“ข้า...”บาดเจ็บภายใน?ก็วิงเวียนศีรษะ ไร้เรี่ยวแรงมาตลอด ที่แท้ก็เพราะบาดเจ็บภายในหรือ? แต่นางไม่ได้กลับไม่ได้มีอาการเหล่านี้เหมือนกับว่าตั้งแต่...ศาลาว่าการซุนเทียนเป็นต้นมาหลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้รุนแรงครั้งนั้น นางก็รู้สึกไม่สบายมาตลอดฉู่เชียนหลีเกาะแขนของจิ่งอี้เอาไว้อย่างอ่อนแอ พยายามยันร่างกาย นำเรื่องของศาลาว่าการซุนเทียนเล่าออกมาคร่าว ๆ โดยเฉพาะเรื่องตอนที่นางถูกคานของห้องที่น้ำหนักหลายร้อยชั่งทับเอาไว้ แต่กลับสะบัดลอยออกไปได้ด้วยมือเปล่า จิ่งอี้ดวงตาเคร่งขรึมดูท่า คงเป็นเพราะคุณหนูกระตุ้นกำลังภายในในสถานการณ์ที่คับขัน แต่เนื่องจากเป็นเพราะนางยังใช้ไม่เป็น ทำให้กำลังภายในแว้งกัด ช่วยชีวิตตนเอง ก็ทำให้ตนเองบาดเจ็บเช่นกันเรื่องที่เกิดขึ้นที่ศาลาว่าการซุนเทียนเป็นตอนเช้า แต่ตอนนี้เป็นตอนบ่ายแล้ว คิดไม่ถึงว่านางจะสามารถฝืนทนมาได้ทั้งวัน!เขาประคองนาง “คุณหนู ที่นี่ไม่ใช่ที่จะคุยกัน กลับโรงหมอเดี๋ยวนี้ ข้าจะช่วยท่านรักษาอาการบาดเจ็บ”ฉู่เชียนหลีกลับไม่เป็นห่วงตนเอง เป็นห่วงเรื่องที่อ๋องเฉินถูกใส่ร้ายอยู่ตลอดเวลา“หลังจากที่ใต้เท้าเว่ยรู้ว่าเรื่องราวล้มเหลว อาจจะทำเ
เซียวจือฮว่าเม้มริมฝีปากแน่น มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อก็ค่อย ๆ กำแน่นขึ้น น้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้น“เป่าอวี้ เจ้าว่า ถ้าหากข้าทำเรื่องผิด ท่านอ๋องจะฆ่าข้าหรือไม่?” โอ๊ะ!เป่าอวี้ได้ยินคำว่า ‘ฆ่า’ คำนี้ ก็ตกใจยกใหญ่“นายหญิง ท่านกำลังพูดจาเหลวไหลอะไรเจ้าคะ? ท่านเป็นอะไร...”“เจ้าบอกข้า!” เซียวจือฮว่าเงยหน้าขึ้นมองนางตรง ๆ ทันที “พูดความจริง!”เป่าอวี้ตกใจจนหน้าถอดสีเหตุใดอยู่ ๆ จึงพูดแบบนี้...ถ้าหากจะพูดความจริงละก็ นางเองก็ไม่กล้า ๆ ยืนยันได้เคย นางเคยเห็นองครักษ์ลับที่ติดตามท่านอ๋องมาแปดปีคนหนึ่งถูกโทษประหาร เพียงเพราะเลือกผิด รองแม่ทัพคนหนึ่งพูดคำที่ไม่ควรพูด จึงถูกตัดลิ้น องครักษ์คนหนึ่งจุดจบน่าสมเพช เพียงเพราะประมาทเลินเล่อไปชั่วขณะ...ท่านอ๋องเป็นคนที่ชัดเจนกับการลงโทษและให้รางวัล ไม่เคยใจอ่อนต่อผู้กระทำความผิดแต่ว่า...นายหญิงเป็นคนตระกูลเซียว!“นายหญิง ท่านแซ่เซียวนะ! ท่านจะกลัวอะไรเจ้าคะ?” เป่าอวี้กล่าว “ท่านเป็นสายเลือดคนสุดท้าย สายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเซียว เสด็จแม่ของท่านอ๋องเป็นอาหญิงของท่าน เขาจะต้องปกป้องท่านไปตลอดชีวิต จะลงโทษท่านได้อย่างไรกันล่ะ?”
เนื่องจากอาการบาดเจ็บภายในของฉู่เชียนหลีสาหัสมาก ประกอบกับเรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน กลิ้งตกบันไดสามขั้นอย่างไม่ระวัง หัวทิ่มลงไปในน้ำพรวด!ละอองน้ำที่สาดกระเซ็นสูงขึ้นมาบนฝั่ง จึงดึงดูดความสนใจของชาวบ้านจำนวนไม่น้อย“มีคนตกน้ำ?”“รีบช่วยคน...”ชาวบ้านบริเวณรอบ ๆ ยังไม่ทันวิ่งเข้าไป เงาดำทะมึนร่างหนึ่งก็กระโจนลงไปในน้ำอย่างรีบร้อน“คุณหนู!”เซียวจือฮว่ายืนอยู่ริมฝั่ง จ้องมองทั้งสองคนที่กำลังดิ้นรนอยู่ในน้ำ มุมปากยกขึ้นฉายแววความชั่วร้ายแวบหนึ่งทันใดนั้น อ้าปากพูดเสียงดัง“พระชายาอ๋องเฉิน เหตุใดท่านจึงอยู่กับชายอื่น!”เสียงดังที่จงใจตะโกนขึ้นดังกระจาย ลอยเข้าไปในหูของทุกคนอย่างชัดเจน ทำให้ทุกคนตกตะลึงพร้อมเพรียงกัน เบิกดวงตากว้าง พากันมองไปที่กลางน้ำพระชายาอ๋องเฉิน?ผู้ชายอื่น?แต่น้ำที่สาดกระเซ็น ทำให้มองใบหน้าของคนทั้งสองได้ไม่ชัดเจนเลยสักนิดแต่ธรรมชาติของมนุษย์ก็คือการนินทา ไม่ว่าคำพูดประโยคนี้จะจริงหรือเท็จ พวกเขาก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา“เป็นพระชายาอ๋องเฉินงั้นหรือ?”“ไม่ใช่หรอกน่า? ได้เป็นถึงพระชายาแล้วยังไม่พอใจอีกหรือ? ยังยั่วยวนผู้ชายอื่นอีกหรือ? หรือว่า
ใบหน้าเล็กขนาดเท่าฝ่ามืองามจนน่าเหลือเชื่อ คิ้วเข้มราวกับน้ำหมึก ดวงตาหงส์เปล่งประกายราวกับดวงดาว สะอาดสว่างไสว ริมฝีปากเล็กที่ราวกับกลีบดอกท้อเผยอออกเล็กน้อย เครื่องหน้าอันแสนประณีต ราวกับถูกแกะสลักขึ้นอย่างตั้งใจ ผิวพรรณราวกับไข่ไก่ที่ปอกเปลือกแล้ว ไม่มีตำหนิเลยแม้แต่น้อยหยดน้ำเล็ก ๆ ที่ติดอยู่บนใบหน้าของนาง บนขนตา บนเส้นผม ลำคอ และผิวหนัง เสื้อผ้าที่เปียกปอนแนบสนิทกับตัว ส่วนเว้นโค้งของเรือนร่างที่สมบูรณ์แบบร่างกายอันบอบบางขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของชายหนุ่ม ลมพัดผ่านมา หนาวจนตัวสั่นเล็กน้อย สีหน้าที่ซีดเซียวเล็กน้อยมากพอที่จะกระตุ้นความปรารถนาที่จะปกป้องของบุรุษงดงาม!ความงามของร่างกายที่เปียกปอน งามจนน่าเหลือเชื่อ ทั้งยั่วยวนทั้งสวยสุดยอด!จิ่งอี้ถอดเสื้อคลุมด้านนอกของตนเองออก คลุมเรือนร่างอันงดงามเอาไว้ เพียงแค่สบตากับหญิงสาวทีหนึ่ง ก็เข้าใจความหมายของนางดึงนางเข้ามากอด เงยหน้าขึ้น จ้องเซียวจือฮว่าและถามเสียงเย็นชา“ฮูหยินของข้าไม่เคยมีความแค้นอะไรกับท่าน ไม่มีญาติมิตร เหตุใดท่านจึงต้องผลักนางตกน้ำด้วย!”เซียวจือฮว่าเบิกตากว้างเป็นไปไม่ได้!ฉู่เชียนหลีล่ะ?!เมื่อหลายวัน
เซียวจือฮว่าล้มลงบนพื้น แก้มเจ็บจนรู้สึกชา ในแก้วหูเสียงดังวิ้ง ๆ ทันที ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ยินเสียงบริเวณรอบ ๆ ไม่ชัดเจนเนื่องจากหูอื้อและเวียนศีรษะนาง...ถูกตบ...เฟิงเย่เสวียนสะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชา เดินข้ามเซียวจือฮว่าที่อยู่บนพื้น เดินไปที่ตรงหน้าของจิ่งอี้ ดวงตาดำขลับอันล้ำลึกมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า จากซ้ายไปขวาทุกซอกทุกมุมสายตาหยุดมองที่มือของจิ่งอี้ที่กำลังกอดหญิงสาวเอาไว้ สายตาอันคมกริบจนจ้องเขม็งจนแทบจะทะลุแต่เขาไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใด ๆ ไม่พูดจา สีหน้าของเขาเย็นชาเหมือนเช่นเคย บรรยากาศรอบตัวอึมครึมเหมือนเช่นเคย จ้องจิ่งอี้ ราวกับคนแปลกหน้าที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรคนหนึ่งจิ่งอี้กลับรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง ความหนาวเย็นแทรกซึมเข้าไปในรูขุมขน ลงลึกเข้าไปถึงปอด แม้แต่การหายใจยังอึดอัดผ่านไปครู่ใหญ่ชายหนุ่มยิ้ม “พระชายารองเซียวไม่รู้ความ ทำให้จวนอ๋องเฉินขายหน้า ข้าจะลงโทษนางด้วยตนเอง เพื่อเป็นการแสดงความขอโทษ ขอเชิญทั้งสองท่านไปที่จวนอ๋องเฉิน”เขายกมือขึ้น ยื่นไปทางหญิงสาว“ข้าขออภัยด้วยตนเอง”เขาจ้องตรงไปยังหญิงสาว ราวกับมองทะลุเรื่องทุกอย่าง ทั้งราวกับ
โรงหมอจิ่งอี้อุ้มฉู่เชียนหลีกลับมาอย่างรวดเร็ว คนอื่นเห็นว่าสถานการณ์ผิดปกติ จึงพากันล้อมเข้ามา“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”“คุณหนูเป็นอะไร?”“ใครรังแกคุณหนู!”เปียกปอนไปทั้งตัว สีหน้าซีดขาว ท่าทางทั้งผอมทั้งอ่อนแอ ทำให้ชายฉกรรจ์ทั้งหลายสงสารเป็นอย่างมาก แต่ละคนถูมือไปมาท่าทางอยากจะแก้แค้นจิ่งอี้กล่าวอย่างรวบรัด“เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ไม่เป็นอะไร จางเฟย เจ้ารีบไปต้มยาขับความเย็นมาหน่อย หยางชี ไปซื้อเสื้อผ้าสะอาดของสตรีมาหนึ่งชุด”“จิ่งอี้ เจ้ากับคุณหนูเป็นชายหญิงที่ไม่สนิทชิดเชื้อกัน ข้าจะช่วยเปลี่ยนเสื้อให้คุณหนูเอง!”มีคนหนึ่งอาสาตัวเองเขาสวมเสื้อผ้าลายดอกไม้ ทาแป้งที่ใบหน้า สวมเครื่องประดับ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น แต่งหน้าได้สวยงามเสียยิ่งกว่าสตรีหลายเท่า น้ำเสียงแหบแห้งที่เย้ายวน เกรงว่าแม้แต่ผู้หญิงได้เจอเขาก็ยังต้องละอายแค่หน้าอกเรียบไปหน่อยเท่านั้นจางขาเป๋ “เฟิ่งหรานเจ้าก็เป็นผู้ชายไม่ใช่หรือ?”ชายหนุ่มที่มีนามว่าเฟิ่งหรานกรีดนิ้ว ยิ้มหวาน“แต่หัวใจของข้าเป็นผู้หญิง”ทุกคน “...”ก็แค่อยากจะเอาเปรียบคุณหนูถุย!ดังนั้นทุกคนต่างก็ถกเถียงกันขึ้นมา เสียงดังโวยวายฉู่เ
เนื่องจากเพิ่งเป็นเคล็ดวิชาเหมันต์ใหม่ ๆ ฉู่เชียนหลีสนใจเป็นอย่างมาก จึงฝึกฝน ทดลองไม่หยุดสิบครั้งมีเพียงหนึ่งครั้งที่ทำสำเร็จแต่ก็พอใจมากแล้วการฝึกฝนครั้งนี้ ฝึกจนลืมเวลาไป ฝึกจนถึงยามไฮ่จึงนึกขึ้นได้ว่าต้องกลับจวนอ๋องเฉิน จึงต้องระงับความสนใจเอาไว้ก่อน แล้วกลับจวนจวนอ๋องเฉินยามค่ำคืน ความมืดยามราตรีราวกับน้ำ ในจวนเงียบสงบมาก บรรดาคนใช้ต่างพักผ่อนกันหมดแล้ว มีเพียงองครักษ์ที่ยังคงเฝ้าอารักขาทั้งวันทั้งคืนเรือนข้าง เต็มไปด้วยความมืด ไม่มีแสงเทียน มืดสนิท“เยว่เอ๋อร์?”ฉู่เชียนหลีกวาดสายตามองไป มืดมากเสียจนนางทำได้แค่อาศัยแสงจันทร์เพื่อคลำทางเท่านั้นเมื่อก่อน ไม่ว่านางจะออกจวนไปนานขนาดไหน ไปที่ไหน ตอนกลับมา เยว่เอ๋อร์มักจะเป็นคนแรกที่วิ่งเข้ามาด้วยความดีใจวันนี้เยว่เอ๋อร์เข้านอนก่อนแล้วหรือ?“เจ้าดำน้อย?” นางหันหน้าไปมอง ไม่มีความเคลื่อนไหวของเจ้าดำน้อยเช่นกันหลับไปแล้วทั้งสองคน?นางเกาหัวอย่างสงสัย รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกประหลาด ผลักประตูห้องออก ทันทีที่ก้าวเข้าไปด้านใน ก็ถูกฝ่ามือใหญ่ที่เย็นยะเยือกมือหนึ่งลากเข้าไป“ว้าย!”นางตกใจเพราะไม่ได้ป้องกันตัวชักมือกล
ซี้ด...ดวงตาของฉู่เชียนหลีเบิกขึ้นเล็กน้อย ทันทีที่ล้มลงบนเตียง ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นมา ก็ถูกร่างหนักร่างหนึ่งทับเอาไว้ ลมหายใจที่หนักหน่วงและรุนแรงบนตัวของชายหนุ่มค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา กลืนกินนางท่ามกลางความมืดมิดฝ่ามือใหญ่ที่เย็นยะเยือกคว้าเสื้อผ้าของนางเอาไว้ แล้วยกมือฉีกออกเป็นชิ้น ๆแคว่ก!“ท่านทำอะไร!”ฉู่เชียนหลีมือข้างหนึ่งกุมหน้าอก มือข้างหนึ่งผลักเขา “เฟิงเย่เสวียน ข้าไม่ได้ยั่วโมโหท่านเลยนะ ข้าแทบจะวิ่งวุ่นอยู่กับเรื่องที่รัชทายาทโดนลอบสังหารทั้งวัน ข้าทำให้ท่านไม่พอใจตรงไหน!”วิ่งวุ่นทั้งวัน?ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันนี้ จนกระทั่งตอนนี้ เป็นเวลาสี่ชั่วยามเต็ม ๆ นางอยู่กับผู้ชายคนนั้น ยังเปลี่ยนเสื้อผ้า นี่คือสิ่งที่นางพูดว่ายุ่งทั้งวันงั้นหรือ?นางไม่พูดความจริงกับเขา ยังพูดจาโกหกเขาอีก!“ทำไม!” เขาจับข้อมือทั้งสองข้างของนางเอาไว้ กดลงบนหมอน แล้วทับตัวลงไปทำไมจึงต้องหลอกเขา?ทำไมจึงต้องซุกตัวเข้าไปในอ้อมกอดของชายอื่น ต่อหน้าเขา?“บอกข้ามา ว่าทำไม!”ท่ามกลางความมืด น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนึ่งราวกับเสียงคำรามของสัตว์ป่า ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกายแสงอันน่าสะพรึงกลัว“ใ
อันธพาลเจ็บจนกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด “อ๊ะๆ!”ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็โดนถีบจนไปกลิ้งอยู่บนพื้น รองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนหน้าอก หนักจนทำให้เขาหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมา“พู่!”เขากอดต้นขาของอวิ๋นอิง อยากดิ้นให้หลุด แต่หาของอวิ๋นอิงกดทับอยู่บนร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า และเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ถูกตอกตะปูอยู่บนเขียง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเจอผีแล้ว!ทั้งที่นางผอมเช่นนี้ เหตุใดจึงมีแรงมากเช่นนี้?ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?ชาวบ้านก็ตะลึงเช่นกันอวิ๋นอิงอุ้มลูกสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ ก้มลง ยกฝ่ามืออีกข้าง เหวี่ยงไปที่ใบหน้าของอันธพาลโดยตรง“ข้าสั่งให้เจ้าเก็บ”เพียะ!“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”เพียะ!“หูหนวกหรือ?”เพียะ!หนึ่งประโยค หนึ่งฝ่ามือ ตบจนอันธพาลหันซ้ายหันขวา มุมปากแตกมีเลือดไหล หูอื้อ สะบักสะบอมเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ไม่หลงเหลือความฮึกเหิมของก่อนหน้านี้เลย“ลูกพี่!”ลิ่วล้อสามคนคว้าโต๊ะเก้าอี้และท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ฟาดไปทางอวิ๋นอิงอย่างแรงอวิ๋นอิงกระโดนหมุนตัวเตะพวกเขาสามคนจนลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร โดยไม่หั
ตงหลิงเจียงหนาน ทำเนียบสามเดือนที่พระชายาจากไป อ๋องเฉินเอาแต่เก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หานเฟิงต้องรับผิดชอบงานแทนทุกอย่าง เมื่อนานวันเข้า โลกภายนอกต่างกำลังคาดเดา จิตใจของอ๋องเฉินได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เกรงว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วช่วงนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้ก็ดีขึ้นแล้วอาการบาดเจ็บทางกระดูกหรือเส้นเอ็น ต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันในที่สุดกระดูกซี่โครงที่หักสองซี่ก็หายดีแล้ว สามารถขี่ม้าได้แล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่าจะนำทัพกลับแคว้นซีอวี้ทันทีแต่ก่อนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ“เหตุใดไม่เจอแม่นางอวิ๋นอิงเลย?”จ้านหูจริงจังขึ้นมาทันที เขาตอบ“องค์ชายใหญ่ ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้!”“ไม่ต้อง”หลังจากปฏิเสธอย่างเฉยเมย ปีนขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปคนเดียวแล้วจ้านหู “?”หมายความว่าอย่างไร?ตอนที่องค์ชายใหญ่หมดสติ แม้อวิ๋นอิงบอกว่าไม่สนใจ แต่แอบมาเยี่ยมองค์ชายใหญ่ตอนดึกดื่นเวลาที่ไม่มีคนองค์ชายใหญ่ก็อีกคน ทั้งที่คิดถึงอวิ๋นอิง แต่ไม่ยอมรับในใจของพวกเขาสองคนล้วนมีอีกฝ่าย ลูกสาวก็อายุเกือบครึ่งขวบแล้ว เหตุใดไม่ลองเปิดใจสักนิดแล้วอยู่ด้วยกันเลย
คืนแรกที่มาถึงต่างโลก ฉู่เชียนหลีฝันในความฝัน นางอยู่บนสนามรบ สู้จนตัวตาย เลือดไหลเป็นแม่น้ำ น่าสลดใจนัก…ในความฝัน นางได้ต่อสู้ร่วมกับชายคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่วมเป็นร่วมตาย และยังมีเสียงที่นุ่มนิ่มของเด็ก เรียก ‘ท่านแม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน ราวกับนางได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ หัวใจเจ็บปวด และพยายามอธิบายสุดชีวิต แต่พวกคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ครอบครัว’ ไม่เชื่อนาง และยังบีบคั้นนางสู่เส้นทางที่สิ้นหวังในความฝัน…มีคนกำลังเรียกนาง‘เชียนหลี…เชียนหลี…’ฉึก!ฉู่เชียนหลีลืมตาฉับพลัน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอากาศ สงบมากนางรู้สึกเวียนศีรษะ และแน่นหน้าอกราวกับนางอยู่ในความฝันอันยาวนานจริงๆนางได้รับความอยุติธรรมนางถูกคนในครอบครัวฆ่าตายแต่เหตุใดนางจำผู้ชายที่เรียกนาง และภาพที่เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ได้เลย“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”เมื่ออ้ายอ้ายได้ยินเสียง ถือกะละมังน้ำอุ่นกับเครื่องใช้เข้ามาปรนนิบัติฉู่เชียนหลีนวดขมับ อยู่ในอาการเหม่อลอย แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงขยับ ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง สวมรองเท้
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบฝนหมึกอย่างเชื่อฟังมองดูองค์หญิงรีบหยิบพู่กัน เขียนอะไรบางอย่าง ท่าทางที่รีบร้อนนั่น เมื่อก่อนเวลาที่นังเป็นห่วงคุณชายเซิ่น ยังไม่รีบร้อนเช่นนี้เลยองค์หญิงกระโดดสระน้ำ หมดสติไปสามวัน หลังจากฟื้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย?นิสัยเปลี่ยนไปน้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่เมื่อลองตั้งใจมอง องค์หญิงยังคงเป็นองค์หญิง ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยฉู่เชียนหลีเขียนอย่างรวดเร็ว…อ๋องเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยู่แคว้นหนานยวน…พลางเขียน พลางกล่าวอย่างรีบร้อน “รีบไปหาคน ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้อ๋องเฉินที่ตงหลิงเจียงหนาน”นางอยากบอกความจริงกับเฟิงเย่เสวียน ต่อให้ตนลืมแล้ว แต่เฟิงเย่เสวียนจำนางได้เขาจะต้องมาหานางแน่นอนไม่ช้าก็เร็วสักวัน พวกเขาครอบครัวสี่คนจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา“อ๋องเฉินแห่งตงหลิงเจียงหนาน?”สาวใช้เกาศีรษะด้วยความสงสัย “องค์หญิง ท่านส่งจดหมายให้อ๋องเฉินทำไม? ท่านรู้จักอ๋องเฉินตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรีบกล่าว“อธิบายกับเจ้าไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับอ๋องเฉินไม่ธรรมดา…อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินตงหลิง?”เงยหน้าฉับพลัน“ข้ารู้จักอ๋องเฉ
ทุกคน “...”สีหน้าฮ่องเต้หนานยวนดูไม่ดีนัก เซิ่ยซือเฉินเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เพื่อบัณฑิตคนหนึ่ง ต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้เลย ต้องตื่นเต้นเช่นนี้เลย?ในฐานะองค์หญิง ไม่ควรมองให้ไกลกว่านี้หน่อยหรือ?เพื่อป้องกันจวินลั่วยวนทำร้ายตัวเอง เขาออกคำสั่ง มัดมือและเท้าของนางโดยตรงจวินลั่วยวนขยับไม่ได้แล้วเห็นท่าทางที่จะยิ้มไม่ยิ้มของฉู่เชียนหลี และยังเลิกคิ้วอย่างยั่วยุ นางโมโหจนแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ไปจากตำหนักองค์หญิงฉู่เชียนหลีกับหลิงอี้ซิงเดินเคียงข้างกันจากไป เมื่ออารมณ์ดี จังหวะการเดินก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเบาๆฮัมไปฮัมมา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงอี้ซิงเป็นผู้มีจิตใจเมตตา อุทิศตนให้กับความดีและคุณธรรมหยุดฝีเท้าหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านน่าจะเห็นกระมัง ว่าข้าจงใจรังแกจวินลั่วยวน?”หลิงอี้ซิงเดินตามปกติ สายตามองไปข้างหน้า พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน ตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว“อืม”“ท่านไม่รู้สึกว่าข้านิสัยไม่ดีหรือ?”เขาหยุดเดินหันมามองนาง กล่าวอย่างจริงจัง “ที่เจ้ารังแกนาง นั่นก็ต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินเจ้าก่อนแน่นอน ล้วนเป็นความผิดของนาง”เขาไ
“ยวนเอ๋อร์! ยวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้หนานยวนร้อนใจจนหน้าถอดสี “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ยวนเอ๋อร์เสียเลือดมากเกินไป หมดสติไปแล้ว!”จวินลั่วยวนที่ ‘เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติ’ “...”เจ้าน่ะสิที่เสียเลือดมากเกินไปเจ้าเสียเลือดมากเกินไปทั้งครอบครัว!หมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากทำแผลให้จวินลั่วยวนเสร็จ ถอนหายใจด้วยความกังวล “สามเดือนแล้ว ในที่สุดเอ็นขององค์หญิงก็เชื่อมต่อกัน คิดไม่ถึงว่าขาดอีกแล้ว ความพยายามในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า” ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสามเดือน เปิดบาดแผล บำรุงเอ็นทุกวันเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำนี้ เบ้าตาแดงฉับพลัน“ล้วนเป็นความผิดของข้า…”นางดึงชายเสื้อของหลิงอี้ซิง กล่าวเสียงสะอึก“ท่านพี่ ข้ามันไม่ดี ต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณชายเซิ่นแน่ องค์โกรธข้า ไม่ชอบข้า จึงฟาดมือของตัวเองใส่เสา เพื่อเป็นการแสดงความรังเกียจต่อข้า”“ข้าทำร้ายนาง ฮือๆ…”หลิงอี้ซิงรักน้องสาว ทุกคนในแคว้นหนานยวนรู้เรื่องนี้แล้วฮ่องเต้หนานยวนกล่าวโทษนางได้อย่างไร?กลับกัน เขายังต้องขอร้องหลิงอี้ซิงทักษะการทำนายของหลิงอี้ซิงมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้ฟ้า ตลอดหลายปีที่เขานั่งตำแหน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง จวินลั่วยวนนอนหลับแล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน หน้าซีดซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง“เหตุใดข้อมือของนางยังมีเลือด?”สามเดือนแล้ว แผลยังไม่หาย?นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตอบ“หมอหลวงบอกว่า จะใช้ยาพิเศษรักษาเอ็นมือและเท้าที่ขาดขององค์หญิง จำเป็นต้องเปิดแผล ขยับเอ็นที่ขาดไปรวมกันทุกวัน จนกระทั่งเชื่อมต่อกัน”“ฮืม?”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ก็เท่ากับว่า จวินลั่วยวนต้องทนกับความเจ็บปวดที่ใช้มีดเปิดปากแผลทุกวันติดต่อกันสามเดือนเต็มๆ น่าสังเวชน่าจะเจ็บมากกระมัง?นางค่อยๆ นั่งลง จับข้อมือของจวินลั่วยวนเบาๆ มองผ้าพันแผลที่ถูกพันห้าหกรอบอย่างครุ่นคิดทันใดนั้นออกแรงกดที่นิ้ว“ซี้ด…!”จวินลั่วยวนเจ็บจนตื่น ลืมตาทันทีฉู่เชียนหลีรีบปล่อยมือ “โอ๊ย…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจแตะตัวท่าน ดูท่านเจ็บมากเลยนะ ขอโทษจริงๆ”“!”หลินเหยี่ยมาอยู่ในตำหนักของนางได้อย่างไร?นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้ที่สุด!อาศัยที่พี่ชายของตัวเองเป็นราชครู แสร้งทำเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ทำแต่ความดีทุกวัน มีแต่คนบอกว่าองค์หญ
เซิ่นสือเฉิน “?”เหตุใดวันนี้รู้สึกว่าหลิงเหยี่ยแปลกๆ?เมื่อก่อนนางชอบเขามากเลยไม่ใช่หรือ? เวลาที่เขาอ่านหนังสือ นางชอบมาอยู่ข้างๆ ฝนหมึกพัดลมให้เขา เวลาที่เขาเขียนหนังสือ นางชอบแอบที่นอกหน้าต่าง จับจิ้งหรีดเล่น เวลาที่เขางีบหลับ นางมักจะชงชาหิมะชั้นดีมาให้เขานางยังบอกว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเหตุใดแค่วันเดียว ก็ปล่อยวางได้แล้ว?“องค์หญิงหลิง ข้าขอโทษ” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดที่จริงเขาก็ชอบหลิงเหยี่ยเช่นกัน แต่องค์หญิงยวนบอกเขาว่าหลิงเหยี่ยนิสัยไม่ดี ชอบรังแกคนรับใช้ หาเรื่องชาวบ้าน ใส่ร้ายโยนความผิดให้ผู้อื่นด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ และทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายเขาเป็นคนเรียนหนังสือ นิสัยซื่อตรง ไม่สามารถยอมรับคนที่จิตใจอำมหิตอย่างหลิงเหยี่ยเมื่อเปรียบเทียบกัน เขาชอบจวินลั่วยวนที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และร่าเริงมากกว่า“เมื่อก่อนท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ช่วยข้าหาอาจารย์ ใช้เส้นสาย ทำให้ข้าสอบติดขุนนาง…บุญคุณส่วนนี้ ข้า ข้าทำได้เพียงตอบแทนท่านชาติหน้าแล้ว…”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”“ได้ยินมาว่าองค์หญิงยวนได้รับบาดเจ็บ พวกเราเข้าวังไปดูนางกันเ
องค์หญิง?คุณชายเซิ่น?ฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความทรงจำใดๆ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก สับสนและงงงวยเล็กน้อยยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงและเสียงต่อต้านดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าหลิง! ใต้เท้าหลิง ต่อให้ท่านบีบคั้นข้าจนตาย ข้าก็ไม่แต่งงานกับนาง!”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจข้ามีเพียงองค์หญิงยวนเอ๋อร์เท่านั้น!”ยวนเอ๋อร์?องค์หญิง?ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองไป เห็นชายหนุ่มสวมชุดเพ้าสีขาวและที่ครอบผมหยก กำลังลากผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเหมือนคนเรียนหนังสือเข้ามานางตระหนักถึงบางอย่าง รีบดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาถามเบาๆ“ที่นี่คือแคว้นหนานยวน?”สาวใช้ “?”องค์หญิงเป็นอะไรไป?เหตุใดถามคำถามเช่นนี้?“องค์หญิง ท่าน…”“อย่าพูดไร้สาระ ตอบข้า!”สาวใช้ตกใจ รีบกล่าว “ท่านคือหลิงเหยี่ย องค์หญิงต่างแซ่ของแคว้นหนานยวน ใต้เท้าคือมหาราชครูของแคว้นหนวนยวน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เพราะใต้เท้าชำนาญการทำนาย เคยช่วยแคว้นสามครั้ง สร้างคุณประโยชน์มากมาย ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต่างแซ่…”คำพูดที่เหลือ ฉู่เชียนหลีมองข้ามโดยตรงสิ่งเดียวที่นางคิดคือ นางถูกส่งมาเป็นองค์หญิงต่างแซ่ อีกท