“ในเมื่อยากก็ช่างเถอะ”ฉู่เชียนหลีพูดจบก็ไปแล้วเฟิงเย่เสวียน “?”ข้ายังพูดไม่ทันจบเลย!นอกเสียจากเจ้าจูบข้าหนึ่งที!ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว อายุสิบห้าปีแล้ว จะทำตัวเป็นผู้ใหญ่สักนิด หนักแน่นสักหน่อยเหมือนเขาไม่ได้เลยหรือ จะฟังเขาพูดให้จบก่อนไม่ได้เลยหรือ?เรือนข้าง“พระชายา…” เยว่เอ๋อร์เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ทว่าเมื่อเห็นหมาป่าขาวที่เดินตามหลังฉู่เชียนหลี กลับกลัวจนหดคอเล็กน้อยอย่างไรก็ตามหมาป่าตัวนี้ใหญ่เกินไป!สูงหนึ่งเมตรกว่า ขาสี่ข้างล่ำสัน ขนเงา กรงเล็บแหลมคม สายตาเฉียบขาด มีน้ำหนักมากถึงสามร้อยกว่าชั่ง แค่ยืนอยู่ตรงนั้น ขอแค่เป็นมนุษย์ใครก็กลัว“เยว่เอ๋อร์ เก็บกวาดห้องข้างๆ เสียหน่อย ให้เจ้าดำน้อยอยู่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าดำน้อยก็คือส่วนหนึ่งของครอบครัวเราแล้ว”เยว่เอ๋อร์อ้าปาก“หา! มัน มัน…หมา…หมา…หมาป่าตัวนี้…”ฉู่เชียนหลีตบไหล่เยว่เอ๋อร์ “ไม่ต้องกลัว มันเชื่องมาก”“เจ้าดำน้อย ทักทาย”เมื่อสิ้นเสียง เจ้าดำน้อยขยับหัวขนาดใหญ่ของมันเข้าไปในอ้อมแขนของเยว่เอ๋อร์ ทำเอาเยว่เอ๋อร์ตกใจจนยืนไม่มั่นคง ล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นเจ้าดำน้อยขมวดคิ้วที่ไม่มีอยู่จริง
“หนาว?”จิ่งอี้ตะลึงงันก่อน ทันใดนั้นเหมือนนึกถึงอะไรบางอย่าง รีบก้าวไปข้างหน้า จับข้อมือของฉู่เชียนหลี“คุณหนู ล่วงเกินแล้ว”เมื่อสิ้นเสียง ก็ตรวจชีพจรหลังจากนั้นไม่กี่วินาที ก็ได้รับคำตอบ“เป็นเคล็ดวิชาเหมันต์”ฉู่เชียนหลีได้ยินแล้วตะลึงงันเล็กน้อย เคล็ดวิชาเหมันต์…ในสมอง นึกถึงบทสนทนาที่เจ้าสำนักคนเก่าพูดกับนางทันที‘ข้าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ตอนนี้ข้าจะถ่ายทอดพลังยุทธ์ทั้งชีวิตและเคล็ดวิชาเหมันต์ให้เจ้า…’ตอนนั้น ร่างกายของนางไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ จึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจนางถามอย่างประหลาดใจ “จิ่งอี้ ความหมายของเจ้าคือ…ใน ในร่างกายข้ามีวรยุทธ์เลิศล้ำอยู่?”สวรรค์!เหมือนจอมยุทธหญิงในโทรทัศน์ สามารถปลิดชีพในสามกระบวนท่า หนึ่งสู้สิบ เหยียบหิมะไร้ร่องรอย วรยุทธ์เลิศล้ำเหล่านี้ เป็นสิ่งที่นางไม่กล้าแม้แต่จะคิดจิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าสำนักคนเก่าอุทิศตนให้กับการฝึกฝนวรยุทธ์ทั้งชีวิต กำลังภายในของเขาบริสุทธิ์และล้ำลึกมาก มากกว่าคนทั่วไปไม่ต่ำกว่าสามเท่า”“ในเมื่อถ่ายทอดให้ท่าน เช่นนั้นก็อยู่ในตันเถียงของท่าน เพียงแต่ท่านยังไม่ได้เรียนรู้วิธีใช้ม
ในเวลาเดียวกัน จวนอันโอ่อ่าอีกหลังหนึ่งภายในห้องโถง เสียงตวาดด้วยความโกรธดังขึ้น“นางแพศยา เจ้าจะลวกข้าให้ตายหรือ!”“รัชทายาทโปรดไว้ชีวิต รัชทายาทโปรดไว้ชีวิต!”สาวใช้คนหนึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยความตื่นตระหนก กลัวจนโขกศีรษะร้องขอชีวิตอย่างต่อเนื่อง ข้างเท้ามีถ้วยชาตกแตกหนึ่งใบ น้ำชาสาดกระจายทั่วพื้น ยังคงมีไอร้อนลอยขึ้น“บ่าวไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ องค์รัชทายาท…อ๊า!”พลันถูกถีบจนล้มลงพื้นเฟิงเจิ้งอวี้โกรธมาก เมื่อตอนกลางวันเขาได้รับความขุ่นเคืองที่จวนอ๋องเฉิน กลับจวนก็ถูกสาวใช้ซุ่มซ่ามคนนี้ชนอีก เริ่มเกิดความคิดฆ่าคนแล้วเมื่อหันไปมองที่นั่งข้างๆ อัครมหาเสนาบดีกงนั่งอยู่ตรงนั้น สองมือซุกอยู่ในแขนเสื้อ สีหน้าสงบเรียบเฉย ราวกับพระพุทธรูปองค์หนึ่ง“รัชทายาทใจเย็นๆ”คำพูดที่เชื่องช้า น้ำเสียงที่ผ่อนคลาย ให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็นเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับความหงุดหงิดของรัชทายาท เขาแลดูใจเย็นมากเฟิงเจิ้งอวี้สะบัดแขนเสื้ออย่างเย็นชา “ใต้เท้ากงจะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร?”สีหน้าเย็นชามาก น้ำเสียงยิ่งเยือกเย็น “ตอนนี้ อ๋องเฉินมาโอ้อวดบารมีถึงตรงหน้าข้าแล้ว ท่านจะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร?”
จิ่งอี้อ้าปาก คำพูดมาถึงปลายลิ้น เสียงคำนับของเยว่เอ๋อร์ดังมาจากนอกประตู“คำนับท่านอ๋อง”เฟิงเย่เสวียนมาแล้วจิ่งอี้กลืนคำพูดที่อยู่ปลายลิ้นกลับเข้าไป ประสานมือคำนับทำท่าบอกลาฉู่เชียนหลี ร่างกายสั่นไหวฉับพลัน กระโดดออกไปจากหน้าต่างพริบตาที่ร่างเงาหายไป เฟิงเย่เสวียนในชุดผาวสีหมึกผลักประตูเข้ามา“เชียนหลี”สายตาของฉู่เชียนหลีละจากหน้าต่างไปที่เฟิงเย่เสวียน มองเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขา ความรู้สึกแรก :เขาไม่ได้มาดีแน่เป็นอย่างที่คิด…เขาเอ่ยปาก “เยว่เอ๋อร์บอกว่าเจ้าพูดว่าหนาวตลอด ร่างกายของข้าอุ่น ตั้งใจมานอนกับเจ้าโดยเฉพาะ”“?”พูดจาฟังดูดีมาก!เห็นได้ชัดว่าอยากนอนกับนาง!ฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะ พลางบีบขาที่ด้านชาทั้งสองข้าง ขยับลงจากเตียงอย่างลำบากเล็กน้อย “ข้าไม่หนาว”“เยว่เอ๋อร์ไม่พูดโกหก เจ้าหนาว” เฟิงเย่เสวียนใช้สายตาที่ ‘ข้ามองออกหมดแล้ว เจ้าไม่ต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง’ มองนาง“ข้าไม่หนาวจริงๆ”เฟิงเย่เสวียนเดินเข้ามา “เจ้าหนาว”“ข้าไม่…โอ๊ย!” ขาสองข้างของฉู่เชียนหลีเพิ่งลงจากเตียง ก็ชาจนยืนไม่ไหว ล้มเข้าไปในอ้อมแขนของเฟิงเย่เสวียนเมื่อเงยหน้าขึ้น ก็สบตาเข้ากับด
ในที่สุดเจ้าก็พูดความในใจของเจ้าแล้ว!คอยดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!เฟิงเย่เสวียนเผยอริมฝีปากบางขึ้นเล็กน้อย เจตนาที่ชั่วร้ายแวบผ่านแล้วหายวับไป จากนั้นจึงแสร้งพยักหน้าอย่างเห็นด้วย“อ๋องหลีทำงานสุขุมรอบคอบ เป็นคนถ่อมตน ขยันมั่นคง นับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วเอ๋?มีหวังแฮะ“แต่ว่า…” เฟิงเย่เสวียนเปลี่ยนประเด็น “การลาดตระเวนทางใต้เป็นภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากฝ่าบาท การเรียกใช้คนก็ต้องผ่านความเห็นชอบของฝ่าบาท หากข้าช่วยอ๋องหลี เกรงว่าเหล่าขุนนางในราชสำนักต้องพยายามปั้นน้ำเป็นตัว หากบานปลายจนเกิดปัญหา…”แววตาฉู่เชียนหลีขรึมลงเล็กน้อยมันก็จริงปัจจุบัน แม้ฮ่องเต้ได้แต่งตั้งรัชทายาทแล้ว แต่ยังอยู่ในวัยที่แข็งแรง ไม่มีวี่แววจะสืบทอดราชบัลลังก์ บรรดาองค์ชายไม่เต็มใจที่จะเป็นแค่ท่านอ๋อง ต่างก็อยากลองพยายามปีนขึ้นที่สูง เหล่าขุนนางในราชสำนักก็แบ่งพรรคแบ่งพวกเช่นกัน ต่างก็สนับสนุนองค์ชายของตนเองหากอ๋องเฉินกับอ๋องหลีใกล้ชิดกันเกินไป เมื่อถูกเผยแพร่ออกไป สามารถทำให้ผู้คนคิดมากได้อย่างง่ายดายนางอันให้โจทย์ยากกับนางจริงๆฉู่เชียนหลีกุมหน้าผาก นางไม่อยากยุ่งเรื่
ด้วยเหตุนี้ เฟิงเย่เสวียนทั้งขอโทษ ทั้งยอมรับผิด ง้อฉู่เชียนหลีด้วยความอดทนเป็นเวลาสองเค่อเต็มๆ จึงจะกลับไประหว่างทางกลับ เอาแต่ลูบริมฝีปากบางอย่างเหม่อลอย พยายามหวนนึกถึงแมลงปอแตะผิวน้ำเมื่อครู่เชียนหลีจูบเขาจริงหรือ?จูบโดนจริงหรือ?จริงหรือ?เอี๊ยด…สายตาส่งแผ่นหลังที่เดินจากไปไกลของท่านอ๋อง เยว่เอ๋อร์ปิดประตู จึงจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่“คิๆ!”ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ!ตลกจังเลย!เมื่อครู่พระชายาใช้นิ้วมือแตะริมฝีปากของท่านอ๋อง แสร้งทำเป็นจูบ หลังจากถูกตั้งคำถามยังโกรธอีก ท่าทางที่หลอกง่ายของท่านอ๋องน่าขำจริงๆลักษณะที่สวยงามที่สุดของความรัก บางทีอาจจะเป็นแค่การหยอกล้อ หัวเราะ กำเริบเสิบสาน หรือตามใจกระมังในที่มืดนอกหน้าต่าง มีร่างเงาสีดำสายหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เริ่มจนจบคือจิ่งอี้เขาไม่ได้จากไป จ้องมองชายหญิงที่อยู่ในห้องนอนด้วยสายตาลึกซึ้ง ภาพที่อยู่ด้วยกัน ปรองดอง หยอกล้อ ตามใจ ปรนเปรอ…แววตาของเขากลมกลืนเข้ากับยามราตรี เก็บเอาภาพเหล่านั้นเข้าไปอยู่ในส่วนลึกของแววตา กลายเป็นสีดำที่มืดสนิท และยิ่งมองไม่ออกว่าเวลานี้กำลังโกรธหรือดีใจก่อนหน้านี้คุณหนู
ขบวนที่เรียบง่ายเป็นพิเศษออกจากเมืองแล้ว คนทั้งกลุ่มออกเดินทางด้วยชุดที่เรียบง่ายไม่รีบร้อน ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใดๆลาดตระเวนทางใต้ครั้งนี้ สถานที่ที่เดินทางไปคือเขตทางตอนใต้ของแคว้นตงหลิง เมืองเซียงหนาน กว่างอัน อวิ๋นกุ้ย หนิงโจวและอื่นๆ สถานที่เหล่านี้ล้วนมีสภาพอากาศที่อบอุ่น เหมือนฤดูใบไม้ผลิทุกฤดูกาล และยังเป็นสถานที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมสายหลักออกนอกเมือง ผู้คนบางตา สงบ รถม้าแล่นอย่างไม่เร่งไม่รีบก๊อกแก๊กๆ…สงบมากนี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่เชียนหลีออกจากเมืองหลวง ด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางจึงเลิกม่านหน้าต่างขึ้น มองออกไปข้างนอกตลอดทางภูเขางามลำธารใส เสียงนกเจื้อยแจ้วดอกไม้ผลิบาน ในป่ายังมีกระรอกน้อย กระต่ายป่า กระโดดผ่านไปอย่างว่องไวสภาพแวดล้อมของยุคโบราณนั้นดีมาก ไม่ถูกทำลายใดๆ อากาศบริสุทธิ์ สัตว์ป่ามากมาย ความงามของทิวทัศน์เป็นสิ่งที่โลกปัจจุบันไม่มีวันได้เห็นมองดูภูเขาและแม่น้ำนั้น ข้ามไปลูกแล้วลูกเล่า ดวงตาเป็นประกายเหมือนเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็นหานเฟิงขี่อยู่บนหลังม้า เมื่อมองเห็นภาพนี้ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน“พระชายา เหตุใดท่านจึงดูภูเขาแล
รถม้าจอดลงหน้าโรงเตี๊ยมใจกลางเมืองแห่งหนึ่งหานเฟิงเดินนำหน้า “เถ้าแก่ ขอห้องให้พวกเราสามห้อง”ฉู่เชียนหลีได้ยินแล้วกวาดมองขบวนแวบหนึ่งขบวนนั้นเรียบง่ายมาก มีองครักษ์ลับสี่คน บวกกับนางและเฟิงเย่เสวียน ฟังจากคำพูดของหานเฟิง น่าจะเป็นองครักษ์ลับสองคนต่อหนึ่งห้อง นางกับเฟิงเย่เสวียนหนึ่งห้องนางพูดแทรกทันที “สี่ห้อง”หานเฟิง “?”เฟิงเย่เสวียนมองดูนางด้วยสายตาลึกล้ำฉู่เชียนหลีเบือนหน้าหนี อย่าใช้สายตาเช่นนี้มามองนาง แม้นางเป็นพระชายาอ๋องเฉิน แต่ยังสนิทสนมไม่ถึงขั้นนอนร่วมเตียงใช้หมอนใบเดียวกับเฟิงเย่เสวียนเชียนหลีช่างใจร้ายนัก…เฟิงเย่เสวียนมองไปทางโต๊ะจ่ายเงิน “สามห้อง”ฉู่เชียนหลี “สี่ห้อง”“สามห้อง”“สี่”หลังโต๊ะจ่ายเงิน ในมือเถ้าแก่ถือหนังสือเล็กๆ หนึ่งเล่ม เขามองซ้ายมองขวา บิดซ้ายบิดขวา อดไม่ได้ที่จะพูดแทรก“นายท่านทั้งสองท่านไม่ต้องเถียงกันแล้วขอรับ โรงเตี๊ยมของเราเหลือห้องนอนแค่สามห้อง”เมื่อหานเฟิงได้ยินเช่นนี้ รีบล้วงเงินออกมาจองห้องทันทีเขาหยิบกุญแจไปสองดอก แล้วค่อยมอบกุญแจดอกที่สามให้เฟิงเย่เสวียน จากนั้นก็พาองครักษ์ลับสามคนขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็วแล้วเฟิง