เซียวจือฮว่าชะงักพูดอะไรไม่ออกทันที ไม่มีคำโต้แย้งแม้แต่คำเดียวหากโต้แย้ง เช่นนั้นภาพลักษณ์ดอกไม้สีขาวที่ใจกว้าง รู้ความ และมีน้ำใจเมื่อครู่ของนางก็จะถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์แต่บาดแผลที่สาหัสเช่นนี้ จะเจ็บตัวเปล่าหรือ?น่าโมโห!โมโหจนร้องไห้!โมโหจนตาย!ในใจของเซียวจือฮว่าแทบโมโหจนจะร้องไห้ แต่ใบหน้ากลับต้องรักษาท่าทางที่อ่อนโยนไว้และรู้ความไว้ อดกลั้นความเจ็บปวดบนมือ ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ร่างกายที่ผอมบางแทบโอนเอนยืนไม่มั่นคง“นายหญิง…” เป่าอวี้ก้าวออกมาประคองนางอย่างทะนุถนอมเมื่อเห็นเลือดนั่น ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำทันที“นายหญิง มือของท่าน…เกรงว่าจะทิ้งรอยแผลเป็น…”ด้านข้าง เยว่เอ๋อร์เห็นท่านอ๋องปกป้องพระชายา ความมั่นใจเต็มเปี่ยม ก้าวเท้ายาวออกไปข้างหน้า พลางกล่าวเสียงดัง“เป่าอวี้ เจ้าไม่ใช่หมอเสียหน่อย รู้เรื่องที่จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้หรือไม่ทิ้งได้อย่างไร? แม้แต่พระชายารองเซียวก็บอกว่าไม่เป็นอะไรแล้ว หรือเจ้าหวังอยากให้พระชายารองเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”ถามกลับประโยคเดียว โยนความผิดทั้งหมดไปให้เป่าอวี้เป่าอวี้ตระหนกตกใจ “ท่านอ๋อง บ่าวไม่ได้มีเจตนาเช่นนี้!”นางเป็นเพียงสาวใช้
“หมอมาแล้วว่าอย่างไรบ้าง?” เฟิงเย่เสวียนถามเยว่เอ๋อร์ด้านข้าง เยว่เอ๋อร์มองพระชายาก่อนแวบหนึ่ง จึงจะถอนสายบัวกล่าวตอบ “หมอบอกว่าพระชายาได้รับความตกใจเล็กน้อย ควบคู่กับเป็นช่วงเวลาพิเศษ โลหิตค่อนข้างจาง จำเป็นต้องพักผ่อนให้มาก ห้ามโดนความเย็นเจ้าค่ะ”จู่ๆ ท่านอ๋องก็เป็นห่วงพระชายาราวกับผู้ชายคนก่อนที่เคยรังเกียจและลงมือกับพระชายาไม่ใช่ท่านอ๋อง… “ไปเอาน้ำแกงที่ห้องครัว” ตอนเขามา ได้สั่งให้ห้องครัวทำน้ำแกงนกพิราบพุทราแดง ตอนนี้น่าจะต้มได้ที่แล้วฉู่เชียนหลีหลับตาไว้ รู้สึกอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวกะทันหันได้ยินเสียงของเฟิงเย่เสวียน ได้เห็นใบหน้าของเขา มันทำให้นางอดนึกถึงท่าทางที่ตายอย่างน่าอนาถของเด็กหนุ่มไม่ได้…มือที่กำผ้าห่มแน่นขึ้นหลายส่วน สูดลมเข้าลึกๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ข้าไม่อยากดื่ม อยากนอนสักงีบ”เฟิงเย่เสวียนโน้มตัว สามารถมองเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของนาง มองอารมณ์ในแววตาของนางไม่ชัด เขากล่าว“ดื่มแล้วค่อยนอน อุ่นท้องเสียหน่อย ช่วยทำให้สบายขึ้น”“ข้าบอกว่าข้าไม่อยากดื่ม” เสียงของนางเย็นชาลงหลายส่วน“เชียนหลี…”“ข้าพูดยังชัดเจนไม่พออีกหรือ” นางได้พูดส่งแขกแล้
เรือนหมิงเยว่เซียวจือฮว่าเพิ่งทำแผลที่มือเสร็จ ผ้าพันแผลที่ถูกพันอย่างหนามีรอยเปื้อนของคราบเลือด เบ้าตาของนางแดงก่ำ น้ำตาไหลเงียบๆนางไม่เข้าใจ เหตุใดจู่ๆ ฉู่เชียนหลีจึงได้ใจของท่านอ๋องยิ่งไม่เข้าใจ ตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เหตุใดจึงสูญเสียความโปรดปรานทั้งๆ ที่ท่านอ๋องโปรดปรานนางสิบปีเต็ม เหตุใดบอกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน?“นายหญิง ท่านอ๋องมาแล้วเจ้าค่ะ”นอกประตู เป่าอวี้พุ่งพรวดเข้ามาในห้องราวกับลูกธนู ใบหน้าปลื้มปีติเซียวจือฮว่าตะลึงงันก่อน จากนั้นก็ยิ้ม นางว่าแล้ว ท่านอ๋องดีกับนางเช่นนี้ จะเปลี่ยนไปได้อย่างไร? อาศัยแค่เรื่องที่นางแซ่เซียว นางก็เป็นคนสำคัญของท่านอ๋องทั้งชีวิตแล้วมุมปากเผยอขึ้นเล็กน้อย ฟังเสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามา น้ำตาที่ไหลออกจากตาก็ยิ่งมากขึ้น ดวงตาก็ยิ่งแดงเฟิงเย่เสวียนเดินเข้ามาพลันหัวไหล่ของนางกระตุก ร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิมทันทีเป่าอวี้ฉลาดมาก นางจงใจกล่าวเสียงดังต่อหน้าเฟิงเย่เสวียน“นายหญิง รอยแผลเป็นบนมือท่านรักษาไม่หายแล้ว ท่านน่าสังเวชยิ่งหนัก ท่านอุตส่าห์หวังดีไปเยี่ยมพระชายา กลับได้รับเคราะห์กรรมเช่นนี้ ฮือๆๆ…”เซียวจือฮว่าสะอึกสะอื้น น้ำ
วันรุ่งขึ้นฉู่เชียนหลีตื่นเช้ามาก หลังจากกินอาหารเช้าก็ออกจากจวนโดยทั่วไปแล้ว เพื่อความปลอดภัยและความเข้มงวดของจวนอ๋อง ทุกคนที่ออกจากจวนจำเป็นต้องได้รับป้ายอนุญาตผ่านทาง หรือไปรายงานท่านอ๋อง แต่เหมือนว่าพระชายาจะได้รับความโปรดปรานแล้ว ชั่วขณะทหารยามที่เฝ้าประตูจึงไม่มีใครขวางเมืองหลวง ท้องฟ้าสดใส กำลังอยู่ในช่วงคึกคักและที่ใดมีคน ที่นั่นก็มีคนสอดรู้เรื่องชาวบ้าน ชาวบ้านไม่น้อยที่กำลังสัญจรไปมาพลางยุ่งอยู่กับงานของตนเอง พลางสนทนาไปด้วย เนื้อหาคร่าวๆ คือ“อ๋องเฉินกำจัดโจรภูเขาไปแล้ว ร้ายกาจมาก ได้ยินมาว่าแม้แต่แม่ทัพหลี่ก็เอาโจรภูเขาพวกนี้ไม่ลง”“ท่านอ๋องเฉินสร้างผลงานอีกแล้ว ความสามารถของเขาเหนือคน มีความกล้ามีกลอุบาย พวกเราเลื่อมใสจากใจ…”“ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง ตอนปราบโจร เกิดไฟไหม้ใหญ่มาก อ๋องเฉินหนึ่งคนหนึ่งม้าหนึ่งกระบี่ เหยียบไฟกลับออกมาจากกองเพลิง ผาวสีหมึกปลิวว่อน ใบหน้าเยือกเย็นมีเสน่ห์ ราวกับเทพลงมาเยือน…”“สวรรค์!”การบรรยายภาพเหตุการณ์นี้ ทำเอาหญิงสาวกลุ่มหนึ่งใช้มือปิดแก้มกรี๊ดเสียงหลง ในดวงตาเต็มไปด้วยความรักและความปรารถนาฉู่เชียนหลีเดินผ่านจากด้านข้าง เพียงแค่
นางเดินเข้าไปนั่งลง “วันนี้ข้ามาเพื่อจะบอกพวกเจ้าว่า ข้าตั้งใจจะดำเนินกิจการโรงหมอแห่งนี้ พวกเจ้าจำเป็นต้องช่วยข้าจึงจะทำได้”ข้อหนึ่ง นางจะพัฒนากิจการของตนเอง สร้างรากฐานในต่างโลกข้อสอง นางไม่มีทางเลี้ยงคนกลุ่มหนึ่งที่กินฟรีดื่มฟรีโดยไม่ทำอะไรทุกคนเห็นด้วย โรงหมอช่วยชีวิตคนเป็นการทำความดี เป็นเรื่องที่สมควรทำ“คุณหนูต้องการอะไรพูดมาได้เลย พวกเราพร้อมรับคำสั่ง” จิ่งอี้กล่าวไม่ว่าจะต้องการตำราแพทย์อันล้ำเลิศ หรือวรยุทธ์ระดับแนวหน้า หรือร้านค้าชั้นสูงใจกลางเมืองหลวง ยาดีในหล้า ขอแค่คุณหนูต้องการ พวกเขาจะมอบให้ทั้งหมดฉู่เชียนหลีพยักหน้า หลังจากนั้นชี้ไปที่คนคนหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ พลางกล่าว“เจ้ารับผิดชอบจัดระเบียบยาสมุนไพร แยกพวกมันให้เป็นประเภท”ผู้ชายผอมที่ถูกชี้ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เขา? จัดระเบียบยาสมุนไพร? เขาเป็นถึงมือสังหารอันดับหนึ่งในยุทธภพเลยนะ!มือที่ถือกระบี่ฆ่าคนจะไปหยิบพู่กัน?“เจ้ารับผิดชอบแนวหลัง หุงข้าว”ผู้ชายอ้วนที่ถูกชี้ก็ตะลึงงันเช่นกันคุณหนู ท่านพูดจริงหรือ? ข้าเป็นถึงมือพิษยามรัตติกาลที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ สิ่งของที่ใช้ลงมือล้วนเป็นพิษที่ร้ายแรงที่สุด…”
เฟิงเย่เสวียน!มีอาหารหลากหลายถูกวางอยู่บนโต๊ะ เป็นมื้อเบาที่อุดมไปด้วยสารอาหาร แต่เย็นหมดแล้ว เฟิงเย่เสวียนนั่งอยู่ข้างโต๊ะ กลิ่นอายรอบตัวเงียบและเยือกเย็นเป็นพิเศษเมื่อเห็นฉู่เชียนหลีกลับมา เขาเงยหน้าขึ้นมอง ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ“เยว่เอ๋อร์บอกว่าเจ้าออกไปทั้งวัน หายไปไหนมา?”เสียงทุ้มมาก ราวกับกำลังข่มอารมณ์เยว่เอ๋อร์ยืนอยู่ข้างๆ อย่างกระสับกระส่าย ก้มศีรษะ สองมือบีบชายเสื้อ กลัวเล็กน้อยท่านอ๋องรออยู่ที่นี่สองชั่วยามกว่าแล้ว อาหารบนโต๊ะก็อุ่นไปแล้วสี่รอบ…ฉู่เชียนหลีก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ถอดผ้าคลุมหน้าออกอย่างไม่ใส่ใจ โยนไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง “ไม่ได้ทำอะไร”พูดพลาง เดินไปที่หน้าชั้นวางของ ล้างหน้าแล้วเช็ดให้สะอาดเดินไปที่หน้ากระจกสัมฤทธิ์ ลูบๆ มองๆ อยู่หน้ากระจกสัมฤทธิ์สายตาของเฟิงเย่เสวียนจับจ้องไปที่นางตลอด ขยับไปตามการเดินของนางเขารอนางนานเช่นนี้ นางกลับมาก็เฉยเมยเช่นนี้เลย?มีไฟที่ไร้ชื่อสายหนึ่งผุดขึ้นในใจ แต่ก็สูดลมเข้าลึกๆ อย่างมีสติ ข่มเอาไว้ จึงจะกล่าว“ในเมื่อไม่สบาย ก็อยู่ในจวนดีๆ รอรอบเดือนผ่านไปก่อนแล้วค่อยออกไป”ฉู่เชียนหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “
ใบหน้าเล็กของเยว่เอ๋อร์ตกใจจนซีดขาวเล็กน้อย ร่างกายสั่นเทาเมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดวันนี้จึงทะเลาะกันเช่นนี้?คำพูดฉู่เชียนหลีออกจากปาก อารมณ์ก็ขึ้นเช่นกัน เห็นใบหน้าของเฟิงเย่เสวียน ก็นึกถึงคำพูดของหานเฟิง นึกถึงแผนการของเขา นึกถึงเด็กหนุ่มผู้บริสุทธิ์ที่ถูกไฟคลอกตายที่ค่ายโจร…“เฟิงเย่เสวียน เป็นเจ้าที่อยากรอข้า แต่สุดท้ายกลับมาโยนความผิดให้ข้า โทษที่ข้ากลับมาช้า?”“ทำไม?”“ตามที่เจ้าพูด เจ้าเตะข้าคืนที่เจ้าแต่งอนุภรรยา หรือนี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่เป็นข้าที่ทำตัวต่ำ จงใจเอาร่างกายของตัวเองไปวางไว้ที่ใต้เท้าเจ้า?”สีหน้าของเฟิงเย่เสวียนดูย่ำแย่เป็นพิเศษขึ้นมาทันที“ตกลงเจ้าเป็นอะไรกันแน่?”ตอนอยู่ภูเขากว่างหนิงยังดีๆ อยู่เลย“ฉู่เชียนหลี หรือเจ้าลืมคำพูดที่พวกเราเคยคุยกันและเคยทำในถ้ำไปแล้ว…”“พอที!” ฉู่เชียนหลีพูดขัดเสียงดัง “เรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่ต้องพูดถึงอีก ข้าง่วงแล้ว”นางยกเท้าจะเดิน กลับถูกเฟิงเย่เสวียนดึงกลับมา“วันนี้ต้องพูดให้รู้เรื่อง!”“ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้า”“ฉู่เชียนหลี!”“ปล่อยข้า!”“ตกลงข้าทำอะไรผิด!”ระหว่างที่ทั้งสองโต้เถียง หนังสือเล็กๆ
วันรุ่งขึ้นวันนี้ฉู่เชียนหลีอยากออกจากจวน แต่กลับถูกขวางเอาไว้“พระชายา ไม่ได้รับอนุญาตจากท่านอ๋อง ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกจวนขอรับ” ทหารยามที่เฝ้าประตูยื่นมือออกมาขวางคนไว้ฉู่เชียนหลีหัวเราะทำไม?คิดจะขังนาง?นางไม่ใช่นกในกรงเสียหน่อย และยิ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่มีอิสระกระทั่งออกจากจวน? “แล้วถ้าข้าจะออกไปให้ได้ล่ะ” นางกล่าวถามกลับทหารยามก้มศีรษะ “พระชายาโปรดอย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลยขอรับ”“ทำไมถึงเป็นข้าที่ทำให้พวกเจ้าลำบากใจ? เห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องทำให้พวกเจ้าลำบากใจ” ฉู่เชียนหลีพูดจบ ก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก“พระชายา…”“ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครกล้าขวางข้า?”กวาดสายตามองอย่างเย็นชา ราวกับลูกธนูที่แหลมคม ทำให้มือที่ยื่นออกไปของทหารยามทั้งสองคนหยุดชะงัก ไม่กล้าก้าวออกไปข้างหน้าแม้แต่ครึ่งก้าวทันทีปัจจุบัน พระชายาได้รับความโปรดปราน สถานะไม่เหมือนเมื่อก่อนพวกเขาไม่กล้าละเลยสิ้นเสียงฉู่เชียนหลี นางก้าวเขาข้ามธรณีประตูไปอย่างลำพองทหารยามหมดหนทาง “รีบไปรายงานท่านอ๋อง”ออกจากจวนฉู่เชียนหลีไปบ้านหลังหนึ่งที่เรียบง่ายและเปลี่ยว เพื่อเยี่ยมผู้ชายที่ได้รับบาดเจ็บที่ขาคนนั้น
อันธพาลเจ็บจนกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด “อ๊ะๆ!”ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็โดนถีบจนไปกลิ้งอยู่บนพื้น รองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนหน้าอก หนักจนทำให้เขาหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมา“พู่!”เขากอดต้นขาของอวิ๋นอิง อยากดิ้นให้หลุด แต่หาของอวิ๋นอิงกดทับอยู่บนร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า และเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ถูกตอกตะปูอยู่บนเขียง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเจอผีแล้ว!ทั้งที่นางผอมเช่นนี้ เหตุใดจึงมีแรงมากเช่นนี้?ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?ชาวบ้านก็ตะลึงเช่นกันอวิ๋นอิงอุ้มลูกสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ ก้มลง ยกฝ่ามืออีกข้าง เหวี่ยงไปที่ใบหน้าของอันธพาลโดยตรง“ข้าสั่งให้เจ้าเก็บ”เพียะ!“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”เพียะ!“หูหนวกหรือ?”เพียะ!หนึ่งประโยค หนึ่งฝ่ามือ ตบจนอันธพาลหันซ้ายหันขวา มุมปากแตกมีเลือดไหล หูอื้อ สะบักสะบอมเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ไม่หลงเหลือความฮึกเหิมของก่อนหน้านี้เลย“ลูกพี่!”ลิ่วล้อสามคนคว้าโต๊ะเก้าอี้และท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ฟาดไปทางอวิ๋นอิงอย่างแรงอวิ๋นอิงกระโดนหมุนตัวเตะพวกเขาสามคนจนลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร โดยไม่หั
ตงหลิงเจียงหนาน ทำเนียบสามเดือนที่พระชายาจากไป อ๋องเฉินเอาแต่เก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หานเฟิงต้องรับผิดชอบงานแทนทุกอย่าง เมื่อนานวันเข้า โลกภายนอกต่างกำลังคาดเดา จิตใจของอ๋องเฉินได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เกรงว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วช่วงนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้ก็ดีขึ้นแล้วอาการบาดเจ็บทางกระดูกหรือเส้นเอ็น ต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันในที่สุดกระดูกซี่โครงที่หักสองซี่ก็หายดีแล้ว สามารถขี่ม้าได้แล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่าจะนำทัพกลับแคว้นซีอวี้ทันทีแต่ก่อนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ“เหตุใดไม่เจอแม่นางอวิ๋นอิงเลย?”จ้านหูจริงจังขึ้นมาทันที เขาตอบ“องค์ชายใหญ่ ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้!”“ไม่ต้อง”หลังจากปฏิเสธอย่างเฉยเมย ปีนขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปคนเดียวแล้วจ้านหู “?”หมายความว่าอย่างไร?ตอนที่องค์ชายใหญ่หมดสติ แม้อวิ๋นอิงบอกว่าไม่สนใจ แต่แอบมาเยี่ยมองค์ชายใหญ่ตอนดึกดื่นเวลาที่ไม่มีคนองค์ชายใหญ่ก็อีกคน ทั้งที่คิดถึงอวิ๋นอิง แต่ไม่ยอมรับในใจของพวกเขาสองคนล้วนมีอีกฝ่าย ลูกสาวก็อายุเกือบครึ่งขวบแล้ว เหตุใดไม่ลองเปิดใจสักนิดแล้วอยู่ด้วยกันเลย
คืนแรกที่มาถึงต่างโลก ฉู่เชียนหลีฝันในความฝัน นางอยู่บนสนามรบ สู้จนตัวตาย เลือดไหลเป็นแม่น้ำ น่าสลดใจนัก…ในความฝัน นางได้ต่อสู้ร่วมกับชายคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่วมเป็นร่วมตาย และยังมีเสียงที่นุ่มนิ่มของเด็ก เรียก ‘ท่านแม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน ราวกับนางได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ หัวใจเจ็บปวด และพยายามอธิบายสุดชีวิต แต่พวกคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ครอบครัว’ ไม่เชื่อนาง และยังบีบคั้นนางสู่เส้นทางที่สิ้นหวังในความฝัน…มีคนกำลังเรียกนาง‘เชียนหลี…เชียนหลี…’ฉึก!ฉู่เชียนหลีลืมตาฉับพลัน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอากาศ สงบมากนางรู้สึกเวียนศีรษะ และแน่นหน้าอกราวกับนางอยู่ในความฝันอันยาวนานจริงๆนางได้รับความอยุติธรรมนางถูกคนในครอบครัวฆ่าตายแต่เหตุใดนางจำผู้ชายที่เรียกนาง และภาพที่เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ได้เลย“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”เมื่ออ้ายอ้ายได้ยินเสียง ถือกะละมังน้ำอุ่นกับเครื่องใช้เข้ามาปรนนิบัติฉู่เชียนหลีนวดขมับ อยู่ในอาการเหม่อลอย แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงขยับ ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง สวมรองเท้
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบฝนหมึกอย่างเชื่อฟังมองดูองค์หญิงรีบหยิบพู่กัน เขียนอะไรบางอย่าง ท่าทางที่รีบร้อนนั่น เมื่อก่อนเวลาที่นังเป็นห่วงคุณชายเซิ่น ยังไม่รีบร้อนเช่นนี้เลยองค์หญิงกระโดดสระน้ำ หมดสติไปสามวัน หลังจากฟื้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย?นิสัยเปลี่ยนไปน้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่เมื่อลองตั้งใจมอง องค์หญิงยังคงเป็นองค์หญิง ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยฉู่เชียนหลีเขียนอย่างรวดเร็ว…อ๋องเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยู่แคว้นหนานยวน…พลางเขียน พลางกล่าวอย่างรีบร้อน “รีบไปหาคน ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้อ๋องเฉินที่ตงหลิงเจียงหนาน”นางอยากบอกความจริงกับเฟิงเย่เสวียน ต่อให้ตนลืมแล้ว แต่เฟิงเย่เสวียนจำนางได้เขาจะต้องมาหานางแน่นอนไม่ช้าก็เร็วสักวัน พวกเขาครอบครัวสี่คนจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา“อ๋องเฉินแห่งตงหลิงเจียงหนาน?”สาวใช้เกาศีรษะด้วยความสงสัย “องค์หญิง ท่านส่งจดหมายให้อ๋องเฉินทำไม? ท่านรู้จักอ๋องเฉินตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรีบกล่าว“อธิบายกับเจ้าไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับอ๋องเฉินไม่ธรรมดา…อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินตงหลิง?”เงยหน้าฉับพลัน“ข้ารู้จักอ๋องเฉ
ทุกคน “...”สีหน้าฮ่องเต้หนานยวนดูไม่ดีนัก เซิ่ยซือเฉินเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เพื่อบัณฑิตคนหนึ่ง ต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้เลย ต้องตื่นเต้นเช่นนี้เลย?ในฐานะองค์หญิง ไม่ควรมองให้ไกลกว่านี้หน่อยหรือ?เพื่อป้องกันจวินลั่วยวนทำร้ายตัวเอง เขาออกคำสั่ง มัดมือและเท้าของนางโดยตรงจวินลั่วยวนขยับไม่ได้แล้วเห็นท่าทางที่จะยิ้มไม่ยิ้มของฉู่เชียนหลี และยังเลิกคิ้วอย่างยั่วยุ นางโมโหจนแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ไปจากตำหนักองค์หญิงฉู่เชียนหลีกับหลิงอี้ซิงเดินเคียงข้างกันจากไป เมื่ออารมณ์ดี จังหวะการเดินก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเบาๆฮัมไปฮัมมา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงอี้ซิงเป็นผู้มีจิตใจเมตตา อุทิศตนให้กับความดีและคุณธรรมหยุดฝีเท้าหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านน่าจะเห็นกระมัง ว่าข้าจงใจรังแกจวินลั่วยวน?”หลิงอี้ซิงเดินตามปกติ สายตามองไปข้างหน้า พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน ตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว“อืม”“ท่านไม่รู้สึกว่าข้านิสัยไม่ดีหรือ?”เขาหยุดเดินหันมามองนาง กล่าวอย่างจริงจัง “ที่เจ้ารังแกนาง นั่นก็ต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินเจ้าก่อนแน่นอน ล้วนเป็นความผิดของนาง”เขาไ
“ยวนเอ๋อร์! ยวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้หนานยวนร้อนใจจนหน้าถอดสี “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ยวนเอ๋อร์เสียเลือดมากเกินไป หมดสติไปแล้ว!”จวินลั่วยวนที่ ‘เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติ’ “...”เจ้าน่ะสิที่เสียเลือดมากเกินไปเจ้าเสียเลือดมากเกินไปทั้งครอบครัว!หมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากทำแผลให้จวินลั่วยวนเสร็จ ถอนหายใจด้วยความกังวล “สามเดือนแล้ว ในที่สุดเอ็นขององค์หญิงก็เชื่อมต่อกัน คิดไม่ถึงว่าขาดอีกแล้ว ความพยายามในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า” ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสามเดือน เปิดบาดแผล บำรุงเอ็นทุกวันเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำนี้ เบ้าตาแดงฉับพลัน“ล้วนเป็นความผิดของข้า…”นางดึงชายเสื้อของหลิงอี้ซิง กล่าวเสียงสะอึก“ท่านพี่ ข้ามันไม่ดี ต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณชายเซิ่นแน่ องค์โกรธข้า ไม่ชอบข้า จึงฟาดมือของตัวเองใส่เสา เพื่อเป็นการแสดงความรังเกียจต่อข้า”“ข้าทำร้ายนาง ฮือๆ…”หลิงอี้ซิงรักน้องสาว ทุกคนในแคว้นหนานยวนรู้เรื่องนี้แล้วฮ่องเต้หนานยวนกล่าวโทษนางได้อย่างไร?กลับกัน เขายังต้องขอร้องหลิงอี้ซิงทักษะการทำนายของหลิงอี้ซิงมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้ฟ้า ตลอดหลายปีที่เขานั่งตำแหน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง จวินลั่วยวนนอนหลับแล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน หน้าซีดซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง“เหตุใดข้อมือของนางยังมีเลือด?”สามเดือนแล้ว แผลยังไม่หาย?นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตอบ“หมอหลวงบอกว่า จะใช้ยาพิเศษรักษาเอ็นมือและเท้าที่ขาดขององค์หญิง จำเป็นต้องเปิดแผล ขยับเอ็นที่ขาดไปรวมกันทุกวัน จนกระทั่งเชื่อมต่อกัน”“ฮืม?”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ก็เท่ากับว่า จวินลั่วยวนต้องทนกับความเจ็บปวดที่ใช้มีดเปิดปากแผลทุกวันติดต่อกันสามเดือนเต็มๆ น่าสังเวชน่าจะเจ็บมากกระมัง?นางค่อยๆ นั่งลง จับข้อมือของจวินลั่วยวนเบาๆ มองผ้าพันแผลที่ถูกพันห้าหกรอบอย่างครุ่นคิดทันใดนั้นออกแรงกดที่นิ้ว“ซี้ด…!”จวินลั่วยวนเจ็บจนตื่น ลืมตาทันทีฉู่เชียนหลีรีบปล่อยมือ “โอ๊ย…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจแตะตัวท่าน ดูท่านเจ็บมากเลยนะ ขอโทษจริงๆ”“!”หลินเหยี่ยมาอยู่ในตำหนักของนางได้อย่างไร?นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้ที่สุด!อาศัยที่พี่ชายของตัวเองเป็นราชครู แสร้งทำเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ทำแต่ความดีทุกวัน มีแต่คนบอกว่าองค์หญ
เซิ่นสือเฉิน “?”เหตุใดวันนี้รู้สึกว่าหลิงเหยี่ยแปลกๆ?เมื่อก่อนนางชอบเขามากเลยไม่ใช่หรือ? เวลาที่เขาอ่านหนังสือ นางชอบมาอยู่ข้างๆ ฝนหมึกพัดลมให้เขา เวลาที่เขาเขียนหนังสือ นางชอบแอบที่นอกหน้าต่าง จับจิ้งหรีดเล่น เวลาที่เขางีบหลับ นางมักจะชงชาหิมะชั้นดีมาให้เขานางยังบอกว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเหตุใดแค่วันเดียว ก็ปล่อยวางได้แล้ว?“องค์หญิงหลิง ข้าขอโทษ” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดที่จริงเขาก็ชอบหลิงเหยี่ยเช่นกัน แต่องค์หญิงยวนบอกเขาว่าหลิงเหยี่ยนิสัยไม่ดี ชอบรังแกคนรับใช้ หาเรื่องชาวบ้าน ใส่ร้ายโยนความผิดให้ผู้อื่นด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ และทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายเขาเป็นคนเรียนหนังสือ นิสัยซื่อตรง ไม่สามารถยอมรับคนที่จิตใจอำมหิตอย่างหลิงเหยี่ยเมื่อเปรียบเทียบกัน เขาชอบจวินลั่วยวนที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และร่าเริงมากกว่า“เมื่อก่อนท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ช่วยข้าหาอาจารย์ ใช้เส้นสาย ทำให้ข้าสอบติดขุนนาง…บุญคุณส่วนนี้ ข้า ข้าทำได้เพียงตอบแทนท่านชาติหน้าแล้ว…”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”“ได้ยินมาว่าองค์หญิงยวนได้รับบาดเจ็บ พวกเราเข้าวังไปดูนางกันเ
องค์หญิง?คุณชายเซิ่น?ฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความทรงจำใดๆ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก สับสนและงงงวยเล็กน้อยยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงและเสียงต่อต้านดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าหลิง! ใต้เท้าหลิง ต่อให้ท่านบีบคั้นข้าจนตาย ข้าก็ไม่แต่งงานกับนาง!”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจข้ามีเพียงองค์หญิงยวนเอ๋อร์เท่านั้น!”ยวนเอ๋อร์?องค์หญิง?ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองไป เห็นชายหนุ่มสวมชุดเพ้าสีขาวและที่ครอบผมหยก กำลังลากผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเหมือนคนเรียนหนังสือเข้ามานางตระหนักถึงบางอย่าง รีบดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาถามเบาๆ“ที่นี่คือแคว้นหนานยวน?”สาวใช้ “?”องค์หญิงเป็นอะไรไป?เหตุใดถามคำถามเช่นนี้?“องค์หญิง ท่าน…”“อย่าพูดไร้สาระ ตอบข้า!”สาวใช้ตกใจ รีบกล่าว “ท่านคือหลิงเหยี่ย องค์หญิงต่างแซ่ของแคว้นหนานยวน ใต้เท้าคือมหาราชครูของแคว้นหนวนยวน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เพราะใต้เท้าชำนาญการทำนาย เคยช่วยแคว้นสามครั้ง สร้างคุณประโยชน์มากมาย ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต่างแซ่…”คำพูดที่เหลือ ฉู่เชียนหลีมองข้ามโดยตรงสิ่งเดียวที่นางคิดคือ นางถูกส่งมาเป็นองค์หญิงต่างแซ่ อีกท