วันรุ่งขึ้นวันนี้ เป็นวันสุดท้ายของระยะเวลาสาววัน ภายในห้องทรงอักษร เมื่อฮ่องเต้เลิกประชุมก็มาที่นี่ทันทีเนื่องจากปิดข่าวอย่างดี มีคนรู้เรื่องที่รัชทายาทถูกลอบสังหารน้อยมาก เพียงแค่จัดการเรื่องนี้เหมือนเรื่องครอบครัว“รัชทายาทถึง…”นอกตำหนัก เสียงรายงานของขันทีดังขึ้น หลังจากนั้นสองสามวินาที เฟิงเจิ้งอวี้กุมบาดแผลที่ท้อง ค่อยๆ เดินเข้ามา“เสด็จพ่อ…”เหลือบเห็นอ๋องเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างสายตาทั้งคู่ประสานกันเฟิงเย่เสวียนมองเขา เผยอริมฝีปากบางเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “สามวันแล้ว แผลยังไม่หายดี พี่ใหญ่ ลงมือเหี้ยมจริงๆ”แววตาเฟิงเจิ้งอวี้ขรึมลงคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?อะไรคือ ‘เขาลงมือเหี้ยมจริงๆ’สามวันนี้ เขาถูกกักตัวอยู่ในวัง ต่อหน้าฮ่องเต้ ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม หรือเฟิงเย่เสวียนสืบพบความจริงแล้ว?เขาครุ่นคิดในใจ สีหน้ากลับปกติ หลังจากคำนับ มีขันทีสองคนประคองไปนั่งลง“เจ้าเจ็ด คนร้ายอยากให้ข้าตาย มีหรือจะไม่ลงมืออย่างเหี้ยม?”“เหอะ” เฟิงเย่เสวียนเพียงแค่ยิ้ม “ดวงตาของโอรสสวรรค์มองเห็นทุกสิ่ง ไม่มีเรื่องอะไรที่เสด็จพ่อมิทรงทราบ”หัวใจเฟิงเจิ้งอวี้หนักอึ้งหรือเฟิงเย่
จางเฟยที่เหมือนน้อยใจมากตบต้นขาอย่างแรงจนเนื้อแทบหลุดโดยตรง ท่าทางที่เบะปากนั่น ไม่ต้องพูดถึงว่าเสียใจเพียงใดฉู่เชียนหลีหันไปมองเยว่เอ๋อร์ “เยว่เอ๋อร์ พวกเขารังแกเจ้าหรือไม่?”เยว่เอ๋อร์ต่างหากที่กลัวจริงๆเมื่อวาน ทันทีที่พระชายาไป ผู้ชายสิบกว่าคนล้อมรอบนาง เค้นถามนาง ประเมินนาง และยังบอกว่าจะจับนางขายให้หอนางโลม…นางอยากฟ้องพระชายา แต่ความสัมพันธ์ของพระชายากับคนเหล่านี้ดีมาก หากนางฟ้อง ไม่เท่ากับทำลายความสัมพันธ์ของพระชายากับทุกคนหรือ?เยว่เอ๋อร์กัดริมฝีปากล่าง หลังจากลังเลอยู่สองวินาที นางส่ายศีรษะเบาๆกล่าวเสียงเบา“พระชายา ท่านไม่ต้องห่วง พวกเขาดีมาก และยังได้เตรียมเครื่องนอนกับเสื้อผ้าใหม่ให้ข้าด้วย ข้าไม่ได้โดนรังแก…”จางเฟยอุทาน ‘เอ๋’ ทันที มีประกายที่ลึกซึ้งเสี้ยวหนึ่งเอ่อล้นออกมาจากดวงตาที่ผ่านประสบการณ์มามากมายเมื่อวาน พวกเขาขู่นางจนร้องไห้ แต่นังหนูนี่กลับไม่ฟ้องนังหนูนี่อายุยังน้อย แต่กลับรู้จักพิจารณาแทนคุณหนู และรู้จักที่จะรักษาความสัมพันธ์ของคุณหนูกับพวกเขา ดูเหมือน นางเป็นคนที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งฉู่เชียนหลีมองเยว่เอ๋อร์ด้วยความสงสัย “จริงหรือ?”“พระชายา ไม
เยว่เอ๋อร์เงยหน้ามองโดยไม่รู้ตัวผู้ชายในชุดผาวสีดำอันสูงศักดิ์เดินเข้ามา รูปร่างสูงใหญ่ กลิ่นอายหนักแน่น เดินสวนทางแสง เหมือนมีแสงอันนุ่มนวลปลุกคลุมโครงหน้าหนึ่งชั้น มองเห็นอวัยวะสัมผัสทั้งห้าบนใบหน้าไม่ชัดเจน แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเปล่งประกายเขาเดินเข้ามา ก้มต่ำเล็กน้อย ยื่นฝ่ามือใหญ่ที่แข็งแรงออกไป กล่าวเสียงทุ้มต่ำ“แม่นางเยว่เอ๋อร์ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่มีเจตนาร้าย แค่อำพรางตัวในยุทธภพจนชินแล้ว ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของพวกขุนนางชนชั้นสูง คำพูดจึงโผงผางไปบ้าง”พวกเขาล้วนมีชาติกำเนิดมาจากยุทธภพ นิสัยตรงไปตรงมา คำพูดก็เช่นกัน ทำงานก็เช่นกันเยว่เอ๋อร์มองดูฝ่ามือใหญ่ที่สวยมากตรงหน้า เหมือนถูกดวงตาดำคู่นั้นของชายคนนี้กระชากวิญญาณ นางยื่นมือออกไปวางบนฝ่ามือเขาโดยไม่รู้ตัวพลันผู้ชายกำมือ ก็ดึงนางลุกขึ้นนางโซเซหนึ่งก้าว เกือบล้มเข้าไปในอ้อมแขนของเขา รีบก้มหน้าอย่างตื่นตระหนก“ข้า ข้าจะพาเจ้าดำน้อยไปเดินเล่น…”พูดจบ ก็วิ่งไปทางห้องนอน เรียกเจ้าดำออกไปขับถ่ายจิ่งอี้วางมือลง กล่าวกับจางเฟย “ข้าได้ตรวจสอบตัวตนของเยว่เอ๋อร์แล้ว นางปรนนิบัติคุณหนูตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่เชื่อถือได้ ต่อไปเลิกรัง
“ต่อไปข้าจะไม่ดุเจ้าอีกแล้ว…ไม่โกรธนะ…”เขาพ่นกลิ่นแอลกอฮอล์ที่เข้มข้นออกมาอย่างมึนเมา เมาจนเสียงคลุมเครือ คำพูดไม่ชัดเจนสองมือกอดต้นขาของฉู่เชียนหลีไว้แน่น กลัวว่าเมื่อปล่อยมือ นางก็จะไป“ไม่โกรธนะ…”“อย่าไป…เสด็จแม่…เสด็จแม่…เชียนหลี…”เขาเมาหนักมาก ความคิดสับสนปนเปไปหมด ทุกอย่างคลุมเครือ พูดตรงนี้หนึ่งประโยค ตรงนั้นหนึ่งประโยค ท่าทางที่ขมวดคิ้วอย่างเจ็บปวด เหมือนสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บ ขดตัวอยู่ในมุม เรียบบาดแผลของตนเองมาก“เสด็จแม่…”เขากอดต้นขานางไว้ พยุงร่างกายที่เมามายเหมือนดินโคลน พยายามลุกขึ้น พลันกลับขาอ่อน ล้มคุกเข่าลงกับพื้น“อย่าไป…ข้าจะเป็นเด็กดี…เสด็จแม่…”พึมพำอย่างลึกซึ้ง อ้อนวอนอย่างขมขื่น ดวงตาที่พร่ามัวเปล่งประกายแสงที่ชุ่มชื้น มีความเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแฝงอยู่เวลานี้ กลับเป็นความเปราะบางที่ฉู่เชียนหลีไม่เคยเห็นมาก่อนเขาเหมือนเด็กที่ถูกทอดทิ้ง กอดต้นขาของแม่แท้ๆ ไว้ อ้อนวอนอย่างขมขื่นเขาเมาแล้วเวลาที่คนเมา มักจะนึกถึงสิ่งที่เก็บซ่อนไว้ในก้นบึ้งหัวใจ อาจเป็นความกลัว ความสุข และอาจเป็นความโกรธแค้นที่ไม่สามารถมองย้อนกลับไปดูเหมือนว่าเขากำล
เป็นจี้หยกสีแดง ทำจากวัสดุพิเศษ สีสม่ำเสมอ เนื้อหยกโปร่งใส ไม่มีตำหนิแม้แต่น้อย ลวดลายได้รับการขัดเงาอย่างแวววาว สมบูรณ์แบบไร้ที่ติเพียงแต่ มันแตกแล้วตรงรอยร้าว หายไปครึ่งหนึ่ง เหลือเพียงครึ่งเดียว บนเศษที่ไม่สมบูรณ์ มองไม่ออกว่าลวดลายเป็นรูปอะไรฉู่เชียนหลีอึ้งเล็กน้อย “นี่คืออะไร?”เฟิงเย่เสวียนมองนาง กลิ่นเหล้าเข้มข้นมาก แต่คำพูดที่พูดออกมาชัดเจนทุกคำ“ตอนเจ้าเกิด แม่ของเจ้าเก็บไว้ให้เจ้าในห่อผ้า”ฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอกเล็กน้อยแม่ของนาง…เขารู้ได้อย่างไรว่านางกำลังตามหาตัวตน แล้วมีจี้หยกชิ้นนี้ได้อย่างไร?เหมือนเขาเข้าใจความสงสัยของนาง จึงกล่าวต่อ “ข้าไปหาฉู่หงหลวน นางต้องการช่วยรัชทายาท ไม่กล้าโกหกข้า”ที่แท้…!ฉู่เชียนหลีเข้าใจทันที “ท่านมอบหลักฐานการจ่ายเงินของเฉียนจวงตระกูลจินให้ฉู่หงหลวน?!”เขาพยักหน้าเขาละทิ้งโอกาสที่จะปราบรัชทายาท ทำข้อตกลงกับฉู่หงหลวน เพื่อแลกกับตัวตนของฉู่เชียนหลีแต่ฉู่เชียนหลีกลับละทิ้งตัวตน มอบหลักฐานให้เขา หวังให้เขาจัดการรัชทายาท กำจัดภัยร้ายที่จะตามมาให้สิ้นซากนางคิดเผื่อเขา หวังให้เขาปลอดภัยเขากลับคิดเผื่อนางเช่นกัน ยอมปล่อยรัชทา
ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่งเนื่องจากจับคนร้ายตัวจริงที่ลอบสังหารรัชทายาทได้แล้ว ในที่สุดรัชทายาทที่ถูกขังไว้ในวังสามวันสามคืนเต็มๆ ก็สามารถออกจากวังเฟิงเจิ้งอวี้คิดไม่ตกมาโดยตลอด เหมือนเฟิงเย่เสวียนสืบพบความจริงแล้ว แต่กลับไม่ได้พูดถึงต่อหน้าฮ่องเต้เพราะเหตุใดเฟิงเย่เสวียนจึงยอมปล่อยเขาหรือว่าอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวากงจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว?นอกวังเนื่องจากได้รับบาดเจ็บ เขาถูกเกี้ยวยกออกมา กงเจิ้นหงที่รออยู่ข้างนอกมาโดยตลอดรีบเดินเข้าไป หลังจากคำนับ เขากล่าวเสียงเบา“รัชทายาท ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง?”เฟิงเจิ้งอวี้เลิกม่านของเกี้ยวขึ้น ก็กล่าวเสียงเบาเช่นกัน“ในสามวันนี้ท่านทำอะไรบ้าง?”พูดถึงตรงนี้ กงเจิ้นหงตื่นตระหนกเล็กน้อย “ข้าน้อยรู้สึกละอายใจ สามวันที่ท่านอยู่ในวัง ข้าน้อยถูกเจ้ากรมกลาโหมรังควาน”เจ้ากรมกลาโหมเป็นคนของฮ่องเต้ เท่ากับฮ่องเต้จับตาดูเขา เขาไม่ได้ทำอะไรเลย และไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเฟิงเจิ้งอวี้ได้ยิน คิ้วดาบขมวดทันทีเขาไม่ได้ช่วยเขา?เช่นนั้นเหตุใดเฟิงเย่เสวียนจึงปล่อยเขา?แปลกมาก!จวนรัชทายาทเกี้ยวลงสู่พื้น เฟิงเย่เสวียนถูกชายสองคนประคองออกมา สองเ
จวนอ๋องเฉินการนอนครั้งนี้ เฟิงเย่เสวียนหลับลึกเป็นพิเศษ และยิ่งสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบยี่สิบปี มองดูพระอาทิตย์สีส้มยามเย็น กอดภรรยาที่หอมหวานและนุ่มนวลไว้ รู้สึกพึงพอใจกับชีวิต แทบอยากให้ช่วงเวลานี้สามารถคงอยู่ตลอดไปเยว่เอ๋อร์เตรียมอาหารเย็นเสร็จแล้ว กับข้าวแต่ละอย่างวางอยู่บนโต๊ะ ตักข้าว วางตะเกียบเรียบร้อยทั้งสองลุกจากเตียง นั่งลงกินข้าวเคียงข้างกันพ่อบ้านเดินเข้ามา เห็นทั้งสองดีกันแล้ว รู้สึกเพียงแม้แต่อากาศก็ดีขึ้นแล้ว หมอกควันกระจาย เมฆดำหายไป แม้แต่เอวและขาของเขาก็ไม่ปวดแล้ว สามารถมีชีวิตได้อีกยี่สิบปีไม่ต้องพูดถึงว่าปลื้มปีติเพียงใดเขาถือสมุดพับเล่มหนึ่ง เดินเข้ามาอย่างอารมณ์ดี“ท่านอ๋อง พระชายาอ๋องเฉิน นี่เป็นแบบของเครื่องเรือนที่สั่งทำใหม่ ท่านลองดูว่าชอบหรือไม่” ใช้สองมือส่งสมุดพับให้ฉู่เชียนหลีขี้เกียจดู เครื่องเรือนก็คือพวกโต๊ะเก้าอี้ไม่ใช่หรือ แค่สามารถใช้ได้ก็พอแล้วนางตักน้ำแกงสร่างเมาขึ้นมา เบาแล้วป้อนเข้าปากเฟิงเย่เสวียน เขาอมไว้ในปากแล้วกลืนลง หยิบสมุดพับมาดูแวบหนึ่ง“ล้วนใช้วัสดุที่ดีที่สุด”“ขอรับ ขอรับ”พ่อบ้านเห็นท่านอ๋องพยักหน้า เขาเ
ห้องโถงหน้าฉู่เชียนหลีกับเฟิงเย่เสวียนเดินเคียงข้างกันออกมา เซียวจือฮว่าถูกหามเข้ามาแล้ว นางเป็นลม นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ สีหน้าซีดขาว ดวงตาปิดสนิท หมดสติไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเป่าอวี้คุกเข่าอยู่ข้างเก้าอี้ น้ำตาเม็ดใหญ่แห่งความเป็นห่วงหลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง“นายหญิง ท่านฟื้นสินายหญิง…หากท่านเป็นอะไรขึ้นมา…”ไหล่นางกระตุก ร้องไห้สะอึกสะอื้น เมื่อเห็นท่านอ๋อง รีบกระโจนเข้าไปคำนับ กล่าวทั้งน้ำตา“ท่านอ๋อง ท่านต้องช่วยนายหญิงนะเจ้าคะ นางไม่ยอมข่มตานอน กินข้าวไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ลงสามวันแล้ว ข้าห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟัง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะตายนะเจ้าคะ!”บนเก้าอี้ เซียวจือฮว่าฟุบอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเล็กที่ซีดขาวไร้ร่องรอยของเลือด ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ผอมแห้งจนเบ้าตาลึกบุ๋มท่าทางนั่น ไม่ว่าผู้ชายคนใดแล้วก็ต้องปวดใจเฟิงเย่เสวียนกวาดมองนางแวบหนึ่ง เดินไปที่เก้าอี้หลัก หมุนกายนั่งลง“ไม่กินข้าวมาหาข้า ข้าเป็นหมอหรือ?”เออ…เป่าอวี้ชะงักไปครู่หนึ่งท่านอ๋องที่เย็นชาเช่นนี้เกิดอะไรขึ้น?!หลายปีมานี้ นายหญิงแค่ขมวดคิ้ว ทำหน้าบึ้ง แม้ผมร่วงหนึ่งเส้น ท่านอ๋องก็ปวดใจมาก
มีดพาดอยู่บนคอนาง คมมีดที่เย็นเฉียบส่องประกายด้วยแสงเย็นยะเยือก ราวกับว่านางแค่ออกแรงเล็กน้อย ก็จะตัดเส้นเลือดอันบอบบางของนางทันทีเฟิงเจิ้งหลีกำลังจะเข้าใกล้พลันมือของนางก็ออกแรงกด “ถ้าหากเจ้ายังต้องการจับตัวเฟิงเย่เสวียน เก็บข้าไว้ดีกว่า ถ้าหากข้าเป็นอะไรไป เกรงว่าเจ้าไม่สามารถควบคุมเฟิงเย่เสวียนแล้ว”เขาชะงักเล็กน้อยข่มขู่?มันก็จริง เฟิงเย่เสวียนหนีออกจากเมืองแล้ว แม้เขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่เฟิงเย่เสวียนมีที่ดินศักดินา มีกำลังทหาร สามารถตั้งตนเป็นอ๋อง ถ้าหากสู้กันจริงๆ ใช่ว่าเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของเฟิงเย่เสวียนเสมอไปแต่ว่า นางรังเกียจเขาเช่นนี้เลยหรือ?ถึงขั้นยอมใช้คอของตัวเองมาขู่เขา? เขาก็ขมวดคิ้วแน่น กล่าวอย่างเย็นชา“เจ้ากล้าตายหรือ? ไม่ต้องการจื่อเยี่ยแล้ว?”“ใครบ้างที่อยากตาย? แต่ถ้าหากต้องอยู่อย่างอัปยศ ไม่สู้ตายเสียดีกว่า ให้ทุกอย่างมันจบสิ้นเสีย”“เจ้า!”ในแววตาของเขามีความโกรธเอ่อล้นออกมา อยากเข้าไป แต่เท้ากลับยืนแข็งอยู่ตรงที่เดิมมองดูนางที่เชิดคางเล็กน้อย และมือที่กำแน่นอย่างดึงดัน ความโกรธติดอยู่ในอก ไม่สามารถระบายออกมา ทำให้เขาอัดอั้นจนรู้สึกทรมานบ้า
“ตาม!” ผู้บัญชาการจางกระทืบเท้าตะโกนเสียงดัง “รีบตาม! ขี่ม้าที่เร็วที่สุด ต้องจับอ๋องเฉินกลับมาให้ได้!”“รับทราบ!”เปิดประตูเมือง ทหารรักษาพระองค์ไล่ตามอย่างรวดเร็วเฟิงเจิ้งหลีหยิบธนูมาหนึ่งคัน ดึงลูกธนู เล็งยามค่ำคืนอันมืดสลัวที่อยู่นอกเมือง แต่ทันใดนั้นก็ถูกฉู่เชียนหลีกระแทกอย่างแรงธนูพลาดเป้าเขาหัวเราะอย่างเย้ยหยัน โยนธนูลงบนพื้น กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ“หนี หนีไปเลย ทั้งแคว้นตงหลิงเป็นของข้าแล้ว ข้าดูสิว่าเจ้าจะสามารถหนีไปถึงไหน!”ใต้ฟ้าอันกว้างใหญ่ ล้วนเป็นของกษัตริย์เขาจะจับเฟิงเย่เสวียนได้ในสักวัน“เฟิงเจิ้งหลี เจ้ามันเป็นคนบ้าที่เสียสติจริงๆ โลกนี้มีผลกรรมเสมอ สักวันเจ้าจะถูกสิ่งที่เจ้าทำตามสนอง”คนที่เสียสละ สักวันจะได้ผลตอบแทนคนที่กระทำความชั่ว สักวันจะต้องชดใช้ไม่ใช่กรรมไม่ตามสนอง แค่ยังไม่ถึงเวลาเฟิงเจิ้งหลีคว้าแขนของฉู่เชียนหลี พลันดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน บีบคางของนาง “เหมือนเจ้าแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นข้าตกต่ำแล้วนะ”“แต่น่าเสียดาย คนดีอายุสั้น คนชั่วอายุยืนพันปี ข้าต้องอยู่รอดต่อไป จะรอดูว่าเฟิงเย่เสวียนตายต่อหน้าข้าอย่างไร”ฉู่เชียนหลีถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น
ทุกคนรออยู่ที่นอกประตูเมือง เฟิงเย่เสวียนขี่ม้าเข้าไปใกล้ สายตาจ้องฉู่เชียนหลีอย่างลึกซึ้งหลายวินาทีฉู่เชียนหลียิ้มระหว่างทั้งสองคน คำพูดมากมายไม่จำเป็นต้องพูด แค่สบตากัน ก็สามารถเข้าใจกันแล้วผ่านไปครู่หนึ่งเขาถอนสายตากลับ กระตุกม้าให้หยุดลง โน้มกายและเอื้อมมือไปรับลูก“ส่งเขาให้ข้า”เฟิงเจิ้งหลียิ้มได้อ่อนโยนมาก ก้าวไปข้างหน้าครึ่งก้าวอย่างเชื่อฟัง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นเล็กน้อย ส่งเด็กที่อยู่ในมือออกไป“น้องเจ็ด เดินทางปลอดภัย”เขาเน้นเสียงคำว่า ‘ปลอดภัย’ เป็นพิเศษ เหมือนมีความหมายที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่อ๋องเฉินยื่นมือออกมาแล้ว ขณะที่กำลังจะสัมผัสโดนเด็ก เฟิงเจิ้งหลีปล่อยมือกะทันหันทันใดนั้นเด็กสูญเสียแรงยึดเหนี่ยว ร่วงลงไปโดยตรง!“จื่อเยี่ย!”พลันเฟิงเย่เสวียนแน่นหน้าอก กระโดดลงจากม้าด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด ก็เห็นอ๋องหลีรับเด็กไว้แล้ว และก็เพราะพริบตาที่เขาเผลอนี้ จึงถูกธนูลับดอกหนึ่งยิงเข้าที่สะบักฉึก…“อาเฉิน!”“ท่านอ๋อง!”เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน ไม่มีใครรับมือทันเวลาเฟิงเจิ้งหลีใช้มือซ้ายอุ้มเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ย มือขวาจับตัวฉู่เชียนหลี ถอยหลังเจ็ดแปดก้าว ขณะ
เฟิงเย่เสวียนเดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว “ปล่อยฉู่เชียนหลีกับเด็ก ข้าอยู่เอง เจ้าจับฉู่เชียนหลีไม่มีประโยชน์ มีเพียงจับข้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถนั่งราชบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง”เฟิงเจิ้งหลีเย้ยหยัน“อย่ามาต่อรองกับข้า ข้ายอมถอยให้แล้ว ถ้าหากยังได้คืบจะเอาศอก ข้าไม่ถือสาที่จะพินาศไปพร้อมกัน”ฉู่เชียนหลีรีบถอยกลับมาจับข้อมือเฟิงเย่เสวียน กล่าวเสียงเบา “เจ้าพาจื่อเยี่ยไป!”“เชียนหลี…”“คนที่เขาต้องการคือข้า มีเพียงเจ้าไปและมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น จึงจะมีโอกาสพลิกสถานการณ์ จื่อเยี่ยไปแล้ว ข้าจึงจะวางใจ ถึงเวลานั้น เขาก็ไม่มีข้อได้เปรียบอีก และไม่จำเป็นต้องกลัวเขาอีกแล้ว” ฉู่เชียนหลีวิเคราะห์เบาๆ อย่างฉับไวเฟิงเจิ้งหลีไม่มีทางฆ่านางใช้นางคนเดียว แลกกับความปลอดภัยของจื่อเยี่ย แลกกับความปลอดภัยของทุกคน อย่างไรก็ดีกว่าสู้กันตายไปข้างหนึ่ง เลือดนองเหมือนแม่น้ำไม่ใช่ว่านางจะถูกขังอยู่ในเมืองหลวงตลอดไปตราบใดที่ยังมีชีวิต ก็มีโอกาสเฟิงเย่เสวียนรู้ผลได้ผลเสียในนี้ เด็กคนนี้อย่างไรก็ต้องช่วย แต่เขาจะทิ้งฉู่เชียนหลีไว้คนเดียวได้อย่างไร“เชียนหลี ข้ามันไร้ประโยชน์”“ข้าไม่อนุญาตให้เจ
เมื่อพรรคของอ๋องหลีได้ยินเช่นนี้ ก็กลัวทันทีดูท่าทีของพระชายาอ๋องเฉิน นี่กำลังจะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ในวังชัดๆ!ฆ่าคนติดต่อกันสองคน ไม่กระพริบตาแม้แต่ทีเดียวเลือดกระเซ็นโดนใบหน้า ก็เย็นเฉียบท่าทางที่ชั่วร้ายเหมือนปีศาจนั่น ทำให้ขุนนางหลายคนเกิดความกลัว ลองถามคนทั่วหล้า จะมีสักกี่คนที่ไม่กลัว? อยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวพวกเขาไม่อยากตายขุนนางคนหนึ่งกลัวจนพูดติดอ่าง“อ๋อง อ๋องหลี…อย่างไรเด็กที่อยู่ในมือท่านก็เป็นพระนัดดาองค์โต เป็นสายเลือดของราชวงศ์ ถ้าหากฆ่าเขา ในวันข้างหน้า มลทินของท่านจะถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ เกรงว่าจะถูกคนรุ่นหลังด่าทอต่อๆ กันเป็นหมื่นปี”ขุนนางอีกคนก็กล่าวเสียงสั่น“อ๋องเฉินโปรดพิจารณา…”ถ้าหากสู้กันจริงๆ พวกเขาสู้ไม่ไหวอ๋องเฉินมีฮ่องเต้หนุนหลัง มีกองทัพ มีกำลังทหาร อ๋องเฉินเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกด้านในมืออ๋องหลี นอกจากพระนัดดาองค์โต ก็ไม่มีเบี้ยอย่างอื่นแล้ว อีกทั้ง ทหารรักษาพระองค์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ทหารองครักษ์เงาของอ๋องเฉินเมื่อไรที่สู้กัน พวกเขาจะตายกันหมดไม่จำเป็นต้องตายไปครั้งหนึ่ง บางครั้ง เมื่อเห็นว่าพอแล้วก
เฟิงเย่เสวียนแค่ขมวดคิ้วทีหนึ่ง ก็ข่มความเจ็บปวดนี้ลงไปผู้บัญชาการจางฟาดอย่างดุร้ายลองคิดดูเขาที่เป็นขุนนางคนหนึ่ง สามารถใช้แส้ฟาดองค์ชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด นี่เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเพียงใด พูดคำนี้ออกไป เขาสามารถอวดสามสิบปียิ่งฟาดยิ่งรู้สึกสนุก ยิ่งฟาดยิ่งแรงเพี๊ยะ!เพี๊ยะๆๆ!ทุกคนร้อนใจจนกระทืบเท้า แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป อ๋องหลีบ้าไปแล้ว เขาไม่ใช่อ๋องหลีที่เข้าถึงได้ง่ายอีกแล้ว!ฉู่เชียนหลีเพิ่งคิดจะกระโจนเข้าไป ก็ถูกอ๋องหลีสั่งให้คนคุมตัวไปยืนอยู่ข้างๆ บังคับให้นางมองดูต่อหน้าต่อตา“ฉู่เชียนหลี ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าจะต้องเสียใจ คนไร้ประโยชน์อย่างเฟิงเย่เสวียน แม้แต่ลูกชายก็ปกป้องไม่ได้ มีประโยชน์อะไร”แววตาเฟิงเจิ้งหลีเปล่งแสงที่บ้าคลั่ง“เขาเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ ฝ่าบาทจะให้ความสำคัญกับคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร? ฉู่เชียนหลี เจ้าว่าเจ้าตาบอดใช่หรือไม่? เจ้าดูสภาพที่สะบักสะบอมของเขาตอนนี้ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง เจ้าก็ยังชอบเขา เช่นนั้นเจ้าก็เป็นสุนัขตัวเมียที่แพศยา”เขายิ้มอย่างชั่วร้าย สิ่งที่พูดออกมายิ่งไม่น่าฟังทุกคนตาแดง อยากพุ่งเข้าไปสับอ๋องหลีเป็นชิ้นๆ เสีย
ผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่งอหัวเข่า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอ๋องหลีอย่างตั้งตรง แม้อยู่ต่ำกว่า แต่ความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากคุกเข่าให้ฮ่องเต้และบรรพชน พวกเขาไม่เคยเห็นอ๋องเฉินคุกเข่าให้ใครเฟิงเจิ้งหลีเห็นดังนี้ แหงนหน้าหัวเราะ“ฮ่าๆๆ!”คิดไม่ถึงจริงๆ เขาจะมีวันนี้ด้วยลูกชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่โปรดปรานที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด และยังถูกทุกคนรังแก ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาสาแก่ใจจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ เฟิงเย่เสวียน เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!”หัวเราะเสร็จ เขารู้สึกว่าความเย่อหยิ่งของอ๋องเฉินมันขัดตาทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องคุกเข่า เหตุใดยังอวดดีหยิ่งผยองเช่นนี้?เขาออกคำสั่ง “ก้มหัวเจ้าลงไป”เฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ก้มศีรษะลงเขาออกคำสั่งอีกครั้ง “โขกศีรษะ!”“อ๋องหลี ท่านอย่ารังแกให้มันมากนัก! ท่านกับท่านอ๋องของเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านรับการโขกหัวจากเขาไม่ได้! ไม่กลัวบรรพชนรู้แล้ว อายุสั้นหรือ!” พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความโกรธเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกผู้บัญชาการจางถีบจนล้มลงพื้นหลังจากล้มลง ก
“ปล่อยคนของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว คืนลูกให้ข้า” ฉู่เชียนหลีจ้องเขาเฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ท่าทางที่ร้องไห้จนหน้าแดง เห็นแล้วปวดใจนักคิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ?เขายิ้ม“ฉู่เชียนหลี เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ?”“?”“……”“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า? เด็กอยู่ในมือข้า เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสอนข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร?”สีหน้าฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมทันทีเห็นได้ชัด เขาได้คืบจะเอาศอก“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”“ข้าหรือ” เขาเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม กวาดมองทุกคน และตำหนักอันหรูหราหลังนี้ วังหลวงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แผ่นดินที่ดีเช่นนี้เขาต้องการอะไร ยังต้องให้พูดอีกหรือ?แต่ว่า มองดูท่าทางที่ร้อนใจของฉู่เชียนหลี เขาเกิดอยากสนุก ต้องการระบายความคับข้องใจที่ได้รับในสองวันนี้ออกมาให้หมดลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าว“อยากได้ลูกคืน ไม่มีปัญหา มันก็ต้องดูว่าอ๋องเฉินมีความจริงใจหรือไม่”เงียบไปครู่หนึ่ง“อืม หรือไม่อ๋องเฉินคุกเข่า โขกหัวให้ข้าสามครั้ง ข้าก็คืนลูกให้เจ้า เป็นอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีโมโหแล้วด้วยนิสัยที่ยอมหนึ่งก้าว จะเอาสิบก้าวข
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู