ศาลาว่าการซุนเทียนฉู่เชียนหลีกับเฟิงเย่เสวียนรีบเดินทางมา หลิงเชียนอี้รีบพุ่งวิ่งออกไป ถามหลายประโยคติดต่อกันด้วยความเป็นห่วง“ท่านน้า ฉู่เชียนหลี ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาแล้ว! ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่? สถานการณ์ในวังเป็นอย่างไรบ้าง? เสด็จตาทรงตรัสว่าอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีไม่มีเวลาพูดมาก พูดเพียงแค่มีเวลาสามวัน แล้วเข้าสู่ประเด็นหลัก“ผู้ตรวจการศาลาว่าการซุนเทียนล่ะ?”เขาวางเพลิงเผาศพ พฤติกรรมน่าสงสัย บางทีอาจจะรู้ความจริงสอบปากคำเขา อาจจะมีเบาะแสหลิงเชียนอี้ชี้ไปที่ห้องด้านหลัง “เขารออยู่ด้านในห้องตลอด ข้าเฝ้าอยู่หน้าประตู ไม่ได้ออกห่วงแม้แต่ก้าวเดียว จับตาดูเขาไว้อย่างดี”ตบหน้าอก กล่าวอย่างภูมิใจ“ท่านน้า ข้าทำงานได้น่าเชื่อถืออยู่แล้ว! เห็นแก่ข้าที่น่าเชื่อถือขนาดนี้ เตากำยานที่เก็บรักษาอยู่ในห้องหนังสือของท่านมานานหลายปีชิ้นนั้น จะให้ข้าได้...”เฟิงเย่เสวียน “ไม่ได้”ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ไสหัวไป”หลิงเชียนอี้ “...”ใช้นำเสียงที่อ่อนโยนที่สุด พูดคำที่โหดร้ายที่สุดออกมา ท่านน้าเป็นคนตระหนี่ที่ขี้เหนียว ใจแคบ ขี้งก!เวลานี้ มีเพียงฉู่เชียนหลีที่รู้เรื่องจริงกล่าวอย่างถอนหา
จวนอ๋องเฉินพอเฟิงเย่เสวียนกลับมาถึง หานเฟิงวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว คุกเข่าลงข้างหนึ่ง พูดขอรับโทษ“นายท่าน ข้าน้อยไม่เอาไหน ยังไม่สามารถสืบสาเหตุการหายไปของหยกห้อยได้ขอรับ!”ถ้าหากสามารถสืบได้ง่ายได้ขนาดนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ร้ายเขาแล้วเฟิงเย่เสวียนสาวเท้ายาวเดินเข้าไปในห้องโถง ย่อตัวนั่งลง “เรียกคนงาน องครักษ์ที่สับเวร และทุกคนที่เข้าออกจวนอ๋องเฉินภายในห้าวันมานี้มาให้หมด”“ขอรับ!”เนื่องจากรัชทายาทถูกลอบสังหารคืนแต่งงาน เป็นเวลากลางคืน ประกอบกับฝ่าบาทยับยั้งเอาไว้ ข่าวคราวจึงไม่ได้เผยแพร่ออกไปเมื่อบรรดาคนรับใช้ของจวนอ๋องเห็นท่านอ๋องกระทำการใหญ่โต ราวกับว่ากำลังสืบอะไรบางอย่าง แต่ละคนเต็มไปด้วยความงุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางระมัดระวัง เป็นระเบียบเรียบร้อยระดับความไวขององครักษ์ย่อมมากกว่าบรรดาคนใช้หลายเท่า หนึ่งในนั้น อยู่ ๆ องครักษ์คนหนึ่งก็ก้าวออกมา กล่าวรายงาน“เรียนท่านอ๋อง เมื่อวาน พระชายารองเซียวมาที่นี่ขอรับ”เมื่อวานนี้องครักษ์คนนั้นอยู่เวรพอดี“พระชายารองเซียว?” หานเฟิงขมวดคิ้ว “นางอยู่ที่สวนบ้านพักชานเมืองไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงกลับมาจวนกะทั
จวนตระกูลเว่ยทั่วทั้งจวนบรรยากาศอึดอัด ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าสวมชุดสีน้ำตาลกำลังก้มหน้านั่งอยู่ที่นั่น ท่าทางเหม่อลอย สีหน้าตกตะลึงไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่คนรับใช้ไม่น้อยกำลังถอนหายใจ แอบเช็ดน้ำตาเงียบ ๆ “คุณหนูผู้น่าสงสาร...”“เพิ่งเข้าจวนรัชทายาท เหตุใดจึงเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ได้...”“เฮ้อ...”การตายของเว่ยซืออี๋ บรรดาคนใช้ทอดถอนใจเพื่อนาง ใต้เท้าเว่ยนั่งอยู่ตรงนั้นตลอด ไม่ขยับเขยื้อน ไม่พูดไม่จา ทุกคนจึงไม่กล้ารบกวนทันใดนั้น เด็กรับใช้คนหนึ่งเข้ามารายงาน“นายท่าน พระชายาอ๋องเฉินขอเข้าพบขอรับ”ใต้เท้าเว่ยตกตะลึงทันที หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงได้เงยหน้าขึ้นอย่างตระหนักได้พระชายาอ๋องเฉิน?ขอพบเขา?เหมือนกับว่าเขากับพระชายาอ๋องเฉินไม่เคยมีความสนิทสนมกันมาก่อนนี่นาเขาสะบัดมืออย่างเหนื่อยล้า “บอกไปว่าข้าไม่สบาย ตอนนี้ไม่...”“ใต้เท้าเว่ยไม่สบายตรงไหน? ข้าพอรู้เรื่องการรักษาอยู่บ้าง ช่วยตรวจให้ใต้เท้าได้พอดี”ด้านนอก น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยเสียงหัวเราะของหญิงสาวดังก้องขึ้น ฉู่เชียนหลีค่อย ๆ ย่างกราย เดินเข้ามาอย่างสบายใจใต้เท้าเว่ยชะงักไปเม้มปาก กวาดสายตามองคนใ
ใบเสร็จของเฉียนจวงคิดไม่ถึงว่านางจะสืบบัญชีของเขา ยังสืบไปถึงบัญชีของจวนรัชทายาทอีกด้วย!อาศัยเพียงพระชายาอ๋องเฉินไม่มีทางที่ความสามารถจะมากมายขนาดนี้ ดูท่าจะเป็นอ๋องเฉินที่สืบพบ...จ้องมองใบเสร็จนั้น หัวใจของใต้เท้าเว่ยก็ค่อย ๆ หนักอึ้งขึ้นทีละนิด อยากจะแก้ต่างก็ไม่ได้เงินก้อนใหญ่นี้ เขาเอาไปซื้อยาพิษยาพิษอยู่ในร่างกายของเว่ยซืออี๋ ไม่มีทางทำลายชีวิตของนาง แต่สามารถควบคุมพฤติกรรมของนางได้ ให้นางลอบสังหารรัชทายาท แล้วโยนความผิดให้แก่อ๋องเฉินเขาร่วมมือกับรัชทายาท...เรื่องมาถึงขั้นนี้ ความจริงปรากฏตอนนี้ฉู่เชียนหลียังมีข้อสงสัยอีกหนึ่งเรื่อง“ใต้เท้าเว่ย ท่านเกลียดอ๋องเฉิน ข้าเข้าใจได้ แต่ว่าหยกห้อยชิ้นนั้นบนตัวของพระชายาเว่ย เดิมทีเป็นหยกห้อยประจำกายของอ๋องเฉิน เหตุใดจึงไปปรากฏอยู่บนตัวของพระชายาเว่ยได้?”“ท่านทำได้อย่างไร?”พูดกันตามหลักแล้ว การอารักขาของจวนอ๋องเฉินเข้มงวด และสิ่งของประจำกายของเขาน้อยคนมากที่จะแตะต้องถึง ผู้ที่สามารถแตะต้องได้ จะต้องเป็นคนสนิทที่เชื่อใจได้เท่านั้นหยกห้อยของอ๋องเฉินหายไปได้อย่างไร?ผู้ใดเป็นคนขโมย?นางสงสัยมากใต้เท้าเว่ยเม้มปาก ก้
“ข้า...”บาดเจ็บภายใน?ก็วิงเวียนศีรษะ ไร้เรี่ยวแรงมาตลอด ที่แท้ก็เพราะบาดเจ็บภายในหรือ? แต่นางไม่ได้กลับไม่ได้มีอาการเหล่านี้เหมือนกับว่าตั้งแต่...ศาลาว่าการซุนเทียนเป็นต้นมาหลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้รุนแรงครั้งนั้น นางก็รู้สึกไม่สบายมาตลอดฉู่เชียนหลีเกาะแขนของจิ่งอี้เอาไว้อย่างอ่อนแอ พยายามยันร่างกาย นำเรื่องของศาลาว่าการซุนเทียนเล่าออกมาคร่าว ๆ โดยเฉพาะเรื่องตอนที่นางถูกคานของห้องที่น้ำหนักหลายร้อยชั่งทับเอาไว้ แต่กลับสะบัดลอยออกไปได้ด้วยมือเปล่า จิ่งอี้ดวงตาเคร่งขรึมดูท่า คงเป็นเพราะคุณหนูกระตุ้นกำลังภายในในสถานการณ์ที่คับขัน แต่เนื่องจากเป็นเพราะนางยังใช้ไม่เป็น ทำให้กำลังภายในแว้งกัด ช่วยชีวิตตนเอง ก็ทำให้ตนเองบาดเจ็บเช่นกันเรื่องที่เกิดขึ้นที่ศาลาว่าการซุนเทียนเป็นตอนเช้า แต่ตอนนี้เป็นตอนบ่ายแล้ว คิดไม่ถึงว่านางจะสามารถฝืนทนมาได้ทั้งวัน!เขาประคองนาง “คุณหนู ที่นี่ไม่ใช่ที่จะคุยกัน กลับโรงหมอเดี๋ยวนี้ ข้าจะช่วยท่านรักษาอาการบาดเจ็บ”ฉู่เชียนหลีกลับไม่เป็นห่วงตนเอง เป็นห่วงเรื่องที่อ๋องเฉินถูกใส่ร้ายอยู่ตลอดเวลา“หลังจากที่ใต้เท้าเว่ยรู้ว่าเรื่องราวล้มเหลว อาจจะทำเ
เซียวจือฮว่าเม้มริมฝีปากแน่น มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อก็ค่อย ๆ กำแน่นขึ้น น้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้น“เป่าอวี้ เจ้าว่า ถ้าหากข้าทำเรื่องผิด ท่านอ๋องจะฆ่าข้าหรือไม่?” โอ๊ะ!เป่าอวี้ได้ยินคำว่า ‘ฆ่า’ คำนี้ ก็ตกใจยกใหญ่“นายหญิง ท่านกำลังพูดจาเหลวไหลอะไรเจ้าคะ? ท่านเป็นอะไร...”“เจ้าบอกข้า!” เซียวจือฮว่าเงยหน้าขึ้นมองนางตรง ๆ ทันที “พูดความจริง!”เป่าอวี้ตกใจจนหน้าถอดสีเหตุใดอยู่ ๆ จึงพูดแบบนี้...ถ้าหากจะพูดความจริงละก็ นางเองก็ไม่กล้า ๆ ยืนยันได้เคย นางเคยเห็นองครักษ์ลับที่ติดตามท่านอ๋องมาแปดปีคนหนึ่งถูกโทษประหาร เพียงเพราะเลือกผิด รองแม่ทัพคนหนึ่งพูดคำที่ไม่ควรพูด จึงถูกตัดลิ้น องครักษ์คนหนึ่งจุดจบน่าสมเพช เพียงเพราะประมาทเลินเล่อไปชั่วขณะ...ท่านอ๋องเป็นคนที่ชัดเจนกับการลงโทษและให้รางวัล ไม่เคยใจอ่อนต่อผู้กระทำความผิดแต่ว่า...นายหญิงเป็นคนตระกูลเซียว!“นายหญิง ท่านแซ่เซียวนะ! ท่านจะกลัวอะไรเจ้าคะ?” เป่าอวี้กล่าว “ท่านเป็นสายเลือดคนสุดท้าย สายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเซียว เสด็จแม่ของท่านอ๋องเป็นอาหญิงของท่าน เขาจะต้องปกป้องท่านไปตลอดชีวิต จะลงโทษท่านได้อย่างไรกันล่ะ?”
เนื่องจากอาการบาดเจ็บภายในของฉู่เชียนหลีสาหัสมาก ประกอบกับเรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน กลิ้งตกบันไดสามขั้นอย่างไม่ระวัง หัวทิ่มลงไปในน้ำพรวด!ละอองน้ำที่สาดกระเซ็นสูงขึ้นมาบนฝั่ง จึงดึงดูดความสนใจของชาวบ้านจำนวนไม่น้อย“มีคนตกน้ำ?”“รีบช่วยคน...”ชาวบ้านบริเวณรอบ ๆ ยังไม่ทันวิ่งเข้าไป เงาดำทะมึนร่างหนึ่งก็กระโจนลงไปในน้ำอย่างรีบร้อน“คุณหนู!”เซียวจือฮว่ายืนอยู่ริมฝั่ง จ้องมองทั้งสองคนที่กำลังดิ้นรนอยู่ในน้ำ มุมปากยกขึ้นฉายแววความชั่วร้ายแวบหนึ่งทันใดนั้น อ้าปากพูดเสียงดัง“พระชายาอ๋องเฉิน เหตุใดท่านจึงอยู่กับชายอื่น!”เสียงดังที่จงใจตะโกนขึ้นดังกระจาย ลอยเข้าไปในหูของทุกคนอย่างชัดเจน ทำให้ทุกคนตกตะลึงพร้อมเพรียงกัน เบิกดวงตากว้าง พากันมองไปที่กลางน้ำพระชายาอ๋องเฉิน?ผู้ชายอื่น?แต่น้ำที่สาดกระเซ็น ทำให้มองใบหน้าของคนทั้งสองได้ไม่ชัดเจนเลยสักนิดแต่ธรรมชาติของมนุษย์ก็คือการนินทา ไม่ว่าคำพูดประโยคนี้จะจริงหรือเท็จ พวกเขาก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา“เป็นพระชายาอ๋องเฉินงั้นหรือ?”“ไม่ใช่หรอกน่า? ได้เป็นถึงพระชายาแล้วยังไม่พอใจอีกหรือ? ยังยั่วยวนผู้ชายอื่นอีกหรือ? หรือว่า
ใบหน้าเล็กขนาดเท่าฝ่ามืองามจนน่าเหลือเชื่อ คิ้วเข้มราวกับน้ำหมึก ดวงตาหงส์เปล่งประกายราวกับดวงดาว สะอาดสว่างไสว ริมฝีปากเล็กที่ราวกับกลีบดอกท้อเผยอออกเล็กน้อย เครื่องหน้าอันแสนประณีต ราวกับถูกแกะสลักขึ้นอย่างตั้งใจ ผิวพรรณราวกับไข่ไก่ที่ปอกเปลือกแล้ว ไม่มีตำหนิเลยแม้แต่น้อยหยดน้ำเล็ก ๆ ที่ติดอยู่บนใบหน้าของนาง บนขนตา บนเส้นผม ลำคอ และผิวหนัง เสื้อผ้าที่เปียกปอนแนบสนิทกับตัว ส่วนเว้นโค้งของเรือนร่างที่สมบูรณ์แบบร่างกายอันบอบบางขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม ลมพัดผ่านมา หนาวจนตัวสั่นเล็กน้อย สีหน้าที่ซีดเซียวเล็กน้อยมากพอที่จะกระตุ้นความปรารถนาที่จะปกป้องของบุรุษงดงาม!ความงามของร่างกายที่เปียกปอน งามจนน่าเหลือเชื่อ ทั้งยั่วยวนทั้งสวยสุดยอด!จิ่งอี้ถอดเสื้อคลุมด้านนอกของตนเองออก คลุมเรือนร่างอันงดงามเอาไว้ เพียงแค่สบตากับหญิงสาวทีหนึ่ง ก็เข้าใจความหมายของนางดึงนางเข้ามากอด เงยหน้าขึ้น จ้องเซียวจือฮว่าและถามเสียงเย็นชา“ฮูหยินของข้าไม่เคยมีความแค้นอะไรกับท่าน ไม่มีญาติมิตร เหตุใดท่านจึงต้องผลักนางตกน้ำด้วย!”เซียวจือฮว่าเบิกตากว้างเป็นไปไม่ได้!ฉู่เชียนหลีล่ะ?!เมื่อหลายวัน