ชายคนนั้นพิงอยู่ตรงมุมกำแพง ข้างกายมีเหล้าหกกระจายเกลื่อนพื้น ไหเหล้าขนาดใหญ่ที่ว่างเปล่าหลายใบล้มคว่ำ ชุดสีขาวทั้งสกปรกและยับ ผมสีหมึกหลุดลุ่ยกระจัดกระจายอย่างยุ่งเหยิง คอตกอย่างหมดสภาพ ท่าทางที่กึ่งหลับกึ่งตื่นนั่น เสื่อมโทรมอย่างอธิบายไม่ได้“อ๋อง…หลี?”เป็นเขา!สภาพดูไม่จืดอย่างที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนบนร่างกายเขาเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าที่เข้มข้น สติสัมปชัญญะและการรับรู้ของเขาถูกเหล้าแรงกลืนกิน ยกศีรษะขึ้นอย่างตอบสนองช้า ในดวงตาที่ขุ่นมัวเหม่อลอยหาจุดศูนย์กลางไม่เจอเขาพลางส่ายศีรษะ พลางยกเปลือกตาขึ้นอย่างยากลำบาก ใช้แรงทั้งหมดที่มี พยายามอย่างมากจึงจะมองเห็นชัดเจน“ฉู่…ฉู่เชียนหลี?!”เป็นนางเป็นนางจริงหรือ?ความมีชีวิตชีวาเสี้ยวหนึ่งที่เพิ่งปรากฏในดวงตา พริบตานั้นก็ดับสลัวอีกครั้งนางเข้ามาในความฝันของเขา?ถ้าหากนี่เป็นความฝัน เช่นนั้นก็เมาให้หนักกว่านี้ ไม่ต้องตื่นตลอดไปเขาหัวเราะเบาๆ ยกไหเหล้าที่อยู่ข้างกายขึ้น ดึงฝาทิ้ง แหงนหน้าก็กรอกเข้าปาก“เลิกดื่มได้แล้ว” ฉู่เชียนหลีเดินเข้าไป กดข้อมือของเขา แยกไหเหล้ามา โยนทิ้งไกลๆ “ก็แค่กลุ้มใจเรื่องค่ายลาดตระเวนไม่ใช่หรือ? ใช่
“ข้าก็อยากรักษา ข้าก็อยาก…แต่ว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ…ฉู่เชียนหลี เจ้าไม่รู้หรอกว่าหลายปีมานี้ข้าอยู่อย่างไร…ข้าราวกับอยู่ในนรก ตายแล้วก็เกิดใหม่ เกิดใหม่แล้วก็ตาย เป็นเช่นนี้ซ้ำๆ ทรมานยิ่งกว่าตาย…”เขาพิงกำแพง คอตก เสียงในปากคลุมเครือแบกชื่อเสียงของลูกนางกำนัลไว้ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามการมองข้ามของฝ่าบาท ความอคติของพี่น้อง การกลั่นแกล้งของคนในวัง…เขาทนมามากพอแล้ว“ข้าอยากพิสูจน์ตัวเอง ของสิ่งเดียวที่ข้าต้องการ นั่นก็คือมีวันหนึ่ง สามารถแก้ไขชื่อมารดาผู้ให้กำเนิดของข้าให้ถูกต้อง…”เขาไม่ต้องการให้มารดาผู้ให้กำเนิดตายแล้ว ก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ และแบกรับคำด่าของผู้คนเขาไม่อยากให้ตนเองอดทนอดกลั้นทั้งชีวิต และยิ่งไม่อยากให้ลูกของตนเองได้รับอิทธิพลจากตัวเขา จนในวันข้างหน้าต้องมาลำบากกับเขาแต่ว่าฮูหยินเว่ยกลับหวังให้เขาไม่แย่งไม่ชิง อยู่อย่างสงบสุข ไม่ต้องทำอะไรเลย ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายตลอดไปเขาติดอยู่ตรงกลาง เดินหน้าไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้เขาเจ็บปวดมาก“ไม่มีใครเข้าใจข้า…ฉู่เชียนหลี ไม่มีใครสามารถเข้าใจข้าจริงๆ…พวกนางรู้จักแต่สอนให้ข้าทำเช่นนี้เช่นนั้น กลับไม่เคยถา
ในตรอกที่มืดสลัวและว่างเปล่า ตอนปลายมีดที่เป็นประกายวิบวับกดลงมา เสียงที่เบามากของฉู่เชียนหลีดังขึ้น “บางครั้ง การมีชีวิตก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง”ร่างกายเฟิงเจิ้งหลีสั่นเบาๆ ความแจ่มชัดเสี้ยวหนึ่งแลบผ่านดวงตาที่มึนเมา เห็นมีดสั้นเล่มนั้น ถอยร่างกายออกเหมือนกับสะดุ้งตกใจ“ฉู่เชียนหลี…”เขาโยนมีดทิ้งอย่างตื่นตระหนกเขากำลังทำอะไร?เมื่อครู่เขากำลังคิดอะไร?บ้าไปแล้ว?บ้าไปแล้วแน่ๆ!เขารู้สึกว่าชีวิตไม่มีอะไรเป็นดั่งหวัง ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา จมอยู่ในหุบเหวลึกมาโดยตลอด โลกทั้งใบของเขามืดมน ไม่มีแสงอาทิตย์ ไม่มีความหวัง มีเพียงความมืดที่ไม่รู้จบเหนื่อยมาก กลับตายไม่ได้ เขายังต้องตอบแทนบุญคุณเลี้ยงดูของฮูหยินเว่ยเขาไม่สามารถตัดสินใจแม้แต่ความเป็นความตายของตนเอง เขาก็เหมือนกับศพเดินได้ ไม่มีความคิด เหลือเพียงร่างกาย“ฉู่เชียนหลี…” ดวงตาที่ขุ่นมัวของเขาพยายามมองผู้หญิงตรงหน้า โซเซไปข้างหน้าสองก้าวอย่างมึนเมา พลันกระโจนลงพื้นอย่างเข่าอ่อน กอดต้นขาทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีไว้ พึมพำเสียงเบา“ฉู่เชียนหลี เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าอิจฉาเจ้ามากแค่ไหน…”อิจฉาที่นางปีนออกมาจากหุบเหวที่ลึกม
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร…“พระชายา!”“พระชายา…”นอกตรอก เจ้าดำน้อยที่ทำภารกิจเสร็จสับอุ้มเท้าวิ่งเข้ามา ข้างหลังตามมาด้วยเยว่เอ๋อร์กับอวิ๋นอิง และยังมีเด็กรับใช้ของจวนอ๋องหลี“ท่านอ๋อง ที่แท้ท่านอยู่นี่เอง! ท่านอ๋อง!”เด็กรับใช้วิ่งเข้าไปด้วยความตื่นเต้น เพิ่งสัมผัสโดนแขนของเฟิงเจิ้งหลี ร่างกายที่หนักอึ้งของเขายิ่งกดทับลงมาที่ตัวฉู่เชียนหลี“พระชายาระวัง!” อวิ๋นอิงรีบยันเอวของฉู่เชียนหลีไว้ กล่าวกับเฟิงเจิ้งหลี “อ๋องหลี พระชายาของเรามีครรภ์ ท่านโปรดลุกขึ้น”สิ้นเสียง ไม่ได้รับการตอบกลับ“อ๋องหลี?”พลันเยว่เอ๋อร์เข้ามาดู ก้มลง สังเกตอย่างละเอียดและระมัดระวังสองวินาที กลิ่นเหล้าที่เข้มข้นฉุนจนทำให้นางขมวดคิ้ว“เหมือนเขาหลับแล้ว?”ฉู่เชียนหลีดึงมือของเขา กลับพบว่ามือทั้งสองข้างของเขาโอบต้นขานางไว้แน่ เอาไม่ออกอวิ๋นอิงกับเยว่เอ๋อร์ก็ลองดูเช่นกัน มือของเขาเหมือนถูกเชื่อม ‘ติด’ กับตัวฉู่เชียนหลี แม้นอนหลับแล้ว ก็แยกไม่ออกฉู่เชียนหลีขมวดคิ้วร้องไห้ก็ส่วนร้องไห้ โวยวายก็ส่วนโวยวาย กอดนางหมายความว่าอย่างไร?ในเมื่อหาคนเจอแล้ว เช่นนั้นก็วางใจแล้ว หันไปกล่าวกับเด็กรับใช้ของจวนอ๋
ฉู่เชียนหลีเงยหน้า มองเห็นเฟิงเย่เสวียนผลักประตูเข้ามาจากเงาสะท้อนของกระจกสัมฤทธิ์ บนใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนสายหนึ่ง“เสร็จงานแล้วหรือ?”“อืม”เฟิงเย่เสวียนเดินไปที่ข้างหลังนาง รับผ้าเช็ดหน้ามาจากมือนางอย่างเป็นธรรมชาติ ม้วนผมที่ยาวไปถึงเอวของนาง แล้วกดเบาๆ เพื่อซับน้ำให้แห้งหลังจากนั้นโคจรกำลังภายในมาที่ฝ่ามือ ปัดผ่านระหว่างเส้นผมของนางตั้งแต่บนลงล่าง ทุกที่ที่ฝ่ามือไปถึง ผมค่อยๆ แห้งทีละนิด เงางามเหมือนหมึกฉู่เชียนหลียิ้มแล้ว “กำลังภายในของเจ้าใช้ดียิ่งกว่าไดร์เป่าผมเสียอีก และไม่ทำร้ายเส้นผมด้วย ยังสามารถใช้ต้มน้ำแกง ทอดไข่ด้วยใช่หรือไม่?”เฟิงเย่เสวียนมองนางในกระจกสัมฤทธิ์ ดวงตาสีหมึกลึกล้ำไม่เห็นก้นบึ้ง ริมฝีปากบางโค้งเล็กน้อย“ถ้าเชียนหลีต้องการ ใช่ว่าจะไม่ได้”เสียงสงบเป็นพิเศษ ภายใต้การหนุนเสริมของยามราตรีฉู่เชียนหลีกลับอยากลองด้วยตนเอง แม้นางมีกำลังภายในที่แข็งแกร่ง และยังเป็นเคล็ดวิชาเหมันต์ แต่โอกาสที่ได้ใช้นั้นมีน้อยมาก ประกอบกับตั้งครรภ์ จึงไม่เหมาะที่จะลงมือหรือไม่พรุ่งนี้ลองทอดไข่ดู?อืม เช่นนั้นก็ลองดู!พลันใบหน้าเล็กเคร่งขรึม ครุ่นคิดอย่างจริงจ
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?” นางตะลึงงันแม้อ๋องหลีไม่ได้รับความโปรดปราน แต่ก็เป็นองค์ชาย ประกอบกับเรื่องที่พระชายาอ๋องหลีตั้งครรภ์ กำลังเป็นที่สนใจ ใครกันที่จะล่วงเกินอ๋องหลีในช่วงเวลานี้?อ๋องหลีอ่อนโยนและสงบเสงี่ยมมาโดยตลอด มีศัตรูไม่มาก แล้วใครกันที่ลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้?อวิ๋นอิงส่ายศีรษะเบาๆ “ข้าแค่ได้ยินมา แต่ความจริงก็ใกล้เคียงแล้ว ข้าก็ไม่รู้รายละเอียดเช่นกันเจ้าค่ะ”เยว่เอ๋อร์กุมหน้าอก ตกใจเล็กน้อย“ถูกทำร้ายจนมือหัก น่ากลัวจัง…ตกลงเป็นคนร้ายที่ไหนนะ! พระชายา โชคดีที่เมื่อคืนพวกเรากลับมาเร็ว ถ้าหากอยู่กับอ๋องหลีอีกสักพัก พวกเราจะไม่ซวยไปด้วยหรือ?!”คิ้วบางฉู่เชียนหลีขมวดเล็กน้อยทันทีที่นางไป อ๋องหลีก็เกิดเรื่อง?ไม่รู้เพราะเหตุใด มักจะรู้สึกว่ามันแปลกๆ…นางเม้มปาก สำหรับเรื่องนี้ไม่สะดวกที่จะพูดแทรก และไม่มีสถานะที่จะพูดแทรก กลืนความคิดที่อยู่ในลำคอลงไป เอ่ยปากอย่างเรียบเฉย“ล้างหน้าล้างตาให้ข้า”“เจ้าค่ะ พระชายา วันนี้แดดดีมากเลย บ่าวตั้งเก้าอี้นอนไว้ที่สวน ปูผ้านวมไว้แล้ว พอดีเลย ท่านกินข้าวเสร็จสามารถไปพักผ่อนสักครู่”อาหารถูกยกขึ้นโต๊ะฉู่เชียนหลีถือตะเกียบ คีบผั
พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอกโดยไม่รู้ตัว เงยหน้ามองไป ประสานกับสายตาของเฟิงเย่เสวียนที่อ่อนโยนและมีเจตนายิ้ม เหตุใดจึงรู้สึกร้อนตัว…นางสงสัยเขาได้อย่างไร…รีบปัดความคิดฟุ้งซ่านในใจออกไป กล่าวอธิบาย“ดูเหมือนช่วงนี้เจ้ายุ่งมาก ข้าก็เลยลองถามหานเฟิง มีตรงไหนที่ต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ ข้าอยากแบ่งเบาภาระของเจ้า”เฟิงเย่เสวียนเดินเข้ามา “มันก็มีเรื่องให้เจ้าช่วยจริงๆ นั่นแหละ”“หืม?” ฉู่เชียนหลีเอียงศีรษะยินดีมากนางบำรุงครรภ์ในจวนทุกวัน สิ่งที่ทำเยอะที่สุดในแต่ละวันก็คือกินๆ ดื่มๆ กินจนอ้วนขึ้นยี่สิบชั่งแล้ว หากยังไม่หาอะไรทำหน่อย เกรงว่าจะกลายเป็นคนอ้วนที่หนักสองร้อยชั่งแล้ว เฟิงเย่เสวียนเดินเข้ามาใกล้เก้าอี้นอน นั่งยองลงอย่างช้าๆ ฝ่ามือใหญ่ลูบท้องของนางเบาๆ สายตาลึกซึ้งและอ่อนโยน“คลอดเจ้าอ้วนน้อยให้ข้า หรือมันไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรทำมากที่สุด? เมื่อมีลูกแล้ว เจ้าน่าจะยุ่งจนไม่มีเวลาออกจากบ้านแล้วกระมัง?”ฟังเหมือนเป็นคำพูดที่ห่วงใย แต่ก็เหมือนมีความหมายที่ลึกซึ้งแฝงอยู่ฉู่เชียนหลีไม่ทันได้คิดอย่างละเอียด เขากล่าวต่อ“ทางห้องครัวมารายงาน เจ้าไม่กินข้าว เกิดอะไรขึ้น?”“ข
เขามอบสิ่งที่ดีที่สุดในโลกให้นางจริงๆ——ความรักของเขาแต่นางก็ตอบสนองกลับอย่างสอดคล้องเช่นกัน อยู่เคียงข้างเขาอย่างสุดจิตสุดใจ ช่วยเขาแบ่งเบาภาระ เกื้อหนุนเขาและอบรมสั่งสอนลูกคนสองคนอยู่ด้วยกัน มันคือการเสียสละให้กันและกันฉู่เชียนหลีกลืนอาหารที่อยู่ในปากลงไปอย่างฝืนใจ “เจ้ารู้สึกว่าข้าไม่ได้เสียสละเลย?”“ข้าไม่เคยมีความคิดเช่นนี้” เขาส่ายศีรษะ “เจ้ามอบครอบครัวให้ข้า เป็นครอบครัวที่อบอุ่น สิ่งนี้มันล้ำค่ายิ่งกว่าสิ่งใดในโลก”เขาหลุบตา มองไปที่ท้องของนางอีกห้าเดือนกว่า ลูกของพวกเขาก็จะเกิดแล้วสิ่งที่สวยงามที่สุดในความรัก ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำว่าลูกเขาวางตะเกียบลงในมือของนาง “กินปลาตัวนี้ให้หมด”“ข้าไม่อยาก…”“หมอหลวงบอกว่ากินปลาดีต่อลูก ในโลกนี้มีผู้หญิงคนไหนไม่รักลูกของตัวเอง? ต่อให้คลื่นไส้ เชียนหลีก็จะกินให้หมดแต่โดยดีใช่หรือไม่?” เขาลูบศีรษะนางเบาๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแสงอาทิตย์สาดส่องลงบนร่างกาย อบอุ่นเป็นพิเศษ แต่ฉู่เชียนหลีกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องความหมายของเขาคือหากนางไม่กิน ก็ไม่รักลูกอย่างนั้นหรือ?แม้รู้สึกว่าคำพูดของเขาแปลกมาก แต่เขายังคงเป็นห่วง