วันรุ่งขึ้นวันนี้ เป็นวันสุดท้ายของระยะเวลาสาววัน ภายในห้องทรงอักษร เมื่อฮ่องเต้เลิกประชุมก็มาที่นี่ทันทีเนื่องจากปิดข่าวอย่างดี มีคนรู้เรื่องที่รัชทายาทถูกลอบสังหารน้อยมาก เพียงแค่จัดการเรื่องนี้เหมือนเรื่องครอบครัว“รัชทายาทถึง…”นอกตำหนัก เสียงรายงานของขันทีดังขึ้น หลังจากนั้นสองสามวินาที เฟิงเจิ้งอวี้กุมบาดแผลที่ท้อง ค่อยๆ เดินเข้ามา“เสด็จพ่อ…”เหลือบเห็นอ๋องเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้างสายตาทั้งคู่ประสานกันเฟิงเย่เสวียนมองเขา เผยอริมฝีปากบางเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “สามวันแล้ว แผลยังไม่หายดี พี่ใหญ่ ลงมือเหี้ยมจริงๆ”แววตาเฟิงเจิ้งอวี้ขรึมลงคำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?อะไรคือ ‘เขาลงมือเหี้ยมจริงๆ’สามวันนี้ เขาถูกกักตัวอยู่ในวัง ต่อหน้าฮ่องเต้ ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม หรือเฟิงเย่เสวียนสืบพบความจริงแล้ว?เขาครุ่นคิดในใจ สีหน้ากลับปกติ หลังจากคำนับ มีขันทีสองคนประคองไปนั่งลง“เจ้าเจ็ด คนร้ายอยากให้ข้าตาย มีหรือจะไม่ลงมืออย่างเหี้ยม?”“เหอะ” เฟิงเย่เสวียนเพียงแค่ยิ้ม “ดวงตาของโอรสสวรรค์มองเห็นทุกสิ่ง ไม่มีเรื่องอะไรที่เสด็จพ่อมิทรงทราบ”หัวใจเฟิงเจิ้งอวี้หนักอึ้งหรือเฟิงเย่
จางเฟยที่เหมือนน้อยใจมากตบต้นขาอย่างแรงจนเนื้อแทบหลุดโดยตรง ท่าทางที่เบะปากนั่น ไม่ต้องพูดถึงว่าเสียใจเพียงใดฉู่เชียนหลีหันไปมองเยว่เอ๋อร์ “เยว่เอ๋อร์ พวกเขารังแกเจ้าหรือไม่?”เยว่เอ๋อร์ต่างหากที่กลัวจริงๆเมื่อวาน ทันทีที่พระชายาไป ผู้ชายสิบกว่าคนล้อมรอบนาง เค้นถามนาง ประเมินนาง และยังบอกว่าจะจับนางขายให้หอนางโลม…นางอยากฟ้องพระชายา แต่ความสัมพันธ์ของพระชายากับคนเหล่านี้ดีมาก หากนางฟ้อง ไม่เท่ากับทำลายความสัมพันธ์ของพระชายากับทุกคนหรือ?เยว่เอ๋อร์กัดริมฝีปากล่าง หลังจากลังเลอยู่สองวินาที นางส่ายศีรษะเบาๆกล่าวเสียงเบา“พระชายา ท่านไม่ต้องห่วง พวกเขาดีมาก และยังได้เตรียมเครื่องนอนกับเสื้อผ้าใหม่ให้ข้าด้วย ข้าไม่ได้โดนรังแก…”จางเฟยอุทาน ‘เอ๋’ ทันที มีประกายที่ลึกซึ้งเสี้ยวหนึ่งเอ่อล้นออกมาจากดวงตาที่ผ่านประสบการณ์มามากมายเมื่อวาน พวกเขาขู่นางจนร้องไห้ แต่นังหนูนี่กลับไม่ฟ้องนังหนูนี่อายุยังน้อย แต่กลับรู้จักพิจารณาแทนคุณหนู และรู้จักที่จะรักษาความสัมพันธ์ของคุณหนูกับพวกเขา ดูเหมือน นางเป็นคนที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งฉู่เชียนหลีมองเยว่เอ๋อร์ด้วยความสงสัย “จริงหรือ?”“พระชายา ไม
เยว่เอ๋อร์เงยหน้ามองโดยไม่รู้ตัวผู้ชายในชุดผาวสีดำอันสูงศักดิ์เดินเข้ามา รูปร่างสูงใหญ่ กลิ่นอายหนักแน่น เดินสวนทางแสง เหมือนมีแสงอันนุ่มนวลปลุกคลุมโครงหน้าหนึ่งชั้น มองเห็นอวัยวะสัมผัสทั้งห้าบนใบหน้าไม่ชัดเจน แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเปล่งประกายเขาเดินเข้ามา ก้มต่ำเล็กน้อย ยื่นฝ่ามือใหญ่ที่แข็งแรงออกไป กล่าวเสียงทุ้มต่ำ“แม่นางเยว่เอ๋อร์ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่มีเจตนาร้าย แค่อำพรางตัวในยุทธภพจนชินแล้ว ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของพวกขุนนางชนชั้นสูง คำพูดจึงโผงผางไปบ้าง”พวกเขาล้วนมีชาติกำเนิดมาจากยุทธภพ นิสัยตรงไปตรงมา คำพูดก็เช่นกัน ทำงานก็เช่นกันเยว่เอ๋อร์มองดูฝ่ามือใหญ่ที่สวยมากตรงหน้า เหมือนถูกดวงตาดำคู่นั้นของชายคนนี้กระชากวิญญาณ นางยื่นมือออกไปวางบนฝ่ามือเขาโดยไม่รู้ตัวพลันผู้ชายกำมือ ก็ดึงนางลุกขึ้นนางโซเซหนึ่งก้าว เกือบล้มเข้าไปในอ้อมแขนของเขา รีบก้มหน้าอย่างตื่นตระหนก“ข้า ข้าจะพาเจ้าดำน้อยไปเดินเล่น…”พูดจบ ก็วิ่งไปทางห้องนอน เรียกเจ้าดำออกไปขับถ่ายจิ่งอี้วางมือลง กล่าวกับจางเฟย “ข้าได้ตรวจสอบตัวตนของเยว่เอ๋อร์แล้ว นางปรนนิบัติคุณหนูตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่เชื่อถือได้ ต่อไปเลิกรัง
“ต่อไปข้าจะไม่ดุเจ้าอีกแล้ว…ไม่โกรธนะ…”เขาพ่นกลิ่นแอลกอฮอล์ที่เข้มข้นออกมาอย่างมึนเมา เมาจนเสียงคลุมเครือ คำพูดไม่ชัดเจนสองมือกอดต้นขาของฉู่เชียนหลีไว้แน่น กลัวว่าเมื่อปล่อยมือ นางก็จะไป“ไม่โกรธนะ…”“อย่าไป…เสด็จแม่…เสด็จแม่…เชียนหลี…”เขาเมาหนักมาก ความคิดสับสนปนเปไปหมด ทุกอย่างคลุมเครือ พูดตรงนี้หนึ่งประโยค ตรงนั้นหนึ่งประโยค ท่าทางที่ขมวดคิ้วอย่างเจ็บปวด เหมือนสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บ ขดตัวอยู่ในมุม เรียบบาดแผลของตนเองมาก“เสด็จแม่…”เขากอดต้นขานางไว้ พยุงร่างกายที่เมามายเหมือนดินโคลน พยายามลุกขึ้น พลันกลับขาอ่อน ล้มคุกเข่าลงกับพื้น“อย่าไป…ข้าจะเป็นเด็กดี…เสด็จแม่…”พึมพำอย่างลึกซึ้ง อ้อนวอนอย่างขมขื่น ดวงตาที่พร่ามัวเปล่งประกายแสงที่ชุ่มชื้น มีความเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแฝงอยู่เวลานี้ กลับเป็นความเปราะบางที่ฉู่เชียนหลีไม่เคยเห็นมาก่อนเขาเหมือนเด็กที่ถูกทอดทิ้ง กอดต้นขาของแม่แท้ๆ ไว้ อ้อนวอนอย่างขมขื่นเขาเมาแล้วเวลาที่คนเมา มักจะนึกถึงสิ่งที่เก็บซ่อนไว้ในก้นบึ้งหัวใจ อาจเป็นความกลัว ความสุข และอาจเป็นความโกรธแค้นที่ไม่สามารถมองย้อนกลับไปดูเหมือนว่าเขากำล
เป็นจี้หยกสีแดง ทำจากวัสดุพิเศษ สีสม่ำเสมอ เนื้อหยกโปร่งใส ไม่มีตำหนิแม้แต่น้อย ลวดลายได้รับการขัดเงาอย่างแวววาว สมบูรณ์แบบไร้ที่ติเพียงแต่ มันแตกแล้วตรงรอยร้าว หายไปครึ่งหนึ่ง เหลือเพียงครึ่งเดียว บนเศษที่ไม่สมบูรณ์ มองไม่ออกว่าลวดลายเป็นรูปอะไรฉู่เชียนหลีอึ้งเล็กน้อย “นี่คืออะไร?”เฟิงเย่เสวียนมองนาง กลิ่นเหล้าเข้มข้นมาก แต่คำพูดที่พูดออกมาชัดเจนทุกคำ“ตอนเจ้าเกิด แม่ของเจ้าเก็บไว้ให้เจ้าในห่อผ้า”ฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอกเล็กน้อยแม่ของนาง…เขารู้ได้อย่างไรว่านางกำลังตามหาตัวตน แล้วมีจี้หยกชิ้นนี้ได้อย่างไร?เหมือนเขาเข้าใจความสงสัยของนาง จึงกล่าวต่อ “ข้าไปหาฉู่หงหลวน นางต้องการช่วยรัชทายาท ไม่กล้าโกหกข้า”ที่แท้…!ฉู่เชียนหลีเข้าใจทันที “ท่านมอบหลักฐานการจ่ายเงินของเฉียนจวงตระกูลจินให้ฉู่หงหลวน?!”เขาพยักหน้าเขาละทิ้งโอกาสที่จะปราบรัชทายาท ทำข้อตกลงกับฉู่หงหลวน เพื่อแลกกับตัวตนของฉู่เชียนหลีแต่ฉู่เชียนหลีกลับละทิ้งตัวตน มอบหลักฐานให้เขา หวังให้เขาจัดการรัชทายาท กำจัดภัยร้ายที่จะตามมาให้สิ้นซากนางคิดเผื่อเขา หวังให้เขาปลอดภัยเขากลับคิดเผื่อนางเช่นกัน ยอมปล่อยรัชทา
ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่งเนื่องจากจับคนร้ายตัวจริงที่ลอบสังหารรัชทายาทได้แล้ว ในที่สุดรัชทายาทที่ถูกขังไว้ในวังสามวันสามคืนเต็มๆ ก็สามารถออกจากวังเฟิงเจิ้งอวี้คิดไม่ตกมาโดยตลอด เหมือนเฟิงเย่เสวียนสืบพบความจริงแล้ว แต่กลับไม่ได้พูดถึงต่อหน้าฮ่องเต้เพราะเหตุใดเฟิงเย่เสวียนจึงยอมปล่อยเขาหรือว่าอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวากงจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว?นอกวังเนื่องจากได้รับบาดเจ็บ เขาถูกเกี้ยวยกออกมา กงเจิ้นหงที่รออยู่ข้างนอกมาโดยตลอดรีบเดินเข้าไป หลังจากคำนับ เขากล่าวเสียงเบา“รัชทายาท ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง?”เฟิงเจิ้งอวี้เลิกม่านของเกี้ยวขึ้น ก็กล่าวเสียงเบาเช่นกัน“ในสามวันนี้ท่านทำอะไรบ้าง?”พูดถึงตรงนี้ กงเจิ้นหงตื่นตระหนกเล็กน้อย “ข้าน้อยรู้สึกละอายใจ สามวันที่ท่านอยู่ในวัง ข้าน้อยถูกเจ้ากรมกลาโหมรังควาน”เจ้ากรมกลาโหมเป็นคนของฮ่องเต้ เท่ากับฮ่องเต้จับตาดูเขา เขาไม่ได้ทำอะไรเลย และไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเฟิงเจิ้งอวี้ได้ยิน คิ้วดาบขมวดทันทีเขาไม่ได้ช่วยเขา?เช่นนั้นเหตุใดเฟิงเย่เสวียนจึงปล่อยเขา?แปลกมาก!จวนรัชทายาทเกี้ยวลงสู่พื้น เฟิงเย่เสวียนถูกชายสองคนประคองออกมา สองเ
จวนอ๋องเฉินการนอนครั้งนี้ เฟิงเย่เสวียนหลับลึกเป็นพิเศษ และยิ่งสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบยี่สิบปี มองดูพระอาทิตย์สีส้มยามเย็น กอดภรรยาที่หอมหวานและนุ่มนวลไว้ รู้สึกพึงพอใจกับชีวิต แทบอยากให้ช่วงเวลานี้สามารถคงอยู่ตลอดไปเยว่เอ๋อร์เตรียมอาหารเย็นเสร็จแล้ว กับข้าวแต่ละอย่างวางอยู่บนโต๊ะ ตักข้าว วางตะเกียบเรียบร้อยทั้งสองลุกจากเตียง นั่งลงกินข้าวเคียงข้างกันพ่อบ้านเดินเข้ามา เห็นทั้งสองดีกันแล้ว รู้สึกเพียงแม้แต่อากาศก็ดีขึ้นแล้ว หมอกควันกระจาย เมฆดำหายไป แม้แต่เอวและขาของเขาก็ไม่ปวดแล้ว สามารถมีชีวิตได้อีกยี่สิบปีไม่ต้องพูดถึงว่าปลื้มปีติเพียงใดเขาถือสมุดพับเล่มหนึ่ง เดินเข้ามาอย่างอารมณ์ดี“ท่านอ๋อง พระชายาอ๋องเฉิน นี่เป็นแบบของเครื่องเรือนที่สั่งทำใหม่ ท่านลองดูว่าชอบหรือไม่” ใช้สองมือส่งสมุดพับให้ฉู่เชียนหลีขี้เกียจดู เครื่องเรือนก็คือพวกโต๊ะเก้าอี้ไม่ใช่หรือ แค่สามารถใช้ได้ก็พอแล้วนางตักน้ำแกงสร่างเมาขึ้นมา เบาแล้วป้อนเข้าปากเฟิงเย่เสวียน เขาอมไว้ในปากแล้วกลืนลง หยิบสมุดพับมาดูแวบหนึ่ง“ล้วนใช้วัสดุที่ดีที่สุด”“ขอรับ ขอรับ”พ่อบ้านเห็นท่านอ๋องพยักหน้า เขาเ
ห้องโถงหน้าฉู่เชียนหลีกับเฟิงเย่เสวียนเดินเคียงข้างกันออกมา เซียวจือฮว่าถูกหามเข้ามาแล้ว นางเป็นลม นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ สีหน้าซีดขาว ดวงตาปิดสนิท หมดสติไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเป่าอวี้คุกเข่าอยู่ข้างเก้าอี้ น้ำตาเม็ดใหญ่แห่งความเป็นห่วงหลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง“นายหญิง ท่านฟื้นสินายหญิง…หากท่านเป็นอะไรขึ้นมา…”ไหล่นางกระตุก ร้องไห้สะอึกสะอื้น เมื่อเห็นท่านอ๋อง รีบกระโจนเข้าไปคำนับ กล่าวทั้งน้ำตา“ท่านอ๋อง ท่านต้องช่วยนายหญิงนะเจ้าคะ นางไม่ยอมข่มตานอน กินข้าวไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ลงสามวันแล้ว ข้าห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟัง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะตายนะเจ้าคะ!”บนเก้าอี้ เซียวจือฮว่าฟุบอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเล็กที่ซีดขาวไร้ร่องรอยของเลือด ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ผอมแห้งจนเบ้าตาลึกบุ๋มท่าทางนั่น ไม่ว่าผู้ชายคนใดแล้วก็ต้องปวดใจเฟิงเย่เสวียนกวาดมองนางแวบหนึ่ง เดินไปที่เก้าอี้หลัก หมุนกายนั่งลง“ไม่กินข้าวมาหาข้า ข้าเป็นหมอหรือ?”เออ…เป่าอวี้ชะงักไปครู่หนึ่งท่านอ๋องที่เย็นชาเช่นนี้เกิดอะไรขึ้น?!หลายปีมานี้ นายหญิงแค่ขมวดคิ้ว ทำหน้าบึ้ง แม้ผมร่วงหนึ่งเส้น ท่านอ๋องก็ปวดใจมาก