รถม้าจอดลงหน้าโรงเตี๊ยมใจกลางเมืองแห่งหนึ่งหานเฟิงเดินนำหน้า “เถ้าแก่ ขอห้องให้พวกเราสามห้อง”ฉู่เชียนหลีได้ยินแล้วกวาดมองขบวนแวบหนึ่งขบวนนั้นเรียบง่ายมาก มีองครักษ์ลับสี่คน บวกกับนางและเฟิงเย่เสวียน ฟังจากคำพูดของหานเฟิง น่าจะเป็นองครักษ์ลับสองคนต่อหนึ่งห้อง นางกับเฟิงเย่เสวียนหนึ่งห้องนางพูดแทรกทันที “สี่ห้อง”หานเฟิง “?”เฟิงเย่เสวียนมองดูนางด้วยสายตาลึกล้ำฉู่เชียนหลีเบือนหน้าหนี อย่าใช้สายตาเช่นนี้มามองนาง แม้นางเป็นพระชายาอ๋องเฉิน แต่ยังสนิทสนมไม่ถึงขั้นนอนร่วมเตียงใช้หมอนใบเดียวกับเฟิงเย่เสวียนเชียนหลีช่างใจร้ายนัก…เฟิงเย่เสวียนมองไปทางโต๊ะจ่ายเงิน “สามห้อง”ฉู่เชียนหลี “สี่ห้อง”“สามห้อง”“สี่”หลังโต๊ะจ่ายเงิน ในมือเถ้าแก่ถือหนังสือเล็กๆ หนึ่งเล่ม เขามองซ้ายมองขวา บิดซ้ายบิดขวา อดไม่ได้ที่จะพูดแทรก“นายท่านทั้งสองท่านไม่ต้องเถียงกันแล้วขอรับ โรงเตี๊ยมของเราเหลือห้องนอนแค่สามห้อง”เมื่อหานเฟิงได้ยินเช่นนี้ รีบล้วงเงินออกมาจองห้องทันทีเขาหยิบกุญแจไปสองดอก แล้วค่อยมอบกุญแจดอกที่สามให้เฟิงเย่เสวียน จากนั้นก็พาองครักษ์ลับสามคนขึ้นไปชั้นบนอย่างรวดเร็วแล้วเฟิง
ชั้นสอง ห้องปีกข้างภายในห้องได้รับการทำความสะอาดอย่างสะอาดสะอ้าน การจัดวางเรียบร้อย และยังแขวนภาพวาดอันประณีตสวยงามกับฉากบังลมปักลายดอกไม้ ทุกอย่างดีไปหมด เพียงแต่…มีเตียงนอนแค่หนึ่งหลังฉู่เชียนหลีกอดห่อสัมภาระของตนเอง มองไปทางเตียงเล็กที่มีขนาดหนึ่งเมตรยี่สิบเซนติเมตร คิ้วขมวดแน่น ไม่รู้จริงๆ ว่าคืนนี้จะนอนอย่างไรอย่างไรก็ตาม…ผู้ชายบางคนพอเข้าประตู ก็ถอดเสื้อผาวชั้นนอกออก แล้วโยนลงบนเตียงอย่างไม่ใส่ใจ พฤติกรรมนี้เทียบเท่ากับ ‘การจองที่’หลังจากครุ่นคิด ก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน“ท่านอ๋อง เตียงนี่มันเล็กเกินไป ข้าจะออกไปเดินเล่นสักรอบ ลองดูว่าโรงเตี๊ยมอื่นยังมีห้องว่างหรือไม่”เฟิงเย่เสวียนนั่งลง “เมื่อครู่เถ้าแก่พูดแล้ว พรุ่งนี้ก็เป็นวันโยนซิ่วฉิวเลือกเจ้าบ่าวของผู้ว่าการแล้ว ชายหนุ่มโดยรอบอำเภอล้วนมา คืนนี้เป็นช่วงเวลาที่ห้องพักแน่นที่สุด”ไม่มีห้องแล้ว นอนกับเขาแต่โดยดีเถอะ…“คืนนี้ เจ้านอนข้างใน ข้านอนข้างนอก สบายใจได้ เวลาข้านอนสงบมาก ตรงไหนที่ไม่ควรขยับ จะไม่ขยับเลย”“?”อะไรคือตรงไหนที่ไม่ควรขยับ?ฉู่เชียนหลีกัดริมฝีปากเบาๆ ในใจต่อต้านอย่างยิ่ง “ท่านอ๋อง…”“ระหว่าง
เมื่อพูดจบ ก็วิ่งออกไปเหมือนหนีเอาชีวิตรอดเฟิงเย่เสวียนมองแผ่นหลังที่หนีไปอย่างตื่นตระหนกของนาง หรี่ตาสีหมึกลง รอยยิ้มที่มุมปากค่อยๆ ลึกขึ้น สุดท้ายก็หัวเราะเสียงดัง“ฮ่าๆๆ!”มีความกล้าแค่นี้ ยังกล้ามายั่วยวนเขา?ฮ่าๆ!กินอาหารเย็นที่ห้องโถงชั้นหนึ่งฉู่เชียนหลีเลือกโต๊ะที่อยู่ตำแหน่งมุมสุด หกคนกินกับข้าวแปดจานน้ำแกงสองถ้วยที่เรียบง่าย กินข้าวไปพลาง ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างคึกคักของผู้คนโดยรอบไปพลางสิ่งที่ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์ แทบเป็นเรื่องที่ ‘ผู้ว่าการโยนซิ่วฉิวเลือกลูกเขย’ ทั้งหมด เก้าส่วนของเด็กหนุ่มมากความสามารถที่มาจากต่างถิ่น ล้วนมาเพื่อเสี่ยงโชค“ผู้ว่าการของเมืองเซียงหนานเป็นใคร? เขาไม่ให้ลูกสาวแต่งงานกับครอบครัวที่มีฐานะเท่าเทียม หากคนที่แย่งซิ่วฉิวได้เป็นคนฆ่าหมู เขาก็ยอมให้แต่งหรือ?”หานเฟิงยังไม่ทันอ้าปาก เฟิงเย่เสวียนที่อยู่ด้านข้างเปิดปากตอบ“ผู้ว่าการเมืองเซียงหนานถังชิงหัว รับราชการยี่สิบกว่าปี มีลูกชายและลูกสาวอย่างละคน เป็นคนติดดิน เข้าถึงง่าย และเป็นขุนนางดีที่ได้รับการยอมรับจากราษฎร”โยนซิ่วฉิวเลือกเจ้าบ่าวครั้งนี้ ก็เพราะถังชิงหัวเป็นคนนิสัยติดดิน จึ
“หาทางโน้นหรือยัง?”“ลองไปดู!”“เร็ว…”ตามถนนตรอกซอกซอย ทหารของจวนผู้ว่าการวิ่งซอกแซกค้นหากันให้ทั่ว บรรดาชาวบ้านดูไปพลาง วิพากษ์วิจารณ์อะไรบางอย่างไปพลาง“หนีไปแล้ว…”“ไม่ใช่กระมัง ผู้ว่าการคงไม่ใช่ว่าไม่อยากให้ลูกสาวแต่งงาน จะไม่รักษาคำพูดกระมัง?”“ผู้ว่าการเป็นขุนนางใหญ่เช่นนี้ หากกลับคำพูด ไม่รักษาสัจจะ…”“นี่มันเรื่องอะไรกัน…”ผู้คนสามคนห้าคนยืนจับกลุ่มคุยกัน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กำลังคุยกันอย่างสนุกปาก มีร่างเงาเพรียวบางสายหนึ่งวิ่งผ่านตรอกที่อยู่ด้านหลังอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครสังเกตเห็นเป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างผอมบางนางสวมเสื้อคลุม ปิดบังใบหน้า ก้มศีรษะต่ำมากซอกแซกท่ามกลางฝูงชน ไม่ดึงดูดความสนใจใดๆทันใดนั้น…เพล้ง!!นางไม่ระวังเตะโดนขวดโหลเครื่องลายครามใบหนึ่งที่อยู่ข้างถนน มันกลิ้งไปกลางถนน เสียงแตกที่ชัดเจนทำให้ผู้คนไม่น้อยหันไปมอง“คุณหนูอยู่นั้น!”ทหารคนหนึ่งมองเห็นอย่างสายตาเฉียบคมหลังจากนั้น ทหารสิบกว่าคนวิ่งตามอย่างรวดเร็วผู้หญิงคนนั้นเห็นแล้ว หมุนกายก็วิ่งทันทีฝีเท้าโซเซ ทั้งสะดุดทั้งชน สะดุดชาวบ้านล้มไปหลายคน ชนแผงลอยคว่
ฉู่เชียนหลีฟังจบ พอจะเข้าใจสาเหตุของเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว ให้สี่คำขุนนางเอื้อกันและกันเพื่อสนองความชอบของตนเอง ผู้ตรวจการจะแต่งงานกับคุณหนูจวนผู้ว่าการเพื่อความก้าวหน้าของตนเอง เพื่อเอาใจผู้ตรวจการ ผู้ว่าการไม่ลังเลที่จะผลักลูกสาวเพียงคนเดียวของตนเองออกไปแต่งงานคุณหนูจวนผู้ว่าการกลายเป็นเครื่องสังเวยของคำว่าขุนนางเอื้อกันและกันฉู่เชียนหลีกล่าว “หากเจ้าไม่เต็มใจ ไม่สู้ถึงโอกาสพูดเรื่องนี้ออกไป ในงานโยนซิ่วฉิวเลือกเจ้าบ่าวในวันพรุ่งนี้ ถ่วงเวลาไปสักพัก ข้าได้ยินมาว่าอีกไม่กี่วัน ราชสำนักจะส่งคนมาลาดตระเวนทางใต้ พวกเขาจะออกหน้าแทนเจ้าแน่นอน”นางร้องไห้จนตาแดงแล้ว“ก็เพราะอีกไม่กี่วัน จะมีคนจากราชสำนักมาลาดตระเวนทางใต้ พ่อของข้าจึงให้ข้าแต่งออกไปล่วงหน้า”เดิมทีวันโยนซิ่วฉิวเลือกเจ้าบ่าวถูกกำหนดไว้ในวันที่เจ็ด แต่พรุ่งนี้เพิ่งจะวันที่สอง ก็จะดำเนินการแล้ว“ผู้ตรวจการท่านนั้นเป็นขุนนางคดโกงที่ทุกคนยอมรับ…ขอแค่ข้าแต่งแล้ว ทั้งชีวิตของข้าก็จบสิ้นแล้ว…ข้าหนีไม่พ้น ข้าไม่มีทางกลับไป…ข้าไม่เอา…”นางส่ายศีรษะอย่างเหม่อลอย ในแววตาเต็มไปด้วยความเงียบสงัดอันสิ้นหวัง“ข้ายอมตายเสียดีกว
หากผู้ตรวจการที่อายุน้อยมีความฮึกเหิมที่เปี่ยมล้นคนนี้เป็นขุนนางคดโกง และจะบังคับคุณหนูจวนผู้ว่าการแต่งงาน เช่นนั้นฉู่เชียนหลีไม่มีทางนั่งนิ่งดูดายแน่นอนนางเล่าเรื่องคืนนี้ให้เขาฟังคร่าวๆพูดจบก็สรุป“ข้าได้ตอบตกลงคุณหนูจวนผู้ว่าการแล้ว พรุ่งนี้จะลองยื่นมือเข้าไปยุ่ง หากผู้ตรวจการคนนั้นทุจริตจริงๆ ก็จับเขาไปสอบสวนในคราวเดียวเลย และยังสามารถช่วยผู้หญิงบริสุทธิ์คนหนึ่งด้วย”เฟิงเย่เสวียนได้ยินแล้ว เลิกคิ้วเล็กน้อย เพียงแค่ยิ้มอย่างลึกซึ้ง“เชียนหลีช่างไร้เดียงสายิ่งนัก”“?”หมายความว่าอย่างไร?ฉู่เชียนหลีขมวดคิ้ว เมื่อกำลังจะจี้ถาม เฟิงเย่เสวียนได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาแล้ว“เช่นนั้นก็ทำตามความหมายของเชียนหลี”ฉู่เชียนหลียิ่งขมวดคิ้วแน่นทันที เหตุใดจึงมักจะรู้สึกว่าคำพูดของเขามีความหมายอื่นแฝง? อะไรคือนางไร้เดียงสา? หรือคุณหนูจวนผู้ว่าการกำลังหลอกนาง?คุณหนูจวนผู้ว่าการหนีการแต่งงานเป็นเรื่องจริง อยากตายก็เป็นเรื่องจริงต่อให้หลอกนาง นางก็สามารถอาศัยโอกาสนี้ตรวจสอบเรื่องทุจริตของผู้ตรวจการ ระหว่างสองเรื่องไม่มีความขัดแย้งกัน“นอนแล้ว” เฟิงเย่เสวียนวางถ้วยชาลง ลุกขึ้นยืนพลันร่
“...”มือที่ถือชามข้าวต้มของเฟิงเย่เสวียนบีบรัดแน่นขึ้นฉับพลัน ชามกระเบื้องดินเผาส่งเสียงเบาๆ แทบจะแตกแล้วก้าวไปข้างหน้า จับไหล่ของนางฉู่เชียนหลีตาโต——อยู่ดีๆ นายดึงฉันทำไม? สัตว์เดรัจฉาน!“...”แตะต้องนาง ด่าเขาสัตว์เดรัจฉานไม่แตะต้องนาง ด่าเขาไร้ความสามารถผู้หญิง…ปรนนิบัติยากยิ่งนัก รอหลอกหัวใจนางมาอยู่ในมือก่อน คอยดูเขาจะ ‘จัดการ’ นางอย่างไร“กินข้าวต้ม” ตักขึ้นมาหนึ่งช้อน ยัดใส่ปากนาง“จืดเกินไป ข้าไม่ชอบ…อื้อ! เจ้าช่วยอ่อนโยนหน่อย…อื้อ!”เพิ่งอ้าปาก ก็โดนช้อนยัดเต็มปากแล้ว“อื้อๆๆ!”——ผู้ชายที่หยาบคายแบบนี้ ไม่มีเด็กผู้หญิงชอบหรอกเฟิงเย่เสวียนกำช้อนแน่น “ข้าป้อนเจ้าด้วยตัวเอง เชียนหลีไม่ควรมีความสุขหรอกหรือ?”ต้องบอกก่อน มีผู้หญิงมากเท่าไรที่ขอความรักส่วนนี้แต่ไม่เคยได้รับ“ข้าดีใจจนน้ำตาแทบไหลออกมาแล้ว” ฉู่เชียนหลีฝืนยิ้ม“...”ไม่รู้สึกถึงความจริงใจของนางเลยสักนิด และยังมีความรู้สึกอยากต่อยเขาเล็กน้อยหลายวันนี้ แสงแดดดีมาก ในเมืองเซียงหนาน บนถนนและตอกซอกซอยเต็มไปด้วยผู้คน ตรงใจกลางสุดของเมือง ยิ่งมีการสร้างเวทีตั้งแต่เช้ามืด ด้านหลังเวทีเต็มไปด้วยผู้ค
ฉู่เชียนหลีหันไปมองหานเฟิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาสำเร็จ!บนเวที ภายใต้สายตาของทุกคน คุณหนูจวนผู้ว่าการที่สวมชุดกระโปรงสีชมพูและผ้าคลุมหน้าค่อยๆ เดินออกมา ร่างอันเพรียวบางและมีเสน่ห์สะท้อนสู่สายตาของบรรดาผู้ชาย ทำให้สายตาของพวกเขาฉายความเร่าร้อนและปรารถนาลูกเขยของท่านผู้ว่าการ ใครไม่อยากเป็นบ้าง?แต่งงานกับคุณหนู ช่วยลดความบุกบั่นสามสิบปี ใครไม่ต้องการบ้าง?ผู้ว่าการเซียงหนานเป็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบต้นๆ สวมเสื้อผ้าสีน้ำตาล ใบหน้าเหลี่ยม ดูเป็นคนสุขุม รอยยิ้มเป็นมิตร เป็นคนที่ค่อนข้างเข้ากับผู้อื่นได้ง่ายเมื่อเขาออกมา ข้างล่างเวที ผู้คนไม่น้อยตะโกนโดยตรง“ท่านพ่อตา!”ผู้ว่าการหลี่ได้ยินแล้วร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้ทันที เขายกมือขึ้นบ่งบอกให้ทุกคนช่วยเงียบหน่อยหลังจากบรรยากาศในที่เกิดเหตุเริ่มสงบลง จึงจะกล่าวเสียงดัง“พ่อแม่พี่น้องทุกท่าน! ข้าหลี่กัง ผู้ว่าการเซียงหนาน รักษาการณ์เซียงหนานสิบกว่าปี หลายปีมานี้ ปฏิบัติต่อราษฎรเหมือนญาติ ขุนนางและราษฎรเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในสายตาของข้า ไม่มีแบ่งชนชั้นวรรณะ…”เขาพูดตามบทพูดทางการคำพูดเหล่านี้ใกล้ชิดราษฎรเป็นพิเศษ ทำให้ชาวบ้า
ฉู่เชียนหลีจากไปห้าที่หก เจียงเป่ยประกาศหนังสือสงครามต่อเจียงหนาน เนื้อหามีอยู่ว่า คืนองค์หญิงเฟิงเจิ้งลู่ฉินภายในสามวัน ไม่คืนยกทัพบุกโจมตีเหตุผลเห็นสมควรอย่างยิ่งขอลูกสาวของตัวเองคืนหลังจากฉู่เชียนหลีรู้ อารมณ์สับสนอย่างบอกไม่ถูก เพราะนางรู้ว่าเฟิงเจิ้งหลีไม่ได้รักเฟิงเจิ้งลู่ฉิน เขาแค่ต้องการใช้ข้ออ้างขอลูกสาวคืน เพื่อบุกโจมตีเจียงหนาน“พระชายา ทำอย่างไรดี?”อวิ๋นอิงถามพื้นห้องถูกปูด้วยพรมหนาๆ เด็กทั้งสามคนวิ่งเล่นบนนั้น สะดุดล้ม ชนกัน กระแทกกัน ถูกพรมปกป้องอย่างดี ไม่ได้รับบาดเจ็บหลายวันที่อยู่ด้วยกัน เด็กทั้งสามคนคุ้นเคยกันแล้ว และเล่นด้วยกันอย่างมีความสุขเจ้าไล่ข้า ข้าไล่เจ้าคลานไป คลานมาเจ้าแย่งขวดนมของข้า ข้าหยิกหน้าของเจ้า พูดอีอาๆ แม้ไม่มีใครฟังเข้าใจฉู่เชียนหลีนั่งอยู่ที่ข้างโต๊ะ มองไปทางลู่ฉินลู่ฉินคลอดก่อนกำหนด รูปร่างผอมและยังมีโรคหัวใจ เหมือนกับตุ๊กตาที่อ่อนแอตัวหนึ่งเฟิงเจิ้งหลีไม่รักนาง ฉู่เจียวเจียวไม่ชอบนาง ถ้าหากนางกลับเจียงเป่ย ยังไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไร…ขณะที่นางกำลังกังวล ลู่ฉินที่กำลังคลานเล่นเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง คลานไปที่ตรงหน้า
เฟิงเจิ้งหลีมาถึงตำหนักของไท่ซ่างหวงเหมือนไท่ซ่างหวงคาดการณ์ไว้นานแล้ว กำลังนั่งพิงบนหัวเตียงรอเขา สายตาของสองพ่อลูกบรรจบกันกลางอากาศเกิดความเงียบขึ้นชั่วพริบตาผ่านไปครู้หนึ่ง เฟิงเจิ้งหลีเดินเข้าไปอย่างเหนื่อยล้า “เหตุใดไม่ไป?”เขาทิ้งร่างกายที่หนักอึ้งนั่งลงไป ระหว่างคิ้วเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แม้แต่เสียงพูดก็แหบ โดยรวมแล้วดูโทรมมากราวกับบาดเจ็บสาหัสสำหรับเขานั่น ถูกคนที่ชอบและเชื่อใจที่สุดหักหลังและทิ้ง ก็คือการทำร้าย ทิ้ง…เขาเกลียดคำนี้ที่สุดในชีวิตไท่ซ่างหวงมองดูลูกชายที่คล้ายเขาห้าส่วนตรงหน้า และคล้ายมารดาของเขาห้าส่วน พริบตาเดียว ลูกชายก็โตเช่นนี้แล้ว และเขาก็ขาดความรักมากมายเหลือเกินในดวงตาที่ขุ่นมัว เผยให้เห็นความรู้สึกผิดหลายส่วน“ถ้าหากข้าไปแล้ว เจ้าจะไม่เหลือญาติแม้แต่คนเดียว”“!”ร่างกายเฟิงเจิ้งหลีสั่นสะท้าน แผ่นหลังแข็งฉับพลันญาติ…ตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านพ่อใช้คำนี้เรียกความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา“หลีเอ๋อร์ ข้ารู้ หลายปีมานี้ พ่อติดค้างเจ้าเยอะมาก พ่อให้ความสำคัญกับบ้านเมืองจนมองข้ามเจ้า ในใจพ่อรู้สึกผิดนัก” ไท่ซ่างหวงกล่าวอย่า
คืนแรกที่ออกจากเมืองหลวงฉู่เชียนหลีนอนไม่หลับ…เมืองหลวงอันไกลโพ้นที่อยู่อีกฟากของแม่น้ำอูหลาน วังหลวงจุดเทียนสว่างไสวในยามค่ำคืนที่มืดมิด เหล่านางกำนัลถือโคมไฟ ก้มหน้าเดินผ่านยังเงียบๆ ไม่มีใครกล้าพูดมากตำหนักเจาหยางทุกที่มืดมิด ไร้ผู้คน และไม่มีเทียนแม้แต่เล่มเดียว เหมือนกับถูกความมืดกลืนกิน เงียบราวกับดินแดนไร้ผู้คนแต่ท่ามกลางความมืดนั่น กลับมีเสียงหายใจเย็นๆ สายหนึ่งเบาจนแทบไม่ได้ยิน เฟิงเจิ้งหลีนั่งอยู่บนบันได ร่างกายของเขากลมกลืนกับความมืดจนมองเห็นแทบไม่ชัด ดวงตาคู่นั้นฉายแสงในความมืด ราวกับจมอยู่ในเหวลึกอันไร้ที่สิ้นสุดในอดีตที่นี่เคยมีเสียงหัวเราะของเด็กๆ เคยมีรอยยิ้มของนาง ท่าทางที่อ่อนโยนของนาง และเสียงอันนุ่มนวลที่พูดคุยกับเขา ภาพเหล่านั้นเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานทั้งหมดยังคงอยู่ในสมองของเขา ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาชัดเจนมากตราตรึงมากนางเคยพูด อยู่ข้างกายเขา รู้สึกสบายใจมากนางเคยพูด จื่อเยี่ยชอบเขา นางก็จะดีกับเขานางเคยพูด…คำพูดไพเราะนางเป็นคนพูด เรื่องใจร้ายก็นางเป็นคนทำล้วนเป็นนาง!ฉู่เชียนหลี!โกหกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเชื่อครั้งแล้วครั้
“คุณหนูอย่าคิดมาก แม้องค์หญิงแคว้นหนานยวนท่านนี้น่ารังเกียจไปบ้าง แต่นางทำงานเสร็จ ก็น่าจะกลับแคว้นแล้ว ก็แค่เจอกันชั่วคราว ทำอะไรไม่ได้หรอก” จิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมฉู่เชียนหลีไม่ได้คิดมากอย่างไรก็ตามผู้ชายอย่างเฟิงเย่เสวียนที่อายุยังน้อย รูปร่างหน้าตาโดดเด่น มีฐานะมีอิทธิพล สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง มีผู้หญิงมากมายชอบก็เป็นเรื่องปกติถ้านางจะถือสา คนมากมายเช่นนั้น จะถือสาไหวได้อย่างไร?นางนึกถึงเรื่องของกู่แพทย์ มองจิ่งอี้อย่างจริงจัง เห็นสีหน้าของเขาค่อนข้างซีดเหมือนคนป่วย ก็รู้แล้วว่าเขากำลังใช้ร่างกายตัวเองเลี้ยงกู้แพทย์“เลี้ยงรอดหรือไม่?” นางถามเบาๆมีการบันทึกในตำราโบราณ กู่แพทย์ชนิดนี้อ่อนแอเลี้ยงยาก เผลอไม่ระวังนิดเดียวก็จะตาย สิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้ก็เปล่าประโยชน์จิ่งอี้หลุบตา เสียงเบามาก“เลี้ยงแล้วสามสิบกว่าตัว ในที่สุดก็เลี้ยงรอดสองตัว…”กู่แพทย์สองตัวนี้ ตอนนี้ถูกเขาเก็บไว้ในหน้าอก พกติดตัวไปทุกที่ ต่อให้เป็นเวลานอน ก็จะนำออกมาดูเป็นระยะกลัวว่าพลั้งเผลอนิดเดียว พวกมันก็จะตายฉู่เชียนหลีเหลือบมอง “อวิ๋นอิงรู้หรือไม่?”“นางไม่รู้ขอรับ คุณหนู อย่าพูดถ
เป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีใบหน้างดงาม การแต่งกายดูขี้เล่นแต่ยังคงสูงศักดิ์ มัดมวยผมและถักเปียหางม้า ซึ่งบ่งบอกว่านางยังไม่แต่งงาน กระโดดออกมาปรากฏตัว ท่าทางที่สดใสร่าเริงนั่น ทำให้ดูเข้าถึงได้ง่ายมากฉู่เชียนหลีเหลือบมอง“เจ้าคือ…”“ข้าชื่อจวินลั่วยวน เป็นองค์หญิงแคว้นหนานยวน”นางแนะนำตัวเอง เสียงนั่นเหมือนนกขมิ้นที่บินออกจากหุบเขา สดใสไพเราะ“อ๋องเฉินกับฮ่องเต้ตงหลิงสู้กัน เสด็จพ่อให้ข้ามาช่วยอ๋องเฉินที่เจียงหนาน ก็เพราะข้าแทรกแซง ฮ่องเต้ตงหลิงจึงให้ความสำคัญกับศึกเมืองเทียนสู่เป็นพิเศษ และลงสนามรบด้วยตัวเอง”ไม่เช่นนั้น ยังไม่สามารถล่อฮ่องเต้ตงหลิงออกมาได้ล่อเสือออกจากถ้ำ พระชายาอ๋องเฉินจึงสามารถกลับมาอย่างปลอดภัยพูดถึงก็ล้วนเป็นผลงานของนางฉู่เชียนหลีเข้าใจแล้วองค์หญิงของแคว้นหนานยวนท่านนี้ ได้ยินมานานแล้วว่าเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของฮ่องเต้หนานยวน เป็นแก้วตาดวงใจที่เหมือนไข่มุกงามบนฝ่ามือ ถูกเอาใจใส่อย่างดีตั้งแต่เด็ก“รบกวนองค์หญิงแล้ว” นางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ถือเป็นมารยาทจวินลั่วยวนประหลาดใจเล็กน้อย “?”แค่นี้?ไม่มีแล้ว?พูดแค่สี่คำก็แสดงความขอบค
เด็กน้อยที่ดูกลัวๆ ในตอนแรก เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหมือนกับเจอที่พึ่งพิง เบ้าตาแดงก่ำ มุดเข้าไปในอ้อมแขนของนาง“อุแว้!”ร้องไห้เสียงดังนางกลัวมากแม่ของนางไม่อยู่ นางถูกคนรับใช้โยนไปโยนมา กินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ และยังไม่กล้าร้องไห้ เพราะไม่มีใครกล่อมนางอย่างอ่อนโยนและอดทนเหมือนท่านแม่ในที่สุดก็ได้กลิ่นที่คุ้นเคยแล้วไม่สามารถควบคุมความน้อยใจที่กดเอาไว้ได้อีกต่อไป ปล่อยโฮร้องไห้“ฮือๆ…”สองมือจับเสื้อฉู่เชียนหลี มุดเข้าไปในอกของนางก็ร้องไห้อวิ๋นอิงยกมือขวาขึ้น รีบรับรองทันที “พระชายาวางใจได้ ตอนที่ท่านไม่อยู่ พวกเราดูแลลู่ฉินอย่างดี ไม่มีใครรังแกนางแน่นอน นางน่าจะคิดถึงท่านมาก จึงร้องไห้เช่นนี้”“ท่านไม่รู้หรอก แม้ลู่ฉินยังเล็ก แต่นางรู้ว่าใครเป็นใคร นางจะเอาท่านคนเดียว พึ่งพาท่าน คิดถึงท่าน”หัวใจฉู่เชียนหลีละลายตั้งแต่เด็กคนนี้เกิดมา นางเลี้ยงเองกับมือมาโดยตลอด และความเชื่อใจและการพึ่งพาที่เด็กมีต่อนาง ก็คือการตอบแทนที่ดีที่สุด“ไม่ร้องนะ”นางเช็ดน้ำตาเบาๆ “แม่กลับมาแล้ว ต่อไปจะไม่ไปอีกแล้ว”ในเมื่อเฟิงเจิ้งหลีกับฉู่เจียวเจียวไม่เอาเด็กคนนี้ นางเลี้ยงเอง“แม่…”เสียง
ท้ายที่สุดเฟิงเจิ้งหลีก็ไม่ได้ลงมือกองทัพทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันในระยะไกลทั้งเช่นนี้เฟิงเย่เสวียนกอดฉู่เชียนหลีไว้ จับเชือกบังเหียนม้าแน่น ขี่ม้าจากไปเฟิงเจิ้งหลียืนอยู่ที่ข้างแม่น้ำ ร่างกายที่บอบบางถูกลมเย็นพัดจนเสื้อคลุมพลิ้วไหว สีหน้าซีดเผือด แววตาอ่อนล้า มุมปากยังมีคราบเลือด ยืนมองนิ่งๆ ทั้งเช่นนี้…มอง…รอหลังจากขบวนของอ๋องเฉินหายลับตา เขายังคงยืนอยู่ข้างแม่น้ำ เนิ่นนานก็ไม่ขยับสองเท้าหนักเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่ว สายตามองตรงไปข้างหน้ากลิ่นอายรอบตัวขรึมมาก สีหน้าแยกไม่ออกว่าดีใจหรือโกรธชั่วขณะ ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากหรือเข้าไป…เจียงหนาน เมืองน้ำ[1] อากาศเย็นสบาย สภาพแวดล้อมดีมากขบวนตรงไปที่ทำเนียบ“ท่านอ๋องกลับมาแล้ว!”“พระชายา?!”เมื่อคนที่เข้ามาต้อนรับเห็นฉู่เชียนหลี แต่ละคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อน แต่หลังจากนั้นก็ดีใจ“พระชายากลับมาแล้ว!”“พระชายากลับมาแล้ว!”เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังก้องไปทั่วท้องฟ้า จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย ข่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วอวิ๋นอิง จิ่งอี้ เฟิ่งหราน คนมากมายรีบมาไม่เจอครึ่งปี มิตรภาพยังคงอยู่“พระชายา ในที่สุ
แสงแห่งรุ่งอรุณยามเช้าริบหรี่เวลาหนึ่งคืนเดียว เร่งเดินทางจากเมืองหลวงไปยังแม่น้ำอูหลาน ในช่วงที่ฟ้าใกล้สว่าง คนทั้งกลุ่มข้ามแม่น้ำเมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง จุดที่ไกลออกไป มีขบวนอีกกลุ่มมุ่งหน้ามาอย่างเร่งรีบราวกับกระแสน้ำ สายลมเย็นยามเช้าพัดผ่าน เหมือนกับทัพใหญ่เข้าใกล้ชายแดน บรรยากาศที่กดดันอบอวลกลางอากาศหานเฟิง “นายท่าน อ๋องหลีมาแล้ว…”ขบวนสองกลุ่ม พบกันที่แม่น้ำอูหลานเฟิงเย่เสวียนอยู่บนสะพานเฟิงเจิ้งหลีอยู่บนฝั่งหยาดน้ำฟ้าตก สายน้ำไหลเชี่ยว สาดซัดเข้าฝั่ง หยดน้ำกระเซ็น ในอากาศเต็มไปด้วยความหนาวเย็น สองพี่น้องยืนสบตากันจากระยะที่ห่างกันหลายเมตรอยู่ไกลเกินไป แทบมองไม่เห็นอะไรเลยแต่ก็เหมือนกับว่าพวกเขามองเห็นอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ใช้สายตาประลองกันเงียบๆ“ฝ่าบาท” รองแม่ทัพเอ่ยปาก “นี่คือโอกาสดีในการกำจัดอ๋องเฉิน ถือโอกาสตอนที่พวกเขายังอยู่บนสะพาน พวกเราระเบิดสะพาน ให้พวกเขาตกลงไปในน้ำที่ไหลเชี่ยว ไม่ตายก็เหลือแค่ครึ่งชีวิตแน่นอน!”เขาคิดว่า นี่เป็นวิธีที่เหมาะสมมากอ๋องเฉินข้ามสะพานไปครึ่งหนึ่งแล้ว ต่อให้วิ่งไปอีกฝั่งของแม่น้ำ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งก้านธูปเวลาครึ่ง
“เป็นไปได้อย่างไร?”นางกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เมื่อห้าวันก่อน ข้าคุยกับเขาแล้ว และจัดการทุกอย่างไว้ให้เขาแล้ว เขาสามารถออกจากวังอย่างราบรื่น นอกเสียจาก…”จู่ๆ นางก็เข้าใจอะไรบางอย่าง เสียงค่อยๆ เบาลงเฟิงเย่เสวียนกล่าวต่อ“เขาไม่อยากไป”ใช่!ไท่ซ่างหวงไม่อยากไปมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยังอาลัยอาวรณ์ หรือเพราะสาเหตุอื่น เขาจึงเลือกที่จะอยู่เมืองหลวงแต่ถ้าหากเขาอยู่เมืองหลวง เฟิงเจิ้งหลีต้องหาเรื่องเขาแน่นอนฉู่เชียนหลีเป็นห่วง หลังจากครุ่นคิด ก็เดินออกไปข้างนอกแล้ว“ไม่ได้ ข้าต้องกลับวังหลวง ทิ้งเขาไว้ในเมืองหลวงเพียงลำพังไม่ได้”“ไม่ทันแล้ว”เฟิงเย่เสวียนจับข้อมือของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ทำให้ทุกคนรู้ตัวแล้ว เกรงว่าตอนนี้คนสนิทของเฟิงเย่เสวียนกำลังมา เขาก็อยู่ระหว่างทางกลับเช่นกัน เสียเวลาไม่ได้แล้ว”กำลังหลักของเขาอยู่ที่เจียงหนานไม่เหมาะที่จะอยู่เมืองหลวงนาน ครึ่งปีมานี้ วิธีการของเฟิงเจิ้งหลีเหี้ยมโหด กำจัดพวกต่อต้าน รวบอำนาจเข้าด้วยกัน เมืองหลวงเป็นถิ่นของเขา อยู่ในถิ่นของเขา พวกเขาเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ