แม้ทั้งคู่จะเกิดความขัดแย้งทางวาจา แต่หัวใจทั้งสองดวงผูกติดกันแน่น ไม่ว่ากายจะอยู่แห่งหนใด เวลาใด ต่างก็คิดถึงกันและกันบางทีนี่ก็คือความรักฉู่เชียนหลีนั่งอยู่บนพื้น กอดเข่าของตนเอง ค่อยๆ เงยหน้ามองไปทางเขาที่ยืนย้อนแสงมองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัด แต่คุ้นเคยกลิ่นอายและกลิ่นตัวของเขากัดริมฝีปากล่างเบาๆ คำพูดมากมายมาถึงปลายลิ้น กลายเป็นคำพูดที่แหบแห้งและเรียบง่ายประโยคหนึ่ง“วันนั้น…ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”นางก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนเองเป็นอะไร จู่ๆ ก็หงุดหงิด คำพูดที่โพล่งออกจากปาก เหมือนคมกระบี่ที่ทำร้ายคน ฆ่าคนโดยไม่รู้ตัวนางผิดนางยอมรับผิดเฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ดวงตาสีหมึกมองดูนางที่ล้มอยู่บนพื้น ไม่พูดอะไรสักคำ ก้มเอวลงอย่างเงียบๆ แขนยาวลอดผ่านใต้รักแร้ จากนั้นช้อนข้อพับขาทั้งสองข้างของนาง ออกแรงเล็กน้อยก็อุ้มขึ้นมาแล้วเขาพูด “เบาลงนะ”เสียงที่คุ้นเคย คำถามไถ่ที่ห่วงใย ทำให้ฉู่เชียนหลีทนไม่ไหวอีกแล้วหลายวันนี้นางกินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ ร่างกายย่อมเบาลงอยู่แล้ว เขากลับรู้สึกได้อย่างละเอียดในพริบตา ความอ่อนโยนและความใส่ใจฝังอยู่ในกระดูกกัดริมฝีปากล่างแน่น ลืมตาทั้งคู่ที่เปียกชุ่ม
มองดูการแสดงออกที่มองความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิของฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียนเงียบไปหลายวินาที หลังจากนั้นซัดกำลังภายในสายหนึ่งออกมาดับเทียน ดึงผ้าห่มมาคลุมร่างทั้งสอง ก่อนจะนอนหลับฉู่เชียนหลีกลับตะลึงงันประหลาดใจครู่หนึ่งเมื่อก่อนเขาเป็นฝ่ายรุกตลอด เหตุใดคืนนี้จึงนิสัยเปลี่ยน?“เหตุใดเจ้าไม่ต้องการข้า?”“...” คำพูดที่เรียบง่ายแต่หยาบคาย ทำให้เฟิงเย่เสวียนสำลักทันที“ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน เจ้าก็ไปมีผู้หญิงคนอื่นที่ข้างนอกแล้ว?”“...”“เจ้ายังโกรธข้าใช่หรือไม่ ดังนั้นจึงไม่ต้องการข้า ที่จริงเจ้ายังไม่ได้ให้อภัยข้า?”“...”“เฟิงเย่เสวียน คำพูดที่ข้าพูดวันนั้นเจ้าอย่าเก็บเอาไปใส่ใจนะ อาจเป็นเพราะสองสามวันนั้นข้าจิตตก เป็นโรคซึมเศร้ากระมัง ข้าไม่สามารถควบคุมแม้แต่อารมณ์ของตัวเอง ถ้าหากข้าโทษเจ้าจริง ก็คงไม่ใช้ชีวิตกับเจ้าและอยู่จวนอ๋องเฉินอย่างสงบจิตสงบใจ”เมื่อสิ้นเสียง เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะผ่านไปครู่ใหญ่ ภายในห้องที่มืดสลัว จึงจะมีเสียงที่เรียบเฉยของเฟิงเย่เสวียนดังขึ้น“อืม”“เช่นนั้นเจ้าก็ทำกิจกรรมกับข้าเถอะ!”“...”“เจ้าไม่คิดถึงลูกชายหรือ? วันนี้ลูกชายถีบข้าสิบกว่าห
“พระชายา เมื่อคืนท่านเฝ้าองค์หญิงใหญ่ตลอด และกลับมาดึกเช่นนั้น ข้ากลัวรบกวนการพักผ่อนของท่าน จึงไม่ได้บอกท่าน”“สืบเจอแล้วเจ้าค่ะ”อวิ๋นอิงเดินไปข้างหน้า หยิบกระดาษใบหนึ่งที่พับไว้ออกจากแขนเสื้อ แล้วยื่นส่งให้ด้วยสองมือนี่…เป็นของที่จิ่งอี้สืบเจอ…ในสมองมักจะนึกถึงภาพที่จิ่งอี้ใช้แค่ท่าเดียว มือเดียวก็สามารถสยบนาง และรวมถึงสายตาที่เหลือบมองอย่างเหยียดหยามกับน้ำเสียงที่ดูถูก‘ลงมือกับข้า ไม่เจียมตัว’คำพูดนี้มักจะวนเวียนอยู่ในสมองของนางนางคิดมาตลอดว่าตนเองฝึกยุทธ์ตั้งแต่เด็ก ทักษะการต่อสู้ล้ำเลิศ สามารถนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง แต่เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนั้น นางถึงจะรู้ตัวว่าตนเองอ่อนแอมากนางค่อยๆ หลุบตา มีความคิดหนึ่งแลบผ่านแววตานางจะพยายาม!ฉู่เชียนหลีรับกระดาษ เปิดดูแวบหนึ่ง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยเป็นนางจริงๆ ด้วย!ขยำกระดาษ “เอาข้าวมา หลังจากกินข้าวเสร็จ ตามข้าออกไปข้างนอกหน่อย”“เจ้าค่ะ”เยว่เอ๋อร์กับอวิ๋นอิงพยักหน้าขานรับ ไปบอกให้คนในครัวยกอาหารมาด้วยกันระหว่างทาง เยว่เอ๋อร์ถามอย่างไม่เข้าใจ “อวิ๋นอิง พระชายาให้เจ้าตรวจสอบเรื่องอะไร? เรื่องตั้งแต่เมื่อไร?
จวนอ๋องเฟิงพระชายาอ๋องเฟิงนอนอยู่บนเก้าอี้นอน หมอมอชราคนหนึ่งกำลังทาของเหลวที่ไม่รู้จักลงบนท้องนาง และนวดด้วยวิธีพิเศษสูตรพื้นบ้าน เร่งการตั้งครรภ์ตอนที่นางกำลังสะลึมสะลือ ได้ยินคนรับใช้มารายงาน เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจเล็กน้อย“พระชายาอ๋องเฉินมาหาข้า?”เมื่อวานนางเพิ่งเอายามา สามารถกินได้ครึ่งเดือน เหตุใดวันนี้ก็มาหาถึงที่แล้ว?นางนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน…แววตาขรึมลง นั่งตัวตรงทันที “ออกไปให้หมด”“เจ้าค่ะ”ทุกคนถอยออกไป ฉู่เชียนหลีถูกพาเข้ามาในห้อง ปิดประตู มีเพียงทั้งสองอยู่ในห้องพระชายาอ๋องเฟิงถามด้วยรอยยิ้ม “ลมอะไรพัดพระชายาอ๋องเฉินมา? มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ?”ฉู่เชียนหลีมองนางเงียบๆ ปากก็เข้าสู่ประเด็นหลักทันที“ท่านน่าจะรู้เรื่องที่เมื่อวานฮูหยินโหวติ้งกว๋อคลอดลูกสาวแล้วกระมัง? นางเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอด หมอหญิงที่ทำงานอยู่ในจวนสิบกว่าปีเป็นคนร้ายที่ทำร้ายนาง”“หา?!” พระชายาอ๋องเฟิงอุทาน มือปิดปาก “ข้ารู้เรื่องที่คลอดลูกสาวแล้ว แต่ทำร้ายคน…คนคุ้นเคยที่รับใช้สิบกว่าปี ลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้กับองค์หญิงใหญ่? สวรรค์! ตกลงต้องอำมหิตแค่ไหน จึงจะสามารถทำเรื่อง
พูดถึงเรื่องนี้ นางค่อนข้างภาคภูมิใจลองถามทั่วหล้า มีผู้ชายกี่คนที่สามารถรักเดียวใจเดียว หนึ่งจิตหนึ่งใจเหมือนอ๋องเฟิง?ไม่มีลูกแล้วอย่างไร?ใครสามารถสั่นคลอนตำแหน่งพระชายาอ๋องเฟิงของนาง?ตอนฉู่เชียนหลีกวาดมองท่าทางที่ ‘มั่นอกมั่นใจ’ ของนาง หัวเราะกะทันหัน“เจ้าหัวเราะอะไร?” พระชายาอ๋องเฟิงเลิกคิ้วหัวเราะสิ“ก็ต้องหัวเราะพระชายาอ๋องเฟิงที่อายุเกือบสามสิบปี อายุมากเช่นนี้แล้ว ยังไร้เดียงสาเหมือนเด็กผู้หญิง” ฉู่เชียนหลียิ้มจนมุมปากยกขึ้น ดวงตาโค้งงอดูสวยงามพระชายาอ๋องเฟิงขมวดคิ้วแน่นสามส่วน รู้สึกเพียงรอยยิ้มนี้ขัดตามาก“หมายความว่าอย่างไร?”“ก็ตามที่พูดนั่นแหละ” ฉู่เชียนหลีแบมือทั้งสองข้างและยักไหล่ “เมื่อผู้ชายอายุสี่สิบปี เป็นวัยที่เป็นผู้ใหญ่และมีประสบการณ์ดีที่สุด ทว่าผู้หญิงอายุสี่สิบปี กลับเป็นดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา ผู้ชายทั่วหล้ามีใครบ้างไม่ชอบเด็กผู้หญิงที่อายุน้อยและสวย?”ใครจะรักแค่คนคนเดียวตลอดไป?“ไม่มีลูก ตอนแก่ไร้ที่พึ่ง แม้แต่คนจัดงานศพให้ก็ไม่มี ถึงเวลาเมียน้อยมีลูกสักหนึ่งคน ต่อให้ท่านนั่งตำแหน่งพระชายาอ๋องเฟิงแล้วจะอย่างไร? สุดท้ายก็โดดเดี่ยวตัวคนเดียวไม่ใช่
“หืม?” ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจตั้งแต่เมื่อไร อ๋องเฟิงแอบไปสุมหัวอยู่กับอ๋องเจวี๋ยแล้ว?เช่นนี้ก็เท่ากับว่าพวกเขาร่วมมือกัน เช่นนั้นเรื่องที่ทำร้ายนางไม่เพียงอ๋องเฟิงมีส่วน อ๋องเจวี๋ยก็มีส่วนด้วย?อ๋องเฟิงคนนี้ไม่มีทายาท ไม่นับว่าเป็นภัยคุกคาม ส่วนอ๋องเจวี๋ยเชี่ยวชาญกลยุทธ์ทางทหาร ถนัดเรื่องการฝึกทหาร มีอำนาจทางทหารในมือระดับหนึ่ง และยังมีลูกสาวหนึ่งคน หากเขาเกิดความทะเยอทะยาน จะก่อให้เกิดภัยคุกคามระดับหนึ่งเมื่อฉู่เชียนหลีคิดเช่นนี้ ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว“อวิ๋นอิง เจ้าให้จิ่งอี้จับตาดูไว้”“พระชายา ให้ข้าไปเถอะ!” เยว่เอ๋อร์รีบโน้มตัวเข้ามาแทรกไม่ว่าเรื่องอะไร พระชายาก็ให้อวิ๋นอิงไปทำ เหมือนกับไม่ต้องการนาง นางก็อยากแบ่งเบาภาระให้พระชายาเช่นกัน นางจึงจะเป็นมิตรภาพที่ร่วมเป็นร่วมตายมานานเกือบสิบปีของพระชายา ไม่ใช่อวิ๋นอิงที่เพิ่งมาได้ครึ่งปีนางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ…ฉู่เชียนหลีเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง หันไปมองทางเยว่เอ๋อร์ก่อนหน้านี้ ตอนไปจวนอ๋องเฟิง เยว่เอ๋อร์ก็เคยพูดคำพูดเช่นนี้ระหว่างความคลุมเครือ รู้สึกว่าเยว่เอ๋อร์แปลกๆ แต่เมื่อดูอย่างละเอียด เยว่
“พระชายาอ๋องหลีตั้งครรภ์ ตอนที่อ๋องหลีกำลังได้รับความโปรดปราน จู่ๆ ก็หายตัวไปได้อย่างไร?” ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้วใบหน้าของเด็กรับใช้เต็มไปด้วยความร้อนรน“บ่าวไม่ทราบขอรับ ไม่ทราบขอรับ…ใช่แล้ว ฝ่าบาทพักงานที่ค่ายลาดตระเวนของท่านอ๋อง ให้เขาอยู่ดูแลพระชายาในจวน วันนั้น เหมือนพวกเขาทะเลาะกันจากในวังกลับมา ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้น ท่านอ๋องก็ดูแปลกๆ แล้ว…”“เหตุใดจู่ๆ ฝ่าบาทถึงยึดตำแหน่งของเขา?”ตั้งแต่อ๋องหลีเข้าสู่ค่ายลาดตระเวน ก็ทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนโดยไม่หยุดพัก ใส่ใจปัญหาเล็กใหญ่ ตลอดเวลากว่าสามเดือนที่เขารับตำแหน่งนี้ เมืองหลวงมั่นคงสงบสุข ไม่มีเหตุการณ์ใหญ่โตอะไรเกิดขึ้น“บ่าวเพิ่งได้ยินมาว่า พระชายาเป็นคนของ…”“...”ผู้ชายกับผู้หญิงไม่เหมือนกัน ผู้หญิงมีความอ่อนไหวทั้งอารมณ์มากกว่า เอนเอียงไปทางความรู้สึกและครอบครัว แต่ผู้ชายมีความทะเยอทะยานสูง นับประสาอะไรกับอ๋องหลีที่พยายามอย่างหนักเช่นนั้น เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากฝ่าบาท ฉู่เจียวเจียวทำเช่นนี้ ไม่เท่ากับหักปีกของอ๋องหลีหรือ?ขอแค่เป็นผู้หญิงที่ฉลาด ไม่มีใครบีบคั้นผู้ชายเช่นนี้“อวิ๋นอิง เยว่เอ๋อร์ พวกเจ้าไปช่วยตามหาหน่อย
ชายคนนั้นพิงอยู่ตรงมุมกำแพง ข้างกายมีเหล้าหกกระจายเกลื่อนพื้น ไหเหล้าขนาดใหญ่ที่ว่างเปล่าหลายใบล้มคว่ำ ชุดสีขาวทั้งสกปรกและยับ ผมสีหมึกหลุดลุ่ยกระจัดกระจายอย่างยุ่งเหยิง คอตกอย่างหมดสภาพ ท่าทางที่กึ่งหลับกึ่งตื่นนั่น เสื่อมโทรมอย่างอธิบายไม่ได้“อ๋อง…หลี?”เป็นเขา!สภาพดูไม่จืดอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนบนร่างกายเขาเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าที่เข้มข้น สติสัมปชัญญะและการรับรู้ของเขาถูกเหล้าแรงกลืนกิน ยกศีรษะขึ้นอย่างตอบสนองช้า ในดวงตาที่ขุ่นมัวเหม่อลอยหาจุดศูนย์กลางไม่เจอเขาพลางส่ายศีรษะ พลางยกเปลือกตาขึ้นอย่างยากลำบาก ใช้แรงทั้งหมดที่มี พยายามอย่างมากจึงจะมองเห็นชัดเจน“ฉู่…ฉู่เชียนหลี?!”เป็นนางเป็นนางจริงหรือ?ความมีชีวิตชีวาเสี้ยวหนึ่งที่เพิ่งปรากฏในดวงตา พริบตานั้นก็ดับสลัวอีกครั้งนางเข้ามาในความฝันของเขา?ถ้าหากนี่เป็นความฝัน เช่นนั้นก็เมาให้หนักกว่านี้ ไม่ต้องตื่นตลอดไปเขาหัวเราะเบาๆ ยกไหเหล้าที่อยู่ข้างกายขึ้น ดึงฝาทิ้ง แหงนหน้าก็กรอกเข้าปาก“เลิกดื่มได้แล้ว” ฉู่เชียนหลีเดินเข้าไป กดข้อมือของเขา แยกไหเหล้ามา โยนทิ้งไกลๆ “ก็แค่กลุ้มใจเรื่องค่ายลาดตระเวนไม่ใช่หรือ? ใช่