หยิบกระดาษใบหนึ่งที่พับไว้ออกจากแขนเสื้อ แล้วยื่นส่งให้ด้วยสองมือนี่…เป็นของที่จิ่งอี้สืบเจอ…ในสมองมักจะนึกถึงภาพที่จิ่งอี้ใช้แค่ท่าเดียว มือเดียวก็สามารถสยบนาง และรวมถึงสายตาที่เหลือบมองอย่างเหยียดหยามกับน้ำเสียงที่ดูถูก‘ลงมือกับข้า ไม่เจียมตัว’คำพูดนี้มักจะวนเวียนอยู่ในสมองของนางนางคิดมาตลอดว่าตนเองฝึกยุทธ์ตั้งแต่เด็ก ทักษะการต่อสู้ล้ำเลิศ สามารถนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง แต่เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนั้น นางถึงจะรู้ตัวว่าตนเองอ่อนแอมากนางค่อยๆ หลุบตา มีความคิดหนึ่งแลบผ่านแววตานางจะพยายาม!ฉู่เชียนหลีรับกระดาษ เปิดดูแวบหนึ่ง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยเป็นนางจริงๆ ด้วย!ขยำกระดาษ “เอาข้าวมา หลังจากกินข้าวเสร็จ ตามข้าออกไปข้างนอกหน่อย”“เจ้าค่ะ”เยว่เอ๋อร์กับอวิ๋นอิงพยักหน้าขานรับ ไปบอกให้คนในครัวยกอาหารมาด้วยกันระหว่างทาง เยว่เอ๋อร์ถามอย่างไม่เข้าใจ “อวิ๋นอิง พระชายาให้เจ้าตรวจสอบเรื่องอะไร? เรื่องตั้งแต่เมื่อไร?