ฉู่เชียนหลี?!เฟิงเจิ้งอวี้รู้สึกประหลาดใจมาก ดึกเช่นนี้แล้ว จู่ๆ นางมาปรากฏตัวนอกประตูวังได้อย่างไร? หรือว่าได้รับข่าวอะไร? เป็นไปไม่ได้!เฟิงเย่เสวียนไปค่ายทหาร ไม่มีทางรู้เรื่องในวัง ฉู่เชียนหลีมาได้อย่างไร?มองดูผู้หญิงที่โผล่ออกมาจากกลางอากาศ ทันใดนั้นทำเอาเฟิงเจิ้งอวี้ที่เตรียมวางแผนชิงบัลลังก์ไปไม่ถูกแล้วฉู่เชียนหลีค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ กวาดมองทหารที่มืดสนิทแวบหนึ่ง เอียงศีรษะ มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน“ดึกเช่นนี้แล้ว ฝนยังตกหนักเช่นนี้ รัชทายาทไม่นอนอยู่บ้านดีๆ นี่จะทำอะไร?”นางยิ้มแย้ม ให้ความรู้สึกเหมือนรู้อยู่แล้วยังจะถามเฟิงเจิ้งอวี้จ้องนางอย่างเย็นชา ไม่อยากสนใจนางเลยสักนิด หากยังเสียเวลาต่อไป รอเฟิงเย่เสวียนรู้ตัว ก็ไม่ทันแล้วเขาชูกระบี่ขึ้น กล่าวเสียงดังอย่างเย็นชา“เข้าวัง!”“ช้าก่อน!” ฉู่เชียนหลีเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ขวางเขาไว้ “รัชทายาทไม่ควรไม่รู้กฎที่ว่านอกจากทหารรักษาพระองค์ ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นพกอาวุธเข้าวังกระมัง?”เขากลับดีมาก ไม่เพียงตนเองพกอาวุธ ยังจะพาทหารเข้าไปด้วยช่างเป็นความคิดสุมาเจียว คนเดินถนนยังรู้จริงๆ!ใจกล้ายิ่งนัก!เฟ
ในค่ำคืนที่ฝนตก เสียงที่แข็งแกร่งสายหนึ่งดังฉีกอากาศทุกคนหันไปมองโดยไม่รู้ตัว เห็นเพียงชายสวมชุดผาวสีหมึกค่อยๆ เดินมา…อ๋องเฉิน?เฟิงเย่เสวียน?เฟิงเจิ้งอวี้เห็นเขา รู้สึกประหลาดใจมาก เมื่อเห็นทหารองครักษ์เงาที่ฝีเท้าพร้อมเพรียง และได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีที่อยู่ข้างหลังเขา สายตาเคร่งขรึมจนถึงขีดสุดทันทีเขาไปค่ายทหารแล้วไม่ใช่หรือ?มาเร็วเช่นนี้เลย?เขา…ถูกจับได้นานแล้ว?ฉู่เชียนหลีมองเฟิงเย่เสวียน ตะลึงงันครู่หนึ่ง คำนวณเวลาที่เขาไปกลับค่ายทหาร เป็นไปไม่ได้ที่จะมาเร็วเช่นนี้ หรือว่า…เขาไม่ได้ไปค่ายทหาร? แต่ซุ่มอยู่ที่นี่มาโดยตลอด?เช่นนี้ก็เท่ากับว่า เขารู้เรื่องที่รัชทายาทจะก่อกบฏนานแล้ว? หานเฟิงถือร่มกระดาษน้ำมัน เฟิงเย่เสวียนกุมบาดแผลที่หน้าท้อง ค่อยๆ เดินเข้ามา ทหารองครักษ์เงาที่อยู่ข้างหลังเหยียบย่ำน้ำฝน สาดกระเซ็นลอยขึ้นสูง น่าเกรงขามอย่างยิ่งเดินเข้ามาใกล้ เงยหน้า“ดึกเช่นนี้แล้ว พี่ใหญ่มาทำอะไรที่นี่?”เขาถามทั้งที่รู้อยู่แล้วสีหน้าเฟิงเจิ้งอวี้เคร่งขรึมเป็นพิเศษ เมื่อเห็นเฟิงเย่เสวียน มีความคิดที่เลวร้ายที่สุดปรากฏขึ้นในใจ…เฟิงเย่เสวียนมาแล้ว แสดงว่าเข
เปรี้ยง…สายฟ้าแลบฉีกท้องฟ้ายามค่ำคืน ฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว ฝนที่ตกกระหน่ำเหมือนน้ำท่วมที่ทำลายเขื่อนภายในห้องทรงอักษรฮ่องเต้นั่งอยู่หลังโต๊ะมังกร ถือพู่กันไว้ในมือ ตรวจฎีกาไม่หยุด สายฟ้าแลบสะท้อนใบหน้าข้างของเขา เขาเม้มปากแน่น หน้าบึ้ง ความเกลียดชังแผ่ซ่านอยู่ในความว่างเปล่าการกระทำที่ตรวจฎีกาเร็วขึ้นเรื่อยๆและเขียนอักษรเร็วขึ้นเรื่อยๆซ่า!ซ่าๆ!ซ่าๆๆ!ทันใดนั้น ลุกขึ้นฉับพลัน โยนพู่กันทิ้ง สองมือจับขอบโต๊ะ คำรามด้วยความโกรธ พลิกโต๊ะคว่ำโดยตรง!ปัง!กลุ่มขันทีตกใจจนเข่าอ่อนคุกเข่าลงพื้น “ฝ่าบาทพระทัยเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”ฝน ตกลงมาตลอดคืน รุ่งสางจึงจะซาประชุมเช้าภายในตำหนักต้าเฉิน ขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อยยืนอยู่ในตำแหน่งของตนเองอย่างเรียบร้อย ฮ่องเต้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่มืดมน หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการ ก็นั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่พูดอะไรสักคำเหล่าขุนนางรู้สึกถึงความผิดปกติเต๋อฝูขันทีข้างกายมองสีหน้าเขาอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง หลังจากนั้นสองสามวินาที เดินออกไปข้างหน้าสองก้าว กล่าวเสียงดัง “ฝ่าบาทมีราชโองการ!”ขุนนางนับร้อยคุกเข่าเต๋อฝูหยิบม้วนกระดาษสีเหลืองสดมาจากถาด
ฉู่เชียนหลีตะลึงงันทันที หลุบตาลงเล็กน้อย มองไปทางจดหมายที่อยู่บนโต๊ะข้างในจดหมายฉบับนี้ได้เล่าเรื่องราวที่รัชทายาทมีเจตนากบฏ จิ่งอี้เป็นคนส่งเข้าวัง คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้สามารถคาดเดาความสัมพันธ์ของนางกับจิ่งอี้ผ่านจดหมายฉบับนี้สายตาเฉียบคมมาก!นางรีบตอบกลับทันที “ตอนที่หม่อมฉันไปจัดการโรคระบาดในเมืองตงหนิง บังเอิญได้รู้จักกับเถ้าแก่จิ่ง ศึกษายาและช่วยเหลือราษฎรร่วมกับเขา เคยมีมิตรภาพต่อกันหลายวัน”“หลังจากกลับเมืองหลวง เคยไปมาหาสู่กันหนึ่งครั้ง พวกเราเป็นเพื่อนกันเพคะ”“หือ?” ฮ่องเต้มองฉู่เชียนหลีด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ทำให้คาดเดาความคิดของเขาในเวลานี้ไม่ออกเมื่อคืน เขาได้รับข้อความสองข้อความข้อความแรกมาจากอ๋องเฉิน อีกข้อความมาจากจิ่งอี้จิ่งอี้เป็นสามัญชน เถ้าแก่ของโรงหมอแห่งหนึ่ง กลับมีใจอุทิศตนช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์โดยไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ และยังสามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของรัชทายาท เกรงว่าไม่ใช่คนธรรมดาแต่เขากลับพบว่าจิ่งอี้กับฉู่เชียนหลีมีความเกี่ยวข้องกันหากฉู่เชียนหลียืมมือจิ่งอี้ มีความคิดนอกรีตอะไร…ดวงตาที่ขุ่นมัวของฮ่องเต้ขรึมลงเล็กน้อย “เขาเป็นคนฉลาด กลับไม่ยอมเข้าร
เมื่อราชโองการประกาศออกมา ทั้งเมืองหลวงเหมือนหม้อข้าวต้มเดือดปุดๆ เดือดพล่านราวกับจะระเบิด“รู้หรือยัง? เนื่องจากรัชทายาทฆ่าคนดี ทำให้ฮ่องเต้ผิดหวังมาก ดังนั้นจึงถูกปลด!”“ไม่ใช่ๆ ข้าได้ยินมาว่าเป็นเพราะเขาไม่มีลูกชาย ไม่สามารถสืบทอดทายาทรุ่นหลัง ใครสามารถให้กำเนิดหลานชายองค์โต คนนั้นจะถูกแต่งตั้งเป็นรัชทายาทคนใหม่…”“เหมือนว่าได้กระทำความผิดครั้งใหญ่…”“บลาๆ…”ทุกคนเจ้าพูดหนึ่งคำ ข้าพูดหนึ่งประโยค น้ำลายสาดกระเซ็นไปทั่ว ซุบซิบทะยานขึ้นฟ้าเวลานี้ จวนรัชทายาทถูกเหล่าทหารปิดล้อมไว้อย่างแน่นหนา สามก้าวหนึ่งคน ห้าก้าวหนึ่งหน่วย ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าใกล้ ชาวบ้านมากมายยืนดูห่างๆ ชะโงกศีรษะอย่างคึกคักชายวัยกลางคนสวมเสื้อเนื้อหยาบคนหนึ่ง แบกเข่งที่ใส่ผักจนเต็มสองเข่งพยายามเข้าไป กลับถูกทหารคนหนึ่งขวางไว้“หยุดอยู่ตรงนั้น! ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกจวนรัชทายาท!”ชายวัยกลางคนคนนั้นถูกผลักจนเกือบล้ม จับเข่งที่หนักอึ้งไว้ “โอ๊ย! ใต้เท้า ข้าน้อยส่งผักให้จวนรัชทายาทประจำทุกวัน รับเงินแล้ว ก็ต้องส่งของนะขอรับ!”“หากไม่ส่งผลักเข้าไป ปล่อยให้คนในจวนอดตายก็คงไม่ได้กระมัง…หร
“ไร้ประโยชน์!”“ไอ้พวกลูกสุนัข”“ไอ้พวกสารเลว!”เฟิงเจิ้งอวี้เหวี่ยงกระบี่ด้วยความโกรธแค้น ฟันสิ่งของใกล้ๆ ที่สามารถสัมผัสถึงมั่วซั่ว เสื้อผ้ายุ่งเหยิง ราวกับเป็นคนบ้า“อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวากงล่ะ? กงเจิ้งหงล่ะ! ให้เขามา!”กงเจิ้งหงเป็นมือซ้ายมือขวาของเขาหลายปีมานี้ เรื่องมากมายที่เขาทำ ล้วนวางแผนโดยกงเจิ้งหง“หากข้าเป็นอะไรไป เขาก็อย่าคิดหลุดพ้น!”“รัชทายาท…”เวลานี้เอง นอกประตู ชายวัยกลางคนสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบคนหนึ่งวิ่งเข้ามา กระชากหนวดที่อยู่บนใบหน้าทิ้ง ถอดหมวกผ้าที่สกปรกออกจากศีรษะ กลายเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวากงเจิ้งหง!เฟิงเจิ้งอวี้เห็นเขา วิ่งเข้าไปราวกับเห็นความหวังเสี้ยวสุดท้าย “ใต้เท้ากง!”เขาจับมือเขา “เร็ว! ฮ่องเต้ประกาศราชโองการปลดรัชทายาทแล้ว ยิ่งกว่านั้นจะกักบริเวณข้าสามปี ข้าจะถูกปลดเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด รีบคิดหาวิธีเร็ว!”เขาไม่อยากจบสิ้นทั้งเช่นนี้หากยึดสถานะรัชทายาท และกักบริเวณสามปี ปล่อยให้เขามีชีวิตเช่นนี้ ไม่สู้แทงเขาตายในกระบี่เดียวยังดีเสียกว่ากงเจิ้งหงกวาดมองความยุ่งเหยิงข้างนอกแวบหนึ่ง วิ่งเข้าไปในห้องหนังสือ ปิดประตูอย่างระมัดระวัง“รัชทา
จวนอ๋องเฟิง“เป็นอย่างไร?” พระชายาอ๋องเฟิงนั่งอยู่บนเก้าอี้นุ่ม ข้อมือพลิกขึ้น วางอยู่บนโต๊ะ มองไปทางฉู่เชียนหลีที่กำลังตรวจชีพจรให้นางไม่เจอกันหลายวัน สีหน้านางดูดีขึ้นมากฉู่เชียนหลีจับชีพจรสักพัก เหลือบมองท่าทางที่ร้อนใจของพระชายาอ๋องเฟิงแวบหนึ่ง นางค่อยๆ เก็บมือกลับ เอ่ยปากอย่างใจเย็น“ผลข้างเคียงที่เกิดจากการแท้งลูก บำรุงแล้วเจ็ดแปดส่วน”“เช่นนั้นข้าสามารถตั้งครรภ์หรือไม่!” นางรีบกล่าวถามต่อนี่จึงจะเป็นปัญหาที่นางห่วงปัจจุบันรัชทายาทถูกปลด ส่วนอ๋องเฟิงที่เป็นลูกชายคนที่สองมีคุณสมบัติเป็นรัชทายาทที่สุด พระชายาอ๋องเฟิงย่อมอยากตั้งครรภ์และให้กำเนิดลูกในเร็ววันแต่ลูกใช่สิ่งที่อยากมีก็สามารถมีได้เลยหรือ?ฉู่เชียนหลีกล่าวอย่างไม่เร่งไม่รีบ “ร่างกายของท่านยังคงแย่มาก ต้องค่อยๆ บำรุงไปเรื่อยๆ เดิมทีก็เป็นร่างกายที่ตั้งครรภ์ยากอยู่แล้ว ถ้าหากฝืนตั้งครรภ์จนได้ ก็ใช่ว่าจะสามารถรักษาไว้เสมอไป”พระชายาอ๋องเฟิงไม่อยากฟังคำพูดตามสูตรเหล่านี้ หลายปีมานี้ นางฟังจนหูแทบด้านแล้วตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง“ไม่ว่าเจ้าต้องการเงินเท่าไร เงินทองไข่มุกอัญมณีหรือของอะไรก
ฉู่เชียนหลีย่อมจำได้อยู่แล้วตอนนั้น ทุกคนก้าวออกมาตำหนินาง คิดว่านางเป็นคนจิตใจอำมหิต วางแผนทำร้ายทายาทราชวงศ์ มีเพียงพระชายาอ๋องติ้งที่พูดแทนนางและก็เพราะเรื่องนี้ นางกับพระชายาอ๋องติ้งจึงได้ผูกมิตรภาพร่วมกันแต่เพราะเหตุใดนางต้องรักษาพระชายาอ๋องเฟิงล่ะ?อาจเป็นเพราะมีศัตรูเพิ่มขึ้นหนึ่งคน ไม่สู้มีสหายเพิ่มขึ้นหนึ่งคน? หรืออาจเป็นเพราะพระชายาอ๋องเฟิงแต่งงานแปดปี อายุใกล้สามสิบปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีลูก ในฐานะที่เป็นผู้หญิง ไม่สามารถเป็นแม่คน มันไม่สมบูรณ์ คงจะประมาณว่าสงสารนาง?ฉู่เชียนหลียิ้มแย้ม “พี่อวี๋ ท่านวางใจเถอะ ข้ารู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร รู้จักแยกแยะ”พระชายาอ๋องติ้งตบหลังมือนาง กล่าวกำชับ“เจ้านี่นะ ไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่น ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สามารถทำให้เจ้าเจ็ดหลงหัวปักหัวปำ…โอ๊ย ไม่สนใจเจ้าแล้ว เจ้าจะทำอะไรระวังหน่อยก็แล้วกัน นิสัยของพระชายาอ๋องเฟิงโหดเหี้ยมมาก มีแค้นต้องชำระ ไม่ใช่คนดีอะไร”ท่าทางที่กำชับอย่างเอาใจใส่ของนางอ่อนโยนมาก ใจดีมาก ทำให้คนอยากใกล้ชิดนางโดยไม่รู้ตัวบนตัวนางมักจะมีกลิ่นอายเช่นนี้อ่อนโยน สบายๆเพราะตลอดหลายปีมานี้ นางไม่แย่งไม่ชิง ไม่สนใ
อันธพาลเจ็บจนกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด “อ๊ะๆ!”ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็โดนถีบจนไปกลิ้งอยู่บนพื้น รองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนหน้าอก หนักจนทำให้เขาหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมา“พู่!”เขากอดต้นขาของอวิ๋นอิง อยากดิ้นให้หลุด แต่หาของอวิ๋นอิงกดทับอยู่บนร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า และเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ถูกตอกตะปูอยู่บนเขียง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเจอผีแล้ว!ทั้งที่นางผอมเช่นนี้ เหตุใดจึงมีแรงมากเช่นนี้?ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?ชาวบ้านก็ตะลึงเช่นกันอวิ๋นอิงอุ้มลูกสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ ก้มลง ยกฝ่ามืออีกข้าง เหวี่ยงไปที่ใบหน้าของอันธพาลโดยตรง“ข้าสั่งให้เจ้าเก็บ”เพียะ!“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”เพียะ!“หูหนวกหรือ?”เพียะ!หนึ่งประโยค หนึ่งฝ่ามือ ตบจนอันธพาลหันซ้ายหันขวา มุมปากแตกมีเลือดไหล หูอื้อ สะบักสะบอมเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ไม่หลงเหลือความฮึกเหิมของก่อนหน้านี้เลย“ลูกพี่!”ลิ่วล้อสามคนคว้าโต๊ะเก้าอี้และท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ฟาดไปทางอวิ๋นอิงอย่างแรงอวิ๋นอิงกระโดนหมุนตัวเตะพวกเขาสามคนจนลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร โดยไม่หั
ตงหลิงเจียงหนาน ทำเนียบสามเดือนที่พระชายาจากไป อ๋องเฉินเอาแต่เก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หานเฟิงต้องรับผิดชอบงานแทนทุกอย่าง เมื่อนานวันเข้า โลกภายนอกต่างกำลังคาดเดา จิตใจของอ๋องเฉินได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เกรงว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วช่วงนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้ก็ดีขึ้นแล้วอาการบาดเจ็บทางกระดูกหรือเส้นเอ็น ต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันในที่สุดกระดูกซี่โครงที่หักสองซี่ก็หายดีแล้ว สามารถขี่ม้าได้แล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่าจะนำทัพกลับแคว้นซีอวี้ทันทีแต่ก่อนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ“เหตุใดไม่เจอแม่นางอวิ๋นอิงเลย?”จ้านหูจริงจังขึ้นมาทันที เขาตอบ“องค์ชายใหญ่ ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้!”“ไม่ต้อง”หลังจากปฏิเสธอย่างเฉยเมย ปีนขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปคนเดียวแล้วจ้านหู “?”หมายความว่าอย่างไร?ตอนที่องค์ชายใหญ่หมดสติ แม้อวิ๋นอิงบอกว่าไม่สนใจ แต่แอบมาเยี่ยมองค์ชายใหญ่ตอนดึกดื่นเวลาที่ไม่มีคนองค์ชายใหญ่ก็อีกคน ทั้งที่คิดถึงอวิ๋นอิง แต่ไม่ยอมรับในใจของพวกเขาสองคนล้วนมีอีกฝ่าย ลูกสาวก็อายุเกือบครึ่งขวบแล้ว เหตุใดไม่ลองเปิดใจสักนิดแล้วอยู่ด้วยกันเลย
คืนแรกที่มาถึงต่างโลก ฉู่เชียนหลีฝันในความฝัน นางอยู่บนสนามรบ สู้จนตัวตาย เลือดไหลเป็นแม่น้ำ น่าสลดใจนัก…ในความฝัน นางได้ต่อสู้ร่วมกับชายคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่วมเป็นร่วมตาย และยังมีเสียงที่นุ่มนิ่มของเด็ก เรียก ‘ท่านแม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน ราวกับนางได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ หัวใจเจ็บปวด และพยายามอธิบายสุดชีวิต แต่พวกคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ครอบครัว’ ไม่เชื่อนาง และยังบีบคั้นนางสู่เส้นทางที่สิ้นหวังในความฝัน…มีคนกำลังเรียกนาง‘เชียนหลี…เชียนหลี…’ฉึก!ฉู่เชียนหลีลืมตาฉับพลัน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอากาศ สงบมากนางรู้สึกเวียนศีรษะ และแน่นหน้าอกราวกับนางอยู่ในความฝันอันยาวนานจริงๆนางได้รับความอยุติธรรมนางถูกคนในครอบครัวฆ่าตายแต่เหตุใดนางจำผู้ชายที่เรียกนาง และภาพที่เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ได้เลย“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”เมื่ออ้ายอ้ายได้ยินเสียง ถือกะละมังน้ำอุ่นกับเครื่องใช้เข้ามาปรนนิบัติฉู่เชียนหลีนวดขมับ อยู่ในอาการเหม่อลอย แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงขยับ ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง สวมรองเท้
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบฝนหมึกอย่างเชื่อฟังมองดูองค์หญิงรีบหยิบพู่กัน เขียนอะไรบางอย่าง ท่าทางที่รีบร้อนนั่น เมื่อก่อนเวลาที่นังเป็นห่วงคุณชายเซิ่น ยังไม่รีบร้อนเช่นนี้เลยองค์หญิงกระโดดสระน้ำ หมดสติไปสามวัน หลังจากฟื้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย?นิสัยเปลี่ยนไปน้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่เมื่อลองตั้งใจมอง องค์หญิงยังคงเป็นองค์หญิง ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยฉู่เชียนหลีเขียนอย่างรวดเร็ว…อ๋องเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยู่แคว้นหนานยวน…พลางเขียน พลางกล่าวอย่างรีบร้อน “รีบไปหาคน ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้อ๋องเฉินที่ตงหลิงเจียงหนาน”นางอยากบอกความจริงกับเฟิงเย่เสวียน ต่อให้ตนลืมแล้ว แต่เฟิงเย่เสวียนจำนางได้เขาจะต้องมาหานางแน่นอนไม่ช้าก็เร็วสักวัน พวกเขาครอบครัวสี่คนจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา“อ๋องเฉินแห่งตงหลิงเจียงหนาน?”สาวใช้เกาศีรษะด้วยความสงสัย “องค์หญิง ท่านส่งจดหมายให้อ๋องเฉินทำไม? ท่านรู้จักอ๋องเฉินตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรีบกล่าว“อธิบายกับเจ้าไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับอ๋องเฉินไม่ธรรมดา…อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินตงหลิง?”เงยหน้าฉับพลัน“ข้ารู้จักอ๋องเฉ
ทุกคน “...”สีหน้าฮ่องเต้หนานยวนดูไม่ดีนัก เซิ่ยซือเฉินเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เพื่อบัณฑิตคนหนึ่ง ต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้เลย ต้องตื่นเต้นเช่นนี้เลย?ในฐานะองค์หญิง ไม่ควรมองให้ไกลกว่านี้หน่อยหรือ?เพื่อป้องกันจวินลั่วยวนทำร้ายตัวเอง เขาออกคำสั่ง มัดมือและเท้าของนางโดยตรงจวินลั่วยวนขยับไม่ได้แล้วเห็นท่าทางที่จะยิ้มไม่ยิ้มของฉู่เชียนหลี และยังเลิกคิ้วอย่างยั่วยุ นางโมโหจนแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ไปจากตำหนักองค์หญิงฉู่เชียนหลีกับหลิงอี้ซิงเดินเคียงข้างกันจากไป เมื่ออารมณ์ดี จังหวะการเดินก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเบาๆฮัมไปฮัมมา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงอี้ซิงเป็นผู้มีจิตใจเมตตา อุทิศตนให้กับความดีและคุณธรรมหยุดฝีเท้าหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านน่าจะเห็นกระมัง ว่าข้าจงใจรังแกจวินลั่วยวน?”หลิงอี้ซิงเดินตามปกติ สายตามองไปข้างหน้า พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน ตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว“อืม”“ท่านไม่รู้สึกว่าข้านิสัยไม่ดีหรือ?”เขาหยุดเดินหันมามองนาง กล่าวอย่างจริงจัง “ที่เจ้ารังแกนาง นั่นก็ต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินเจ้าก่อนแน่นอน ล้วนเป็นความผิดของนาง”เขาไ
“ยวนเอ๋อร์! ยวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้หนานยวนร้อนใจจนหน้าถอดสี “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ยวนเอ๋อร์เสียเลือดมากเกินไป หมดสติไปแล้ว!”จวินลั่วยวนที่ ‘เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติ’ “...”เจ้าน่ะสิที่เสียเลือดมากเกินไปเจ้าเสียเลือดมากเกินไปทั้งครอบครัว!หมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากทำแผลให้จวินลั่วยวนเสร็จ ถอนหายใจด้วยความกังวล “สามเดือนแล้ว ในที่สุดเอ็นขององค์หญิงก็เชื่อมต่อกัน คิดไม่ถึงว่าขาดอีกแล้ว ความพยายามในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า” ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสามเดือน เปิดบาดแผล บำรุงเอ็นทุกวันเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำนี้ เบ้าตาแดงฉับพลัน“ล้วนเป็นความผิดของข้า…”นางดึงชายเสื้อของหลิงอี้ซิง กล่าวเสียงสะอึก“ท่านพี่ ข้ามันไม่ดี ต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณชายเซิ่นแน่ องค์โกรธข้า ไม่ชอบข้า จึงฟาดมือของตัวเองใส่เสา เพื่อเป็นการแสดงความรังเกียจต่อข้า”“ข้าทำร้ายนาง ฮือๆ…”หลิงอี้ซิงรักน้องสาว ทุกคนในแคว้นหนานยวนรู้เรื่องนี้แล้วฮ่องเต้หนานยวนกล่าวโทษนางได้อย่างไร?กลับกัน เขายังต้องขอร้องหลิงอี้ซิงทักษะการทำนายของหลิงอี้ซิงมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้ฟ้า ตลอดหลายปีที่เขานั่งตำแหน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง จวินลั่วยวนนอนหลับแล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน หน้าซีดซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง“เหตุใดข้อมือของนางยังมีเลือด?”สามเดือนแล้ว แผลยังไม่หาย?นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตอบ“หมอหลวงบอกว่า จะใช้ยาพิเศษรักษาเอ็นมือและเท้าที่ขาดขององค์หญิง จำเป็นต้องเปิดแผล ขยับเอ็นที่ขาดไปรวมกันทุกวัน จนกระทั่งเชื่อมต่อกัน”“ฮืม?”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ก็เท่ากับว่า จวินลั่วยวนต้องทนกับความเจ็บปวดที่ใช้มีดเปิดปากแผลทุกวันติดต่อกันสามเดือนเต็มๆ น่าสังเวชน่าจะเจ็บมากกระมัง?นางค่อยๆ นั่งลง จับข้อมือของจวินลั่วยวนเบาๆ มองผ้าพันแผลที่ถูกพันห้าหกรอบอย่างครุ่นคิดทันใดนั้นออกแรงกดที่นิ้ว“ซี้ด…!”จวินลั่วยวนเจ็บจนตื่น ลืมตาทันทีฉู่เชียนหลีรีบปล่อยมือ “โอ๊ย…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจแตะตัวท่าน ดูท่านเจ็บมากเลยนะ ขอโทษจริงๆ”“!”หลินเหยี่ยมาอยู่ในตำหนักของนางได้อย่างไร?นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้ที่สุด!อาศัยที่พี่ชายของตัวเองเป็นราชครู แสร้งทำเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ทำแต่ความดีทุกวัน มีแต่คนบอกว่าองค์หญ
เซิ่นสือเฉิน “?”เหตุใดวันนี้รู้สึกว่าหลิงเหยี่ยแปลกๆ?เมื่อก่อนนางชอบเขามากเลยไม่ใช่หรือ? เวลาที่เขาอ่านหนังสือ นางชอบมาอยู่ข้างๆ ฝนหมึกพัดลมให้เขา เวลาที่เขาเขียนหนังสือ นางชอบแอบที่นอกหน้าต่าง จับจิ้งหรีดเล่น เวลาที่เขางีบหลับ นางมักจะชงชาหิมะชั้นดีมาให้เขานางยังบอกว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเหตุใดแค่วันเดียว ก็ปล่อยวางได้แล้ว?“องค์หญิงหลิง ข้าขอโทษ” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดที่จริงเขาก็ชอบหลิงเหยี่ยเช่นกัน แต่องค์หญิงยวนบอกเขาว่าหลิงเหยี่ยนิสัยไม่ดี ชอบรังแกคนรับใช้ หาเรื่องชาวบ้าน ใส่ร้ายโยนความผิดให้ผู้อื่นด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ และทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายเขาเป็นคนเรียนหนังสือ นิสัยซื่อตรง ไม่สามารถยอมรับคนที่จิตใจอำมหิตอย่างหลิงเหยี่ยเมื่อเปรียบเทียบกัน เขาชอบจวินลั่วยวนที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และร่าเริงมากกว่า“เมื่อก่อนท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ช่วยข้าหาอาจารย์ ใช้เส้นสาย ทำให้ข้าสอบติดขุนนาง…บุญคุณส่วนนี้ ข้า ข้าทำได้เพียงตอบแทนท่านชาติหน้าแล้ว…”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”“ได้ยินมาว่าองค์หญิงยวนได้รับบาดเจ็บ พวกเราเข้าวังไปดูนางกันเ
องค์หญิง?คุณชายเซิ่น?ฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความทรงจำใดๆ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก สับสนและงงงวยเล็กน้อยยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงและเสียงต่อต้านดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าหลิง! ใต้เท้าหลิง ต่อให้ท่านบีบคั้นข้าจนตาย ข้าก็ไม่แต่งงานกับนาง!”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจข้ามีเพียงองค์หญิงยวนเอ๋อร์เท่านั้น!”ยวนเอ๋อร์?องค์หญิง?ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองไป เห็นชายหนุ่มสวมชุดเพ้าสีขาวและที่ครอบผมหยก กำลังลากผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเหมือนคนเรียนหนังสือเข้ามานางตระหนักถึงบางอย่าง รีบดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาถามเบาๆ“ที่นี่คือแคว้นหนานยวน?”สาวใช้ “?”องค์หญิงเป็นอะไรไป?เหตุใดถามคำถามเช่นนี้?“องค์หญิง ท่าน…”“อย่าพูดไร้สาระ ตอบข้า!”สาวใช้ตกใจ รีบกล่าว “ท่านคือหลิงเหยี่ย องค์หญิงต่างแซ่ของแคว้นหนานยวน ใต้เท้าคือมหาราชครูของแคว้นหนวนยวน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เพราะใต้เท้าชำนาญการทำนาย เคยช่วยแคว้นสามครั้ง สร้างคุณประโยชน์มากมาย ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต่างแซ่…”คำพูดที่เหลือ ฉู่เชียนหลีมองข้ามโดยตรงสิ่งเดียวที่นางคิดคือ นางถูกส่งมาเป็นองค์หญิงต่างแซ่ อีกท