เรือนหมิงเยว่เซียวจือฮว่าเพิ่งทำแผลที่มือเสร็จ ผ้าพันแผลที่ถูกพันอย่างหนามีรอยเปื้อนของคราบเลือด เบ้าตาของนางแดงก่ำ น้ำตาไหลเงียบๆนางไม่เข้าใจ เหตุใดจู่ๆ ฉู่เชียนหลีจึงได้ใจของท่านอ๋องยิ่งไม่เข้าใจ ตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เหตุใดจึงสูญเสียความโปรดปรานทั้งๆ ที่ท่านอ๋องโปรดปรานนางสิบปีเต็ม เหตุใดบอกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน?“นายหญิง ท่านอ๋องมาแล้วเจ้าค่ะ”นอกประตู เป่าอวี้พุ่งพรวดเข้ามาในห้องราวกับลูกธนู ใบหน้าปลื้มปีติเซียวจือฮว่าตะลึงงันก่อน จากนั้นก็ยิ้ม นางว่าแล้ว ท่านอ๋องดีกับนางเช่นนี้ จะเปลี่ยนไปได้อย่างไร? อาศัยแค่เรื่องที่นางแซ่เซียว นางก็เป็นคนสำคัญของท่านอ๋องทั้งชีวิตแล้วมุมปากเผยอขึ้นเล็กน้อย ฟังเสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามา น้ำตาที่ไหลออกจากตาก็ยิ่งมากขึ้น ดวงตาก็ยิ่งแดงเฟิงเย่เสวียนเดินเข้ามาพลันหัวไหล่ของนางกระตุก ร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิมทันทีเป่าอวี้ฉลาดมาก นางจงใจกล่าวเสียงดังต่อหน้าเฟิงเย่เสวียน“นายหญิง รอยแผลเป็นบนมือท่านรักษาไม่หายแล้ว ท่านน่าสังเวชยิ่งหนัก ท่านอุตส่าห์หวังดีไปเยี่ยมพระชายา กลับได้รับเคราะห์กรรมเช่นนี้ ฮือๆๆ…”เซียวจือฮว่าสะอึกสะอื้น น้ำ
วันรุ่งขึ้นฉู่เชียนหลีตื่นเช้ามาก หลังจากกินอาหารเช้าก็ออกจากจวนโดยทั่วไปแล้ว เพื่อความปลอดภัยและความเข้มงวดของจวนอ๋อง ทุกคนที่ออกจากจวนจำเป็นต้องได้รับป้ายอนุญาตผ่านทาง หรือไปรายงานท่านอ๋อง แต่เหมือนว่าพระชายาจะได้รับความโปรดปรานแล้ว ชั่วขณะทหารยามที่เฝ้าประตูจึงไม่มีใครขวางเมืองหลวง ท้องฟ้าสดใส กำลังอยู่ในช่วงคึกคักและที่ใดมีคน ที่นั่นก็มีคนสอดรู้เรื่องชาวบ้าน ชาวบ้านไม่น้อยที่กำลังสัญจรไปมาพลางยุ่งอยู่กับงานของตนเอง พลางสนทนาไปด้วย เนื้อหาคร่าวๆ คือ“อ๋องเฉินกำจัดโจรภูเขาไปแล้ว ร้ายกาจมาก ได้ยินมาว่าแม้แต่แม่ทัพหลี่ก็เอาโจรภูเขาพวกนี้ไม่ลง”“ท่านอ๋องเฉินสร้างผลงานอีกแล้ว ความสามารถของเขาเหนือคน มีความกล้ามีกลอุบาย พวกเราเลื่อมใสจากใจ…”“ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง ตอนปราบโจร เกิดไฟไหม้ใหญ่มาก อ๋องเฉินหนึ่งคนหนึ่งม้าหนึ่งกระบี่ เหยียบไฟกลับออกมาจากกองเพลิง ผาวสีหมึกปลิวว่อน ใบหน้าเยือกเย็นมีเสน่ห์ ราวกับเทพลงมาเยือน…”“สวรรค์!”การบรรยายภาพเหตุการณ์นี้ ทำเอาหญิงสาวกลุ่มหนึ่งใช้มือปิดแก้มกรี๊ดเสียงหลง ในดวงตาเต็มไปด้วยความรักและความปรารถนาฉู่เชียนหลีเดินผ่านจากด้านข้าง เพียงแค่
นางเดินเข้าไปนั่งลง “วันนี้ข้ามาเพื่อจะบอกพวกเจ้าว่า ข้าตั้งใจจะดำเนินกิจการโรงหมอแห่งนี้ พวกเจ้าจำเป็นต้องช่วยข้าจึงจะทำได้”ข้อหนึ่ง นางจะพัฒนากิจการของตนเอง สร้างรากฐานในต่างโลกข้อสอง นางไม่มีทางเลี้ยงคนกลุ่มหนึ่งที่กินฟรีดื่มฟรีโดยไม่ทำอะไรทุกคนเห็นด้วย โรงหมอช่วยชีวิตคนเป็นการทำความดี เป็นเรื่องที่สมควรทำ“คุณหนูต้องการอะไรพูดมาได้เลย พวกเราพร้อมรับคำสั่ง” จิ่งอี้กล่าวไม่ว่าจะต้องการตำราแพทย์อันล้ำเลิศ หรือวรยุทธ์ระดับแนวหน้า หรือร้านค้าชั้นสูงใจกลางเมืองหลวง ยาดีในหล้า ขอแค่คุณหนูต้องการ พวกเขาจะมอบให้ทั้งหมดฉู่เชียนหลีพยักหน้า หลังจากนั้นชี้ไปที่คนคนหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ พลางกล่าว“เจ้ารับผิดชอบจัดระเบียบยาสมุนไพร แยกพวกมันให้เป็นประเภท”ผู้ชายผอมที่ถูกชี้ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เขา? จัดระเบียบยาสมุนไพร? เขาเป็นถึงมือสังหารอันดับหนึ่งในยุทธภพเลยนะ!มือที่ถือกระบี่ฆ่าคนจะไปหยิบพู่กัน?“เจ้ารับผิดชอบแนวหลัง หุงข้าว”ผู้ชายอ้วนที่ถูกชี้ก็ตะลึงงันเช่นกันคุณหนู ท่านพูดจริงหรือ? ข้าเป็นถึงมือพิษยามรัตติกาลที่มีชื่อเสียงในยุทธภพ สิ่งของที่ใช้ลงมือล้วนเป็นพิษที่ร้ายแรงที่สุด…”
เฟิงเย่เสวียน!มีอาหารหลากหลายถูกวางอยู่บนโต๊ะ เป็นมื้อเบาที่อุดมไปด้วยสารอาหาร แต่เย็นหมดแล้ว เฟิงเย่เสวียนนั่งอยู่ข้างโต๊ะ กลิ่นอายรอบตัวเงียบและเยือกเย็นเป็นพิเศษเมื่อเห็นฉู่เชียนหลีกลับมา เขาเงยหน้าขึ้นมอง ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ“เยว่เอ๋อร์บอกว่าเจ้าออกไปทั้งวัน หายไปไหนมา?”เสียงทุ้มมาก ราวกับกำลังข่มอารมณ์เยว่เอ๋อร์ยืนอยู่ข้างๆ อย่างกระสับกระส่าย ก้มศีรษะ สองมือบีบชายเสื้อ กลัวเล็กน้อยท่านอ๋องรออยู่ที่นี่สองชั่วยามกว่าแล้ว อาหารบนโต๊ะก็อุ่นไปแล้วสี่รอบ…ฉู่เชียนหลีก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ถอดผ้าคลุมหน้าออกอย่างไม่ใส่ใจ โยนไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง “ไม่ได้ทำอะไร”พูดพลาง เดินไปที่หน้าชั้นวางของ ล้างหน้าแล้วเช็ดให้สะอาดเดินไปที่หน้ากระจกสัมฤทธิ์ ลูบๆ มองๆ อยู่หน้ากระจกสัมฤทธิ์สายตาของเฟิงเย่เสวียนจับจ้องไปที่นางตลอด ขยับไปตามการเดินของนางเขารอนางนานเช่นนี้ นางกลับมาก็เฉยเมยเช่นนี้เลย?มีไฟที่ไร้ชื่อสายหนึ่งผุดขึ้นในใจ แต่ก็สูดลมเข้าลึกๆ อย่างมีสติ ข่มเอาไว้ จึงจะกล่าว“ในเมื่อไม่สบาย ก็อยู่ในจวนดีๆ รอรอบเดือนผ่านไปก่อนแล้วค่อยออกไป”ฉู่เชียนหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “
ใบหน้าเล็กของเยว่เอ๋อร์ตกใจจนซีดขาวเล็กน้อย ร่างกายสั่นเทาเมื่อวานยังดีๆ อยู่เลย เหตุใดวันนี้จึงทะเลาะกันเช่นนี้?คำพูดฉู่เชียนหลีออกจากปาก อารมณ์ก็ขึ้นเช่นกัน เห็นใบหน้าของเฟิงเย่เสวียน ก็นึกถึงคำพูดของหานเฟิง นึกถึงแผนการของเขา นึกถึงเด็กหนุ่มผู้บริสุทธิ์ที่ถูกไฟคลอกตายที่ค่ายโจร…“เฟิงเย่เสวียน เป็นเจ้าที่อยากรอข้า แต่สุดท้ายกลับมาโยนความผิดให้ข้า โทษที่ข้ากลับมาช้า?”“ทำไม?”“ตามที่เจ้าพูด เจ้าเตะข้าคืนที่เจ้าแต่งอนุภรรยา หรือนี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่เป็นข้าที่ทำตัวต่ำ จงใจเอาร่างกายของตัวเองไปวางไว้ที่ใต้เท้าเจ้า?”สีหน้าของเฟิงเย่เสวียนดูย่ำแย่เป็นพิเศษขึ้นมาทันที“ตกลงเจ้าเป็นอะไรกันแน่?”ตอนอยู่ภูเขากว่างหนิงยังดีๆ อยู่เลย“ฉู่เชียนหลี หรือเจ้าลืมคำพูดที่พวกเราเคยคุยกันและเคยทำในถ้ำไปแล้ว…”“พอที!” ฉู่เชียนหลีพูดขัดเสียงดัง “เรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่ต้องพูดถึงอีก ข้าง่วงแล้ว”นางยกเท้าจะเดิน กลับถูกเฟิงเย่เสวียนดึงกลับมา“วันนี้ต้องพูดให้รู้เรื่อง!”“ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้า”“ฉู่เชียนหลี!”“ปล่อยข้า!”“ตกลงข้าทำอะไรผิด!”ระหว่างที่ทั้งสองโต้เถียง หนังสือเล็กๆ
วันรุ่งขึ้นวันนี้ฉู่เชียนหลีอยากออกจากจวน แต่กลับถูกขวางเอาไว้“พระชายา ไม่ได้รับอนุญาตจากท่านอ๋อง ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกจวนขอรับ” ทหารยามที่เฝ้าประตูยื่นมือออกมาขวางคนไว้ฉู่เชียนหลีหัวเราะทำไม?คิดจะขังนาง?นางไม่ใช่นกในกรงเสียหน่อย และยิ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่มีอิสระกระทั่งออกจากจวน? “แล้วถ้าข้าจะออกไปให้ได้ล่ะ” นางกล่าวถามกลับทหารยามก้มศีรษะ “พระชายาโปรดอย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลยขอรับ”“ทำไมถึงเป็นข้าที่ทำให้พวกเจ้าลำบากใจ? เห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องทำให้พวกเจ้าลำบากใจ” ฉู่เชียนหลีพูดจบ ก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก“พระชายา…”“ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครกล้าขวางข้า?”กวาดสายตามองอย่างเย็นชา ราวกับลูกธนูที่แหลมคม ทำให้มือที่ยื่นออกไปของทหารยามทั้งสองคนหยุดชะงัก ไม่กล้าก้าวออกไปข้างหน้าแม้แต่ครึ่งก้าวทันทีปัจจุบัน พระชายาได้รับความโปรดปราน สถานะไม่เหมือนเมื่อก่อนพวกเขาไม่กล้าละเลยสิ้นเสียงฉู่เชียนหลี นางก้าวเขาข้ามธรณีประตูไปอย่างลำพองทหารยามหมดหนทาง “รีบไปรายงานท่านอ๋อง”ออกจากจวนฉู่เชียนหลีไปบ้านหลังหนึ่งที่เรียบง่ายและเปลี่ยว เพื่อเยี่ยมผู้ชายที่ได้รับบาดเจ็บที่ขาคนนั้น
ฉู่เชียนหลีเบิกตาเล็กน้อย“ก็เพราะข้าไม่ยอมไปงานเลี้ยงฉลองครบรอบแต่งงานห้าสิบปี เจ้าก็เลยส่งคนไปตีขาของเขาหักทั้งสองข้าง…”ความตะลึงงันปรากฏขึ้นในแววตาของนาง มองดูผู้ชายตรงหน้า ราวกับเป็นปีศาจอสุรกายนั่นไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานนั่นเป็นมนุษย์เป็นๆ ที่มีชีวิตนะ! “เฟิงเย่เสวียน คนคนนั้นเป็นมนุษย์! หรือว่าในสายตาของเจ้า ชีวิตมนุษย์ไร้ค่าเหมือนต้นหญ้า บอกฆ่าก็ฆ่าเลย บอกตายก็ตายเลย!”มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นไข่มุกในฝ่ามือของบิดามารดา มีเลือดมีเนื้อ ไม่ใช่สุนัขหรือแมว!ผู้ชายคนนี้ ควบคู่กับเด็กหนุ่มที่ถูกเผาตายในค่ายโจร และรวมถึงความเฉยเมยไม่แยแสของเขา ฉู่เชียนหลีในฐานะที่เป็นหมอแทบเป็นบ้าแล้ว“เจ้ามันคนบ้า! เจ้ายัดเยียดสุขโกรธของตัวเองลงบนตัวคนอื่น ดึงดันทำตามใจตัวเอง วิธีการโหดเหี้ยม เจ้าไม่ใช่คน!”ใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกคนแตกต่างอะไรกับพวกขุนนางโกงกินเอาผลประโยชน์ส่วนรวมไปเป็นของตัวเอง?เฟิงเย่เสวียนเปิดริมฝีปากบาง เสียงสายหนึ่งดังอยู่ในลำคอเหอะ!ในที่สุดนางก็พูดความในใจออกมาแล้วในสายตาของนาง เขามันน่ารังเกียจ ไร้ยางอายและอัปลักษณ์เช่นนี้นี่เอง!“ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกับคนบ้าที่โหดเห
เฟิงเย่เสวียนกดนางไว้ด้วยมือข้างเดียวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง มืออีกข้างที่ว่างโอบเอวบางของนาง มือลูบไปที่หน้าท้อง จับผ้าคาดเอว พลันกระชาก“ปล่อยข้า!”“ข้าไม่เอา!”ฉู่เชียนหลีดิ้นรนอย่างสุดชีวิต นางไม่มีทางมีความสัมพันธ์กับผู้ชายที่ตัวเองไม่ได้ชอบเฟิงเย่เสวียนเหลือบมองนางจากเบื้องสูง “ผู้หญิงเป็นคนปากไม่ตรงกับใจเสมอ บอกว่าไม่เอา ก็คือจะเอา”ฉู่เชียนหลีโมโหจนดวงตาแดงก่ำ“เจ้าไปหาเซียวจือฮว่า อย่าทำข้า!”นางเกลียดนางโมโหนางไม่อยากกลายเป็นของเล่นของผู้ชาย“เหตุใดจึงทำหน้าเหมือนถูกขืนใจ?” เฟิงเย่เสวียนจับเสื้อผ้าบนไหล่ของนาง พลันดึงลงข้างล่าง “ตอนอยู่ในถ้ำภูเขากว่างหนิง เจ้าตอบสนองข้าอยู่นะ!”“เฟิงเย่เสวียน!”อย่าพูดถึงเรื่องของภูเขากว่างหนิง!นึกถึงกระโดดหน้าผา นึกถึงถ้ำ นึกถึงการจงใจวางแผนของเขา และความซาบซึ้งที่นางไม่รู้อะไรเลย คิดเพียงอยากตบตนเองให้ตายในฝ่ามือเดียวนางโง่เขลายิ่งนัก!นางกลับเชื่อว่าหมาป่าที่กินเนื้อมนุษย์มีความรู้สึก!“ปล่อยข้า! หากเจ้ากล้าแตะต้องข้าแม้แต่ปลายนิ้ว ข้าฆ่าเจ้าแน่!” นางออกแรงทั้งหมดในร่างกาย ดิ้นรนจนเส้นเลือดปูดขึ้นที่หน้าผาก เบ้าตายิ่งแดงก่
เมื่อพรรคของอ๋องหลีได้ยินเช่นนี้ ก็กลัวทันทีดูท่าทีของพระชายาอ๋องเฉิน นี่กำลังจะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ในวังชัดๆ!ฆ่าคนติดต่อกันสองคน ไม่กระพริบตาแม้แต่ทีเดียวเลือดกระเซ็นโดนใบหน้า ก็เย็นเฉียบท่าทางที่ชั่วร้ายเหมือนปีศาจนั่น ทำให้ขุนนางหลายคนเกิดความกลัว ลองถามคนทั่วหล้า จะมีสักกี่คนที่ไม่กลัว? อยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวพวกเขาไม่อยากตายขุนนางคนหนึ่งกลัวจนพูดติดอ่าง“อ๋อง อ๋องหลี…อย่างไรเด็กที่อยู่ในมือท่านก็เป็นพระนัดดาองค์โต เป็นสายเลือดของราชวงศ์ ถ้าหากฆ่าเขา ในวันข้างหน้า มลทินของท่านจะถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ เกรงว่าจะถูกคนรุ่นหลังด่าทอต่อๆ กันเป็นหมื่นปี”ขุนนางอีกคนก็กล่าวเสียงสั่น“อ๋องเฉินโปรดพิจารณา…”ถ้าหากสู้กันจริงๆ พวกเขาสู้ไม่ไหวอ๋องเฉินมีฮ่องเต้หนุนหลัง มีกองทัพ มีกำลังทหาร อ๋องเฉินเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกด้านในมืออ๋องหลี นอกจากพระนัดดาองค์โต ก็ไม่มีเบี้ยอย่างอื่นแล้ว อีกทั้ง ทหารรักษาพระองค์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ทหารองครักษ์เงาของอ๋องเฉินเมื่อไรที่สู้กัน พวกเขาจะตายกันหมดไม่จำเป็นต้องตายไปครั้งหนึ่ง บางครั้ง เมื่อเห็นว่าพอแล้วก
เฟิงเย่เสวียนแค่ขมวดคิ้วทีหนึ่ง ก็ข่มความเจ็บปวดนี้ลงไปผู้บัญชาการจางฟาดอย่างดุร้ายลองคิดดูเขาที่เป็นขุนนางคนหนึ่ง สามารถใช้แส้ฟาดองค์ชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด นี่เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเพียงใด พูดคำนี้ออกไป เขาสามารถอวดสามสิบปียิ่งฟาดยิ่งรู้สึกสนุก ยิ่งฟาดยิ่งแรงเพี๊ยะ!เพี๊ยะๆๆ!ทุกคนร้อนใจจนกระทืบเท้า แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป อ๋องหลีบ้าไปแล้ว เขาไม่ใช่อ๋องหลีที่เข้าถึงได้ง่ายอีกแล้ว!ฉู่เชียนหลีเพิ่งคิดจะกระโจนเข้าไป ก็ถูกอ๋องหลีสั่งให้คนคุมตัวไปยืนอยู่ข้างๆ บังคับให้นางมองดูต่อหน้าต่อตา“ฉู่เชียนหลี ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าจะต้องเสียใจ คนไร้ประโยชน์อย่างเฟิงเย่เสวียน แม้แต่ลูกชายก็ปกป้องไม่ได้ มีประโยชน์อะไร”แววตาเฟิงเจิ้งหลีเปล่งแสงที่บ้าคลั่ง“เขาเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ ฝ่าบาทจะให้ความสำคัญกับคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร? ฉู่เชียนหลี เจ้าว่าเจ้าตาบอดใช่หรือไม่? เจ้าดูสภาพที่สะบักสะบอมของเขาตอนนี้ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง เจ้าก็ยังชอบเขา เช่นนั้นเจ้าก็เป็นสุนัขตัวเมียที่แพศยา”เขายิ้มอย่างชั่วร้าย สิ่งที่พูดออกมายิ่งไม่น่าฟังทุกคนตาแดง อยากพุ่งเข้าไปสับอ๋องหลีเป็นชิ้นๆ เสีย
ผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่งอหัวเข่า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอ๋องหลีอย่างตั้งตรง แม้อยู่ต่ำกว่า แต่ความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากคุกเข่าให้ฮ่องเต้และบรรพชน พวกเขาไม่เคยเห็นอ๋องเฉินคุกเข่าให้ใครเฟิงเจิ้งหลีเห็นดังนี้ แหงนหน้าหัวเราะ“ฮ่าๆๆ!”คิดไม่ถึงจริงๆ เขาจะมีวันนี้ด้วยลูกชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่โปรดปรานที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด และยังถูกทุกคนรังแก ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาสาแก่ใจจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ เฟิงเย่เสวียน เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!”หัวเราะเสร็จ เขารู้สึกว่าความเย่อหยิ่งของอ๋องเฉินมันขัดตาทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องคุกเข่า เหตุใดยังอวดดีหยิ่งผยองเช่นนี้?เขาออกคำสั่ง “ก้มหัวเจ้าลงไป”เฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ก้มศีรษะลงเขาออกคำสั่งอีกครั้ง “โขกศีรษะ!”“อ๋องหลี ท่านอย่ารังแกให้มันมากนัก! ท่านกับท่านอ๋องของเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านรับการโขกหัวจากเขาไม่ได้! ไม่กลัวบรรพชนรู้แล้ว อายุสั้นหรือ!” พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความโกรธเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกผู้บัญชาการจางถีบจนล้มลงพื้นหลังจากล้มลง ก
“ปล่อยคนของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว คืนลูกให้ข้า” ฉู่เชียนหลีจ้องเขาเฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ท่าทางที่ร้องไห้จนหน้าแดง เห็นแล้วปวดใจนักคิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ?เขายิ้ม“ฉู่เชียนหลี เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ?”“?”“……”“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า? เด็กอยู่ในมือข้า เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสอนข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร?”สีหน้าฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมทันทีเห็นได้ชัด เขาได้คืบจะเอาศอก“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”“ข้าหรือ” เขาเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม กวาดมองทุกคน และตำหนักอันหรูหราหลังนี้ วังหลวงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แผ่นดินที่ดีเช่นนี้เขาต้องการอะไร ยังต้องให้พูดอีกหรือ?แต่ว่า มองดูท่าทางที่ร้อนใจของฉู่เชียนหลี เขาเกิดอยากสนุก ต้องการระบายความคับข้องใจที่ได้รับในสองวันนี้ออกมาให้หมดลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าว“อยากได้ลูกคืน ไม่มีปัญหา มันก็ต้องดูว่าอ๋องเฉินมีความจริงใจหรือไม่”เงียบไปครู่หนึ่ง“อืม หรือไม่อ๋องเฉินคุกเข่า โขกหัวให้ข้าสามครั้ง ข้าก็คืนลูกให้เจ้า เป็นอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีโมโหแล้วด้วยนิสัยที่ยอมหนึ่งก้าว จะเอาสิบก้าวข
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู
พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอก“หยุดนะ…”“อย่าเข้ามา!”ฉู่เจียวเจียวถอยหลังสามก้าว มือซ้ายจับเด็ก มือขวาถือมีดสั้น มีดสั้นที่แวววาวจ่ออยู่บนผิวอันบอบบางของเด็ก กรีดจนรอยเลือดออกแล้วเลือดไหลออกมาแล้ว“จู่ๆ เจ้าก็มาเป็นห่วงข้า และยังพยายามอยากอุ้มลูกทุกวิถีทาง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดี”นางยิ้มอย่างเย็นชา“เหอะ! ดูเหมือนฮ่องเต้ที่แกไม่ตายสักทีนั่นเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเจ้าสินะ!”ไอ้แก่ เป็นอัมพาตเฉียบพลันยังไม่ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอีกต่อให้รู้ความจริงแล้วอย่างไร?ชีวิตของเด็กคนนี้อยู่ในมือนาง“ฉู่เชียนหลีนะฉู่เชียนหลี เจ้าคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวข้า ข้าเลี้ยงลูกชายเจ้า และก็ต้องขอบคุณลูกชายคนดีคนนี้ของเจ้า กลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญของอ๋องหลี” นางเผยอมุมปาก รอยยิ้มนั้นน่ากลัวมากฉู่เชียนหลียืนตัวแข็งอยู่ตรงที่เดิม ไม่กล้าขยับ“เจ้าต้องการอะไร?”ฉู่เชียนหลีจ้องมีดสั้นในมือนาง กลัวว่านางจะพลั้งเผลอกรีดโดนคอของเด็กตั้งครรภ์สิบเดือนลูกชายเป็นก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่ตกลงมาจากร่างกายนางนางไม่กล้าเดิมพัน และเดิมพันไม่ไหวฉู่เจียวเจียวกล่าว “ข้าต้องก
กลางดึกกำลังถึงช่วงที่คนเงียบสงบ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ตำหนักเจาหยางราวกับคลื่นยักษ์ ตอนที่ใกล้จะถึง ฉู่เชียนหลีตวาดสั่งให้พวกเขาหยุด“พวกเจ้าอยู่ห่างๆ อยากเข้าใกล้!”พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “พระชายา พวกเราต้องไปเอาพระนัดดาองค์โตกลับมา นั่นเป็นเลือดเนื้อของท่านกับท่านอ๋องนะ”“ข้ารู้!”ก็เพราะรู้ จึงไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้“ไปทำอะไรคนเยอะแยะ ถ้าหากบีบจนฉู่เจียวเจียวไม่มีทางเลือก นางทำอะไรขึ้นมา…”ฉู่เชียนหลีแทบจะเป็นบ้าแล้ว ร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทั้งร้อนใจทั้งไม่สบายใจ น้ำเสียงก็ค่อนข้างฉุนเฉียวไม่อยากพูดมาก วิ่งเข้าไปในตำหนักเจาหยางเพียงลำพัง คนอื่นรออยู่ที่ข้างนอก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามภายในตำหนักฉู่เจียวเจียวกำลังกล่อมจื่อเยี่ย ฉู่เจียวเจียวมาแล้ว นางมองเด็กน้อยที่อ้วนสมบูรณ์ กล่าวโดยไม่เงยหน้า“พระชายาอ๋องเฉิน ลูกของข้าเพิ่งนอนหลับ ”โปรดให้อภัย ข้าอุ้มเขาไว้ ร่างกายหนัก ไม่สะดวกลุกขึ้นยืน สายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่ตัวเด็กเด็กน้อยอ้วนสมบูรณ์ ใบหน้าจ้ำม่ำ คิ้วละเอียดอ่อน หน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู คล้ายเฟิงเจิ้งเว่ยซีแปดส่วนเหตุใดเมื่อก่อนนางไม่สังเกต
อวิ๋นอิงถูกนางทำเอาตกใจจนหน้าซีด รีบถาม“พระชายา มีอะไรหรือ? เหตุใดกะทันหันเช่นนี้?”“รีบไป!”มือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีเย็นเฉียบ เสียงนั้นเกือบจะคำรามออกมา แม้แต่คอก็กำลังสั่นสะเทือนคนข้างล่างไม่กล้ารอช้า รีบไปตามหาคนทันทีเฟิงเย่เสวียนประหม่า “เชียนหลี นี่เจ้าเป็นอะไร?”“ข้าอาจจะเข้าใจผิด อาจจะทำผิดพลาด ข้าอาจจะ…ข้า ข้า…” ฉู่เชียนหลีพูดวนไม่ปะติดปะต่อ พูดอยู่ดีๆ เบ้าตาก็แดงแล้วหัวใจเหมือนถูกแมวข่วน กระสับกระส่ายนางกุมเสื้อตรงหน้าอก หายใจอย่างอึดอัดขออย่าให้มันเป็นเรื่องจริง…ขออย่า…นางทรมานจังนางไม่ใช่แม่ที่ดี กลัวรู้ความจริง แต่ก็อยากรู้ความจริงหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ผู้คนร้อยกว่าคนเข้าวังในคืนนั้น มีคนของจวนอ๋องเฉิน หมอ หมอตำแย ผู้ช่วยหมอ และยังมีองครักษ์ลับ ทหารยาม หมอหญิงเว่ยก็อยู่เมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อน ตอนที่ฉู่เชียนหลีคลอดลูก คนเหล่านี้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนเมื่อฉู่เชียนหลีเห็นพวกเขา รีบถามทันที“วันที่ข้าคลอดลูก เคยมีคนแปลกหน้ามาหรือไม่?”ทุกคนหันมองกันและกัน ล้วนส่ายศีรษะ“พระชายา เรื่องสำคัญอย่างท่านคลอดลูก พวกเราจับตาดูอย่างเข้มงวด ในจวนมีแต่คนข
นางกำนัลรีบนำพู่กันมาฉู่เชียนหลีเอาพู่กันจุ่มน้ำหมึก แล้วใส่ในมือฮ่องเต้ร่างกายของฮ่องเต้เป็นอัมพาต ไม่ควบคุมมือไม่ได้ ไม่สามารถจับพู่กันด้วยซ้ำ ปากของเขาเบี้ยว ใช้แรงทั้งหมดหนีบด้ามพู่กันด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลาง อาศัยแรงกระตุกของร่างกาย ลงพู่กันบนกระดาษอย่างเบี้ยวไปเบี้ยวมาเพียงไม่กี่ขีด เขียนอย่างยากลำบาก บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อแนวเฉียง…แนวตั้ง…สองคำ ทั้งหมดสี่ขีดเขียนเสร็จ พู่กันก็ร่วงตกบนพื้น เขาเหนื่อยจนหอบบนเตียง ขยับไม่ได้อีกแล้ว“ลูกชาย…” อวิ๋นอิงอุทานเบาๆ “คนที่ฝ่าบาทคิดถึงคือลูกชาย?”ฉู่เชียนหลีถือกระดาษ แม้สองคำนี้เขียนได้คดเคี้ยวมาก แต่เนื่องจากลายเส้นเรียบง่าย จึงมองออกในปราดเดียวว่ามันคือคำว่า ‘ลูกชาย’นี่เขาอยากบอกอะไรนาง?“หรือเป็นอ๋องหลี?” อวิ๋นอิงคาดเดาฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะโดยไม่ต้องคิด“อ๋องหลีวางยาพิษเขา กบฏวังชิงราชบัลลังก์ มีความทะเยอทะยาน ฝ่าบาทไม่มีทางคิดถึงอ๋องหลี”นางกล่าววิเคราะห์“ส่วนอ๋องหลีหลังจากขึ้นบัลลังก์ ไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ องค์ชายท่านอื่นอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอันตราย ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางคิดถึงองค์ชายท่านอื่น”อวิ๋