ลูกสาวขุนนางใหญ่สองคนที่ชื่อเสียวอู่กับเสียวเสวี่ยหดคออย่างค่อนข้างขี้ขลาดขันทีอยู่ที่นี่ หากฉู่เชียนหลีลงมือ ไม่เกินครึ่งชั่วยาม เรื่องนางที่เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งรังแกเด็กก็จะแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวงถึงเวลานั้น รัชทายาทมาหาเรื่อง ฮ่องเต้ตักเตือน ผู้คนตำหนิด่าทอ ปัญหาร้อยแปดไม่รู้จบฉู่เชียนหลีใช้ดวงตาที่ลึกไม่เห็นก้นบึ้ง มองเฟิงเจิ้งซืออย่างดุร้ายแวบหนึ่ง ตอนดึงมือกลับ ปลายนิ้วเลื่อนผ่านกำไลเฉียนคุนอย่างไม่ใส่ใจจากนั้นก็ไปแล้วขันทีน้อยนึกกลัวในภายหลัง เมื่อครู่ สายตาของพระชายาอ๋องเฉินตอนจากไป…น่ากลัวมากเขาเดินเข้าไปด้วยความตกใจเล็กน้อย กล่าวอย่างนอบน้อม “องค์หญิงซือเอ๋อร์ ท่านออกมานานมากแล้ว บ่าวพาท่านไปที่งานเลี้ยงขอรับ”“ไม่ไป ไม่ไป ผู้หญิงพวกนั้นอัปลักษณ์มาก ยังกล้าเพ้อฝันท่านพ่อข้า ข้าไม่ชอบพวกนางเลยสักนิด ข้าต้องการให้ท่านแม่คลอดน้องชายให้ข้าเท่านั้น!”“องค์หญิงซือเอ๋อร์…”หลังจากนั้นสองเค่อฉู่เชียนหลีกลับถึงงานเลี้ยง การคัดเลือกก็ดำเนินการมาถึงช่วงท้ายแล้ว ทุกคนกำลังปรึกษากัน ส่วนเจตนาของฮ่องเต้คือ นอกจากเลือกพระชายารองรัชทายาท ผู้สมัครคนอื่นที่เหมาะสม ประท
นางรีบวิ่งเข้าไป แต่ผิวหนังที่อยู่นอกร่มผ้าของเด็ก ไม่มีส่วนใดที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ตรงที่แดงก็แดง ตรงที่บวมก็บวม อยากอุ้มก็ไม่รู้จะเอามือไปวางตรงไหนขันทีน้อยคุกเข่าลงอย่างหวาดกลัว ขอรับโทษอย่างตระหนกตกใจ “องค์หญิงซือเอ๋อร์กำลังเล่นกับคุณหนูน้อยสองท่าน เดิมทีก็เล่นกันอยู่ดีๆ แต่จู่ๆ ก็มีผึ้งฝูงหนึ่งบินมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ไล่ต่อยองค์หญิงซือเอ๋อร์ ไล่อย่างไรก็ไม่ไป…”“ไร้ประโยชน์!”พระชายารัชทายาทถีบขันทีน้อยจนหน้าหงาย อุ้มเด็กขึ้นมา ปวดใจเหมือนถูกมีดกรีดใบหน้าของเด็กผู้หญิงสำคัญเพียงใดแต่ใบหน้าของเด็กกลับไม่มีส่วนไหนที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์!หากทิ้งรอยแผลเป็นไว้…เด็กคือชีวิตของนาง!“เต๋อฝู รีบเรียกหมอหลวง!” ฮ่องเต้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม เต๋อฝูรีบวิ่งไปที่สำนักหมอหลวงเฟิงเจิ้งอวี้ก็โกรธเช่นกัน “เหตุใดอยู่ดีๆ จึงมีผึ้งบินมา? ในวังหลวงอาจมีผึ้งน้ำตาลที่เก็บน้ำผึ้งบ้าง แต่พวกมันไม่ต่อยคน องค์หญิงไม่ได้ไปยุ่งกับพวกมัน เหตุใดจึงบาดเจ็บเช่นนี้?”ขันทีน้อยกลัวมาก“รัชทายาทโปรดใจเย็น รัชทายาทโปรดใจเย็น! บ่าวก็ไม่รู้เช่นกันขอรับ บ่าว…อ๊า!”“แค่เด็กคนหนึ่งก็ไม่มีปัญญาดู เลี้ยงเส
เป็นฉู่เชียนหลี?ซ่า…ทุกคนมองไปทางฉู่เชียนหลีอย่างตะลึงงัน มีทั้งประหลาดใจ มีทั้งตกตะลึง มีทั้งไม่อยากกล้าเชื่อตามหลักแล้ว พระชายาอ๋องเฉินกับองค์หญิงซือไม่มีความบาดหมางต่อกัน ไม่น่าจะลงมือกับเด็กเล็กอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้เป็นไปได้อย่างไร?พระชายารัชทายาทก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน รีบกล่าว“ซือเอ๋อร์ ต่อหน้าเสด็จปู่ของเจ้า และมีผู้คนมากมายอยู่ที่นี่ เจ้าห้ามโกหกเด็ดขาด”เฟิงเจิ้งซือใช้นิ้วมือเล็กๆ ที่บวมขยี้ตา น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลลงข้างล่าง สะอึกสะอื้น“ไม่ ข้าไม่ได้โกหกนะ ท่านแม่ นางเป็นผู้หญิงชั่ว นางนั่นแหละ…”นางพูดอย่างมั่นใจว่าเป็นฉู่เชียนหลีทุกคนเห็นแล้ว สีหน้าเริ่มแปลกประหลาดอย่างคลุมเครือเด็กอายุห้าขวบไม่มีทางโกหกหรือเป็นฝีมือของพระชายาอ๋องเฉินจริง?“เป็นนาง…”นอกฝูงชน มีเสียงของเด็กผู้หญิงที่วัยเยาว์ดังขึ้น ลูกสาวของขุนนางใหญ่สองคนจูงมือกันเข้ามา สายตาที่มองไปทางฉู่เชียนหลีดูกลัวๆ คอก็หดลงหลายส่วนด้วยความกลัวเช่นกันเสียวอู่พูด “เมื่อครู่พวกเรากับองค์หญิงกำลังเล่นเด็ดดอกไม้ ผู้หญิงชั่วคนนี้ก็จะตีพวกเราแล้ว”เสียวเสวี่ยที่อยู่ด้านข้างพยักหน้ากล่าว “หากไม่ใช่เพร
“เด็กไม่มีทางโกหก…”“ใช่แล้ว องค์หญิงยังเด็กเช่นนั้น ได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด และยิ่งเป็นหลานสาวคนโตสายตรงที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญ ไม่มีทางโกหก หรือพระชายาอ๋องเฉินทำร้ายเด็กจริง…”ทุกคนหันไปมองหน้ากัน เสียงวิพากษ์วิจารณ์เบามากกระซิบกระซาบแม้ไม่กล้าพูดมาก แต่เสียงซู่ๆ ซ่าๆ ที่เบามากเหล่านี้ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าสงสัยในความประพฤติของฉู่เชียนหลีทุกคนคิดว่า เด็กอายุยังน้อย คำพูดของเด็กเป็นความจริงเด็กคนหนึ่งโกหก เป็นไปไม่ได้ที่จะโกหกทุกคนเด็กสามคนต่างมั่นใจว่าเป็นพระชายาอ๋องเฉิน แม้แต่ขันทีน้อยก็เห็นกับตา หลักฐานหนักแน่นดั่งขุนเขาแล้ว หรือยังจะผิดได้อีก?ชั่วขณะ สายตาของทุกคนที่มองฉู่เชียนหลีแตกต่างกันออกไป…พระชายารัชทายาทอุ้มเด็กไว้อย่างปวดใจ สองมือสั่นเทาจนไม่กล้าสัมผัสใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผล “ลูกแม่…”น้ำตาเม็ดใหญ่ไหล“ลูกแม่ ตกลงเจ้าไปทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อฟ้าดิน จึงต้องถูกปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมเช่นนี้ พระชายาอ๋องเฉิน ตกลงข้าไปล่วงเกินอะไรเจ้า เจ้ามีความแค้นอะไรก็มาหาข้า ลงมือกับเด็ก เจ้ายังมีสามัญสำนึกหรือไม่?”เงยหน้าฉับพลัน ดวงตาที่ร้องไห้จนแดงเต็มไปด้วยความโกรธและร้
ฮ่องเต้เกิดความสนใจ มือใหญ่ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อครู่หนึ่ง หยิบนาฬิกาพกที่มีสร้อยสีเงินยาวห้อยเรือนหนึ่งออกมา เรียวยาวประณีต ลักษณะพิเศษ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่เคยเห็นนี่คืออะไร?ฉู่เชียนหลีใช้สองมือรับมา เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฟิงเจิ้งซือ “มองของที่อยู่ในมือข้า”เฟิงเจิ้งซือขดตัวเข้าไปในอ้อมแขนเสด็จแม่ แต่ก็ยังมองไปทางนาฬิกาพกด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในแววตาเผยให้เห็นประกายแห่งการค้นหานี่คือของเล่นที่แปลกใหม่อะไร?นางไม่เคยเห็นเป็นของแคว้นอื่นหรือ?เนื่องจากอยากรู้อยากเห็น จึงดูอย่างตั้งใจ นาฬิกาพกแกว่งซ้ายแกว่งขวา ดวงตาของนางก็หมุนซ้ายขวาตามหมุนแล้วหมุนอีกหมุนแล้วหมุนอีกหมุนไปหมุนมาก็รู้สึกว่ามีวังวนสีดำปรากฏขึ้นตรงหน้า สายตาค่อยๆ เลือนราง ความคิดก็ค่อยๆ จางหายไป ราวกับคนตกลงไปในหลุมดำ ล่องลอยอยู่ในนั้น มองไม่เห็นอะไร คิดอะไรไม่ออกระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่น ข้างหู มีน้ำเสียงที่ยั่วยวนสายหนึ่งดังขึ้น“เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน เจ้าเจอพระชายาอ๋องเฉิน พระชายาอ๋องเฉินได้ตีเจ้าหรือไม่?”ใครกำลังพูด?สติของนางเลือนราง โลกทั้งใบกำลังหมุนโดยไม่มีจุดศูนย์กลาง เดินไปตามเสียงสายน
ถูกพระชายาอ๋องเฉินต่อว่าต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ นางที่เป็นพระชายารัชทายาทจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด? วันข้างหน้ารัชทายาทขึ้นครองราชย์ นางมารดาของแผ่นดิน ทุกคนจะไม่ล้อเลียนว่านางสู้ไม่ได้แม้แต่พระชายาอ๋องเฉินหรอกหรือ?พระชายารัชทายาทแอบกำหมัดแน่น กล่าวจี้ถาม“ไม่รู้ว่าไปเห็นวิธีเช่นนี้มาจากตำราเล่มไหน?”ฉู่เชียนหลีเอียงศีรษะ “ดูเหมือนพระชายารัชทายาทจะอยากรู้มาก?”มันแน่นอนอยู่แล้ว!เอาของแกว่งไปแกว่งมาต่อหน้าคน ก็สามารถทำให้คนพูดความจริงออกมา เช่นนั้นคนทั่วหล้ายังจะมีความลับให้พูดถึงอีกหรือ?พระชายาอ๋องเฉินครอบครองวิชาลับนี้ ไม่เท่ากับว่าไร้เทียมทานทั่วหล้าแล้ว?จะให้นางทำตัวอวดดีหยิ่งผยองเช่นนั้นไม่ได้!พระชายากลอกตาหนึ่งรอบแล้วกล่าว “พระชายารัชทายาทเป็นคนแคว้นตงหลิง น่าจะอ่านตำราของแคว้นตงหลิงกระมัง เช่นนั้นก็พิสูจน์ได้ว่าวิชาสะกดจิตนี่เป็นของแคว้นตงหลิง”“วิชาลับที่ร้ายกาจเช่นนี้ และยังคิดค้นโดยบรรพชนของแคว้นเรา ไม่ควรเผยแพร่วิธี สอนทุกคน ให้ราษฎรของแคว้นตงหลิงทำการเรียนรู้ สืบทอดการตกผลึกทางสติปัญญาของเหล่าบรรพชนหรือ?”ฉู่เชียนหลี “?”คำพูดที่สวยหรูนี้ มีเพียงความหมายเดียวส่
ฉู่เชียนหลีตั้งคำถามอีกครั้ง มองดูท่าทางที่เหมือนสุนัขจนตรอกของพระชายารัชทายาท นางไม่ได้รีบร้อน เพียงกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ อย่างสงบ “จริงหรือเท็จ ตาของทุกคนไม่ได้บอด สามารถหลอกหนึ่งคน แต่จะหลอกทุกคนได้หรือ?”ระหว่างนิ้วพันสร้อยเงินของนาฬิกาพก ยกเท้าอย่างใจเย็น เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าพระชายารัชทายาท ก้มลงเล็กน้อย รอยยิ้มลึกซึ้ง“หากพระชายารัชทายาทไม่เชื่อ สามารถลองดูได้”“แต่ว่า คำถามที่ข้าจะถามคือ…”นางค่อยๆ เข้าใกล้ข้างหูพระชายารัชทายาท กลีบริมฝีปากขยับเบาๆคำพูดสองประโยคที่แผ่วเบา… ร่างพระชายารัชทายาทสั่นสะท้าน สีหน้าเปลี่ยนไปผ่านไปครู่หนึ่งฉู่เชียนหลีถอยออกมา ยืนตัวตรง มองดูพระชายารัชทายาทอย่างยิ้มแย้ม“เชื่อว่าพระชายารัชทายาทคงไม่สงสัยวิชาสะกดจิตของข้าอีกแล้วกระมัง? นี่ก็สายแล้ว พระชายารัชทายาทรีบพาองค์หญิงกลับไปอบรมให้ดีเถอะ เด็กยังเล็ก เส้นทางของวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล ต้องสอนให้ดีจึงจะถูก”พระชายารัชทายาทยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น ริมฝีปากเม้มแน่นจนกลายเป็นเส้นตรง สีหน้าคล้ำม่วง พูดอะไรไม่ออกพักใหญ่ฉู่เชียนหลีใช้สองมือ ส่งนาฬิกาพกคืนฮ่องเต้ ขยิบตาหนึ่งที “เสด็จพ่อเป็นแล
นอกวังระหว่างทางออกจากวัง เฟิงเย่เสวียนกับฉู่เชียนหลีเดินเคียงข้างกัน ฝ่ามือใหญ่ของเขาจับมือเล็กของนางอย่างเป็นธรรมชาติสิบนิ้วเกี่ยวกันฝีเท้าสงบแสงแดดที่อบอุ่นส่องลงบนร่างกายทั้งสอง สะท้อนเงายาวลงพื้น แม้แต่เงาก็ดูกลมกลืนเป็นพิเศษ“เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรกับพระชายารัชทายาท?” เฟิงเย่เสวียนถามฉู่เชียนหลีมองข้าง เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “อยากรู้?”เดิมทีพระชายารัชทายาทอยากหาเรื่องนาง แต่คำพูดประโยคเดียวของนางก็ทำให้พระชายารัชทายาทเหมือนกลัว ดับเปลวไฟแห่งความโกรธ ไม่กล้าอวดดีอีกแต่นางกับพระชายารัชทายาทไม่รู้จักกัน นางไม่มีจุดอ่อนของพระชายารัชทายาทเหตุใดพระชายารัชทายาทจึงยอมเชื่อฟัง?เฟิงเย่เสวียนอย่างรู้มากฉู่เชียนหลี “ท่านเดาดูสิ”เขา “...”เดาไม่ถูกอยากลองฟังเสียงในใจนาง กลับได้ยินนางพูดในใจ : ฉันไม่บอกนายหรอก จะไม่บอกนายเด็ดขาด นายฉลาดมากไม่ใช่เหรอ งั้นนายก็ไปคิดเอาเองสิ!เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เดาไม่ถูก แต่เจ้าควรคิดในใจกระมัง?”“เหตุใดข้าต้องคิดในใจ?” ฉู่เชียนหลีสงสัย“เวลาที่เจ้าพูดหรือทำอะไร ไม่ต้องไตร่ตรอง? เวลาไตร่ตรอง ก็คิดในใจอย่างเงียบๆ อย่างเช่นคำพูดท
อันธพาลเจ็บจนกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด “อ๊ะๆ!”ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็โดนถีบจนไปกลิ้งอยู่บนพื้น รองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนหน้าอก หนักจนทำให้เขาหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมา“พู่!”เขากอดต้นขาของอวิ๋นอิง อยากดิ้นให้หลุด แต่หาของอวิ๋นอิงกดทับอยู่บนร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า และเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ถูกตอกตะปูอยู่บนเขียง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเจอผีแล้ว!ทั้งที่นางผอมเช่นนี้ เหตุใดจึงมีแรงมากเช่นนี้?ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?ชาวบ้านก็ตะลึงเช่นกันอวิ๋นอิงอุ้มลูกสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ ก้มลง ยกฝ่ามืออีกข้าง เหวี่ยงไปที่ใบหน้าของอันธพาลโดยตรง“ข้าสั่งให้เจ้าเก็บ”เพียะ!“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”เพียะ!“หูหนวกหรือ?”เพียะ!หนึ่งประโยค หนึ่งฝ่ามือ ตบจนอันธพาลหันซ้ายหันขวา มุมปากแตกมีเลือดไหล หูอื้อ สะบักสะบอมเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ไม่หลงเหลือความฮึกเหิมของก่อนหน้านี้เลย“ลูกพี่!”ลิ่วล้อสามคนคว้าโต๊ะเก้าอี้และท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ฟาดไปทางอวิ๋นอิงอย่างแรงอวิ๋นอิงกระโดนหมุนตัวเตะพวกเขาสามคนจนลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร โดยไม่หั
ตงหลิงเจียงหนาน ทำเนียบสามเดือนที่พระชายาจากไป อ๋องเฉินเอาแต่เก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หานเฟิงต้องรับผิดชอบงานแทนทุกอย่าง เมื่อนานวันเข้า โลกภายนอกต่างกำลังคาดเดา จิตใจของอ๋องเฉินได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เกรงว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วช่วงนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้ก็ดีขึ้นแล้วอาการบาดเจ็บทางกระดูกหรือเส้นเอ็น ต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันในที่สุดกระดูกซี่โครงที่หักสองซี่ก็หายดีแล้ว สามารถขี่ม้าได้แล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่าจะนำทัพกลับแคว้นซีอวี้ทันทีแต่ก่อนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ“เหตุใดไม่เจอแม่นางอวิ๋นอิงเลย?”จ้านหูจริงจังขึ้นมาทันที เขาตอบ“องค์ชายใหญ่ ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้!”“ไม่ต้อง”หลังจากปฏิเสธอย่างเฉยเมย ปีนขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปคนเดียวแล้วจ้านหู “?”หมายความว่าอย่างไร?ตอนที่องค์ชายใหญ่หมดสติ แม้อวิ๋นอิงบอกว่าไม่สนใจ แต่แอบมาเยี่ยมองค์ชายใหญ่ตอนดึกดื่นเวลาที่ไม่มีคนองค์ชายใหญ่ก็อีกคน ทั้งที่คิดถึงอวิ๋นอิง แต่ไม่ยอมรับในใจของพวกเขาสองคนล้วนมีอีกฝ่าย ลูกสาวก็อายุเกือบครึ่งขวบแล้ว เหตุใดไม่ลองเปิดใจสักนิดแล้วอยู่ด้วยกันเลย
คืนแรกที่มาถึงต่างโลก ฉู่เชียนหลีฝันในความฝัน นางอยู่บนสนามรบ สู้จนตัวตาย เลือดไหลเป็นแม่น้ำ น่าสลดใจนัก…ในความฝัน นางได้ต่อสู้ร่วมกับชายคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่วมเป็นร่วมตาย และยังมีเสียงที่นุ่มนิ่มของเด็ก เรียก ‘ท่านแม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน ราวกับนางได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ หัวใจเจ็บปวด และพยายามอธิบายสุดชีวิต แต่พวกคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ครอบครัว’ ไม่เชื่อนาง และยังบีบคั้นนางสู่เส้นทางที่สิ้นหวังในความฝัน…มีคนกำลังเรียกนาง‘เชียนหลี…เชียนหลี…’ฉึก!ฉู่เชียนหลีลืมตาฉับพลัน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอากาศ สงบมากนางรู้สึกเวียนศีรษะ และแน่นหน้าอกราวกับนางอยู่ในความฝันอันยาวนานจริงๆนางได้รับความอยุติธรรมนางถูกคนในครอบครัวฆ่าตายแต่เหตุใดนางจำผู้ชายที่เรียกนาง และภาพที่เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ได้เลย“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”เมื่ออ้ายอ้ายได้ยินเสียง ถือกะละมังน้ำอุ่นกับเครื่องใช้เข้ามาปรนนิบัติฉู่เชียนหลีนวดขมับ อยู่ในอาการเหม่อลอย แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงขยับ ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง สวมรองเท้
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบฝนหมึกอย่างเชื่อฟังมองดูองค์หญิงรีบหยิบพู่กัน เขียนอะไรบางอย่าง ท่าทางที่รีบร้อนนั่น เมื่อก่อนเวลาที่นังเป็นห่วงคุณชายเซิ่น ยังไม่รีบร้อนเช่นนี้เลยองค์หญิงกระโดดสระน้ำ หมดสติไปสามวัน หลังจากฟื้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย?นิสัยเปลี่ยนไปน้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่เมื่อลองตั้งใจมอง องค์หญิงยังคงเป็นองค์หญิง ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยฉู่เชียนหลีเขียนอย่างรวดเร็ว…อ๋องเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยู่แคว้นหนานยวน…พลางเขียน พลางกล่าวอย่างรีบร้อน “รีบไปหาคน ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้อ๋องเฉินที่ตงหลิงเจียงหนาน”นางอยากบอกความจริงกับเฟิงเย่เสวียน ต่อให้ตนลืมแล้ว แต่เฟิงเย่เสวียนจำนางได้เขาจะต้องมาหานางแน่นอนไม่ช้าก็เร็วสักวัน พวกเขาครอบครัวสี่คนจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา“อ๋องเฉินแห่งตงหลิงเจียงหนาน?”สาวใช้เกาศีรษะด้วยความสงสัย “องค์หญิง ท่านส่งจดหมายให้อ๋องเฉินทำไม? ท่านรู้จักอ๋องเฉินตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรีบกล่าว“อธิบายกับเจ้าไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับอ๋องเฉินไม่ธรรมดา…อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินตงหลิง?”เงยหน้าฉับพลัน“ข้ารู้จักอ๋องเฉ
ทุกคน “...”สีหน้าฮ่องเต้หนานยวนดูไม่ดีนัก เซิ่ยซือเฉินเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เพื่อบัณฑิตคนหนึ่ง ต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้เลย ต้องตื่นเต้นเช่นนี้เลย?ในฐานะองค์หญิง ไม่ควรมองให้ไกลกว่านี้หน่อยหรือ?เพื่อป้องกันจวินลั่วยวนทำร้ายตัวเอง เขาออกคำสั่ง มัดมือและเท้าของนางโดยตรงจวินลั่วยวนขยับไม่ได้แล้วเห็นท่าทางที่จะยิ้มไม่ยิ้มของฉู่เชียนหลี และยังเลิกคิ้วอย่างยั่วยุ นางโมโหจนแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ไปจากตำหนักองค์หญิงฉู่เชียนหลีกับหลิงอี้ซิงเดินเคียงข้างกันจากไป เมื่ออารมณ์ดี จังหวะการเดินก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเบาๆฮัมไปฮัมมา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงอี้ซิงเป็นผู้มีจิตใจเมตตา อุทิศตนให้กับความดีและคุณธรรมหยุดฝีเท้าหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านน่าจะเห็นกระมัง ว่าข้าจงใจรังแกจวินลั่วยวน?”หลิงอี้ซิงเดินตามปกติ สายตามองไปข้างหน้า พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน ตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว“อืม”“ท่านไม่รู้สึกว่าข้านิสัยไม่ดีหรือ?”เขาหยุดเดินหันมามองนาง กล่าวอย่างจริงจัง “ที่เจ้ารังแกนาง นั่นก็ต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินเจ้าก่อนแน่นอน ล้วนเป็นความผิดของนาง”เขาไ
“ยวนเอ๋อร์! ยวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้หนานยวนร้อนใจจนหน้าถอดสี “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ยวนเอ๋อร์เสียเลือดมากเกินไป หมดสติไปแล้ว!”จวินลั่วยวนที่ ‘เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติ’ “...”เจ้าน่ะสิที่เสียเลือดมากเกินไปเจ้าเสียเลือดมากเกินไปทั้งครอบครัว!หมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากทำแผลให้จวินลั่วยวนเสร็จ ถอนหายใจด้วยความกังวล “สามเดือนแล้ว ในที่สุดเอ็นขององค์หญิงก็เชื่อมต่อกัน คิดไม่ถึงว่าขาดอีกแล้ว ความพยายามในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า” ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสามเดือน เปิดบาดแผล บำรุงเอ็นทุกวันเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำนี้ เบ้าตาแดงฉับพลัน“ล้วนเป็นความผิดของข้า…”นางดึงชายเสื้อของหลิงอี้ซิง กล่าวเสียงสะอึก“ท่านพี่ ข้ามันไม่ดี ต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณชายเซิ่นแน่ องค์โกรธข้า ไม่ชอบข้า จึงฟาดมือของตัวเองใส่เสา เพื่อเป็นการแสดงความรังเกียจต่อข้า”“ข้าทำร้ายนาง ฮือๆ…”หลิงอี้ซิงรักน้องสาว ทุกคนในแคว้นหนานยวนรู้เรื่องนี้แล้วฮ่องเต้หนานยวนกล่าวโทษนางได้อย่างไร?กลับกัน เขายังต้องขอร้องหลิงอี้ซิงทักษะการทำนายของหลิงอี้ซิงมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้ฟ้า ตลอดหลายปีที่เขานั่งตำแหน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง จวินลั่วยวนนอนหลับแล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน หน้าซีดซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง“เหตุใดข้อมือของนางยังมีเลือด?”สามเดือนแล้ว แผลยังไม่หาย?นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตอบ“หมอหลวงบอกว่า จะใช้ยาพิเศษรักษาเอ็นมือและเท้าที่ขาดขององค์หญิง จำเป็นต้องเปิดแผล ขยับเอ็นที่ขาดไปรวมกันทุกวัน จนกระทั่งเชื่อมต่อกัน”“ฮืม?”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ก็เท่ากับว่า จวินลั่วยวนต้องทนกับความเจ็บปวดที่ใช้มีดเปิดปากแผลทุกวันติดต่อกันสามเดือนเต็มๆ น่าสังเวชน่าจะเจ็บมากกระมัง?นางค่อยๆ นั่งลง จับข้อมือของจวินลั่วยวนเบาๆ มองผ้าพันแผลที่ถูกพันห้าหกรอบอย่างครุ่นคิดทันใดนั้นออกแรงกดที่นิ้ว“ซี้ด…!”จวินลั่วยวนเจ็บจนตื่น ลืมตาทันทีฉู่เชียนหลีรีบปล่อยมือ “โอ๊ย…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจแตะตัวท่าน ดูท่านเจ็บมากเลยนะ ขอโทษจริงๆ”“!”หลินเหยี่ยมาอยู่ในตำหนักของนางได้อย่างไร?นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้ที่สุด!อาศัยที่พี่ชายของตัวเองเป็นราชครู แสร้งทำเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ทำแต่ความดีทุกวัน มีแต่คนบอกว่าองค์หญ
เซิ่นสือเฉิน “?”เหตุใดวันนี้รู้สึกว่าหลิงเหยี่ยแปลกๆ?เมื่อก่อนนางชอบเขามากเลยไม่ใช่หรือ? เวลาที่เขาอ่านหนังสือ นางชอบมาอยู่ข้างๆ ฝนหมึกพัดลมให้เขา เวลาที่เขาเขียนหนังสือ นางชอบแอบที่นอกหน้าต่าง จับจิ้งหรีดเล่น เวลาที่เขางีบหลับ นางมักจะชงชาหิมะชั้นดีมาให้เขานางยังบอกว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเหตุใดแค่วันเดียว ก็ปล่อยวางได้แล้ว?“องค์หญิงหลิง ข้าขอโทษ” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดที่จริงเขาก็ชอบหลิงเหยี่ยเช่นกัน แต่องค์หญิงยวนบอกเขาว่าหลิงเหยี่ยนิสัยไม่ดี ชอบรังแกคนรับใช้ หาเรื่องชาวบ้าน ใส่ร้ายโยนความผิดให้ผู้อื่นด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ และทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายเขาเป็นคนเรียนหนังสือ นิสัยซื่อตรง ไม่สามารถยอมรับคนที่จิตใจอำมหิตอย่างหลิงเหยี่ยเมื่อเปรียบเทียบกัน เขาชอบจวินลั่วยวนที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และร่าเริงมากกว่า“เมื่อก่อนท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ช่วยข้าหาอาจารย์ ใช้เส้นสาย ทำให้ข้าสอบติดขุนนาง…บุญคุณส่วนนี้ ข้า ข้าทำได้เพียงตอบแทนท่านชาติหน้าแล้ว…”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”“ได้ยินมาว่าองค์หญิงยวนได้รับบาดเจ็บ พวกเราเข้าวังไปดูนางกันเ
องค์หญิง?คุณชายเซิ่น?ฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความทรงจำใดๆ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก สับสนและงงงวยเล็กน้อยยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงและเสียงต่อต้านดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าหลิง! ใต้เท้าหลิง ต่อให้ท่านบีบคั้นข้าจนตาย ข้าก็ไม่แต่งงานกับนาง!”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจข้ามีเพียงองค์หญิงยวนเอ๋อร์เท่านั้น!”ยวนเอ๋อร์?องค์หญิง?ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองไป เห็นชายหนุ่มสวมชุดเพ้าสีขาวและที่ครอบผมหยก กำลังลากผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเหมือนคนเรียนหนังสือเข้ามานางตระหนักถึงบางอย่าง รีบดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาถามเบาๆ“ที่นี่คือแคว้นหนานยวน?”สาวใช้ “?”องค์หญิงเป็นอะไรไป?เหตุใดถามคำถามเช่นนี้?“องค์หญิง ท่าน…”“อย่าพูดไร้สาระ ตอบข้า!”สาวใช้ตกใจ รีบกล่าว “ท่านคือหลิงเหยี่ย องค์หญิงต่างแซ่ของแคว้นหนานยวน ใต้เท้าคือมหาราชครูของแคว้นหนวนยวน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เพราะใต้เท้าชำนาญการทำนาย เคยช่วยแคว้นสามครั้ง สร้างคุณประโยชน์มากมาย ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต่างแซ่…”คำพูดที่เหลือ ฉู่เชียนหลีมองข้ามโดยตรงสิ่งเดียวที่นางคิดคือ นางถูกส่งมาเป็นองค์หญิงต่างแซ่ อีกท