ฉู่เชียนหลีตะลึงงันไปครู่หนึ่ง พริบตานั้นเข้าใจอะไรบางอย่าง หันไปจ้องตาเฟิงเย่เสวียนฉับพลัน“เจ้า…”หากเดาไม่ผิด ชายชราท่านนี้ก็คือหมอผีอวี๋เจวี๋ยจื่อที่มีชื่อเลื่องลือในยุทธภพเมื่ออ่อนโยน เป็นพระโพธิสัตว์เดินดินที่ช่วยชีวิตคน แม้เป็นยมบาลก็อย่าคิดแย่งคนไปจากมือเขา ทักษะการแพทย์อยู่เหนือฮัวถลอตอนยังมีชีวิตเมื่อฉุนเฉียว ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายผู้หญิง หรือคนดีคนชั่ว บอกฆ่าก็ฆ่า ไม่แม้แต่จะกะพริบตา ยิ่งไม่มีทางปรานีแม้แต่น้อยครึ่งคนครึ่งผี ผู้คนได้ยินแล้วเกิดความหวาดกลัวที่แท้เฟิงเย่เสวียนมาหาหมอผีเพื่อนาง?“เฟิงเย่เสวียน เจ้า…”เขากลับไม่ยอมบอกนาง!“เชียนหลี ข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถมีชีวิตที่ดีกว่านี้” เฟิงเย่เสวียนจ้องนาง “หลายปีมานี้ เพราะปานบนใบหน้าของเจ้า เจ้าถูกต่อว่าและเยาะเย้ยไม่รู้เท่าไร”“แม้ปากของเจ้าไม่พูด แต่ผู้หญิงทั่วหล้ามีใครบ้างที่ไม่ชอบรูปโฉมอันสมบูรณ์แบบ?”เกือบสองเดือนที่ผ่านมา เขาตามหาที่อยู่ของหมอผีมาโดยตลอดสวรรค์เมตตาผู้ที่มีความมุ่งมั่นเสมอ ภายใต้การสืบหาห้าสิบกว่าวันโดยไม่หยุดพักขององครักษ์ลับ ในที่สุดก็เจอเบาะแสของหมอผีเดิมทีเขาตั้งใจเดินทางมาขอยากับห
ท้ายที่สุด ฉู่เชียยนหลีก็เดินตามเข้าไปแล้วภายในกระท่อมไม้เรียบง่ายมาก เตียง โต๊ะเก้าอี้ ตู้ล้วนทำด้วยมือ มีขวดยาและขวดโหลสมุนไพรวางเต็มไปหมด กลิ่นหอมของยานั้นฉุนมากชายชราที่ผอมจนรูปร่างบิดเบี้ยวนั่งอยู่บนเก้าอี้ แผ่นหลังที่เล็กมากก็โค้งงอลงไป เหมือนคนแคระมากตั้งแต่ฉู่เชียนหลีเข้ามา สายตาที่แปลกประหลาดนั่นก็เอาแต่จ้องอยู่บนร่างกายฉู่เชียนหลีปิดประตูปิดหน้าต่างนั่งลงสายตาของเขาไม่ยอมละจากนางแม้แต่ปราดเดียว แปลกประหลาดจนทำให้รู้สึกหนังศีรษะชา อยากหนีออกไปทว่าฉู่เชียนหลีเพียงแค่ขมวดคิ้ว นางนั่งนิ่งๆ ปล่อยให้มองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างใจกว้างจ้องไปจ้องมา…พักใหญ่ไม้เท้าของชายชรายันอยู่บนพื้น สองมือจับไม้เท้า เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง“นังหนูน้อย เจ้าไม่กลัวข้า?”เสียงนั่นฟังแล้วเหมือนนำมีดที่ขึ้นสนิมไปลับกับเสา เสียงที่แหลมมากนั่นทำให้แสบแก้วหูฉู่เชียนหลียิ้มอย่างสุขุม“คนโบราณพูดได้ดี ตัดสินคนจากรูปลักษณ์เป็นเรื่องที่ผิดมหันต์”“สวรรค์นั้นยุติธรรมเสมอ มอบความฉลาดที่เกินคนให้ ก็จะไม่มอบเงื่อนไขที่ได้เปรียบ มอบสถานะอันสูงศักดิ์ให้ ก็จะไม่มอบครอบครัวที่อบอุ่น ก็อย่าง
“อวี๋เจวี๋ยจื่อ!”เสียงกรีดร้องดังลั่นกระท่อมไม้หลังเล็ก เฟิงเย่เสวียนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกรู้สึกถึงความผิดปกติ รีบพุ่งพรวดเข้าไปทันที“เชียนหลี!”ผลักประตูออก เห็นอวี๋เจวี๋ยจื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ ศีรษะห้อยตกลงข้างล่างอย่างไร้เรี่ยวแรงยกขึ้น ฉู่เชียนหลีคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ข้างกายเขา เสียงสั่นเครือเล็กน้อย“เขาไปแล้ว…”แต่ว่าพวกคำพูดที่เขาพูดก่อนไป เหมือนกับเป็นคำสาป ฝังลึกอยู่ในสมองของนาง ดังซ้ำๆ ไม่หยุด‘รากเหง้าของเจ้าไม่ได้อยู่ที่ตระกูลฉู่’‘อยู่ให้ห่างจากราชวงศ์ ไม่เช่นนั้น วันนี้ของข้าก็คือพรุ่งนี้ของเจ้า…’เฟิงเย่เสวียนขมวดคิ้ว ก้าวเท้ายาวเดินเข้ามา จับมือของฉู่เชียนหลีเบาๆ “ความเป็นความตายของมนุษย์มีเวลาของมัน บางที นี่ก็คือชะตาของเขา”เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่องปกติของมนุษย์แต่มีเพียงฉู่เชียนหลีที่รู้ เขาตายเพราะพิษกำเริบ และยังมีคำพูดพวกนั้นของเขา…ฉู่เชียนหลีมองดูฝ่ามือใหญ่ที่จับใบหน้าของตนเอง สายตาค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปตามแขน มองไปที่ใบหน้าอันอบอุ่นและมีความอดทนของเฟิงเย่เสวียน สายตามีความลึกซึ้งที่คลุมเครือเพิ่มขึ้นหลายส่วนเหตุใดอวี๋เจวี๋ยจื่อต้องให้นางอยู่ห่างจากราชวงศ
ฉู่เชียนหลีหลุดหัวเราะ เขาได้ทำเพื่อนางเยอะมากแล้ว และทำได้ดีมากนางก้าวเท้าเข้าไป “ทั้งที่เจ้ารู้ชื่อเสียงของอวี๋เจวี๋ยจื่อ ก็ยังเดินทางไปหาเขาเพียงลำพัง ไม่เคยคิดเลยหรือว่าหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไรขึ้น…”เฟิงเย่เสวียนกล่าว “เดิมทีข้าก็มาเพราะเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นการลาดตระเวนทางใต้ครั้งนี้ก็ไร้ความหมาย”ลาดตระเวนทางใต้ สามารถตรวจตราได้ทุกเมื่อแต่ปานบนใบหน้านาง เขาหวังให้นางอยู่ในรูปลักษณ์ที่งดงามที่สุดฉู่เชียนหลีหัวเราะเบาๆ ยกมือขึ้นลูบรอยบนใบหน้าอย่างเบามือเลือดของเจ้าดำน้อยได้แก้พิษของนางแล้ว นางแค่ไม่ต้องการดึงดูดความสนใจของผู้อื่น จึงปลอมตัวเป็นรูปลักษณ์ที่อัปลักษณ์ต่อไป“ข้าคิดว่าข้าอยู่ต่างโลกใบนี้ โดดเดี่ยวเพียงลำพัง ไม่เป็นที่ต้อนรับของท่านพ่อ ท่านแม่ลำเอียง พี่สาวแท้ๆ เฉยชา ไม่มีเพื่อน ไม่เข้าใจตัวเอง…คิดไม่ถึงว่า เจ้ากลับเป็นคนแรกที่สนใจข้า…”พึมพำเสียงเบา ราวกับกำลังคุยกับตนเองเฟิงเย่เสวียนได้ยินไม่ชัด “หืม?”ฉู่เชียนหลีเงยหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอะไร นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องพิจารณาคดีให้ชาวบ้านอีก รีบพักผ่อนเถอะ”พูดจบก็หมุนกายไปแล้ว“เจ้าไม่นอ
ด้วยเหตุนี้ ฉู่เชียนหลีปล่อยมือ “ในเมื่อเจ้าเองก็บอกว่าไม่เป็นอะไร เช่นนั้นก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”“?”เมื่อเห็นว่าฉู่เชียนหลีจะกลับห้องแล้ว เฟิงเย่เสวียนไม่กล้าเล่นตัวอีก รีบจับข้อมือของนางไว้ ร่างกายอันสูงใหญ่ขยับเข้าใกล้“ข้ามีงานมากมายติดตัว ใต้มือยังมีคนมากมายเช่นนั้นต้องเลี้ยงดู และยังมีเรื่องสำคัญอีกมากมายต้องทำ จะเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ไม่ได้เด็ดขาด เพื่อความปลอดภัย รบกวนเชียนหลีลองตรวจให้ข้าจะดีกว่า”พูดจบ ก็เป็นฝ่ายจูงมือฉู่เชียนหลี ก้าวเท้ายาวเดินเข้าห้องก่อนเข้าห้อง ยังจะเล่นตัว ขับร้องทำเพลง วางมาดอุตส่าห์ไว้หน้าแล้วยังไม่ยอมหยุด?ตกลงผู้ชายคนนี้ไปเรียนนิสัยขี้งอนมาจากใครกันแน่?เซียวจือฮว่า?ภายในห้อง แสงเทียนสั่นไหวเบาๆ ข้างโต๊ะหนังสือ ร่างเงาสองสายถูกแสงเทียนปกคลุม ทำให้เค้าโครงของทั้งสองมีแสงที่นุ่มนวลเคลือบหนึ่งชั้น ภาพนี้ดูอบอุ่นมีความสุขเฟิงเย่เสวียนกำลังนั่ง ฉู่เชียนหลีตรวจชีพจรให้เขาจับข้างซ้ายเสร็จก็จับข้างขวา จับข้างขวาเสร็จก็หันมาจับข้างซ้าย ลองมือทั้งสองข้างอยู่สามสี่รอบ คิ้วบางของฉู่เชียนหลีขมวดจนกลายเป็นภูเขาลูกเล็กชีพจรของเขามั่นคงมีกำลัง ร่างกา
เฟิงเย่เสวียนค่อยๆ ยื่นมือขวาออกไป วางบนฝ่ามือนางฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง “ไหน?”เฟิงเย่เสวียนเสียงเบา “นี่”ฉู่เชียนหลีจ้องมือเขาอย่างละเอียด มือข้างนั้นทั้งใหญ่ทั้งสวย ข้อต่อกระดูกชัดเจน เรียวยาวเหมือนข้อไม้ไผ่ ราวกับเป็นงานศิลปะที่ได้รับการแกะสลักอย่างพิถีพิถัน ประณีตจนสามารถมองเห็นขนอย่างชัดเจน สมบูรณ์แบบไร้ตำหนิใดๆ“ไหนละ?”“นี่”“...”เล่นท้ายปริศนากับนาง?พลันฉู่เชียนหลีถลนตา เฟิงเย่เสวียนเหมือนหนูที่เจอแมวทันที พลิกฝ่ามืออย่างเป็นเด็กดี หดนิ้วมือกลับสี่นิ้ว ยื่นนิ้วมือออกไปหนึ่งนิ้ว“ตรงนี้”ฉู่เชียนหลีจับนิ้วมือของเขา ดึงมาถึงตรงหน้า มองอย่างละเอียดใกล้ๆในที่สุดในที่สุด…ก็มองเห็นแล้วตรงขอบเล็บบนนิ้วมือของเฟิงเย่เสวียน จมูกเล็บถูกฉีกออกไปหนึ่งเส้น มีเลือดสีแดงเล็กน้อยผุดออกมานี่?แค่นี้?ฉู่เชียนหลีอุทาน “ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงเพิ่งบอกข้าตอนนี้?”เฟิงเย่เสวียนถูกเป็นห่วง เขาขยับเข้าใกล้ฉู่เชียนหลีเหมือนเด็ก ขอคำปลอบใจอย่างน้อยใจ“เชียนหลี เจ็บ”“บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ไม่เจ็บได้หรือ?” ฉู่เชียนหลีถามกลับอย่างหน้านิ่ง “โชคดีที่เจ้าบอกข้
เขาแค่อยากกอดนาง อยู่กับนาง ใช้การกระทำของตนเอง เดินเข้าไปในใจนางทีละนิดขอแค่นางไม่พยักหน้า เขาก็จะไม่แตะต้องนางต่อให้นางขมวดคิ้วหนึ่งที เม้มปากหนึ่งครั้ง เขาก็จะเคารพนางอย่างเต็มที่วินาทีนี้ เฟิงเย่เสวียนอ่อนโยน มีความอดทน นิสัยดีมาก เหมือนกับยอดภูเขาน้ำแข็งที่ละลาย ความอ่อนโยนทั้งหมดมอบให้ฉู่เชียนหลีเพียงผู้เดียวภายในห้องที่มืดสลัว สองคนนอนหนึ่งเตียง เห็นได้ชัดว่าแออัดร่างกายของทั้งคู่ใกล้กันมาก และแนบติดกันแน่น ฝ่ามือของเขาวางอยู่บนเอวนาง สองมือของนางประหม่าเล็กน้อยไม่มีที่วางลมหายใจอุ่นๆ พ่นใส่หน้าอีกฝ่ายอุ่นร้อน…ทันใดนั้น ฉู่เชียนหลีรู้สึกร้อน อุณหภูมิบนแก้มพุ่งขึ้นสูง เหมือนกับนึ่งสุกแล้ว และยิ่งพลิกตัวอย่างอึดอัด“เวลา…เวลาข้านอนตอนกลางคืน โดยทั่วไปชอบนอนตะแคงซ้าย…”นางรีบหันหลังให้เฟิงเย่เสวียน ดึงผ้าห่มให้ต่ำลง ยื่นใบหน้าออกนอกผ้าห่ม ตากลมเย็นเพื่อคลายร้อนเหตุใดนางจึงพูดติดอ่าง?เวลานี้แม้แต่นางก็ไม่รู้สึกถึงความประหม่าของตนเองแต่วินาทีต่อมา ร่างกายของเฟิงเย่เสวียนแนบเข้ามา โอบกอดนางจากข้างหลังท่านี้ยิ่งใกล้ชิด!แขนยาวทั้งสองข้างกอดร่างเล็กๆ ของนางไว้
ที่แท้การยกนิ้วกลางก็หมายถึงการชื่นชมนี่เอง!หานเฟิงส่ายหน้าอย่างเขินอายเล็กน้อย “ได้รับการยอมรับจากนายท่าน เป็นคุณค่าสูงสุดในการดำรงอยู่ของข้าน้อย!”นับตั้งแต่ติดตามนายท่านมาหลายปี นายท่านเป็นคนเงียบขรึม สีหน้าเฉยชา น้อยมากที่จะกล่าวชื่นชมเขินอายยิ่ง~ไม่ว่าจะเป็นการจับท่านแม่ทัพใหญ่ของฝ่ายศัตรูมาเป็นเชลย ไม่ว่าจะเป็นได้รับชัยชนะจากการศึก ก็สีหน้าเรียบเฉยมาโดยตลอดฉู่เชียนหลีที่จ้องมองฉากนี้อยู่ไกลๆ “...”ราวกับว่านางไม่ควรสอนอะไรมั่วซั่ว...หานเฟิงถอยออกไป เฟิงเย่เสวียนก็ไปจัดการงานราชการ ฉู่เชียนหลีดื่มโจ๊กง่าย ๆ หนึ่งถ้วย แล้วจึงตามออกไปในศาลบรรดาชาวบ้านที่ร้องทุกข์มีประมาณสามสิบกว่าคน ยังมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่ยืนมุงดูอยู่ด้านนอกศาล บรรดาขุนนางที่ยืนตัวตรงแน่วทำให้สถานการณ์ดูน่าตกใจ ด้านบนเก้าอี้สูง เฟิงเย่เสวียนกำลังนั่งตัวตรง จัดการกิจธุระอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยคดีที่ถูกใส่ความ คดีที่ยังค้างอยู่ คดีเก่า...รับเอาไว้ทั้งหมด เพิ่มลงไปในบันทึก แล้วค่อยมอบหมายให้คนไปจัดการทีละเรื่องแม้ว่าคนจะมากมาย แต่ชายหนุ่มรับมือกับสถานการณ์อย่างสุขุม ประสิทธิภาพการทำงานยังสูง