ทางนี้ฉู่เชียนหลีเดินออกจากเรือนหานเฟิง พ่อบ้านก็วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรน “พระชายา!”เขาเดินอย่างเร่งรีบ พลางหอบหายใจ“พระชายา แย่แล้ว! รัชทายาทมาแล้ว สีหน้าของเขาบูดบึ้ง ไม่ยอมไปนั่งห้องโถงหน้า และไม่ยอมดื่มชา พูดแต่ว่าต้องการพบท่านอ๋อง!”ฉู่เชียนหลีได้ยินแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อยมาหาถึงที่จริงด้วย“ให้เขารอไปก่อน อีกเดี๋ยวข้าค่อยไป” พูดจบก็หมุนกายไปกวักมือ “เจ้าดำน้อย!”จวนอ๋องเฉิน ห้องโถงหน้าเฟิงเจิ้งอวี้ในชุดผาวสีม่วงนั่งอยู่บนเก้าอี้หลักอย่างสูงส่ง ทุกท่วงท่ากิริยาล้วนแลดูสูงศักดิ์ ระหว่างคิ้วซ่อนกลิ่นอายอันน่าเกรงขามที่เยือกเย็น สายตาเย็นชา รอบกายแผ่กลิ่นอายอันชั่วร้ายที่ไม่ควรล่วงเกินเหล่าบ่าวไพร่ยืนห่างๆ อยู่ข้างนอก แต่ละคนก้มหน้า ไม่กล้าส่งเสียง ไม่กล้าล่วงเกินเวลาผ่านไปประมาณครึ่งก้านธูปเฟิงเย่เสวียนมาแล้ว“พี่ใหญ่มากะทันหัน และไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ข้าเสียมารยาทแล้ว” เขาเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มเฟิงเจิ้งอวี้เงยหน้า กวาดมองแวบหนึ่ง กระแทกถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะอย่างเย็นชาปัง!เสียงดังก้องอยู่ในอากาศ บรรยากาศก็ตึงเครียดลงในเวลาเดียวกันบรรดาบ่าวไพร่ยิ่งหดไหล่และก
“จวี้เฟิงอะไร?”ฉู่เชียนหลีเงยหน้า เสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยดังกระจายออกไป ทุกคนในห้องโถงล้วนสามารถได้ยินอย่างชัดเจนนางลูบหัวหมาป่า มองไปทางรัชทายาทอย่างไม่เข้าใจ“ไม่ทราบว่ารัชทายาทพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? จวี้เฟิงอะไร? ขโมยอะไร? ท่านกับอ๋องเฉินต่างก็เป็นคนของราชวงศ์ ใช้คำว่า ‘ขโมย’ ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมกระมัง?”ที่นี่มีบ่าวไพร่ดูอยู่ตั้งมากมาย ส่วน ‘ขโมย’ ใช้สำหรับพูดถึงนักย่องเบาเฟิงเจิ้งอวี้หรี่ตา มองฉู่เชียนหลีตั้งแต่หัวจรดเท้ามีข่าวลือบอกว่านางมีความรู้ด้านทักษะการแพทย์เมื่อวาน ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับนาง…“หมาป่าที่อยู่ข้างกายเจ้า มันเป็นหมาป่าเทพแห่งเขาคุนหลุนของข้า จวี้เฟิง แม้ไม่รู้ว่าเจ้าใช้วิธีการอะไรเปลี่ยนสีขนของมันก็ตาม แต่จะบอกว่าข้าดูผิดอย่างนั้นหรือ?”นี่เป็นสัตว์เลี้ยงของเขา!และเป็นอาวุธสังหารที่มีเฉพาะในจวนรัชทายาทของเขา“เอ๋?” ฉู่เชียนหลีเอียงศีรษะ ยิ่งฉงนสงสัยแล้ว “องค์รัชทายาท ท่านเลิกล้อเล่นได้แล้ว มันเป็นแค่หมาป่าตัวใหญ่ธรรมดาตัวหนึ่ง”แววตาของเฟิงเจิ้งอวี้ขรึมลงฉับพลัน มีกลิ่นอายอันชั่วร้ายแผ่ซ่านรอบตัวเมื่อเขาพูดดีก็ควรจะยอมรับผิดทัน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเจ้าดำน้อย!”เมื่อเขี้ยวที่แหลมคมของหมาป่าขาวกำลังจะขย้ำรัชทายาท ฉู่เชียนหลีตะคอกห้ามมันไว้อย่างมือว่องตาไวมันดึงปากของมันกลับมาอย่างเชื่อฟัง แต่กลับจ้องรัชทายาทอย่างดุร้าย มีประกายสีเขียวเข้มฉายอยู่ในแววตา ไม่ว่าสั่งใครก็ไม่กล้าเข้าใกล้ส่งเดชเฟิงเจิ้งอวี้ตกใจเล็กน้อยเมื่อก่อน จวี้เฟิงกินคน…เขี้ยวที่แหลมคมทั้งปากของมัน สามารถฉีกกระชากและบดกระดูกของเหยื่อทุกชนิดตอนที่มันอยากกินเขาอย่างดุร้าย ความกระหายเลือด ความดุร้าย และการฆ่าในชั่วพริบตานั้น ทำให้เขาแอบตกใจเล็กน้อยความน่าเกรงขามนี่ มันคือจวี้เฟิงแน่นอน!“องค์รัชทายาท ต้องขอโทษจริงๆ เจ้าดำน้อยของข้านิสัยไม่ค่อยดี และยิ่งไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้” ฉู่เชียนหลีจูงหมาป่าขาวไปไว้ด้านหลัง จากนั้นขอโทษรัชทายาทด้วยรอยยิ้มจางๆสายตาของเฟิงเจิ้งอวี้จ้องเขม็งหมาป่าขาวตัวนั้นจวี้เฟิง!ของเขา!ถูกแย่ง!“พระชายาอ๋องเฉิน เจ้าต้องรู้ไว้นะ ทั่วหล้าไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นความลับ เรื่องทุกอย่างที่เจ้าทำ ล้วนสามารถตรวจสอบ”คำพูดนี้บ่งชี้ไปที่เรื่องฉู่เชียนหลีแย่งจวี้เฟิงจุดจบของการล่วงเกินเขา ทางที่ดีนางอย่าได้ลองดีกว
“ในเมื่อยากก็ช่างเถอะ”ฉู่เชียนหลีพูดจบก็ไปแล้วเฟิงเย่เสวียน “?”ข้ายังพูดไม่ทันจบเลย!นอกเสียจากเจ้าจูบข้าหนึ่งที!ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว อายุสิบห้าปีแล้ว จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่สักนิด หนักแน่นสักหน่อยเหมือนเขาไม่ได้เลยหรือ จะฟังเขาพูดให้จบก่อนไม่ได้เลยหรือ?เรือนข้าง“พระชายา…” เยว่เอ๋อร์เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ทว่าเมื่อเห็นหมาป่าขาวที่เดินตามหลังฉู่เชียนหลี กลับกลัวจนหดคอเล็กน้อยอย่างไรก็ตามหมาป่าตัวนี้ใหญ่เกินไป!สูงหนึ่งเมตรกว่า ขาสี่ข้างล่ำสัน ขนเงา กรงเล็บแหลมคม สายตาเฉียบขาด มีน้ำหนักมากถึงสามร้อยกว่าชั่ง แค่ยืนอยู่ตรงนั้น ขอแค่เป็นมนุษย์ใครก็กลัว“เยว่เอ๋อร์ เก็บกวาดห้องข้างๆ เสียหน่อย ให้เจ้าดำน้อยอยู่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าดำน้อยก็คือส่วนหนึ่งของครอบครัวเราแล้ว”เยว่เอ๋อร์อ้าปาก“หา! มัน มัน…หมา…หมา…หมาป่าตัวนี้…”ฉู่เชียนหลีตบไหล่เยว่เอ๋อร์ “ไม่ต้องกลัว มันเชื่องมาก”“เจ้าดำน้อย ทักทาย”เมื่อสิ้นเสียง เจ้าดำน้อยขยับหัวขนาดใหญ่ของมันเข้าไปในอ้อมแขนของเยว่เอ๋อร์ ทำเอาเยว่เอ๋อร์ตกใจจนยืนไม่มั่นคง ล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นเจ้าดำน้อยขมวดคิ้วที่ไม่มีอยู่จริง
“หนาว?”จิ่งอี้ตะลึงงันก่อน ทันใดนั้นเหมือนนึกถึงอะไรบางอย่าง รีบก้าวไปข้างหน้า จับข้อมือของฉู่เชียนหลี“คุณหนู ล่วงเกินแล้ว”เมื่อสิ้นเสียง ก็ตรวจชีพจรหลังจากนั้นไม่กี่วินาที ก็ได้รับคำตอบ“เป็นเคล็ดวิชาเหมันต์”ฉู่เชียนหลีได้ยินแล้วตะลึงงันเล็กน้อย เคล็ดวิชาเหมันต์…ในสมอง นึกถึงบทสนทนาที่เจ้าสำนักคนเก่าพูดกับนางทันที‘ข้าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ตอนนี้ข้าจะถ่ายทอดพลังยุทธ์ทั้งชีวิตและเคล็ดวิชาเหมันต์ให้เจ้า…’ตอนนั้น ร่างกายของนางไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ จึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจนางถามอย่างประหลาดใจ “จิ่งอี้ ความหมายของเจ้าคือ…ใน ในร่างกายข้ามีวรยุทธ์เลิศล้ำอยู่?”สวรรค์!เหมือนจอมยุทธหญิงในโทรทัศน์ สามารถปลิดชีพในสามกระบวนท่า หนึ่งสู้สิบ เหยียบหิมะไร้ร่องรอย วรยุทธ์เลิศล้ำเหล่านี้ เป็นสิ่งที่นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดจิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าสำนักคนเก่าอุทิศตนให้กับการฝึกฝนวรยุทธ์ทั้งชีวิต กำลังภายในของเขาบริสุทธิ์และล้ำลึกมาก มากกว่าคนทั่วไปไม่ต่ำกว่าสามเท่า”“ในเมื่อถ่ายทอดให้ท่าน เช่นนั้นก็อยู่ในตันเถียงของท่าน เพียงแต่ท่านยังไม่ได้เรียนรู้วิธีใช้ม
ในเวลาเดียวกัน จวนอันโอ่อ่าอีกหลังหนึ่งภายในห้องโถง เสียงตวาดด้วยความโกรธดังขึ้น“นางแพศยา เจ้าจะลวกข้าให้ตายหรือ!”“รัชทายาทโปรดไว้ชีวิต รัชทายาทโปรดไว้ชีวิต!”สาวใช้คนหนึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยความตื่นตระหนก กลัวจนโขกศีรษะร้องขอชีวิตอย่างต่อเนื่อง ข้างเท้ามีถ้วยชาตกแตกหนึ่งใบ น้ำชาสาดกระจายทั่วพื้น ยังคงมีไอร้อนลอยขึ้น“บ่าวไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ องค์รัชทายาท…อ๊า!”พลันถูกถีบจนล้มลงพื้นเฟิงเจิ้งอวี้โกรธมาก เมื่อตอนกลางวันเขาได้รับความขุ่นเคืองที่จวนอ๋องเฉิน กลับจวนก็ถูกสาวใช้ซุ่มซ่ามคนนี้ชนอีก เริ่มเกิดความคิดฆ่าคนแล้วเมื่อหันไปมองที่นั่งข้างๆ อัครมหาเสนาบดีกงนั่งอยู่ตรงนั้น สองมือซุกอยู่ในแขนเสื้อ สีหน้าสงบเรียบเฉย ราวกับพระพุทธรูปองค์หนึ่ง“รัชทายาทใจเย็นๆ”คำพูดที่เชื่องช้า น้ำเสียงที่ผ่อนคลาย ให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็นเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับความหงุดหงิดของรัชทายาท เขาแลดูใจเย็นมากเฟิงเจิ้งอวี้สะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชา “ใต้เท้ากงจะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร?”สีหน้าเย็นชามาก น้ำเสียงยิ่งเยือกเย็น “ตอนนี้ อ๋องเฉินมาโอ้อวดบารมีถึงตรงหน้าข้าแล้ว ท่านจะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร?”
จิ่งอี้อ้าปาก คำพูดมาถึงปลายลิ้น เสียงคำนับของเยว่เอ๋อร์ดังมาจากนอกประตู“คำนับท่านอ๋อง”เฟิงเย่เสวียนมาแล้วจิ่งอี้กลืนคำพูดที่อยู่ปลายลิ้นกลับเข้าไป ประสานมือคำนับทำท่าบอกลาฉู่เชียนหลี ร่างกายสั่นไหวฉับพลัน กระโดดออกไปจากหน้าต่างพริบตาที่ร่างเงาหายไป เฟิงเย่เสวียนในชุดผาวสีหมึกผลักประตูเข้ามา“เชียนหลี”สายตาของฉู่เชียนหลีละจากหน้าต่างไปที่เฟิงเย่เสวียน มองเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขา ความรู้สึกแรก :เขาไม่ได้มาดีแน่เป็นอย่างที่คิด…เขาเอ่ยปาก “เยว่เอ๋อร์บอกว่าเจ้าพูดว่าหนาวตลอด ร่างกายของข้าอุ่น ตั้งใจมานอนกับเจ้าโดยเฉพาะ”“?”พูดจาฟังดูดีมาก!เห็นได้ชัดว่าอยากนอนกับนาง!ฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะ พลางบีบขาที่ด้านชาทั้งสองข้าง ขยับลงจากเตียงอย่างลำบากเล็กน้อย “ข้าไม่หนาว”“เยว่เอ๋อร์ไม่พูดโกหก เจ้าหนาว” เฟิงเย่เสวียนใช้สายตาที่ ‘ข้ามองออกหมดแล้ว เจ้าไม่ต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง’ มองนาง“ข้าไม่หนาวจริงๆ”เฟิงเย่เสวียนเดินเข้ามา “เจ้าหนาว”“ข้าไม่…โอ๊ย!” ขาสองข้างของฉู่เชียนหลีเพิ่งลงจากเตียง ก็ชาจนยืนไม่ไหว ล้มเข้าไปในอ้อมแขนของเฟิงเย่เสวียนเมื่อเงยหน้าขึ้น ก็สบตาเข้ากับด
ในที่สุดเจ้าก็พูดความในใจของเจ้าแล้ว!คอยดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!เฟิงเย่เสวียนเผยอริมฝีปากบางขึ้นเล็กน้อย เจตนาที่ชั่วร้ายแวบผ่านแล้วหายวับไป จากนั้นจึงแสร้งพยักหน้าอย่างเห็นด้วย“อ๋องหลีทำงานสุขุมรอบคอบ เป็นคนถ่อมตน ขยันมั่นคง นับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วเอ๋?มีหวังแฮะ“แต่ว่า…” เฟิงเย่เสวียนเปลี่ยนประเด็น “การลาดตระเวนทางใต้เป็นภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากฝ่าบาท การเรียกใช้คนก็ต้องผ่านความเห็นชอบของฝ่าบาท หากข้าช่วยอ๋องหลี เกรงว่าเหล่าขุนนางในราชสำนักต้องพยายามปั้นน้ำเป็นตัว หากบานปลายจนเกิดปัญหา…”แววตาฉู่เชียนหลีขรึมลงเล็กน้อยมันก็จริงปัจจุบัน แม้ฮ่องเต้ได้แต่งตั้งรัชทายาทแล้ว แต่ยังอยู่ในวัยที่แข็งแรง ไม่มีวี่แววจะสืบทอดราชบัลลังก์ บรรดาองค์ชายไม่เต็มใจที่จะเป็นแค่ท่านอ๋อง ต่างก็อยากลองพยายามปีนขึ้นที่สูง เหล่าขุนนางในราชสำนักก็แบ่งพรรคแบ่งพวกเช่นกัน ต่างก็สนับสนุนองค์ชายของตนเองหากอ๋องเฉินกับอ๋องหลีใกล้ชิดกันเกินไป เมื่อถูกเผยแพร่ออกไป สามารถทำให้ผู้คนคิดมากได้อย่างง่ายดายนางอันให้โจทย์ยากกับนางจริงๆฉู่เชียนหลีกุมหน้าผาก นางไม่อยากยุ่งเรื่
อันธพาลเจ็บจนกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด “อ๊ะๆ!”ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็โดนถีบจนไปกลิ้งอยู่บนพื้น รองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนหน้าอก หนักจนทำให้เขาหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมา“พู่!”เขากอดต้นขาของอวิ๋นอิง อยากดิ้นให้หลุด แต่หาของอวิ๋นอิงกดทับอยู่บนร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า และเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ถูกตอกตะปูอยู่บนเขียง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเจอผีแล้ว!ทั้งที่นางผอมเช่นนี้ เหตุใดจึงมีแรงมากเช่นนี้?ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?ชาวบ้านก็ตะลึงเช่นกันอวิ๋นอิงอุ้มลูกสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ ก้มลง ยกฝ่ามืออีกข้าง เหวี่ยงไปที่ใบหน้าของอันธพาลโดยตรง“ข้าสั่งให้เจ้าเก็บ”เพียะ!“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”เพียะ!“หูหนวกหรือ?”เพียะ!หนึ่งประโยค หนึ่งฝ่ามือ ตบจนอันธพาลหันซ้ายหันขวา มุมปากแตกมีเลือดไหล หูอื้อ สะบักสะบอมเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ไม่หลงเหลือความฮึกเหิมของก่อนหน้านี้เลย“ลูกพี่!”ลิ่วล้อสามคนคว้าโต๊ะเก้าอี้และท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ฟาดไปทางอวิ๋นอิงอย่างแรงอวิ๋นอิงกระโดนหมุนตัวเตะพวกเขาสามคนจนลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร โดยไม่หั
ตงหลิงเจียงหนาน ทำเนียบสามเดือนที่พระชายาจากไป อ๋องเฉินเอาแต่เก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หานเฟิงต้องรับผิดชอบงานแทนทุกอย่าง เมื่อนานวันเข้า โลกภายนอกต่างกำลังคาดเดา จิตใจของอ๋องเฉินได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เกรงว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วช่วงนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้ก็ดีขึ้นแล้วอาการบาดเจ็บทางกระดูกหรือเส้นเอ็น ต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันในที่สุดกระดูกซี่โครงที่หักสองซี่ก็หายดีแล้ว สามารถขี่ม้าได้แล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่าจะนำทัพกลับแคว้นซีอวี้ทันทีแต่ก่อนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ“เหตุใดไม่เจอแม่นางอวิ๋นอิงเลย?”จ้านหูจริงจังขึ้นมาทันที เขาตอบ“องค์ชายใหญ่ ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้!”“ไม่ต้อง”หลังจากปฏิเสธอย่างเฉยเมย ปีนขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปคนเดียวแล้วจ้านหู “?”หมายความว่าอย่างไร?ตอนที่องค์ชายใหญ่หมดสติ แม้อวิ๋นอิงบอกว่าไม่สนใจ แต่แอบมาเยี่ยมองค์ชายใหญ่ตอนดึกดื่นเวลาที่ไม่มีคนองค์ชายใหญ่ก็อีกคน ทั้งที่คิดถึงอวิ๋นอิง แต่ไม่ยอมรับในใจของพวกเขาสองคนล้วนมีอีกฝ่าย ลูกสาวก็อายุเกือบครึ่งขวบแล้ว เหตุใดไม่ลองเปิดใจสักนิดแล้วอยู่ด้วยกันเลย
คืนแรกที่มาถึงต่างโลก ฉู่เชียนหลีฝันในความฝัน นางอยู่บนสนามรบ สู้จนตัวตาย เลือดไหลเป็นแม่น้ำ น่าสลดใจนัก…ในความฝัน นางได้ต่อสู้ร่วมกับชายคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่วมเป็นร่วมตาย และยังมีเสียงที่นุ่มนิ่มของเด็ก เรียก ‘ท่านแม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน ราวกับนางได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ หัวใจเจ็บปวด และพยายามอธิบายสุดชีวิต แต่พวกคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ครอบครัว’ ไม่เชื่อนาง และยังบีบคั้นนางสู่เส้นทางที่สิ้นหวังในความฝัน…มีคนกำลังเรียกนาง‘เชียนหลี…เชียนหลี…’ฉึก!ฉู่เชียนหลีลืมตาฉับพลัน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอากาศ สงบมากนางรู้สึกเวียนศีรษะ และแน่นหน้าอกราวกับนางอยู่ในความฝันอันยาวนานจริงๆนางได้รับความอยุติธรรมนางถูกคนในครอบครัวฆ่าตายแต่เหตุใดนางจำผู้ชายที่เรียกนาง และภาพที่เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ได้เลย“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”เมื่ออ้ายอ้ายได้ยินเสียง ถือกะละมังน้ำอุ่นกับเครื่องใช้เข้ามาปรนนิบัติฉู่เชียนหลีนวดขมับ อยู่ในอาการเหม่อลอย แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงขยับ ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง สวมรองเท้
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบฝนหมึกอย่างเชื่อฟังมองดูองค์หญิงรีบหยิบพู่กัน เขียนอะไรบางอย่าง ท่าทางที่รีบร้อนนั่น เมื่อก่อนเวลาที่นังเป็นห่วงคุณชายเซิ่น ยังไม่รีบร้อนเช่นนี้เลยองค์หญิงกระโดดสระน้ำ หมดสติไปสามวัน หลังจากฟื้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย?นิสัยเปลี่ยนไปน้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่เมื่อลองตั้งใจมอง องค์หญิงยังคงเป็นองค์หญิง ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยฉู่เชียนหลีเขียนอย่างรวดเร็ว…อ๋องเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยู่แคว้นหนานยวน…พลางเขียน พลางกล่าวอย่างรีบร้อน “รีบไปหาคน ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้อ๋องเฉินที่ตงหลิงเจียงหนาน”นางอยากบอกความจริงกับเฟิงเย่เสวียน ต่อให้ตนลืมแล้ว แต่เฟิงเย่เสวียนจำนางได้เขาจะต้องมาหานางแน่นอนไม่ช้าก็เร็วสักวัน พวกเขาครอบครัวสี่คนจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา“อ๋องเฉินแห่งตงหลิงเจียงหนาน?”สาวใช้เกาศีรษะด้วยความสงสัย “องค์หญิง ท่านส่งจดหมายให้อ๋องเฉินทำไม? ท่านรู้จักอ๋องเฉินตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรีบกล่าว“อธิบายกับเจ้าไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับอ๋องเฉินไม่ธรรมดา…อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินตงหลิง?”เงยหน้าฉับพลัน“ข้ารู้จักอ๋องเฉ
ทุกคน “...”สีหน้าฮ่องเต้หนานยวนดูไม่ดีนัก เซิ่ยซือเฉินเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เพื่อบัณฑิตคนหนึ่ง ต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้เลย ต้องตื่นเต้นเช่นนี้เลย?ในฐานะองค์หญิง ไม่ควรมองให้ไกลกว่านี้หน่อยหรือ?เพื่อป้องกันจวินลั่วยวนทำร้ายตัวเอง เขาออกคำสั่ง มัดมือและเท้าของนางโดยตรงจวินลั่วยวนขยับไม่ได้แล้วเห็นท่าทางที่จะยิ้มไม่ยิ้มของฉู่เชียนหลี และยังเลิกคิ้วอย่างยั่วยุ นางโมโหจนแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ไปจากตำหนักองค์หญิงฉู่เชียนหลีกับหลิงอี้ซิงเดินเคียงข้างกันจากไป เมื่ออารมณ์ดี จังหวะการเดินก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเบาๆฮัมไปฮัมมา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงอี้ซิงเป็นผู้มีจิตใจเมตตา อุทิศตนให้กับความดีและคุณธรรมหยุดฝีเท้าหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านน่าจะเห็นกระมัง ว่าข้าจงใจรังแกจวินลั่วยวน?”หลิงอี้ซิงเดินตามปกติ สายตามองไปข้างหน้า พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน ตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว“อืม”“ท่านไม่รู้สึกว่าข้านิสัยไม่ดีหรือ?”เขาหยุดเดินหันมามองนาง กล่าวอย่างจริงจัง “ที่เจ้ารังแกนาง นั่นก็ต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินเจ้าก่อนแน่นอน ล้วนเป็นความผิดของนาง”เขาไ
“ยวนเอ๋อร์! ยวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้หนานยวนร้อนใจจนหน้าถอดสี “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ยวนเอ๋อร์เสียเลือดมากเกินไป หมดสติไปแล้ว!”จวินลั่วยวนที่ ‘เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติ’ “...”เจ้าน่ะสิที่เสียเลือดมากเกินไปเจ้าเสียเลือดมากเกินไปทั้งครอบครัว!หมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากทำแผลให้จวินลั่วยวนเสร็จ ถอนหายใจด้วยความกังวล “สามเดือนแล้ว ในที่สุดเอ็นขององค์หญิงก็เชื่อมต่อกัน คิดไม่ถึงว่าขาดอีกแล้ว ความพยายามในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า” ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสามเดือน เปิดบาดแผล บำรุงเอ็นทุกวันเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำนี้ เบ้าตาแดงฉับพลัน“ล้วนเป็นความผิดของข้า…”นางดึงชายเสื้อของหลิงอี้ซิง กล่าวเสียงสะอึก“ท่านพี่ ข้ามันไม่ดี ต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณชายเซิ่นแน่ องค์โกรธข้า ไม่ชอบข้า จึงฟาดมือของตัวเองใส่เสา เพื่อเป็นการแสดงความรังเกียจต่อข้า”“ข้าทำร้ายนาง ฮือๆ…”หลิงอี้ซิงรักน้องสาว ทุกคนในแคว้นหนานยวนรู้เรื่องนี้แล้วฮ่องเต้หนานยวนกล่าวโทษนางได้อย่างไร?กลับกัน เขายังต้องขอร้องหลิงอี้ซิงทักษะการทำนายของหลิงอี้ซิงมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้ฟ้า ตลอดหลายปีที่เขานั่งตำแหน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง จวินลั่วยวนนอนหลับแล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน หน้าซีดซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง“เหตุใดข้อมือของนางยังมีเลือด?”สามเดือนแล้ว แผลยังไม่หาย?นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตอบ“หมอหลวงบอกว่า จะใช้ยาพิเศษรักษาเอ็นมือและเท้าที่ขาดขององค์หญิง จำเป็นต้องเปิดแผล ขยับเอ็นที่ขาดไปรวมกันทุกวัน จนกระทั่งเชื่อมต่อกัน”“ฮืม?”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ก็เท่ากับว่า จวินลั่วยวนต้องทนกับความเจ็บปวดที่ใช้มีดเปิดปากแผลทุกวันติดต่อกันสามเดือนเต็มๆ น่าสังเวชน่าจะเจ็บมากกระมัง?นางค่อยๆ นั่งลง จับข้อมือของจวินลั่วยวนเบาๆ มองผ้าพันแผลที่ถูกพันห้าหกรอบอย่างครุ่นคิดทันใดนั้นออกแรงกดที่นิ้ว“ซี้ด…!”จวินลั่วยวนเจ็บจนตื่น ลืมตาทันทีฉู่เชียนหลีรีบปล่อยมือ “โอ๊ย…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจแตะตัวท่าน ดูท่านเจ็บมากเลยนะ ขอโทษจริงๆ”“!”หลินเหยี่ยมาอยู่ในตำหนักของนางได้อย่างไร?นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้ที่สุด!อาศัยที่พี่ชายของตัวเองเป็นราชครู แสร้งทำเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ทำแต่ความดีทุกวัน มีแต่คนบอกว่าองค์หญ
เซิ่นสือเฉิน “?”เหตุใดวันนี้รู้สึกว่าหลิงเหยี่ยแปลกๆ?เมื่อก่อนนางชอบเขามากเลยไม่ใช่หรือ? เวลาที่เขาอ่านหนังสือ นางชอบมาอยู่ข้างๆ ฝนหมึกพัดลมให้เขา เวลาที่เขาเขียนหนังสือ นางชอบแอบที่นอกหน้าต่าง จับจิ้งหรีดเล่น เวลาที่เขางีบหลับ นางมักจะชงชาหิมะชั้นดีมาให้เขานางยังบอกว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเหตุใดแค่วันเดียว ก็ปล่อยวางได้แล้ว?“องค์หญิงหลิง ข้าขอโทษ” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดที่จริงเขาก็ชอบหลิงเหยี่ยเช่นกัน แต่องค์หญิงยวนบอกเขาว่าหลิงเหยี่ยนิสัยไม่ดี ชอบรังแกคนรับใช้ หาเรื่องชาวบ้าน ใส่ร้ายโยนความผิดให้ผู้อื่นด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ และทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายเขาเป็นคนเรียนหนังสือ นิสัยซื่อตรง ไม่สามารถยอมรับคนที่จิตใจอำมหิตอย่างหลิงเหยี่ยเมื่อเปรียบเทียบกัน เขาชอบจวินลั่วยวนที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และร่าเริงมากกว่า“เมื่อก่อนท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ช่วยข้าหาอาจารย์ ใช้เส้นสาย ทำให้ข้าสอบติดขุนนาง…บุญคุณส่วนนี้ ข้า ข้าทำได้เพียงตอบแทนท่านชาติหน้าแล้ว…”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”“ได้ยินมาว่าองค์หญิงยวนได้รับบาดเจ็บ พวกเราเข้าวังไปดูนางกันเ
องค์หญิง?คุณชายเซิ่น?ฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความทรงจำใดๆ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก สับสนและงงงวยเล็กน้อยยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงและเสียงต่อต้านดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าหลิง! ใต้เท้าหลิง ต่อให้ท่านบีบคั้นข้าจนตาย ข้าก็ไม่แต่งงานกับนาง!”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจข้ามีเพียงองค์หญิงยวนเอ๋อร์เท่านั้น!”ยวนเอ๋อร์?องค์หญิง?ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองไป เห็นชายหนุ่มสวมชุดเพ้าสีขาวและที่ครอบผมหยก กำลังลากผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเหมือนคนเรียนหนังสือเข้ามานางตระหนักถึงบางอย่าง รีบดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาถามเบาๆ“ที่นี่คือแคว้นหนานยวน?”สาวใช้ “?”องค์หญิงเป็นอะไรไป?เหตุใดถามคำถามเช่นนี้?“องค์หญิง ท่าน…”“อย่าพูดไร้สาระ ตอบข้า!”สาวใช้ตกใจ รีบกล่าว “ท่านคือหลิงเหยี่ย องค์หญิงต่างแซ่ของแคว้นหนานยวน ใต้เท้าคือมหาราชครูของแคว้นหนวนยวน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เพราะใต้เท้าชำนาญการทำนาย เคยช่วยแคว้นสามครั้ง สร้างคุณประโยชน์มากมาย ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต่างแซ่…”คำพูดที่เหลือ ฉู่เชียนหลีมองข้ามโดยตรงสิ่งเดียวที่นางคิดคือ นางถูกส่งมาเป็นองค์หญิงต่างแซ่ อีกท