นางรีบวิ่งเข้าไป แต่ผิวหนังที่อยู่นอกร่มผ้าของเด็ก ไม่มีส่วนใดที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ตรงที่แดงก็แดง ตรงที่บวมก็บวม อยากอุ้มก็ไม่รู้จะเอามือไปวางตรงไหนขันทีน้อยคุกเข่าลงอย่างหวาดกลัว ขอรับโทษอย่างตระหนกตกใจ “องค์หญิงซือเอ๋อร์กำลังเล่นกับคุณหนูน้อยสองท่าน เดิมทีก็เล่นกันอยู่ดีๆ แต่จู่ๆ ก็มีผึ้งฝูงหนึ่งบินมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ไล่ต่อยองค์หญิงซือเอ๋อร์ ไล่อย่างไรก็ไม่ไป…”“ไร้ประโยชน์!”พระชายารัชทายาทถีบขันทีน้อยจนหน้าหงาย อุ้มเด็กขึ้นมา ปวดใจเหมือนถูกมีดกรีดใบหน้าของเด็กผู้หญิงสำคัญเพียงใดแต่ใบหน้าของเด็กกลับไม่มีส่วนไหนที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์!หากทิ้งรอยแผลเป็นไว้…เด็กคือชีวิตของนาง!“เต๋อฝู รีบเรียกหมอหลวง!” ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เต๋อฝูรีบวิ่งไปที่สำนักหมอหลวงเฟิงเจิ้งอวี้ก็โกรธเช่นกัน “เหตุใดอยู่ดีๆ จึงมีผึ้งบินมา? ในวังหลวงอาจมีผึ้งน้ำตาลที่เก็บน้ำผึ้งบ้าง แต่พวกมันไม่ต่อยคน องค์หญิงไม่ได้ไปยุ่งกับพวกมัน เหตุใดจึงบาดเจ็บเช่นนี้?”ขันทีน้อยกลัวมาก“รัชทายาทโปรดใจเย็น รัชทายาทโปรดใจเย็น! บ่าวก็ไม่รู้เช่นกันขอรับ บ่าว…อ๊า!”“แค่เด็กคนหนึ่งก็ไม่มีปัญญาดู เลี้ยงเส
เป็นฉู่เชียนหลี?ซ่า…ทุกคนมองไปทางฉู่เชียนหลีอย่างตะลึงงัน มีทั้งประหลาดใจ มีทั้งตกตะลึง มีทั้งไม่อยากกล้าเชื่อตามหลักแล้ว พระชายาอ๋องเฉินกับองค์หญิงซือไม่มีความบาดหมางต่อกัน ไม่น่าจะลงมือกับเด็กเล็กอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไร?พระชายารัชทายาทก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน รีบกล่าว“ซือเอ๋อร์ ต่อหน้าเสด็จปู่ของเจ้า และมีผู้คนมากมายอยู่ที่นี่ เจ้าห้ามโกหกเด็ดขาด”เฟิงเจิ้งซือใช้นิ้วมือเล็กๆ ที่บวมขยี้ตา น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลลงข้างล่าง สะอึกสะอื้น“ไม่ ข้าไม่ได้โกหกนะ ท่านแม่ นางเป็นผู้หญิงชั่ว นางนั่นแหละ…”นางพูดอย่างมั่นใจว่าเป็นฉู่เชียนหลีทุกคนเห็นแล้ว สีหน้าเริ่มแปลกประหลาดอย่างคลุมเครือเด็กอายุห้าขวบไม่มีทางโกหกหรือเป็นฝีมือของพระชายาอ๋องเฉินจริง?“เป็นนาง…”นอกฝูงชน มีเสียงของเด็กผู้หญิงที่วัยเยาว์ดังขึ้น ลูกสาวของขุนนางใหญ่สองคนจูงมือกันเข้ามา สายตาที่มองไปทางฉู่เชียนหลีดูกลัวๆ คอก็หดลงหลายส่วนด้วยความกลัวเช่นกันเสียวอู่พูด “เมื่อครู่พวกเรากับองค์หญิงกำลังเล่นเด็ดดอกไม้ ผู้หญิงชั่วคนนี้ก็จะตีพวกเราแล้ว”เสียวเสวี่ยที่อยู่ด้านข้างพยักหน้ากล่าว “หากไม่ใช่เพร
“เด็กไม่มีทางโกหก…”“ใช่แล้ว องค์หญิงยังเด็กเช่นนั้น ได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด และยิ่งเป็นหลานสาวคนโตสายตรงที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญ ไม่มีทางโกหก หรือพระชายาอ๋องเฉินทำร้ายเด็กจริง…”ทุกคนหันไปมองหน้ากัน เสียงวิพากษ์วิจารณ์เบามากกระซิบกระซาบแม้ไม่กล้าพูดมาก แต่เสียงซู่ๆ ซ่าๆ ที่เบามากเหล่านี้ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าสงสัยในความประพฤติของฉู่เชียนหลีทุกคนคิดว่า เด็กอายุยังน้อย คำพูดของเด็กเป็นความจริงเด็กคนหนึ่งโกหก เป็นไปไม่ได้ที่จะโกหกทุกคนเด็กสามคนต่างมั่นใจว่าเป็นพระชายาอ๋องเฉิน แม้แต่ขันทีน้อยก็เห็นกับตา หลักฐานหนักแน่นดั่งขุนเขาแล้ว หรือยังจะผิดได้อีก?ชั่วขณะ สายตาของทุกคนที่มองฉู่เชียนหลีแตกต่างกันออกไป…พระชายารัชทายาทอุ้มเด็กไว้อย่างปวดใจ สองมือสั่นเทาจนไม่กล้าสัมผัสใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผล “ลูกแม่…”น้ำตาเม็ดใหญ่ไหล“ลูกแม่ ตกลงเจ้าไปทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อฟ้าดิน จึงต้องถูกปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ พระชายาอ๋องเฉิน ตกลงข้าไปล่วงเกินอะไรเจ้า เจ้ามีความแค้นอะไรก็มาหาข้า ลงมือกับเด็ก เจ้ายังมีสามัญสำนึกหรือไม่?”เงยหน้าฉับพลัน ดวงตาที่ร้องไห้จนแดงเต็มไปด้วยความโกรธและร้
ฮ่องเต้เกิดความสนใจ มือใหญ่ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อครู่หนึ่ง หยิบนาฬิกาพกที่มีสร้อยสีเงินยาวห้อยเรือนหนึ่งออกมา เรียวยาวประณีต ลักษณะพิเศษ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่เคยเห็นนี่คืออะไร?ฉู่เชียนหลีใช้สองมือรับมา เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฟิงเจิ้งซือ “มองของที่อยู่ในมือข้า”เฟิงเจิ้งซือขดตัวเข้าไปในอ้อมแขนเสด็จแม่ แต่ก็ยังมองไปทางนาฬิกาพกด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในแววตาเผยให้เห็นประกายแห่งการค้นหานี่คือของเล่นที่แปลกใหม่อะไร?นางไม่เคยเห็นเป็นของแคว้นอื่นหรือ?เนื่องจากอยากรู้อยากเห็น จึงดูอย่างตั้งใจ นาฬิกาพกแกว่งซ้ายแกว่งขวา ดวงตาของนางก็หมุนซ้ายขวาตามหมุนแล้วหมุนอีกหมุนแล้วหมุนอีกหมุนไปหมุนมาก็รู้สึกว่ามีวังวนสีดำปรากฏขึ้นตรงหน้า สายตาค่อยๆ เลือนราง ความคิดก็ค่อยๆ จางหายไป ราวกับคนตกลงไปในหลุมดำ ล่องลอยอยู่ในนั้น มองไม่เห็นอะไร คิดอะไรไม่ออกระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น ข้างหู มีน้ำเสียงที่ยั่วยวนสายหนึ่งดังขึ้น“เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน เจ้าเจอพระชายาอ๋องเฉิน พระชายาอ๋องเฉินได้ตีเจ้าหรือไม่?”ใครกำลังพูด?สติของนางเลือนราง โลกทั้งใบกำลังหมุนโดยไม่มีจุดศูนย์กลาง เดินไปตามเสียงสายน
ถูกพระชายาอ๋องเฉินต่อว่าต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ นางที่เป็นพระชายารัชทายาทจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด? วันข้างหน้ารัชทายาทขึ้นครองราชย์ นางมารดาของแผ่นดิน ทุกคนจะไม่ล้อเลียนว่านางสู้ไม่ได้แม้แต่พระชายาอ๋องเฉินหรอกหรือ?พระชายารัชทายาทแอบกำหมัดแน่น กล่าวจี้ถาม“ไม่รู้ว่าไปเห็นวิธีเช่นนี้มาจากตำราเล่มไหน?”ฉู่เชียนหลีเอียงศีรษะ “ดูเหมือนพระชายารัชทายาทจะอยากรู้มาก?”มันแน่นอนอยู่แล้ว!เอาของแกว่งไปแกว่งมาต่อหน้าคน ก็สามารถทำให้คนพูดความจริงออกมา เช่นนั้นคนทั่วหล้ายังจะมีความลับให้พูดถึงอีกหรือ?พระชายาอ๋องเฉินครอบครองวิชาลับนี้ ไม่เท่ากับว่าไร้เทียมทานทั่วหล้าแล้ว?จะให้นางทำตัวอวดดีหยิ่งผยองเช่นนั้นไม่ได้!พระชายากลอกตาหนึ่งรอบแล้วกล่าว “พระชายารัชทายาทเป็นคนแคว้นตงหลิง น่าจะอ่านตำราของแคว้นตงหลิงกระมัง เช่นนั้นก็พิสูจน์ได้ว่าวิชาสะกดจิตนี่เป็นของแคว้นตงหลิง”“วิชาลับที่ร้ายกาจเช่นนี้ และยังคิดค้นโดยบรรพชนของแคว้นเรา ไม่ควรเผยแพร่วิธี สอนทุกคน ให้ราษฎรของแคว้นตงหลิงทำการเรียนรู้ สืบทอดการตกผลึกทางสติปัญญาของเหล่าบรรพชนหรือ?”ฉู่เชียนหลี “?”คำพูดที่สวยหรูนี้ มีเพียงความหมายเดียวส่
ฉู่เชียนหลีตั้งคำถามอีกครั้ง มองดูท่าทางที่เหมือนสุนัขจนตรอกของพระชายารัชทายาท นางไม่ได้รีบร้อน เพียงกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ อย่างสงบ “จริงหรือเท็จ ตาของทุกคนไม่ได้บอด สามารถหลอกหนึ่งคน แต่จะหลอกทุกคนได้หรือ?”ระหว่างนิ้วพันสร้อยเงินของนาฬิกาพก ยกเท้าอย่างใจเย็น เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพระชายารัชทายาท ก้มลงเล็กน้อย รอยยิ้มลึกซึ้ง“หากพระชายารัชทายาทไม่เชื่อ สามารถลองดูได้”“แต่ว่า คำถามที่ข้าจะถามคือ…”นางค่อยๆ เข้าใกล้ข้างหูพระชายารัชทายาท กลีบริมฝีปากขยับเบาๆคำพูดสองประโยคที่แผ่วเบา… ร่างพระชายารัชทายาทสั่นสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนไปผ่านไปครู่หนึ่งฉู่เชียนหลีถอยออกมา ยืนตัวตรง มองดูพระชายารัชทายาทอย่างยิ้มแย้ม“เชื่อว่าพระชายารัชทายาทคงไม่สงสัยวิชาสะกดจิตของข้าอีกแล้วกระมัง? นี่ก็สายแล้ว พระชายารัชทายาทรีบพาองค์หญิงกลับไปอบรมให้ดีเถอะ เด็กยังเล็ก เส้นทางของวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล ต้องสอนให้ดีจึงจะถูก”พระชายารัชทายาทยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น ริมฝีปากเม้มแน่นจนกลายเป็นเส้นตรง สีหน้าคล้ำม่วง พูดอะไรไม่ออกพักใหญ่ฉู่เชียนหลีใช้สองมือ ส่งนาฬิกาพกคืนฮ่องเต้ ขยิบตาหนึ่งที “เสด็จพ่อเป็นแล
นอกวังระหว่างทางออกจากวัง เฟิงเย่เสวียนกับฉู่เชียนหลีเดินเคียงข้างกัน ฝ่ามือใหญ่ของเขาจับมือเล็กของนางอย่างเป็นธรรมชาติสิบนิ้วเกี่ยวกันฝีเท้าสงบแสงแดดที่อบอุ่นส่องลงบนร่างกายทั้งสอง สะท้อนเงายาวลงพื้น แม้แต่เงาก็ดูกลมกลืนเป็นพิเศษ“เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรกับพระชายารัชทายาท?” เฟิงเย่เสวียนถามฉู่เชียนหลีมองข้าง เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “อยากรู้?”เดิมทีพระชายารัชทายาทอยากหาเรื่องนาง แต่คำพูดประโยคเดียวของนางก็ทำให้พระชายารัชทายาทเหมือนกลัว ดับเปลวไฟแห่งความโกรธ ไม่กล้าอวดดีอีกแต่นางกับพระชายารัชทายาทไม่รู้จักกัน นางไม่มีจุดอ่อนของพระชายารัชทายาทเหตุใดพระชายารัชทายาทจึงยอมเชื่อฟัง?เฟิงเย่เสวียนอย่างรู้มากฉู่เชียนหลี “ท่านเดาดูสิ”เขา “...”เดาไม่ถูกอยากลองฟังเสียงในใจนาง กลับได้ยินนางพูดในใจ : ฉันไม่บอกนายหรอก จะไม่บอกนายเด็ดขาด นายฉลาดมากไม่ใช่เหรอ งั้นนายก็ไปคิดเอาเองสิ!เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เดาไม่ถูก แต่เจ้าควรคิดในใจกระมัง?”“เหตุใดข้าต้องคิดในใจ?” ฉู่เชียนหลีสงสัย“เวลาที่เจ้าพูดหรือทำอะไร ไม่ต้องไตร่ตรอง? เวลาไตร่ตรอง ก็คิดในใจอย่างเงียบๆ อย่างเช่นคำพูดท
ฉู่เชียนหลีเดินสองมือไพล่หลังพักหนึ่ง รู้สึกเหมือนมีใครบางคนไม่ได้ตามมา จึงหันกลับไปมองไปไหนแล้ว?มองซ้ายมองขวา หายไปในอากาศ?เกาศีรษะอย่างสงสัย ไม่นานก็ล้มเลิกการตามหา เฟิงเย่เสวียนที่ตัวใหญ่ขนาดนี้แล้ว จะเดินหลงทางได้หรือ?ไม่สนใจเขาแล้ว ไปเดินเล่นเองดีกว่าบนถนน คึกคักจนแออัด ชาวบ้านยุ่งอยู่กับการทำมาหากิน เสียงสนทนาดังขึ้นเป็นระลอก“วันนี้รัชทายาทเลือกพระชายารอง ไม่รู้ว่าลูกสาวบ้านไหนที่โชคดีเช่นนี้…”“เฮ้อ นี่จะพูดว่าโชคดีก็คงไม่ได้ จวนรัชทายาทมีผู้หญิงเยอะมาก เจอหนึ่งคนชอบหนึ่งคน แต่งเข้าไปไม่ได้รับความโปรดปราน ก็เปล่าประโยชน์ ต้องเป็นม่ายทั้งที่ไม่ได้เป็นทรมานจะตาย”“เป็นม่ายแล้วอย่างไร อย่างน้อยทั้งชีวิตก็ไม่ต้องห่วงเรื่องกินเรื่องอยู่ อยู่อย่างเจริญมั่งคั่ง…”“ไปขายซาลาเปาของเจ้าไป”“...”ฉู่เชียนหลีเดินผ่านตรงนั้น วนอยู่สองรอบ ยกเท้าเดินเข้าร้านเสื้อผ้าสำเร็จรูปเมื่อวานหลังโต๊ะคิดเงิน เถ้าแก่วางสมุดบัญชีในมือลง เดินเข้าไปต้อนรับอย่างยิ้มแย้ม “ไม่ทราบว่าท่านจะซื้อ…พระ…พระชายาอ๋องเฉิน?”สายตาของเขามองดูใบหน้านางด้วยความตกใจมีความเป็นเอกลักษณ์มากแต่ว่าเขาไม่ได