พริบตานั้น ร่างกายฉู่เชียนหลีสั่นสะท้าน ราวกับเกิดอาการหูแว่วจงใจ…กระโดดหน้าผา?ภายในห้องหนังสือ เสียงของหานเฟิงดังต่อเนื่อง“มันไม่ง่ายเลยที่ท่านจะมาถึงวันนี้ แบกรับหน้าที่อันใหญ่หลวงไว้เช่นนั้น กลับเล่นกับเรื่องที่อันตรายเช่นนี้ หากเกิดอะไรขึ้น…”“พระชายาสามารถแต่งใหม่ พวกโจรภูเขาฆ่าแล้วก็สิ้นเรื่อง แต่ความปลอดภัยของท่าน…”จงใจ…เล่น…คำพูดของหานเฟิงยังคงดัง เสียงเบามาก แต่ทุกคำพูดทุกอักษร ล้วนลอยเข้าหูฉู่เชียนหลีอย่างชัดเจนจงใจ…นางรู้สึกเพียงแน่นหน้าอก ภายในศีรษะว่างเปล่า ร่างกายเย็นวูบตั้งแต่หัวจรดเท้าเฟิงเย่เสวียนจงใจกระโดดหน้าผา แสดงบทหนีเอาชีวิตรอดจากความตายเป็นเพื่อนนาง ในความเป็นจริงเขามีความมั่นใจต่อเรื่องนี้อยู่แล้ว ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายอะไรนั่น ความอ่อนโยนก่อนตายอะไรนั่น ล้วนเป็นของปลอมทั้งสิ้นเขาจงใจกระโดดหน้าผา ก่อให้เกิดเรื่องที่ตามมาทีหลัง เด็กหนุ่มคนนั้นก็อยู่ในการคำนวณของเขาเช่นกันทั้งหมดนี้คือการหลอกลวง!นางคิดว่า…คิดว่าเขาสามารถกระโดดหน้าผาเพื่อนาง และตายเพื่อนางโดยไม่คำนึงถึงตนเอง เพื่อปกป้องนางแล้ว ยอมเสียสละทุกสิ่
“พระชายา ดื่มชาขิงร้อนๆ อุ่นท้องเจ้าค่ะ”“บ่าวจะไปนำผ้าห่มมาคลุมให้อีกผืนนะเจ้าคะ”“พระชายา น้ำแกงใกล้จะเสร็จแล้ว เมื่อก่อนเวลาท่านไม่สบายรอบเดือนมา เมื่อดื่มน้ำแกงเมล็ดบัวขิงแก่ที่บ่าวทำก็จะหายปวดทันที!”ในลาน จุดเตาไฟขนาดเล็กเยว่เอ๋อร์นั่งยองอยู่ข้างหน้าเตา ถือพัดไว้ในมือหนึ่งเล่ม พัดไฟเป็นระยะ พลันเปิดฝาหม้อดูแล้วก็พัดต่อ ร้อนจนใบหน้าเล็กมีเม็ดเหงื่อขนาดใหญ่ไหลฉู่เชียนหลีนั่งพิงอยู่บนเตียง นางงอขากอดตัวเอง คางพาดอยู่บนหัวเข่า มองดูแผ่นหลังที่กำลังยุ่งของสาวใช้ตัวน้อย รู้สึกแสบที่ปลายจมูกชีวิตนี้สามารถทรยศผู้ชายทุกคน แต่สำหรับเยว่เอ๋อร์ แม้ตายก็ต้องทำให้นางใช้ชีวิตโดยปราศจากความกังวล ครอบครัวสุขสบาย ลูกหลานล้อมรอบมองไปมองมา สายตาก็เริ่มอดไม่ได้ที่จะพร่ามัว ระหว่างใจลอย ภาพบางภาพปรากฏขึ้นตรงหน้า‘เชียนหลี มานี่ หากสามารถหนีรอดออกไปได้ ข้าจะมอบคืนแต่งงานใหม่ที่สมบูรณ์แบบให้เจ้า’‘เชียนหลี รอหลังจากออกไปแล้ว พวกเราใช้ชีวิตธรรมดาเหมือนคู่สามีภรรยาทั่วไปดีหรือไม่?’‘เชียนหลี…’‘นายท่าน ทั้งๆ ที่ท่านสามารถปราบโจรภูเขา เหตุใดต้องจงใจกระโดดหน้าผา…’จงใจกระโดดหน้าผา…เล่นละคร
เซียวจือฮว่าเงยหน้ามอง เห็นฉู่เชียนหลีเดินออกมาพลาง ผูกเสื้อผาวของตนเองเมื่อเห็นฉู่เชียนหลี นางก็นึกถึงตอนที่ท่านอ๋องกลับจวน อุ้มฉู่เชียนหลีกลับมาด้วยมือตัวเอง และถึงขั้นมองข้ามนาง…มีความเกลียดชังอันลึกซึ้งสายหนึ่งแล่นผ่านแววตานางอย่างคลุมเครือพริบตาเดียวก็หายไปจากนั้นยิ้มอย่างอ่อนโยน “พี่หญิงล้อเล่นแล้ว น้องหญิงจะต้มน้ำแกงเป็นได้อย่างไร?”ให้นางลงมือต้มน้ำแกง?ฉู่เชียนหลีกินแล้วไม่กลัวอายุสั้นหรือ?ฉู่เชียนหลีเหลือบมองนางอย่างเฉยเมย “ทำลายของของข้า ชดใช้แล้วจึงจะนับว่าขอโทษ หากแค่พูดเพียงลมปาก เช่นนั้นข้าฆ่าเจ้าแล้วค่อยขอโทษ ก็ไม่เป็นอะไรแล้วอย่างนั้นหรือ?”สีหน้าเซียวจือฮว่าชะงักทันทีนี่ฉู่เชียนหลีจะประจันหน้ากับนางหรือ?ถือดีที่ท่านอ๋องอุ้มนางกลับจวน ได้รับความโปรดปรานชั่วขณะ ก็กล้ามาอวดดีต่อหน้านางแล้ว?นางเป็นถึงผู้หญิงที่อยู่เคียงข้างท่านอ๋องมาเป็นเวลาสิบปีเต็มในสายตาของท่านอ๋อง ฉู่เชียนหลีที่อัปลักษณ์เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบก็เท่านั้น นางเซียวจือฮว่าจึงจะเป็นคนที่อยู่ในใจของท่านอ๋องเชอะ!“ข้าไม่ได้ตั้งใจ และได้ขอโทษไปแล้ว เหตุใดท่านต้องบีบคั้นกันเช่นนี้…” นางหลุ
เสียงอันเย็นชากระแทกลงมา ร่างเพรียวบางของฉู่เชียนหลียืนอยู่ตรงนั้น เยือกเย็น มองเหยียด สูงส่ง ระหว่างคิ้วมีกลิ่นอายที่บีบคั้นแฝงอยู่ เหมือนดอกไม้บนยอดเขาที่ไม่สามารถเข้าใกล้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตะลึงงันนี่…นี่ยังใช่พระชายาอ๋องเฉินฉู่เชียนหลีที่ขี้ขลาด มีปมด้อย อัปลักษณ์ ไม่กล้าพบหน้าผู้คนในอดีตหรือไม่?ผ่านไปครู่หนึ่งเซียวจือฮว่าจึงจะหวนคืนสติอย่างฉับพลัน ฝ่ามือสั่นเครือ เจ็บปวดอย่างรุนแรงจนดวงตาแดงก่ำ น้ำตาไหลพราก“พี่หญิง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของข้าเอง ข้าทำให้ท่านไม่พอใจ บาดเจ็บก็เพราะข้ารนหาที่เอง ข้าไม่กล้าตำหนิท่าน…”เสียงที่สั่นเครือนั้นมีความเจ็บปวดแฝงอยู่ พร้อมกับสูดลมเย็นเข้าปอด ทำให้ผู้คนปวดใจและในเวลานี้เอง มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นที่นอกเรือนเซียวจือฮว่ายิ่งร้องไห้หนัก “ขอแค่พี่หญิงมีความสุข ข้าตายก็ไม่เสียดาย…”“ท่านอ๋อง!”เป่าอวี้เห็นร่างเงาสีหมึกที่เดินเข้ามา ตาเป็นประกาย ราวกับมองเห็นที่พึ่งสุดท้าย พุ่งพรวดออกไปคุกเข่าลงกับพื้น พลางร้องห่มร้องไห้“ท่านอ๋อง ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับนายหญิงของบ่าวนะเจ้าคะ!”เยว่เอ๋อร์ประหม่าทันที รีบวิ่งไปข้
เซียวจือฮว่าชะงักพูดอะไรไม่ออกทันที ไม่มีคำโต้แย้งแม้แต่คำเดียวหากโต้แย้ง เช่นนั้นภาพลักษณ์ดอกไม้สีขาวที่ใจกว้าง รู้ความ และมีน้ำใจเมื่อครู่ของนางก็จะถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์แต่บาดแผลที่สาหัสเช่นนี้ จะเจ็บตัวเปล่าหรือ?น่าโมโห!โมโหจนร้องไห้!โมโหจนตาย!ในใจของเซียวจือฮว่าแทบโมโหจนจะร้องไห้ แต่ใบหน้ากลับต้องรักษาท่าทางที่อ่อนโยนไว้และรู้ความไว้ อดกลั้นความเจ็บปวดบนมือ ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ร่างกายที่ผอมบางแทบโอนเอนยืนไม่มั่นคง“นายหญิง…” เป่าอวี้ก้าวออกมาประคองนางอย่างทะนุถนอมเมื่อเห็นเลือดนั่น ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำทันที“นายหญิง มือของท่าน…เกรงว่าจะทิ้งรอยแผลเป็น…”ด้านข้าง เยว่เอ๋อร์เห็นท่านอ๋องปกป้องพระชายา ความมั่นใจเต็มเปี่ยม ก้าวเท้ายาวออกไปข้างหน้า พลางกล่าวเสียงดัง“เป่าอวี้ เจ้าไม่ใช่หมอเสียหน่อย รู้เรื่องที่จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้หรือไม่ทิ้งได้อย่างไร? แม้แต่พระชายารองเซียวก็บอกว่าไม่เป็นอะไรแล้ว หรือเจ้าหวังอยากให้พระชายารองเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”ถามกลับประโยคเดียว โยนความผิดทั้งหมดไปให้เป่าอวี้เป่าอวี้ตระหนกตกใจ “ท่านอ๋อง บ่าวไม่ได้มีเจตนาเช่นนี้!”นางเป็นเพียงสาวใช้
“หมอมาแล้วว่าอย่างไรบ้าง?” เฟิงเย่เสวียนถามเยว่เอ๋อร์ด้านข้าง เยว่เอ๋อร์มองพระชายาก่อนแวบหนึ่ง จึงจะถอนสายบัวกล่าวตอบ “หมอบอกว่าพระชายาได้รับความตกใจเล็กน้อย ควบคู่กับเป็นช่วงเวลาพิเศษ โลหิตค่อนข้างจาง จำเป็นต้องพักผ่อนให้มาก ห้ามโดนความเย็นเจ้าค่ะ”จู่ๆ ท่านอ๋องก็เป็นห่วงพระชายาราวกับผู้ชายคนก่อนที่เคยรังเกียจและลงมือกับพระชายาไม่ใช่ท่านอ๋อง… “ไปเอาน้ำแกงที่ห้องครัว” ตอนเขามา ได้สั่งให้ห้องครัวทำน้ำแกงนกพิราบพุทราแดง ตอนนี้น่าจะต้มได้ที่แล้วฉู่เชียนหลีหลับตาไว้ รู้สึกอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวกะทันหันได้ยินเสียงของเฟิงเย่เสวียน ได้เห็นใบหน้าของเขา มันทำให้นางอดนึกถึงท่าทางที่ตายอย่างน่าอนาถของเด็กหนุ่มไม่ได้…มือที่กำผ้าห่มแน่นขึ้นหลายส่วน สูดลมเข้าลึกๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“ข้าไม่อยากดื่ม อยากนอนสักงีบ”เฟิงเย่เสวียนโน้มตัว สามารถมองเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของนาง มองอารมณ์ในแววตาของนางไม่ชัด เขากล่าว“ดื่มแล้วค่อยนอน อุ่นท้องเสียหน่อย ช่วยทำให้สบายขึ้น”“ข้าบอกว่าข้าไม่อยากดื่ม” เสียงของนางเย็นชาลงหลายส่วน“เชียนหลี…”“ข้าพูดยังชัดเจนไม่พออีกหรือ” นางได้พูดส่งแขกแล้
เรือนหมิงเยว่เซียวจือฮว่าเพิ่งทำแผลที่มือเสร็จ ผ้าพันแผลที่ถูกพันอย่างหนามีรอยเปื้อนของคราบเลือด เบ้าตาของนางแดงก่ำ น้ำตาไหลเงียบๆนางไม่เข้าใจ เหตุใดจู่ๆ ฉู่เชียนหลีจึงได้ใจของท่านอ๋องยิ่งไม่เข้าใจ ตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เหตุใดจึงสูญเสียความโปรดปรานทั้งๆ ที่ท่านอ๋องโปรดปรานนางสิบปีเต็ม เหตุใดบอกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยน?“นายหญิง ท่านอ๋องมาแล้วเจ้าค่ะ”นอกประตู เป่าอวี้พุ่งพรวดเข้ามาในห้องราวกับลูกธนู ใบหน้าปลื้มปีติเซียวจือฮว่าตะลึงงันก่อน จากนั้นก็ยิ้ม นางว่าแล้ว ท่านอ๋องดีกับนางเช่นนี้ จะเปลี่ยนไปได้อย่างไร? อาศัยแค่เรื่องที่นางแซ่เซียว นางก็เป็นคนสำคัญของท่านอ๋องทั้งชีวิตแล้วมุมปากเผยอขึ้นเล็กน้อย ฟังเสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามา น้ำตาที่ไหลออกจากตาก็ยิ่งมากขึ้น ดวงตาก็ยิ่งแดงเฟิงเย่เสวียนเดินเข้ามาพลันหัวไหล่ของนางกระตุก ร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิมทันทีเป่าอวี้ฉลาดมาก นางจงใจกล่าวเสียงดังต่อหน้าเฟิงเย่เสวียน“นายหญิง รอยแผลเป็นบนมือท่านรักษาไม่หายแล้ว ท่านน่าสังเวชยิ่งหนัก ท่านอุตส่าห์หวังดีไปเยี่ยมพระชายา กลับได้รับเคราะห์กรรมเช่นนี้ ฮือๆๆ…”เซียวจือฮว่าสะอึกสะอื้น น้ำ
วันรุ่งขึ้นฉู่เชียนหลีตื่นเช้ามาก หลังจากกินอาหารเช้าก็ออกจากจวนโดยทั่วไปแล้ว เพื่อความปลอดภัยและความเข้มงวดของจวนอ๋อง ทุกคนที่ออกจากจวนจำเป็นต้องได้รับป้ายอนุญาตผ่านทาง หรือไปรายงานท่านอ๋อง แต่เหมือนว่าพระชายาจะได้รับความโปรดปรานแล้ว ชั่วขณะทหารยามที่เฝ้าประตูจึงไม่มีใครขวางเมืองหลวง ท้องฟ้าสดใส กำลังอยู่ในช่วงคึกคักและที่ใดมีคน ที่นั่นก็มีคนสอดรู้เรื่องชาวบ้าน ชาวบ้านไม่น้อยที่กำลังสัญจรไปมาพลางยุ่งอยู่กับงานของตนเอง พลางสนทนาไปด้วย เนื้อหาคร่าวๆ คือ“อ๋องเฉินกำจัดโจรภูเขาไปแล้ว ร้ายกาจมาก ได้ยินมาว่าแม้แต่แม่ทัพหลี่ก็เอาโจรภูเขาพวกนี้ไม่ลง”“ท่านอ๋องเฉินสร้างผลงานอีกแล้ว ความสามารถของเขาเหนือคน มีความกล้ามีกลอุบาย พวกเราเลื่อมใสจากใจ…”“ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง ตอนปราบโจร เกิดไฟไหม้ใหญ่มาก อ๋องเฉินหนึ่งคนหนึ่งม้าหนึ่งกระบี่ เหยียบไฟกลับออกมาจากกองเพลิง ผาวสีหมึกปลิวว่อน ใบหน้าเยือกเย็นมีเสน่ห์ ราวกับเทพลงมาเยือน…”“สวรรค์!”การบรรยายภาพเหตุการณ์นี้ ทำเอาหญิงสาวกลุ่มหนึ่งใช้มือปิดแก้มกรี๊ดเสียงหลง ในดวงตาเต็มไปด้วยความรักและความปรารถนาฉู่เชียนหลีเดินผ่านจากด้านข้าง เพียงแค่
คืนแรกที่ออกจากเมืองหลวงฉู่เชียนหลีนอนไม่หลับ…เมืองหลวงอันไกลโพ้นที่อยู่อีกฟากของแม่น้ำอูหลาน วังหลวงจุดเทียนสว่างไสวในยามค่ำคืนที่มืดมิด เหล่านางกำนัลถือโคมไฟ ก้มหน้าเดินผ่านยังเงียบๆ ไม่มีใครกล้าพูดมากตำหนักเจาหยางทุกที่มืดมิด ไร้ผู้คน และไม่มีเทียนแม้แต่เล่มเดียว เหมือนกับถูกความมืดกลืนกิน เงียบราวกับดินแดนไร้ผู้คนแต่ท่ามกลางความมืดนั่น กลับมีเสียงหายใจเย็นๆ สายหนึ่งเบาจนแทบไม่ได้ยิน เฟิงเจิ้งหลีนั่งอยู่บนบันได ร่างกายของเขากลมกลืนกับความมืดจนมองเห็นแทบไม่ชัด ดวงตาคู่นั้นฉายแสงในความมืด ราวกับจมอยู่ในเหวลึกอันไร้ที่สิ้นสุดในอดีตที่นี่เคยมีเสียงหัวเราะของเด็กๆ เคยมีรอยยิ้มของนาง ท่าทางที่อ่อนโยนของนาง และเสียงอันนุ่มนวลที่พูดคุยกับเขา ภาพเหล่านั้นเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานทั้งหมดยังคงอยู่ในสมองของเขา ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาชัดเจนมากตราตรึงมากนางเคยพูด อยู่ข้างกายเขา รู้สึกสบายใจมากนางเคยพูด จื่อเยี่ยชอบเขา นางก็จะดีกับเขานางเคยพูด…คำพูดไพเราะนางเป็นคนพูด เรื่องใจร้ายก็นางเป็นคนทำล้วนเป็นนาง!ฉู่เชียนหลี!โกหกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเชื่อครั้งแล้วครั้
“คุณหนูอย่าคิดมาก แม้องค์หญิงแคว้นหนานยวนท่านนี้น่ารังเกียจไปบ้าง แต่นางทำงานเสร็จ ก็น่าจะกลับแคว้นแล้ว ก็แค่เจอกันชั่วคราว ทำอะไรไม่ได้หรอก” จิ่งอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมฉู่เชียนหลีไม่ได้คิดมากอย่างไรก็ตามผู้ชายอย่างเฟิงเย่เสวียนที่อายุยังน้อย รูปร่างหน้าตาโดดเด่น มีฐานะมีอิทธิพล สมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง มีผู้หญิงมากมายชอบก็เป็นเรื่องปกติถ้านางจะถือสา คนมากมายเช่นนั้น จะถือสาไหวได้อย่างไร?นางนึกถึงเรื่องของกู่แพทย์ มองจิ่งอี้อย่างจริงจัง เห็นสีหน้าของเขาค่อนข้างซีดเหมือนคนป่วย ก็รู้แล้วว่าเขากำลังใช้ร่างกายตัวเองเลี้ยงกู้แพทย์“เลี้ยงรอดหรือไม่?” นางถามเบาๆมีการบันทึกในตำราโบราณ กู่แพทย์ชนิดนี้อ่อนแอเลี้ยงยาก เผลอไม่ระวังนิดเดียวก็จะตาย สิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้ก็เปล่าประโยชน์จิ่งอี้หลุบตา เสียงเบามาก“เลี้ยงแล้วสามสิบกว่าตัว ในที่สุดก็เลี้ยงรอดสองตัว…”กู่แพทย์สองตัวนี้ ตอนนี้ถูกเขาเก็บไว้ในหน้าอก พกติดตัวไปทุกที่ ต่อให้เป็นเวลานอน ก็จะนำออกมาดูเป็นระยะกลัวว่าพลั้งเผลอนิดเดียว พวกมันก็จะตายฉู่เชียนหลีเหลือบมอง “อวิ๋นอิงรู้หรือไม่?”“นางไม่รู้ขอรับ คุณหนู อย่าพูดถ
เป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีใบหน้างดงาม การแต่งกายดูขี้เล่นแต่ยังคงสูงศักดิ์ มัดมวยผมและถักเปียหางม้า ซึ่งบ่งบอกว่านางยังไม่แต่งงาน กระโดดออกมาปรากฏตัว ท่าทางที่สดใสร่าเริงนั่น ทำให้ดูเข้าถึงได้ง่ายมากฉู่เชียนหลีเหลือบมอง“เจ้าคือ…”“ข้าชื่อจวินลั่วยวน เป็นองค์หญิงแคว้นหนานยวน”นางแนะนำตัวเอง เสียงนั่นเหมือนนกขมิ้นที่บินออกจากหุบเขา สดใสไพเราะ“อ๋องเฉินกับฮ่องเต้ตงหลิงสู้กัน เสด็จพ่อให้ข้ามาช่วยอ๋องเฉินที่เจียงหนาน ก็เพราะข้าแทรกแซง ฮ่องเต้ตงหลิงจึงให้ความสำคัญกับศึกเมืองเทียนสู่เป็นพิเศษ และลงสนามรบด้วยตัวเอง”ไม่เช่นนั้น ยังไม่สามารถล่อฮ่องเต้ตงหลิงออกมาได้ล่อเสือออกจากถ้ำ พระชายาอ๋องเฉินจึงสามารถกลับมาอย่างปลอดภัยพูดถึงก็ล้วนเป็นผลงานของนางฉู่เชียนหลีเข้าใจแล้วองค์หญิงของแคว้นหนานยวนท่านนี้ ได้ยินมานานแล้วว่าเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของฮ่องเต้หนานยวน เป็นแก้วตาดวงใจที่เหมือนไข่มุกงามบนฝ่ามือ ถูกเอาใจใส่อย่างดีตั้งแต่เด็ก“รบกวนองค์หญิงแล้ว” นางพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ถือเป็นมารยาทจวินลั่วยวนประหลาดใจเล็กน้อย “?”แค่นี้?ไม่มีแล้ว?พูดแค่สี่คำก็แสดงความขอบค
เด็กน้อยที่ดูกลัวๆ ในตอนแรก เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหมือนกับเจอที่พึ่งพิง เบ้าตาแดงก่ำ มุดเข้าไปในอ้อมแขนของนาง“อุแว้!”ร้องไห้เสียงดังนางกลัวมากแม่ของนางไม่อยู่ นางถูกคนรับใช้โยนไปโยนมา กินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ และยังไม่กล้าร้องไห้ เพราะไม่มีใครกล่อมนางอย่างอ่อนโยนและอดทนเหมือนท่านแม่ในที่สุดก็ได้กลิ่นที่คุ้นเคยแล้วไม่สามารถควบคุมความน้อยใจที่กดเอาไว้ได้อีกต่อไป ปล่อยโฮร้องไห้“ฮือๆ…”สองมือจับเสื้อฉู่เชียนหลี มุดเข้าไปในอกของนางก็ร้องไห้อวิ๋นอิงยกมือขวาขึ้น รีบรับรองทันที “พระชายาวางใจได้ ตอนที่ท่านไม่อยู่ พวกเราดูแลลู่ฉินอย่างดี ไม่มีใครรังแกนางแน่นอน นางน่าจะคิดถึงท่านมาก จึงร้องไห้เช่นนี้”“ท่านไม่รู้หรอก แม้ลู่ฉินยังเล็ก แต่นางรู้ว่าใครเป็นใคร นางจะเอาท่านคนเดียว พึ่งพาท่าน คิดถึงท่าน”หัวใจฉู่เชียนหลีละลายตั้งแต่เด็กคนนี้เกิดมา นางเลี้ยงเองกับมือมาโดยตลอด และความเชื่อใจและการพึ่งพาที่เด็กมีต่อนาง ก็คือการตอบแทนที่ดีที่สุด“ไม่ร้องนะ”นางเช็ดน้ำตาเบาๆ “แม่กลับมาแล้ว ต่อไปจะไม่ไปอีกแล้ว”ในเมื่อเฟิงเจิ้งหลีกับฉู่เจียวเจียวไม่เอาเด็กคนนี้ นางเลี้ยงเอง“แม่…”เสียง
ท้ายที่สุดเฟิงเจิ้งหลีก็ไม่ได้ลงมือกองทัพทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันในระยะไกลทั้งเช่นนี้เฟิงเย่เสวียนกอดฉู่เชียนหลีไว้ จับเชือกบังเหียนม้าแน่น ขี่ม้าจากไปเฟิงเจิ้งหลียืนอยู่ที่ข้างแม่น้ำ ร่างกายที่บอบบางถูกลมเย็นพัดจนเสื้อคลุมพลิ้วไหว สีหน้าซีดเผือด แววตาอ่อนล้า มุมปากยังมีคราบเลือด ยืนมองนิ่งๆ ทั้งเช่นนี้…มอง…รอหลังจากขบวนของอ๋องเฉินหายลับตา เขายังคงยืนอยู่ข้างแม่น้ำ เนิ่นนานก็ไม่ขยับสองเท้าหนักเหมือนถูกถ่วงด้วยตะกั่ว สายตามองตรงไปข้างหน้ากลิ่นอายรอบตัวขรึมมาก สีหน้าแยกไม่ออกว่าดีใจหรือโกรธชั่วขณะ ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากหรือเข้าไป…เจียงหนาน เมืองน้ำ[1] อากาศเย็นสบาย สภาพแวดล้อมดีมากขบวนตรงไปที่ทำเนียบ“ท่านอ๋องกลับมาแล้ว!”“พระชายา?!”เมื่อคนที่เข้ามาต้อนรับเห็นฉู่เชียนหลี แต่ละคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อน แต่หลังจากนั้นก็ดีใจ“พระชายากลับมาแล้ว!”“พระชายากลับมาแล้ว!”เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังก้องไปทั่วท้องฟ้า จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย ข่าวแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วอวิ๋นอิง จิ่งอี้ เฟิ่งหราน คนมากมายรีบมาไม่เจอครึ่งปี มิตรภาพยังคงอยู่“พระชายา ในที่สุ
แสงแห่งรุ่งอรุณยามเช้าริบหรี่เวลาหนึ่งคืนเดียว เร่งเดินทางจากเมืองหลวงไปยังแม่น้ำอูหลาน ในช่วงที่ฟ้าใกล้สว่าง คนทั้งกลุ่มข้ามแม่น้ำเมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง จุดที่ไกลออกไป มีขบวนอีกกลุ่มมุ่งหน้ามาอย่างเร่งรีบราวกับกระแสน้ำ สายลมเย็นยามเช้าพัดผ่าน เหมือนกับทัพใหญ่เข้าใกล้ชายแดน บรรยากาศที่กดดันอบอวลกลางอากาศหานเฟิง “นายท่าน อ๋องหลีมาแล้ว…”ขบวนสองกลุ่ม พบกันที่แม่น้ำอูหลานเฟิงเย่เสวียนอยู่บนสะพานเฟิงเจิ้งหลีอยู่บนฝั่งหยาดน้ำฟ้าตก สายน้ำไหลเชี่ยว สาดซัดเข้าฝั่ง หยดน้ำกระเซ็น ในอากาศเต็มไปด้วยความหนาวเย็น สองพี่น้องยืนสบตากันจากระยะที่ห่างกันหลายเมตรอยู่ไกลเกินไป แทบมองไม่เห็นอะไรเลยแต่ก็เหมือนกับว่าพวกเขามองเห็นอีกฝ่ายอย่างชัดเจน ใช้สายตาประลองกันเงียบๆ“ฝ่าบาท” รองแม่ทัพเอ่ยปาก “นี่คือโอกาสดีในการกำจัดอ๋องเฉิน ถือโอกาสตอนที่พวกเขายังอยู่บนสะพาน พวกเราระเบิดสะพาน ให้พวกเขาตกลงไปในน้ำที่ไหลเชี่ยว ไม่ตายก็เหลือแค่ครึ่งชีวิตแน่นอน!”เขาคิดว่า นี่เป็นวิธีที่เหมาะสมมากอ๋องเฉินข้ามสะพานไปครึ่งหนึ่งแล้ว ต่อให้วิ่งไปอีกฝั่งของแม่น้ำ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งก้านธูปเวลาครึ่ง
“เป็นไปได้อย่างไร?”นางกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เมื่อห้าวันก่อน ข้าคุยกับเขาแล้ว และจัดการทุกอย่างไว้ให้เขาแล้ว เขาสามารถออกจากวังอย่างราบรื่น นอกเสียจาก…”จู่ๆ นางก็เข้าใจอะไรบางอย่าง เสียงค่อยๆ เบาลงเฟิงเย่เสวียนกล่าวต่อ“เขาไม่อยากไป”ใช่!ไท่ซ่างหวงไม่อยากไปมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยังอาลัยอาวรณ์ หรือเพราะสาเหตุอื่น เขาจึงเลือกที่จะอยู่เมืองหลวงแต่ถ้าหากเขาอยู่เมืองหลวง เฟิงเจิ้งหลีต้องหาเรื่องเขาแน่นอนฉู่เชียนหลีเป็นห่วง หลังจากครุ่นคิด ก็เดินออกไปข้างนอกแล้ว“ไม่ได้ ข้าต้องกลับวังหลวง ทิ้งเขาไว้ในเมืองหลวงเพียงลำพังไม่ได้”“ไม่ทันแล้ว”เฟิงเย่เสวียนจับข้อมือของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “การเคลื่อนไหวเมื่อครู่ทำให้ทุกคนรู้ตัวแล้ว เกรงว่าตอนนี้คนสนิทของเฟิงเย่เสวียนกำลังมา เขาก็อยู่ระหว่างทางกลับเช่นกัน เสียเวลาไม่ได้แล้ว”กำลังหลักของเขาอยู่ที่เจียงหนานไม่เหมาะที่จะอยู่เมืองหลวงนาน ครึ่งปีมานี้ วิธีการของเฟิงเจิ้งหลีเหี้ยมโหด กำจัดพวกต่อต้าน รวบอำนาจเข้าด้วยกัน เมืองหลวงเป็นถิ่นของเขา อยู่ในถิ่นของเขา พวกเขาเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ
“อ๋อง อ๋องเฉิน…”มองดูเฟิงเย่เสวียนเดินเข้ามาทีละก้าว ร่างกายผู้บัญชาการจางหดเกร็ง เพิ่งอ้าปาก ก็ได้ยินเสียงแหวกอากาศที่เฉียบคมดังขึ้นเพี๊ยะ!“อ่า!”แส้สีดำแหวกอากาศ ฟาดไปที่ใบหน้าผู้บัญชาการจางตั้งแต่หน้าผากถึงจะจมูกและคาง มีรอยสีเลือดปรากฏขึ้นทั้งลึกทั้งน่ากลัวเขากุมใบหน้า ขดตัวด้วยความเจ็บปวด เสียงกรีดร้องราวกับหมูถูกฆ่า ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้ ก็โดนฟาดอีกครั้ง“อ่า!”แผ่นหลัง เจ็บอย่างรุนแรงเสื้อผ้าฉีกขาด ผิวหนังปรี่แตกเพี๊ยะเพี๊ยะๆ!“ช่วยด้วย…อ่า!”“อ๊ะ…โปรด โปรดไว้ชีวิต….อ่า!”ผู้บัญชาการจางอยากโต้ตอบ แต่เขาไม่มีโอกาสนี้ และไม่มีความสามารถนี้ อยู่ต่อหน้าเฟิงเย่เสวียน ก็เหมือนกับลูกไก่ตัวหนึ่ง ทำอะไรไม่ได้เลยเขาเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาพื้นไม่มีใครกล้าเข้าไปเหมือนกับที่ผู้บัญชาการจางฟาดเฟิงเย่เสวียนเมื่อครึ่งปีก่อน เฟิงเย่เสวียนฟาดคืนด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบและยังเหี้ยมโหดกว่าด้วยหลังจากถูกฟาดไปหลายสีที ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าเละจนจำไม่ได้ผู้บัญชาการจางทั้งเจ็บทั้งกลัว ประมาณว่ากลัวจนถึงขีดสุด ฟางเส้นสุดท้ายขาด กุมศีรษะกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด“เฟิงเย่เ
เฟิงเย่เสวียน!“อ๋องเฉิน?!”“เฟิงเย่เสวียน!”เมื่อร่างเงาสีหมึกสายนั้นร่อนลงบนพื้นอย่างมั่นคง และใบหน้าที่คุ้นเคยแผ่กลิ่นอายอันเย็นเยือก ทุกคนเบิกตากว้างด้วยความตะลึงตกใจประหลาดใจคิดไม่ถึงผ่านไปครึ่งปี อ๋องเฉินกลับถึงเมืองหลวงอีกครั้ง ก้าวสู่บ้านเกิดที่คุ้นเคยแห่งนี้ฉู่เชียนหลีไม่เจอเขามาครึ่งปีเต็มๆ แวบแรก ก็มองเห็นหนวดที่อยู่ใต้คางของเขาแล้วทั้งๆ ที่เพิ่งอายุยี่สิบห้าปี ยังหนุ่ม สุขุม หนักแน่น หนวดสีดำนั่นดูไม่เข้ากับใบหน้าของเขาเลยแปลกๆตลกสบตากันผ่านผู้คนมากมายนางมองเห็นเขาในฝูงชนตั้งแต่แวบแรก แล้วเขาจะมองไม่เห็นนางตั้งแต่แวบแรกหรือ? เขาพุ่งพรวดเข้ามากอดนางไว้ในอ้อมกอด กระชับแขนกอดนางไว้แน่น หมื่นพันคำพูด ทั้งหมดอยู่ในอ้อมกอดที่แน่นหนานี้ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด กลับสื่อความหมายออกมาทั้งหมดการกอดคือสิ่งที่ทำให้รู้สึกปลอดภัยที่สุด“อีอา!”จื่อเยี่ยน้อยยังถูกฉู่เชียนหลีอุ้มไว้ในอ้อมแขนบิดากอดมารดา ประกบเขาไว้ตรงกลาง ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก โดยเฉพาะหนวดที่อยู่ใต้คาง ตามใบหน้าของเขาจนแดงก่ำแล้วผู้ชายบ้าที่ไหนเนี่ย!โมโห!โบกกำปั้นน้อยๆ ตีใส่ใบหน้าของเฟ