หลังจากเซียวจือฮว่าเหลือบเห็นการกระทำที่แหงนหน้าดื่มชา และกลืนน้ำชาลงคอของฉู่เชียนหลี มีประกายลึกซึ้งที่คลุมเครือสายหนึ่งแลบผ่านแววตา…ด้านข้าง ถงเฟยเพิ่งยกตะเกียบ การกระทำที่คีบผักชะงักเล็กน้อย หันไปมองฉู่เชียนหลีแวบหนึ่ง ทว่าไม่ได้พูดอะไร“กินอาหารเจเสร็จ พวกเจ้าก็กลับกันเถอะ ข้าจะพักอยู่ที่นี่อีกหลายวัน ห้ามใครมารบกวนข้า” นางคีบถู่โต้ว[footnoteRef:1]หั่นฝอย แล้วเพิ่มผักอย่างอื่นอีกนิดหน่อย ยกชามขึ้น เดินไปกินด้านข้างอย่างติดดินแล้ว [1: มันฝรั่ง] นางไม่ใช่ลูกคุณหนูชนชั้นสูงอะไร คำพูดและการกระทำล้วนตามอุปนิสัยและใจตนเองเซียวจือฮว่ากัดตะเกียบ เดิมทีอยากพูดถึงเรื่องกลับจวนอ๋องเฉิน แต่ถงเฟยพูดเช่นนี้ เท่ากับปิดปากของนางแล้ว ชั่วขณะทำให้นางไม่สะดวกที่จะพูดถึงเรื่องนี้เซียวจือฮว่ากับฉู่เชียนหลีกินข้าวโต๊ะเดียวกันอย่างสงบ เดิมทีบรรยากาศก็แปลกประหลาดอยู่แล้วเฟิงเย่เสวียนไม่ได้มีความอยากอาหาร หลังจากกินข้าวอย่างเรียบง่ายเสร็จ ก็กล่าวอย่างห่างเหิน“ใครก็ได้ ส่งคุณหนูเซียวลงเขา เชียนหลี พวกเราก็ควรกลับแล้ว เสด็จแม่ หลังจากนี้ห้าวันข้ามารับท่านกลับวัง”ถงเฟยโบกมือ สีหน้าไม่สบอารม
เป็นหมันตลอดชีวิต!แววตาฉู่เชียนหลีขรึมลง นี่เซียวจือฮว่าต้องเกลียดนางมากแค่ไหน จึงจะวางยาชนิดนี้กับนาง!“ยาชนิดนี้หายากมาก และมีราคาแพง คนทั่วไปหาไม่ได้ง่ายๆ ในวังหลัง ตอนที่พวกนางสนมแย่งความโปรดปราน ชอบใช้กลอุบายเช่นนี้” ถงเฟยดึงมือฉู่เชียนหลีไปนั่งลงที่ข้างๆ“ตอนนั้น ข้าเลี้ยงดูอ๋องเฉินมีความดีความชอบ ได้รับการแต่งตั้งเป็นสนม มีนางสนมในวังไม่น้อยที่อิจฉาความชอบของข้า กลัวว่าข้าจะได้รับพระกรุณา จึงใช้ผลไร้ดอกกับข้า ข้าก็รู้หลังจากนั้นสามปีเช่นกัน…”นางถูกคนทำร้าย กินผิดมาเป็นเวลาสามปีเต็ม ตอนที่รู้ตัว ทุกอย่างก็สายไปแล้วนางไม่สามารถมีลูกตลอดชีวิตดังนั้น ตอนที่ฉู่เชียนหลียกถ้วยชาขึ้น นางได้กลิ่นอย่างเฉียบคมเป็นพิเศษฉู่เชียนหลีประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าถงเฟยจะมีอดีตเช่นนี้ด้วย“ใครเป็นคนทำร้ายท่าน?”“เรื่องนี้ไม่สำคัญ” ถงเฟยส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้มจางๆ “ตอนนั้น ข้าเป็นแค่สาวใช้ข้างกายที่ปรนนิบัติเซียวกุ้ยเฟย หลายปีมานี้ ข้าแค่ต้องการทำความปรารถนาสุดท้ายของเซียวกุ้ยเฟยให้เป็นจริง ปกป้องอ๋องเฉินให้อยู่เย็นเป็นสุข เรื่องอื่น การแย่งความโปรดปรานอะไรเอย เป็นกุ้ยเฟยเอย ทำเพื่อให้ได้รับพร
ฉู่เชียนหลีพุ่งพรวดไปข้างหน้า ขว้างหนังสือสวดมนต์ในมือออกไป กระแทกโดนมือเซียวจือฮว่าจนปิ่นปักผมหลุดแต่ก็ยังแทงเข้าไปแล้วเลือดสดๆ เอ่อล้นออกมา“เจ้า!”สีหน้าเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมลงทันที ดูน่าเกลียดจนถึงขีดสุดที่นี่คือวัดเทียนหลิง เสด็จแม่ก็อยู่ นางฆ่าตัวตายในวัดเทียนหลิง เพราะอยากให้ทุกคนรู้ว่าเขาเป็นคนบีบให้นางตายทั้งเป็นหรือ?“เซียวจือฮว่า ข้าเคยบอกว่าจะดูแลเจ้า แต่ไม่เคยพูดว่าจะดูแลเจ้าในฐานะสามี ข้าอนุญาตให้เจ้าสามารถแต่งงานและทำทุกอย่างได้อย่างอิสระมาโดยตลอด”กล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น ข้าแต่งงานกับเจ้า เพราะเมื่อสิบปีก่อนเจ้าเคยช่วยข้า แต่ไม่ใช่เจ้าที่เป็นคนช่วยข้า เจ้าไม่เพียงแกล้งป่วย โกหกข้า และยังร่วมมือกับคนนอกเล่นงานข้า เจ้าจะให้ข้าเก็บเจ้าไว้ได้อย่างไร?”ต่อให้ไปถึงยมโลก บรรพบุรุษของตระกูลเซียวรู้เรื่อง ก็ไม่มีทางละเว้นนางง่ายๆเซียวจือฮว่าคลานอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแอ ของเหลวสีแดงเข้มไหลออกมาไม่หยุด สีหน้านางซีดอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่มีน้ำตานองมองเขาอย่างลึกซึ้ง“ข้าชอบท่าน…ชีวิตของข้าเป็นของท่าน…ให้ข้าไปเจียงหนาน ไม่สู้ให้ข้าตาย…”นางหอบหายใจอย่างเจ็บปวด“ท่าน ท่
ประชุมเช้าภายในตำหนักต้าเฉิน บรรยากาศตึงเครียดหมอหลวงจางติดโรคแล้ว!เมื่อข่าวนี้ถูกส่งกลับมาถึงราชสำนัก ทำให้สีหน้าของทุกคนเคร่งขรึม ต้องตื่นตัวอย่างจริงจัง ให้ความสำคัญกับปัญหานี้เวลาสั้นๆ สามวัน ติดโรคหลายพันคน และสถานการณ์โรคระบาดยังขยายอย่างต่อเนื่อง แม้แต่หมอหลวงจางก็ติดโรคแล้ว หากระบาดเป็นวงกว้าง จะไม่อันตรายทั้งแคว้นหรือ?สวรรค์!แค่คิดก็รู้สึกว่าสถานการณ์ร้ายแรงแล้ว!ขุนนางใหญ่ท่านหนึ่งรีบกล่าว “ฝ่าบาท ชาวบ้านในเมืองตงหนิงมีคนติดโรคเยอะมาก ยิ่งกว่านั้นยังมีคนติดโรคอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก รีบแก้ไขทันที ไม่เช่นนั้นปัญหาจะตามมาไม่มีที่สิ้นสุดพ่ะย่ะค่ะ”ราษฎร ชีวิตความเป็นอยู่ เป็นรากฐานของแคว้นหากเกิดอะไรขึ้นกับราษฎร บ้านเมืองก็จะสั่นคลอนเช่นกันเมื่อสั่นคลอนแล้ว เช่นนั้นก็จะอันตราย!“หมอหลวงจางเป็นหมอหลวงที่มีทักษะการแพทย์ดีที่สุดในสำนักหมอหลวง แม้แต่เขาก็จัดการไม่ได้ ยังมีใครสามารถทำได้อีก?” ท่ามกลางขุนนางนับร้อย มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เบาๆ“โรคนี้ติดต่อง่ายมาก เวลาสามวัน ตายไปแล้วสิบห้าคน…”“ตกลงนี่มันโรคอะไรกัน…”บนบัลลังก์มังก
จวนอ๋องเฉินตอนที่เซียวจือฮว่าฟื้น เห็นตนเองอยู่ในเรือนหมิงเยว่ อารมณ์ในตอนนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่าดีใจมากแค่ไหนเอี้ยด…ทันใดนั้นประตูถูกเปิดออกจากข้างนอกเซียวจือฮว่าเห็นฉู่เชียนหลีเดินเข้ามา รอยยิ้มบนใบหน้าหุบลงและแข็งกระด้างเล็กน้อย ชั่วขณะไม่ได้พูดอะไร แต่เหมือนไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่าฉู่เชียนหลีเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า หยุดอยู่หน้าเตียง ก้มมองนาง“ให้เจ้ากลับจวนอ๋องเฉินเป็นการตัดสินใจของข้า”อ๋องเฉินไม่ได้เอ่ยปากนางแค่ไม่อยากทำให้เฟิงเย่เสวียนลำบากใจประกายในแววตามืดลง ค่อยๆ ก้มหน้า กระชากโดนบาดแผลที่คอ ความเจ็บปวดบีบบังคับให้นางต้องเผชิญหน้ากับความจริงอย่างมีสติใช่แล้วความจริงนางสูญเสียอ๋องเฉินไปแล้ว…“เจ้าขโมยจี้หยก ร่วมมือกับรัชทายาทใส่ร้ายเขา เขาหาคนร้ายเจอ หลุดพ้นความผิด พ้นเคราะห์ครั้งนี้ แต่หากหาคนร้ายไม่เจอ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาจะมีจุดจบอย่างไร?” นางถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยยอมให้เซียวจือฮว่ากลับจวน ไม่ได้หมายความว่ารับนางเข้ามาแล้วครั้งนี้ เพราะเห็นแก่ถงเฟย เห็นแก่ตระกูลเซียว หากเซียวจือฮว่ายังหลงผิดงมงายทำเรื่องไม่ดีอีก นางจะไม่ปรานี“ข้ารู้…”เซียวจือฮว
หอบรรพชนที่นี่เป็นสถานที่เข้มงวดและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของจวนอ๋อง บูชาป้ายวิญญาณของเซียวกุ้ยเฟยและคนทั้งตระกูลเซียว ป้ายวิญญาณทุกชิ้นบนโต๊ะได้รับการเช็ดอย่างสะอาดสะอ้าน ไม่มีฝุ่นแม้แต่นิดเดียว เครื่องสักการะที่สดใหม่เปื้อนหยดน้ำ ควันจางๆ ลอยออกมาจากธูปเทียนอย่างเชื่องช้าสงบ หนักแน่นเฟิงเย่เสวียนจุดธูปสามดอก ไหว้แล้วปักธูปลงในกระถางหันกลับไปมองเซียวจือฮว่าแล้วกล่าว“เจ้าสามารถอยู่ที่จวนอ๋องต่อ แต่เจ้าจำเป็นต้องสาบานต่อบรรพบุรุษของตระกูลเซียว จากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่ทำเรื่องที่ผิดต่อตระกูลเซียว หักหลังข้า และเรื่องที่ไม่เป็นผลดีต่อจวนอ๋องเฉิน ไม่เช่นนั้นห้าม้าแยกร่าง หมื่นกระบี่แทงใจ ไม่ได้ตายดี”เสียงที่เย็นชาและเด็ดขาดดังขึ้น คำสาบานที่โหดร้ายทำให้ร่างเซียวจือฮว่าสั่นสะท้านห้าม้าแยกร่าง…หมื่นกระบี่แทงใจ…เขาไม่เชื่อคำพูดของนาง จึงให้นางสาบานในใจเขา นางไม่น่าเชื่อใจสักนิดเลยหรือ?สีหน้านางซีดเล็กน้อย เม้มมุมปากแน่น หลังจากอึ้งอยู่สองสามวินาที จึงจะก้าวเท้าที่หนักอึ้งออกไปคุกเข่าลง ยกมือขวาขึ้น มองป้ายวิญญาณผู้อาวุโสของตระกูลเซียว กล่าวเสียงดัง“วันนี้ ข้าเซียวจือฮว่าข
นางเชื่อว่าทุกอย่างจะมีสัญญาณเตือนล่วงหน้า แต่โรคติดต่อนี่เพิ่งระบาดสามวัน ก็มีคนติดโรคหลายพันคนแล้วมันจะเร็วเกินไปหรือไม่?กะทันหันเกินไปหรือไม่?ทุกคนล้วนตั้งตัวไม่ทันแววตาเฟิงเย่เสวียนขรึมลง “เจ้าพูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็กำลังจับตาดูอยู่เช่นกัน ได้สั่งให้รองแม่ทัพเจียงเดินทางไปตรวจสอบที่เมืองตงหนิงอย่างลับๆ ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”โรคนี้มาแปลกๆ จริง“รัชทายาทเป็นคนขอไปเอง?” ฉู่เชียนหลีอยากรู้อยากเห็น “ได้ยินมาว่ายังไม่สามารถคิดค้นยารักษาโรคนี้ เขาไม่กลัวติดโรคหรือ?”รัชทายาทมีความชอบธรรมอย่างองอาจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร?หรือเกิดเรื่องลอบสังหารเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาอยากออกมาเอาหน้า แสดงผลงานต่อหน้าฮ่องเต้?เฟิงเย่เสวียนกล่าว “หานอิ๋งก็ไปเมืองตงหนิงแล้วเช่นกัน”หานอิ๋งกับหานเฟิงเป็นพี่น้องที่ติดตามเขาตั้งแต่เด็กหานเฟิงฝึกยุทธ์ วรยุทธ์สูงมาก ความมุ่งมั่นก็สูงมากเช่นกัน ส่วนหานอิ๋งมีทักษะการแพทย์ที่เหนือชั้น ทั้งสองล้วนเป็นผู้ช่วยที่พึ่งพาได้ของเขา“ข้าก็อยากไป”“?”เฟิงเย่เสวียนเงยหน้ากะทันหัน เหมือนหูฝาด แต่เมื่อเห็นท่าทางที่จริงจังของฉู่เชียนหลี ข้าวในชามก็ไม่อร่อยทันทีตอน
“อดทนหน่อย ในไม่ช้าก็เร็วข้าจะมั่งคั่งในชั่วข้ามคืน!”“...”พึ่งนางคลอดลูกสิบคนทำมาให้ครอบครัวร่ำรวย?เลิกคิดไปได้เลยฉู่เชียนหลีรีบกินอาหารในชามให้หมดอย่างรวดเร็ว จากนั้นไปเลือกของขวัญที่ค่อนข้างเหมาะสมหนึ่งชิ้นในห้องเก็บ หลังจากใส่เข้าไปในกล่องของขวัญ ก็ออกจากจวนแล้วเมืองหลวงบนถนน บรรดาชาวบ้านสัญจรไปมา คึกคักครึกโครม และหัวข้อสนทนาในหมู่ของพวกเขาไม่มีอะไรมากไปกว่า : โรคติดต่อ รัชทายาทพระมหากรุณาธิคุณ รัชทายาททรงมีความเมตตามาก…ต้องยอมรับว่า การกระทำนี้ของรัชทายาทได้ใจราษฎรจำนวนมากฉู่เชียนหลีนั่งอยู่บนเกี้ยว แบ่งเวลาว่างนำอุปกรณ์ตรวจสอบในกำไลเฉียนคุนออกมาพลันเมื่อดู สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยไวรัสกลายพันธุ์แล้ว!แต่ตอนนี้อยู่บนเกี้ยว ศึกษาอย่างละเอียดไม่ทัน ศึกษาขึ้นมาก็ต้องใช้เวลาสองสามวัน จึงจำเป็นต้องเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน รอกลับจากจวนอ๋องเฟิงค่อยศึกษาโรคประหลาดนี้เพิ่งเก็บอุปกรณ์ตรวจสอบ หางตาเหลือบมองออกไปข้างนอกผ่านช่องว่างม่านหน้าต่างโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นคนกลุ่มใหญ่ล้อมวงส่งเสียงเอะอะโวยวาย หนวกหูมากและตำแหน่งที่พวกเขาล้อมไว้คือ…นั่นมันโรงหมอของนางไม่ใช่หรือ?“ห