สีหน้าเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมลง เหตุใดเขาจึงไม่รู้ว่าตนเองหลับไปแค่คืนเดียวก็ ‘ตายแล้ว’?เขาดึงธงสวดวิญญาณที่ขวางหูขวางตาทิ้ง พอก้าวเท้าเดินออกจากเรือนหานเฟิง ก็เห็นนอกเรือนมีร่างเงาเพรียวบางหนึ่งยืนอยู่บนก้อนหิน มือข้างหนึ่งเท้าเอว มืออีกข้างชี้ฟ้า น้ำเสียงเปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรม“การจู่โจมของมือสังหารอันตรายสุดขีด ช่วงความเป็นความตายพริบตาเดียว! เขา ยืดอกถือกระบี่กระโจนออกไป!”“เขา ผลักภูเขาพลิกทะเล กล้าหาญไร้เทียมทาน!”“เขา เชี่ยวชาญบุ๋นและบู๊ ไม่กลัวความลำบาก!”สีหน้าหญิงสาวโกรธมาก เนื้อหนังบนใบหน้าสั่น ยิ่งเมื่อพูดถึงจุดสูงสุด น้ำลายถึงกับกระเด็น “สุดท้าย ในที่สุดเขาก็ตายใต้คมกระบี่ของมือสังหาร”“...”สาวใช้สิบกว่าคนที่มาล้อมวง ‘ฟังงิ้ว’ ที่นี่ ในที่สุดเบ้าตาก็แดงก่ำไม่สามารถหักห้ามใจได้อีกคิดไม่ถึงว่าเมื่อคืนจะเกิดเรื่องรุนแรงเช่นนี้คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องผู้อาจหาญที่เป็นดั่งเทพสงครามไร้พ่ายในสนามรบ สุดท้ายแล้วกลับต้องมาจบชีวิตให้กับมือสังหารไร้นามคนหนึ่ง“ท่านอ๋อง!”ในที่สุดสาวใช้คนหนึ่งก็อดกลั้นไม่อยู่ ปล่อยโฮร้องไห้ออกมา“ท่านอ๋องช่างน่าเวทนายิ่ง! ท่านอ๋อง ท่านนอนตาย
เรือนข้างหลังจากฉู่เชียนหลีกลับถึงเรือน กินอาหารเช้าอย่างเรียบง่ายเสร็จ ก็นั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลือง สังเกต ‘ปาน’ บนใบหน้าเยว่เอ๋อร์กำลังเก็บของที่ระเกะระกะบนโต๊ะ จนถึงตอนนี้ก็ยังตกใจ ตะลึงงัน ไม่กล้าเชื่อ มองแผ่นหลังของผู้หญิงอย่างไม่เชื่อสายตานิสัยคุณหนูเปลี่ยนไปกะทันหัน กินมากขึ้น นอนหลับสนิท และยังไม่รักท่านอ๋องมากเช่นนั้นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แม้แต่วิธีการพูด การกระทำ ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงนี่…ยังเป็นคุณของนางจริงหรือ?เงาสะท้อนในกระจกทองเหลือง ฉู่เชียนหลีประสานสายตากับเยว่เอ๋อร์ “มีอะไร?”เยว่เอ๋อร์ลุกลน รีบก้มศีรษะลง “ไม่ ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ”“รู้สึกว่าข้าแปลกหน้ามากหรือ”คำพูดประโยคเดียวของฉู่เชียนหลี ชี้ให้เห็นสิ่งที่เยว่เอ๋อร์คิดในใจจริงๆนางยิ้มแล้ว “เยว่เอ๋อร์ เจ้ายังเด็ก ไม่รู้จักความโหดร้ายของโลกใบนี้ ไม่มีใครเหมือนเดิมตลอดไป ตอนเจ้าอายุห้าขวบชอบเล่นแมลงปอไม้ไผ่ เมื่อเจ้าอายุสิบห้าจะยังชอบเล่นหรือไม่”นางยังคงเป็นนาง“เห็นหรือไม่” นางชี้ใบหน้าของตนเอง “นี่ไม่ใช่ปาน แต่เป็นพิษ”“อะไรนะ?!” เยว่เอ๋อร์เบิกตากว้างอย่างตะลึงงันพิษ!พิษชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายตั้งแต
เฟิงเย่เสวียนได้เห็น วิญญาณก็แทบขึ้นสวรรค์คาที่ “...”แม้แต่คนแสดงงิ้วที่แสดงอยู่ในโรงละครก็ยังมิได้แต่งตัวเลยเถิดเพียงนี้ เพื่อให้ได้หนังสือหย่า นางถึงกับไม่ห่วงหน้าตาตนแรกเริ่ม คนที่ทำทุกวิถีเพื่อให้ได้แต่งกับเขาคือนางมายามนี้ คนที่พยายามสุดกำลังที่จะไปจากเขาก็คือนางนี่นางเห็นเขาเป็นสิ่งใด?กวักมือก็มา สะบัดมือก็ไปรึ?เขาจ้องนาง ริมฝีปากบางเอ่ยเย็นชาออกมาคำหนึ่ง “เปลี่ยน”ฉู่เชียนหลี “ไม่เปลี่ยน!”เพื่อไปร่วมงานเลี้ยงในวัง นางตั้งใจแต่งตัวอย่างพิถีพิถันครึ่งชั่วยาม แล้วจะให้ความตั้งใจทั้งหมดของนางสูญเปล่าได้อย่างไรกัน?แผนการของนางเป็นเช่นนี้นางเข้าวังไปกับเขา เมื่อขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งมวลที่มาร่วมงานได้เห็นก็จะพากันด่าทออ๋องเฉินลับหลังว่าดวงตาไร้แวว อ๋องเฉินน่าสงสารนัก เหตุใดอ๋องเฉินจึงอดทนอย่างกับสีทนได้ถึงเพียงนี้!จากนั้น พออ๋องเฉิน 'สีทนได้' โมโห ก็จะมอบหนังสือหย่าให้นาง!ได้ยินเสียงในใจนาง มุมหน้าผากของเฟิงเย่เสวียนเต้นตุบๆสีทนได้?เขาสะกดความอยากเข้าไปบีบคอสตรีผู้นี้ให้ตายเอาไว้ แล้วจับนางโยนขึ้นรถม้า ดึงสองหนวดยาวๆ บนหัวนางออกมาเช็ดปากนางแรงๆ ให้ชาดแดงบนปากนางห
คุณหนูมีตระกูลที่ถูกเบียดออกไปกวาดสายตาไปมองฉู่เชียนหลี พร้อมแววเย็นเฉียบอันแสนไม่พอใจฉายอยู่ในดวงตา 'ไม่รู้จักถ่ายปัสสาวะมาส่องสารรูปของตนเสียบ้าง หน้าตาเช่นนี้ยังกล้าออกมาให้ขายหน้าประชาชีอีก?' ฮึ!นางยกมุมปากขึ้น หากยามเอ่ยปากน้ำเสียงกลับอ่อนหวานนัก“พระชายาอ๋องเฉิน เมื่อครู่ข้าเพียงบังเอิญสะดุดล้ม ท่านผลักข้าเสียเจ็บนักนะเจ้าคะ...”นางยกมือขึ้นกุมข้างไหล่เบาๆ พร้อมส่งสายตาห่อเหี่ยวแสนน่าสงสารว่าตนถูกรังแกฉู่เชียนหลีมิได้เห็นผู้ใดอยู่สายตา กลับเข้าไปคล้องแขนของเฟิงเย่เสวียน เอ่ยคำทั้งน้ำเสียงที่ต้องการป่าวประกาศศักดิ์และสิทธิ์ที่ตนมี“ไม่ใช่แต่เจ้า ไม่ว่าสตรีใดที่ไม่ใช่ข้ามาเข้าใกล้เขาก็ล้วนไม่ได้ทั้งสิ้น! พวกเจ้าระวังตัวไว้ให้ดีเถิด!” น้ำเสียงอวดดียิ่งเมื่อทุกคนได้ยินความนี้ ตอนแรกกลับนิ่งอึ้งไป แล้วจากนั้นก็พากันหัวเราะจนหุบปากไม่ลงสวรรค์!ราวกับพวกเขาได้ยินเรื่องตลกที่น่าขบขันที่สุดในใต้หล้า!พระชายาอ๋องเฉินที่ไม่เป็นที่รักกลับกล้าอวดดีถึงเพียงนี้?สตรีผู้นี้ไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน?ตามความเข้าใจที่พวกเขามีต่อตัวอ๋องเฉิน อีกไม่ถึงสามวินาที อ๋องเฉินจะต้องผลักฉู่
ระหว่างที่แขกเหรื่อกำลังสนทนากันอย่างครื้นเครง นอกห้องโถงก็มีเสียงประกาศอันนุ่มนวลขันทีดังเข้ามา“ฮ่องเต้เสด็จ! องค์รัชทายาทมาถึงแล้ว...”ทุกคนหยุดพูดในทันใด พากันลุกขึ้นยืน ฉู่เชียนหลีช้อนตาขึ้นมองไปตามสายตาทุกคนพรมแดงปูยาวออกไปจนถึงนอกโถง ที่สุดปลายทางนั้นร่างในชุดเหลืองอร่ามเดินไพล่หลังเข้ามา ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันราวสี่สิบพระชันษา เกล้าผมเรียบทุกกระเบียดนิ้ว อาภรณ์จัดการจนไม่มีแม้รอยยับย่นสักน้อย เชิดหัวขึ้นน้อยๆ ดวงตาจับจ้องเบื้องหน้า บนพระวรกายถูกห่อหุ้มด้วยความสูงศักดิ์มาแต่กำเนิดผู้ที่ตามหลังเขามาคือชายหนุ่มอายุราวยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีผู้หนึ่งสวมชุดผาว[footnoteRef:1]สีน้ำตาลลายหม่างเปี่ยมสง่าราศี [1: ชุดผาว คือ เสื้อคลุมยาวทั้งตัวแขนยาว] เขาก็คือรัชทายาทองค์ปัจจุบัน โอรสองค์โตของฮ่องเต้นามเฟิงเจิ้งอวี้ ฮ่องเต้นำองค์รัชทายาทเข้ามายังโถงใหญ่ ท่ามกลางสายตาของทุกผู้ทุกคน เมื่อเดินไปถึงที่นั่งหลักซึ่งอยู่สูงสุดแล้ว ทุกคนก็ถวายบังคมเสร็จสิ้นพิธีนั่งลงฮ่องเต้เริ่มเอ่ยปาก “เมื่อสองเดือนก่อน พวกซยงหนูคอยรุกรานชายแดนไม่หยุดหย่อน เหล่าราษฎรที่ชายแดนต้องมีความเป็นอยู่ยากลำ
ทุกคนมองนางแล้วพากันหัวเราะสตรีอัปลักษณ์ผู้นี้แต่งกายน่าเกลียดนักหนา สีสันฉูดฉาดราวกับผีเสื้อยักษ์กลางพุ่มดอกไม้ ยิ่งเมื่ออยู่กับใบหน้าที่มีปาน ยิ่งอัปลักษณ์เสียจนเทพและมนุษย์ยังชิงชังนางกลับเอาความกล้าที่ใดมาเอ่ยวาจา?ฮ่องเต้หันมามองด้วยสีหน้าไม่รู้ว่าควรร้องไห้ดีหรือว่าควรจะหัวเราะดี อีหลักอีเหลื่อ“พระชายาอ๋องเฉิน เจ้าแต่งตัวเรียบหน่อยเถิด”สีสันฉูดฉาดเช่นนี้ เหมาะกับงานไว้อาลัยเสียมากกว่า“ฝ่าบาท หม่อมฉันแต่งตัวเรียบไม่ได้เพคะ!” ฉู่เชียนหลีเอามือกุมที่หน้าอก “อ๋องเฉินรักใคร่หม่อมฉันแต่ผู้เดียวและยังเลือกเสื้อผ้าให้หม่อมฉันด้วยตนเอง แต่เสื้อผ้านี้ก็น่าเกลียดนัก ไม่ทราบเช่นกันว่าครั้งอ๋องเฉินเข้าทำศึกถูกทำร้ายจนตาบอดเสียแล้วหรือไม่”เฮ้อ!นางถอนใจหนักๆ หนหนึ่งนี่เป็นคำด่าชัดๆ ทำเอาสีหน้าของเฟิงเย่เสวียนดำทะมึนลงทันใด แต่ความสนใจของทุกคนกลับไปอยู่ที่อีกประเด็นหนึ่งสตรีอัปลักษณ์ผู้นี้หรือจะเป็นที่รัก?ฝันกลางวันกระมัง?รัชทายาทแย้มยิ้ม “การแต่งกายของพระชายาอ๋องเฉินในวันนี้ เหมาะกับการเต้นระบำยิ่งนัก ดูทีว่าคงตั้งใจมาเต้นระบำให้อ๋องเฉินในงานฉลองชัยชนะครานี้สักเพลงกระมัง?
อูย…ยามถ้อยคำนี้เอ่ยออกไป ทั้งงานล้วนต้องตกตะลึงเมื่อองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ พระชายาองค์รัชทายาทก็จะเป็นถึงฮองเฮาแห่งแคว้นตงหลิง เป็นสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้า แล้วจะมาเต้นระบำต่อหน้าผู้คนเช่นนางงิ้วได้อย่างไร?พระชายาองค์รัชทายาทกล่าวเช่นนี้ นับเป็นการลบหลู่องค์รัชทายาทโดยแท้พระชายาองค์รัชทายาทซึ่งถูกเอ่ยถึงนี้คือสตรีที่สูงส่งและงดงามผู้หนึ่ง นางกวาดสายตาเย็นเฉียบมาที่ฉู่เชียนหลีคราวหนึ่ง มิได้เห็นหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย“พระชายาอ๋องเฉิน เจ้าบังอาจนัก! ถึงกับเอาข้าไปเทียบกับพวกนางงิ้ว!” เสียงน่าเกรงขามดังขึ้น ความน่าเกรงขามที่อยู่ภายในกายประหนึ่งภูเขาลูกหนึ่งกำลังทับตัวฉู่เชียนหลีอยู่มิเกรี้ยวโกรธหากน่าเกรงขามมีละครเด็ดให้ดูแล้ว!ทุกคนพากันหยัดตัวตรงขึ้นอีกหลายส่วน รอดูว่าฉู่เชียนหลีจะถูกข่มเหงจนร้องไห้อย่างไรฉู่เชียนหลีลูบเล็บมือกลมมนของตนด้วยท่าทีสบายอุรา ย้อนถามประโยคหนึ่งว่า “ก็มิใช่ว่าองค์รัชทายาทเริ่มก่อนหรอกหรือ? เขาให้ข้าเต้นรำได้ แล้วท่านจะเต้นไม่ได้หรืออย่างไร?”พระชายาองค์รัชทายาทบันดาลโทสะนางมีฐานะสูงส่งปานนี้ หญิงอัปลักษณ์เช่นฉู่เ
งานเลี้ยงฉลองยังคงดำเนินต่อ ส่วนใหญ่เป็นไปตามฉากตายตัวฮ่องเต้อาศัยเรื่องชนะสงคราม สร้างแรงบันดาลใจและปลุกความฝักใฝ่ให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ ว่าควรมุ่งมั่นพัฒนา ปกบ้านป้องชาติส่วนเหล่าขุนนางพากันพยักหน้าเห็นด้วย และดื่มให้อ๋องเฉิน ถือโอกาสนี้ประจบสอพลอพูดจาดีไม่หยุดเจ้ามาข้าไป เจ้าชมข้าฟัง ฉู่เชียนหลีเบื่อหน่ายอย่างยิ่งในที่สุดก็จบแล้วงานเลี้ยงเลิกรา!ฉู่เชียนหลีรีบลุกขึ้นทันที นางนั่งจนเมื่อยก้นไปหมดแล้ว วิ่งปรู๊ดออกจากท้องพระโรงเป็นคนแรก วิ่งไปที่มุมอับไร้ผู้คน เล่นท่าบริหารร่างกายทางวิทยุชุดที่สิบแปดของเด็กประถมมัธยมเพื่อยืดเส้นยืดสายเฟิงเย่เสวียนที่เดินผ่านมาเห็นการเคลื่อนไหวแปลกๆ ของนาง ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็ถือว่าคุ้นชินกับความแปลกประหลาดของนางแล้ว“ข้าจะไปเยี่ยมเสด็จแม่”ฉู่เชียนหลีหันกลับไป “เช่นนั้นข้า…”“เจ้าห้ามไป”“...”“ไปรอนอกประตูวัง” สิ้นเสียง เขาก็เดินผ่านนางและตรงไปยังทิศทางหนึ่ง ฉู่เชียนหลีเหลือบมองเขาอย่างไม่สบอารมณ์แวบหนึ่งไม่ไปก็ไม่ไปสิ เขาคิดว่านางอยากไปหรืออย่างไร?ตั้งแต่ในอดีต ความสัมพันธ์แม่สามีกับลูกสะใภ้เข้ากันยากที่สุด นางไม่ต้อ