“อวี๋เจวี๋ยจื่อ!”เสียงกรีดร้องดังลั่นกระท่อมไม้หลังเล็ก เฟิงเย่เสวียนที่เฝ้าอยู่ข้างนอกรู้สึกถึงความผิดปกติ รีบพุ่งพรวดเข้าไปทันที“เชียนหลี!”ผลักประตูออก เห็นอวี๋เจวี๋ยจื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้ ศีรษะห้อยตกลงข้างล่างอย่างไร้เรี่ยวแรงยกขึ้น ฉู่เชียนหลีคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ข้างกายเขา เสียงสั่นเครือเล็กน้อย“เขาไปแล้ว…”แต่ว่าพวกคำพูดที่เขาพูดก่อนไป เหมือนกับเป็นคำสาป ฝังลึกอยู่ในสมองของนาง ดังซ้ำๆ ไม่หยุด‘รากเหง้าของเจ้าไม่ได้อยู่ที่ตระกูลฉู่’‘อยู่ให้ห่างจากราชวงศ์ ไม่เช่นนั้น วันนี้ของข้าก็คือพรุ่งนี้ของเจ้า…’เฟิงเย่เสวียนขมวดคิ้ว ก้าวเท้ายาวเดินเข้ามา จับมือของฉู่เชียนหลีเบาๆ “ความเป็นความตายของมนุษย์มีเวลาของมัน บางที นี่ก็คือชะตาของเขา”เกิดแก่เจ็บตาย เป็นเรื่องปกติของมนุษย์แต่มีเพียงฉู่เชียนหลีที่รู้ เขาตายเพราะพิษกำเริบ และยังมีคำพูดพวกนั้นของเขา…ฉู่เชียนหลีมองดูฝ่ามือใหญ่ที่จับใบหน้าของตนเอง สายตาค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปตามแขน มองไปที่ใบหน้าอันอบอุ่นและมีความอดทนของเฟิงเย่เสวียน สายตามีความลึกซึ้งที่คลุมเครือเพิ่มขึ้นหลายส่วนเหตุใดอวี๋เจวี๋ยจื่อต้องให้นางอยู่ห่างจากราชวงศ
ฉู่เชียนหลีหลุดหัวเราะ เขาได้ทำเพื่อนางเยอะมากแล้ว และทำได้ดีมากนางก้าวเท้าเข้าไป “ทั้งที่เจ้ารู้ชื่อเสียงของอวี๋เจวี๋ยจื่อ ก็ยังเดินทางไปหาเขาเพียงลำพัง ไม่เคยคิดเลยหรือว่าหากเกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไรขึ้น…”เฟิงเย่เสวียนกล่าว “เดิมทีข้าก็มาเพราะเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นการลาดตระเวนทางใต้ครั้งนี้ก็ไร้ความหมาย”ลาดตระเวนทางใต้ สามารถตรวจตราได้ทุกเมื่อแต่ปานบนใบหน้านาง เขาหวังให้นางอยู่ในรูปลักษณ์ที่งดงามที่สุดฉู่เชียนหลีหัวเราะเบาๆ ยกมือขึ้นลูบรอยบนใบหน้าอย่างเบามือเลือดของเจ้าดำน้อยได้แก้พิษของนางแล้ว นางแค่ไม่ต้องการดึงดูดความสนใจของผู้อื่น จึงปลอมตัวเป็นรูปลักษณ์ที่อัปลักษณ์ต่อไป“ข้าคิดว่าข้าอยู่ต่างโลกใบนี้ โดดเดี่ยวเพียงลำพัง ไม่เป็นที่ต้อนรับของท่านพ่อ ท่านแม่ลำเอียง พี่สาวแท้ๆ เฉยชา ไม่มีเพื่อน ไม่เข้าใจตัวเอง…คิดไม่ถึงว่า เจ้ากลับเป็นคนแรกที่สนใจข้า…”พึมพำเสียงเบา ราวกับกำลังคุยกับตนเองเฟิงเย่เสวียนได้ยินไม่ชัด “หืม?”ฉู่เชียนหลีเงยหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอะไร นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ยังต้องพิจารณาคดีให้ชาวบ้านอีก รีบพักผ่อนเถอะ”พูดจบก็หมุนกายไปแล้ว“เจ้าไม่นอ
ด้วยเหตุนี้ ฉู่เชียนหลีปล่อยมือ “ในเมื่อเจ้าเองก็บอกว่าไม่เป็นอะไร เช่นนั้นก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”“?”เมื่อเห็นว่าฉู่เชียนหลีจะกลับห้องแล้ว เฟิงเย่เสวียนไม่กล้าเล่นตัวอีก รีบจับข้อมือของนางไว้ ร่างกายอันสูงใหญ่ขยับเข้าใกล้“ข้ามีงานมากมายติดตัว ใต้มือยังมีคนมากมายเช่นนั้นต้องเลี้ยงดู และยังมีเรื่องสำคัญอีกมากมายต้องทำ จะเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ไม่ได้เด็ดขาด เพื่อความปลอดภัย รบกวนเชียนหลีลองตรวจให้ข้าจะดีกว่า”พูดจบ ก็เป็นฝ่ายจูงมือฉู่เชียนหลี ก้าวเท้ายาวเดินเข้าห้องก่อนเข้าห้อง ยังจะเล่นตัว ขับร้องทำเพลง วางมาดอุตส่าห์ไว้หน้าแล้วยังไม่ยอมหยุด?ตกลงผู้ชายคนนี้ไปเรียนนิสัยขี้งอนมาจากใครกันแน่?เซียวจือฮว่า?ภายในห้อง แสงเทียนสั่นไหวเบาๆ ข้างโต๊ะหนังสือ ร่างเงาสองสายถูกแสงเทียนปกคลุม ทำให้เค้าโครงของทั้งสองมีแสงที่นุ่มนวลเคลือบหนึ่งชั้น ภาพนี้ดูอบอุ่นมีความสุขเฟิงเย่เสวียนกำลังนั่ง ฉู่เชียนหลีตรวจชีพจรให้เขาจับข้างซ้ายเสร็จก็จับข้างขวา จับข้างขวาเสร็จก็หันมาจับข้างซ้าย ลองมือทั้งสองข้างอยู่สามสี่รอบ คิ้วบางของฉู่เชียนหลีขมวดจนกลายเป็นภูเขาลูกเล็กชีพจรของเขามั่นคงมีกำลัง ร่างกา
เฟิงเย่เสวียนค่อยๆ ยื่นมือขวาออกไป วางบนฝ่ามือนางฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง “ไหน?”เฟิงเย่เสวียนเสียงเบา “นี่”ฉู่เชียนหลีจ้องมือเขาอย่างละเอียด มือข้างนั้นทั้งใหญ่ทั้งสวย ข้อต่อกระดูกชัดเจน เรียวยาวเหมือนข้อไม้ไผ่ ราวกับเป็นงานศิลปะที่ได้รับการแกะสลักอย่างพิถีพิถัน ประณีตจนสามารถมองเห็นขนอย่างชัดเจน สมบูรณ์แบบไร้ตำหนิใดๆ“ไหนละ?”“นี่”“...”เล่นท้ายปริศนากับนาง?พลันฉู่เชียนหลีถลนตา เฟิงเย่เสวียนเหมือนหนูที่เจอแมวทันที พลิกฝ่ามืออย่างเป็นเด็กดี หดนิ้วมือกลับสี่นิ้ว ยื่นนิ้วมือออกไปหนึ่งนิ้ว“ตรงนี้”ฉู่เชียนหลีจับนิ้วมือของเขา ดึงมาถึงตรงหน้า มองอย่างละเอียดใกล้ๆในที่สุดในที่สุด…ก็มองเห็นแล้วตรงขอบเล็บบนนิ้วมือของเฟิงเย่เสวียน จมูกเล็บถูกฉีกออกไปหนึ่งเส้น มีเลือดสีแดงเล็กน้อยผุดออกมานี่?แค่นี้?ฉู่เชียนหลีอุทาน “ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เหตุใดเจ้าถึงเพิ่งบอกข้าตอนนี้?”เฟิงเย่เสวียนถูกเป็นห่วง เขาขยับเข้าใกล้ฉู่เชียนหลีเหมือนเด็ก ขอคำปลอบใจอย่างน้อยใจ“เชียนหลี เจ็บ”“บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ไม่เจ็บได้หรือ?” ฉู่เชียนหลีถามกลับอย่างหน้านิ่ง “โชคดีที่เจ้าบอกข้
เขาแค่อยากกอดนาง อยู่กับนาง ใช้การกระทำของตนเอง เดินเข้าไปในใจนางทีละนิดขอแค่นางไม่พยักหน้า เขาก็จะไม่แตะต้องนางต่อให้นางขมวดคิ้วหนึ่งที เม้มปากหนึ่งครั้ง เขาก็จะเคารพนางอย่างเต็มที่วินาทีนี้ เฟิงเย่เสวียนอ่อนโยน มีความอดทน นิสัยดีมาก เหมือนกับยอดภูเขาน้ำแข็งที่ละลาย ความอ่อนโยนทั้งหมดมอบให้ฉู่เชียนหลีเพียงผู้เดียวภายในห้องที่มืดสลัว สองคนนอนหนึ่งเตียง เห็นได้ชัดว่าแออัดร่างกายของทั้งคู่ใกล้กันมาก และแนบติดกันแน่น ฝ่ามือของเขาวางอยู่บนเอวนาง สองมือของนางประหม่าเล็กน้อยไม่มีที่วางลมหายใจอุ่นๆ พ่นใส่หน้าอีกฝ่ายอุ่นร้อน…ทันใดนั้น ฉู่เชียนหลีรู้สึกร้อน อุณหภูมิบนแก้มพุ่งขึ้นสูง เหมือนกับนึ่งสุกแล้ว และยิ่งพลิกตัวอย่างอึดอัด“เวลา…เวลาข้านอนตอนกลางคืน โดยทั่วไปชอบนอนตะแคงซ้าย…”นางรีบหันหลังให้เฟิงเย่เสวียน ดึงผ้าห่มให้ต่ำลง ยื่นใบหน้าออกนอกผ้าห่ม ตากลมเย็นเพื่อคลายร้อนเหตุใดนางจึงพูดติดอ่าง?เวลานี้แม้แต่นางก็ไม่รู้สึกถึงความประหม่าของตนเองแต่วินาทีต่อมา ร่างกายของเฟิงเย่เสวียนแนบเข้ามา โอบกอดนางจากข้างหลังท่านี้ยิ่งใกล้ชิด!แขนยาวทั้งสองข้างกอดร่างเล็กๆ ของนางไว้
ที่แท้การยกนิ้วกลางก็หมายถึงการชื่นชมนี่เอง!หานเฟิงส่ายหน้าอย่างเขินอายเล็กน้อย “ได้รับการยอมรับจากนายท่าน เป็นคุณค่าสูงสุดในการดำรงอยู่ของข้าน้อย!”นับตั้งแต่ติดตามนายท่านมาหลายปี นายท่านเป็นคนเงียบขรึม สีหน้าเฉยชา น้อยมากที่จะกล่าวชื่นชมเขินอายยิ่ง~ไม่ว่าจะเป็นการจับท่านแม่ทัพใหญ่ของฝ่ายศัตรูมาเป็นเชลย ไม่ว่าจะเป็นได้รับชัยชนะจากการศึก ก็สีหน้าเรียบเฉยมาโดยตลอดฉู่เชียนหลีที่จ้องมองฉากนี้อยู่ไกลๆ “...”ราวกับว่านางไม่ควรสอนอะไรมั่วซั่ว...หานเฟิงถอยออกไป เฟิงเย่เสวียนก็ไปจัดการงานราชการ ฉู่เชียนหลีดื่มโจ๊กง่าย ๆ หนึ่งถ้วย แล้วจึงตามออกไปในศาลบรรดาชาวบ้านที่ร้องทุกข์มีประมาณสามสิบกว่าคน ยังมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยที่ยืนมุงดูอยู่ด้านนอกศาล บรรดาขุนนางที่ยืนตัวตรงแน่วทำให้สถานการณ์ดูน่าตกใจ ด้านบนเก้าอี้สูง เฟิงเย่เสวียนกำลังนั่งตัวตรง จัดการกิจธุระอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยคดีที่ถูกใส่ความ คดีที่ยังค้างอยู่ คดีเก่า...รับเอาไว้ทั้งหมด เพิ่มลงไปในบันทึก แล้วค่อยมอบหมายให้คนไปจัดการทีละเรื่องแม้ว่าคนจะมากมาย แต่ชายหนุ่มรับมือกับสถานการณ์อย่างสุขุม ประสิทธิภาพการทำงานยังสูง
คำพูดประโยคนี้ของเฟิงเย่เสวียนฟังดูดีเหลือเกิน พลางทำภารกิจที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้สำเร็จ ยังพลางพูดว่าทำเพื่อนาง แต่สิ่งที่น่าตลกก็คือคิดไม่ถึงว่านางจะเป็นห่วงเขาจนวิ่งแจ้นไปที่หุบเขาเพื่อตามหาเพียงลำพังน่าตลก!ชาวบ้านกำลังทำงาน ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับนาง คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นฝ่ายเข้าไปร่วมสมทบอย่างหน้าไม่อายก็ไม่รู้ว่าลับหลังนาง ชาวบ้านเขาจะมองนางเป็นตัวตลกขนาดไหนเฮอะ...เขาโกหกได้แนบเนียนจริง ๆ!ฉู่เชียนหลีฉีกริมฝีปากหัวเราะอย่างสมเพช ถอยไปด้านหลังสามก้าว ออกจากฝูงชนหันหลังกลับแล้วก็เดินออกไปด้านนอกจวน“พระชายาอ๋องเฉิน?”เฟิงเจิ้งหลีก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว อยากจะร้องเรียกนาง แต่ในมือกำลังถือสมุด ไม่สามารถปลีกตัวออกไปได้ จึงหยุดชะงักฝีเท้าเหมือนว่าเขาจะสังเกตได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของนางเหมือนว่านางไม่ค่อยดีใจสักเท่าไหร่?หรือว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือ?เมืองเซียงหนานบนท้องถนนตามตรอกซอกซอย ผู้คนพลุกพล่าน คึกคักเป็นอย่างยิ่งบรรดาชาวบ้านที่ผ่านไปผ่านมาต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานา“ท่านอ๋องเฉินช่างเป็นคนดีเสียจริง อาหวังที่ได้รับความไม่เป็นธรรมมาสิบปีในที่สุดก็ได้
ฉู่เชียนหลีกำลังเดินเล่นอยู่ในเมือง เป็นเวลาสองสามชั่วยาม พลบค่ำถึงกลับทันทีที่ก้าวเท้าเข้าจวนผู้ตรวจการ ก็เจอกับหานเฟิงที่ท่าทีร้อนรน“โอ้โฮ! ย่าน้อยของข้า นี่ท่านไปไหนมา?”ฉู่เชียนหลีสงสัย “มีธุระอะไร?”หานเฟิงตบหน้าขา “นายท่านรอกินอาหารเย็นกับท่าน รอมาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว ก็ไม่เห็นท่านสักที ยังคิดว่าท่านเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วเสียอีก กำลังจะสั่งให้คนออกไปตามอยู่เลย”เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของฉู่เชียนหลีก็เย็นชาขึ้นไม่น้อยยกกระโปรงขึ้น ก้าวข้ามธรณีประตู“อ๋องเฉินมาถึงเมืองเซียงหนานแล้ว ใครจะไม่รู้? ตอนนี้ในเมืองแม้แต่หัวขโมยก็ยังไม่กล้าทำตัวอวดดี ใครจะกล้าแตะต้องข้า?”เมื่อเข้าจวน ก็สะบัดกระโปรง สาวเท้าเดินเข้าไปเหตุใดจู่ ๆ หานเฟิงจึงรู้สึกว่าน้ำเสียงของพระชายา...ถึงได้เหมือนถากถางอยู่หน่อย ๆ?เรือนที่ตกแต่งหรูหราฉู่เชียนหลีเข้าห้องก็เห็นเฟิงเย่เสวียนรีบลุกขึ้นยืน“กลับมาแล้วหรือ!”ชายหนุ่มรีบเดินไปหานาง “ไปไหนมา? เหตุใดจึงไม่บอกข้าก่อนสักคำ ปล่อยให้ข้าเป็นห่วงแทบแย่”เขายื่นมือออกไป ตอนที่กำลังจะจับมือของฉู่เชียนหลี ฉู่เชียนหลีกลับเอี้ยวตัวหลบ หลบออกไปอย่างเงียบ