เยว่เอ๋อร์เงยหน้ามองโดยไม่รู้ตัวผู้ชายในชุดผาวสีดำอันสูงศักดิ์เดินเข้ามา รูปร่างสูงใหญ่ กลิ่นอายหนักแน่น เดินสวนทางแสง เหมือนมีแสงอันนุ่มนวลปลุกคลุมโครงหน้าหนึ่งชั้น มองเห็นอวัยวะสัมผัสทั้งห้าบนใบหน้าไม่ชัดเจน แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเปล่งประกายเขาเดินเข้ามา ก้มต่ำเล็กน้อย ยื่นฝ่ามือใหญ่ที่แข็งแรงออกไป กล่าวเสียงทุ้มต่ำ“แม่นางเยว่เอ๋อร์ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่มีเจตนาร้าย แค่อำพรางตัวในยุทธภพจนชินแล้ว ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของพวกขุนนางชนชั้นสูง คำพูดจึงโผงผางไปบ้าง”พวกเขาล้วนมีชาติกำเนิดมาจากยุทธภพ นิสัยตรงไปตรงมา คำพูดก็เช่นกัน ทำงานก็เช่นกันเยว่เอ๋อร์มองดูฝ่ามือใหญ่ที่สวยมากตรงหน้า เหมือนถูกดวงตาดำคู่นั้นของชายคนนี้กระชากวิญญาณ นางยื่นมือออกไปวางบนฝ่ามือเขาโดยไม่รู้ตัวพลันผู้ชายกำมือ ก็ดึงนางลุกขึ้นนางโซเซหนึ่งก้าว เกือบล้มเข้าไปในอ้อมแขนของเขา รีบก้มหน้าอย่างตื่นตระหนก“ข้า ข้าจะพาเจ้าดำน้อยไปเดินเล่น…”พูดจบ ก็วิ่งไปทางห้องนอน เรียกเจ้าดำออกไปขับถ่ายจิ่งอี้วางมือลง กล่าวกับจางเฟย “ข้าได้ตรวจสอบตัวตนของเยว่เอ๋อร์แล้ว นางปรนนิบัติคุณหนูตั้งแต่เด็ก เป็นคนที่เชื่อถือได้ ต่อไปเลิกรัง
“ต่อไปข้าจะไม่ดุเจ้าอีกแล้ว…ไม่โกรธนะ…”เขาพ่นกลิ่นแอลกอฮอล์ที่เข้มข้นออกมาอย่างมึนเมา เมาจนเสียงคลุมเครือ คำพูดไม่ชัดเจนสองมือกอดต้นขาของฉู่เชียนหลีไว้แน่น กลัวว่าเมื่อปล่อยมือ นางก็จะไป“ไม่โกรธนะ…”“อย่าไป…เสด็จแม่…เสด็จแม่…เชียนหลี…”เขาเมาหนักมาก ความคิดสับสนปนเปไปหมด ทุกอย่างคลุมเครือ พูดตรงนี้หนึ่งประโยค ตรงนั้นหนึ่งประโยค ท่าทางที่ขมวดคิ้วอย่างเจ็บปวด เหมือนสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บ ขดตัวอยู่ในมุม เรียบบาดแผลของตนเองมาก“เสด็จแม่…”เขากอดต้นขานางไว้ พยุงร่างกายที่เมามายเหมือนดินโคลน พยายามลุกขึ้น พลันกลับขาอ่อน ล้มคุกเข่าลงกับพื้น“อย่าไป…ข้าจะเป็นเด็กดี…เสด็จแม่…”พึมพำอย่างลึกซึ้ง อ้อนวอนอย่างขมขื่น ดวงตาที่พร่ามัวเปล่งประกายแสงที่ชุ่มชื้น มีความเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแฝงอยู่เวลานี้ กลับเป็นความเปราะบางที่ฉู่เชียนหลีไม่เคยเห็นมาก่อนเขาเหมือนเด็กที่ถูกทอดทิ้ง กอดต้นขาของแม่แท้ๆ ไว้ อ้อนวอนอย่างขมขื่นเขาเมาแล้วเวลาที่คนเมา มักจะนึกถึงสิ่งที่เก็บซ่อนไว้ในก้นบึ้งหัวใจ อาจเป็นความกลัว ความสุข และอาจเป็นความโกรธแค้นที่ไม่สามารถมองย้อนกลับไปดูเหมือนว่าเขากำล
เป็นจี้หยกสีแดง ทำจากวัสดุพิเศษ สีสม่ำเสมอ เนื้อหยกโปร่งใส ไม่มีตำหนิแม้แต่น้อย ลวดลายได้รับการขัดเงาอย่างแวววาว สมบูรณ์แบบไร้ที่ติเพียงแต่ มันแตกแล้วตรงรอยร้าว หายไปครึ่งหนึ่ง เหลือเพียงครึ่งเดียว บนเศษที่ไม่สมบูรณ์ มองไม่ออกว่าลวดลายเป็นรูปอะไรฉู่เชียนหลีอึ้งเล็กน้อย “นี่คืออะไร?”เฟิงเย่เสวียนมองนาง กลิ่นเหล้าเข้มข้นมาก แต่คำพูดที่พูดออกมาชัดเจนทุกคำ“ตอนเจ้าเกิด แม่ของเจ้าเก็บไว้ให้เจ้าในห่อผ้า”ฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอกเล็กน้อยแม่ของนาง…เขารู้ได้อย่างไรว่านางกำลังตามหาตัวตน แล้วมีจี้หยกชิ้นนี้ได้อย่างไร?เหมือนเขาเข้าใจความสงสัยของนาง จึงกล่าวต่อ “ข้าไปหาฉู่หงหลวน นางต้องการช่วยรัชทายาท ไม่กล้าโกหกข้า”ที่แท้…!ฉู่เชียนหลีเข้าใจทันที “ท่านมอบหลักฐานการจ่ายเงินของเฉียนจวงตระกูลจินให้ฉู่หงหลวน?!”เขาพยักหน้าเขาละทิ้งโอกาสที่จะปราบรัชทายาท ทำข้อตกลงกับฉู่หงหลวน เพื่อแลกกับตัวตนของฉู่เชียนหลีแต่ฉู่เชียนหลีกลับละทิ้งตัวตน มอบหลักฐานให้เขา หวังให้เขาจัดการรัชทายาท กำจัดภัยร้ายที่จะตามมาให้สิ้นซากนางคิดเผื่อเขา หวังให้เขาปลอดภัยเขากลับคิดเผื่อนางเช่นกัน ยอมปล่อยรัชทา
ในเวลาเดียวกัน อีกด้านหนึ่งเนื่องจากจับคนร้ายตัวจริงที่ลอบสังหารรัชทายาทได้แล้ว ในที่สุดรัชทายาทที่ถูกขังไว้ในวังสามวันสามคืนเต็มๆ ก็สามารถออกจากวังเฟิงเจิ้งอวี้คิดไม่ตกมาโดยตลอด เหมือนเฟิงเย่เสวียนสืบพบความจริงแล้ว แต่กลับไม่ได้พูดถึงต่อหน้าฮ่องเต้เพราะเหตุใดเฟิงเย่เสวียนจึงยอมปล่อยเขาหรือว่าอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวากงจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว?นอกวังเนื่องจากได้รับบาดเจ็บ เขาถูกเกี้ยวยกออกมา กงเจิ้นหงที่รออยู่ข้างนอกมาโดยตลอดรีบเดินเข้าไป หลังจากคำนับ เขากล่าวเสียงเบา“รัชทายาท ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง?”เฟิงเจิ้งอวี้เลิกม่านของเกี้ยวขึ้น ก็กล่าวเสียงเบาเช่นกัน“ในสามวันนี้ท่านทำอะไรบ้าง?”พูดถึงตรงนี้ กงเจิ้นหงตื่นตระหนกเล็กน้อย “ข้าน้อยรู้สึกละอายใจ สามวันที่ท่านอยู่ในวัง ข้าน้อยถูกเจ้ากรมกลาโหมรังควาน”เจ้ากรมกลาโหมเป็นคนของฮ่องเต้ เท่ากับฮ่องเต้จับตาดูเขา เขาไม่ได้ทำอะไรเลย และไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเฟิงเจิ้งอวี้ได้ยิน คิ้วดาบขมวดทันทีเขาไม่ได้ช่วยเขา?เช่นนั้นเหตุใดเฟิงเย่เสวียนจึงปล่อยเขา?แปลกมาก!จวนรัชทายาทเกี้ยวลงสู่พื้น เฟิงเย่เสวียนถูกชายสองคนประคองออกมา สองเ
จวนอ๋องเฉินการนอนครั้งนี้ เฟิงเย่เสวียนหลับลึกเป็นพิเศษ และยิ่งสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบยี่สิบปี มองดูพระอาทิตย์สีส้มยามเย็น กอดภรรยาที่หอมหวานและนุ่มนวลไว้ รู้สึกพึงพอใจกับชีวิต แทบอยากให้ช่วงเวลานี้สามารถคงอยู่ตลอดไปเยว่เอ๋อร์เตรียมอาหารเย็นเสร็จแล้ว กับข้าวแต่ละอย่างวางอยู่บนโต๊ะ ตักข้าว วางตะเกียบเรียบร้อยทั้งสองลุกจากเตียง นั่งลงกินข้าวเคียงข้างกันพ่อบ้านเดินเข้ามา เห็นทั้งสองดีกันแล้ว รู้สึกเพียงแม้แต่อากาศก็ดีขึ้นแล้ว หมอกควันกระจาย เมฆดำหายไป แม้แต่เอวและขาของเขาก็ไม่ปวดแล้ว สามารถมีชีวิตได้อีกยี่สิบปีไม่ต้องพูดถึงว่าปลื้มปีติเพียงใดเขาถือสมุดพับเล่มหนึ่ง เดินเข้ามาอย่างอารมณ์ดี“ท่านอ๋อง พระชายาอ๋องเฉิน นี่เป็นแบบของเครื่องเรือนที่สั่งทำใหม่ ท่านลองดูว่าชอบหรือไม่” ใช้สองมือส่งสมุดพับให้ฉู่เชียนหลีขี้เกียจดู เครื่องเรือนก็คือพวกโต๊ะเก้าอี้ไม่ใช่หรือ แค่สามารถใช้ได้ก็พอแล้วนางตักน้ำแกงสร่างเมาขึ้นมา เบาแล้วป้อนเข้าปากเฟิงเย่เสวียน เขาอมไว้ในปากแล้วกลืนลง หยิบสมุดพับมาดูแวบหนึ่ง“ล้วนใช้วัสดุที่ดีที่สุด”“ขอรับ ขอรับ”พ่อบ้านเห็นท่านอ๋องพยักหน้า เขาเ
ห้องโถงหน้าฉู่เชียนหลีกับเฟิงเย่เสวียนเดินเคียงข้างกันออกมา เซียวจือฮว่าถูกหามเข้ามาแล้ว นางเป็นลม นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ สีหน้าซีดขาว ดวงตาปิดสนิท หมดสติไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเป่าอวี้คุกเข่าอยู่ข้างเก้าอี้ น้ำตาเม็ดใหญ่แห่งความเป็นห่วงหลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง“นายหญิง ท่านฟื้นสินายหญิง…หากท่านเป็นอะไรขึ้นมา…”ไหล่นางกระตุก ร้องไห้สะอึกสะอื้น เมื่อเห็นท่านอ๋อง รีบกระโจนเข้าไปคำนับ กล่าวทั้งน้ำตา“ท่านอ๋อง ท่านต้องช่วยนายหญิงนะเจ้าคะ นางไม่ยอมข่มตานอน กินข้าวไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ลงสามวันแล้ว ข้าห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟัง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะตายนะเจ้าคะ!”บนเก้าอี้ เซียวจือฮว่าฟุบอยู่ตรงนั้น ใบหน้าเล็กที่ซีดขาวไร้ร่องรอยของเลือด ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ผอมแห้งจนเบ้าตาลึกบุ๋มท่าทางนั่น ไม่ว่าผู้ชายคนใดแล้วก็ต้องปวดใจเฟิงเย่เสวียนกวาดมองนางแวบหนึ่ง เดินไปที่เก้าอี้หลัก หมุนกายนั่งลง“ไม่กินข้าวมาหาข้า ข้าเป็นหมอหรือ?”เออ…เป่าอวี้ชะงักไปครู่หนึ่งท่านอ๋องที่เย็นชาเช่นนี้เกิดอะไรขึ้น?!หลายปีมานี้ นายหญิงแค่ขมวดคิ้ว ทำหน้าบึ้ง แม้ผมร่วงหนึ่งเส้น ท่านอ๋องก็ปวดใจมาก
นางกับเขาเติบโตมาพร้อมกัน เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก ความผูกพันยาวนานสิบกว่าปีนางเป็นสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเซียว เขาสัญญาว่าจะดูแลนางทั้งชีวิต!เซียวจือฮว่ามองหนังสือหย่าฉบับนั้นอย่างตะลึงงัน รู้สึกเพียงนี่คือฝันร้าย ไม่ใช่ความจริง นางส่ายศีรษะพลางเดินถอยหลังหลายก้าว“ไม่…”เป็นไปไม่ได้นางกำลังฝันนางเชื่อฟังเช่นนั้น อ่อนโยนเช่นนั้น และยังงดงาม รู้จักเอาใจใส่ผู้อื่น อ๋องเฉินจะทิ้งนางเพื่อผู้หญิงอัปลักษณ์คนหนึ่งได้อย่างไร?เป็นไปไม่ได้!ใบหน้าเล็กของนางซีดขาว ส่ายศีรษะไม่หยุด “ไม่…ข้าจะไม่ไปจากท่าน…ท่านป้าไม่อนุญาตให้ท่านทำเช่นนี้แน่นอน!”ท่านป้าที่นางพูดถึงคือ เซียวกุ้ยเฟย หรือก็คือมารดาผู้ให้กำเนิดของอ๋องเฉิน เฟิงเย่เสวียนมองนางอย่างเฉยเมย“หากเสด็จแม่ยังอยู่ มีแต่จะทำเช่นเดียวกับข้า นางไม่มีทางเก็บอสรพิษที่ดุร้ายตัวหนึ่งไว้ข้างกาย”สีหน้าเซียวจือฮว่าซีดขาว ร่างกายสั่นสะท้านอสรพิษ…เขารู้แล้ว…เขาสืบเจอแล้ว…ฉู่เชียนหลียืนอยู่ข้างๆ ไม่ค่อยเข้าใจนักอสรพิษอะไร?เซียวจือฮว่าทำเรื่องอะไรที่นางไม่รู้?“ได้หนังสือหย่าแล้วก็ไปเถอะ ข้าจัดการทุกอย่างไว้ให้เจ้าแล
เรือนหานเฟิงหากพูดว่าท่านอ๋องปลดพระชายารองเซียว ใครคือคนที่ดีใจที่สุด เช่นนั้นก็หนีไม่พ้นเยว่เอ๋อร์แล้วเมื่อพระชายารองเซียวไป พระชายาได้รับความโปรดปรานเพียงคนเดียว หากให้กำเนิดลูกชายอีกหนึ่งคน มารดาพึ่งบารมีลูกชาย ลาภยศเงินทองของทั้งชีวิตก็จะได้รับการประกันนางทำขนมหวานที่ประณีตสองจานอย่างมีความสุข ส่งเข้ามา ยิ้มแย้มตลอดเวลาตั้งแต่เริ่มจนจบฉู่เชียนหลีเห็น พูดกระเซ้าด้วยรอยยิ้ม“เยว่เอ๋อร์ ยิ้มได้มีความสุขมากเช่นนั้น มีผู้ชายที่ชอบแล้ว?”เยว่เอ๋อร์ชะงักทันใดนั้น สมองก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงร่างเงาสีดำที่สูงใหญ่สายหนึ่ง…แก้มทั้งสองข้างแดงทันที เวลาพูดก็เริ่มติดขัด“พระชายา ท่านพูด พูดอะไรของท่าน…ข้ายังเป็นสาวพรหมจรรย์นะ ผู้ชายอะไรของท่าน น่าอายจัง!”วางขนมหวานลง ปิดหน้าวิ่งออกไปฮืม?อาการหนักเช่นนี้แล้ว ยังจะปฏิเสธ?เห็นนางตาบอด?ไม่รู้ว่าเป็นผู้ชายคนใดที่โชคดีเช่นนี้ ถูกเยว่เอ๋อร์ที่เพียบพร้อมมีน้ำใจของบ้านนางชอบฉู่เชียนหลีหยิบขนมหวานขึ้นมาหนึ่งชิ้น กินไปหนึ่งคำ นางขมวดคิ้ว“กลิ่นเหม็นเปรี้ยวความรัก”เฟิงเย่เสวียนได้ยินคำเปรียบเปรยที่เอกลักษณ์แปลกใหม่นี้ เขาหัวเราะด้