แม้ว่ามันจะหวาดกลัวเขาด้วยสัญชาตญาณสัตว์ ที่บอกว่ามันควรหนีไปซะ แต่ศักดิ์ศรีของหมาป่าบอกมันให้สู้ ด้วยความโง่เพียงพริบตา พวกมันรุมกระโจนเข้าหามู่หรงลู่เฉิน กางเขี้ยวเล็บอ้าปากใช้ฟันแหลมคมกัดเหยื่อเท่าที่จะทำได้
แต่เกราะลมปราณที่แข็งแกร่ง สะท้อนกลับกระแทกฝูงหมาป่ากระเด็นเกลือกกลิ้งบนพื้น สายตาเย็นชาเหี้ยมเกรียมจ้องมองเหล่าหมาป่าที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กระบี่ไท่เวยกระบี่ประจำตัวองค์รัชทายาทราชอาณาจักรซีเว่ยถูกชักออกจากฝัก ฟาดฟันแทงทะลุอกหมาป่าจนตาย อย่างมีเกียรติที่ได้ทิ้งชีวิตใต้คมกระบี่เล่มนี้หึ…มู่หรงลู่เฉินจากไปพร้อมจิ้งจกแดงในอ้อมอก ลอยเหนือพื้นกลับสู่เทียนถูหวู่ด้วยกระบี่ไท่เวย เบื้องหลังเต็มไปด้วยซากศพหมาป่านองเลือดที่ตายอย่างทารุณสาสมกับสิ่งที่พวกมันคิดจะกระทำเลวทราม ..ที่แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังยอมรับก้อนขนสีน้ำตาลปุย ๆ ขนแหว่งเป็นจุดวิ่งดุ๊กดิ๊กหลบฝ่าเท้าใหญ่ไปมา คอยฟังบทสนทนาของมนุษย์ ใช่แล้วมันคืออดีตมนุษย์ผู้หนึ่งมีนามว่า ไต้กู้ซวน ศิษย์สายในอันดับสูงผู้ที่ไม่เคยเห็นผู้ใดในสายตา มจู่ ๆ เจ้าสัตว์สี่ขาก็สั่นไปทั้งตัว ขาหน้ายกขึ้นกุมหัวหมายจะทึ้งขน เคร่งเครียดกว่านี้ไม่มีอีกแล้วถ้าหนังหน้ามันไม่มีขนฟู ๆ ปกคลุม สีหน้ามันตอนนี้คงซีดขาวยิ่งกว่าซากศพ ตอนนี้มันหวั่นใจไม่น้อยว่า มันกำลังจะกลายเป็นศพนี่มันเอาความหาญกล้าจากที่ใด กล้าปะทะประมือกับท่านอ๋องผู้เลื่องชื่อ กี่หัวมันคงรักษาไว้ไม่พอ ชีวิตนี้มันคงไม่ได้อยู่อย่างสงบ!โอ้…นี่มันโง่งมขนาดไหนกัน อยู่ดีไม่ว่าดี จูงคออยู่เองไปวางบนเขียงพร้อมมีดให้ท่านอ๋องบัดซบเชือดคนผู้นั้นที่แท้จริงแล้วคือ ชินอ๋องจอมบัดซบที่ใครคิดแตะต้องล้วนเจอหายนะไม่มีผู้ใดได้มีชีวิตที่ดีได้สักราย ถ้าแหมไปแหย่เท้าท่านอ๋องผู้นี้นักเลงอันธพาลที่ว่าแน่จริง ยังยอมก้มหัวนับถือชินอ๋องมู่หรงเยี่ยหยางเป็นลูกพี่ใหญ่เสนาบดีขุนนางที่พยายามกำจัดเขาต่างไม่ตายดี ที่รอดมาก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อขณะไทเฮายังโอ๋ทะนุถนอมโอบอุ้มเป็นอย่างดี ฮ่องเต้ยังหลับตาปิดข้างหนึ่งนี่มันไปกระตุ้นตัวหายนะโอ๊ย... ชีวิตนี้มันต้องวิบัติแน่เลยสุนัขตัวเดียวในห้องยืนอึ้ง
“เปิ่นหวางไม่สาปเจ้าพร่ำเพรื่อให้เปลืองพลังเวทหรอก” เยี่ยหยางปลอบให้อีกฝ่ายหายเกรง แต่ผู้ที่เคยโดนฤทธิ์เดชกลับกลายเป็นคำขู่ “พูดมาเถอะ”“ขอรับ เพราะข้าน้อยรู้ผิดรู้ชอบสำนึกตัว” ไต้กู้ซวนไม่กล้าเล่นลูกไม้ยืดเยื้อเอ่ยเป็นเพียงหกคำ“อืม ฉีเจิ้งเจ้าว่าไง”“เด็กมันสำนึกผิด เรื่องก็แล้วกันไปเถอะ แต่…” หวงฉีเจิ้งไม่ได้โกธรแค้นไต้กู้ซวนมากนัก เพราะเขาจะเก็บดอกทบต้นกับตัวต้นเหตุ ถ้าเขาไม่โดนทำร้ายตั้งแต่แรกไต้กู้ซวนก็ทำอะไรเขาไม่ได้“เปิ่นหวางจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่กลายเป็นพวกไร้สมองอีก”“ข้าขอสาบานต่อสวรรค์เบื้องหน้าท่านทั้งสอง” ไต้กู้ซวนยืนยันหนักแน่น “ท่านอ๋อง ทาสผู้นั้นอาการเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”“เจ้าอยากเจอเขา?” ฉีเจิ้งถาม“ใช่ขอรับ”“มีอะไรก็พูดมา ข้าคือทาสที่โดนเจ้าแตะเองล่ะ” หวงฉีเจิ้งที่ไม่ได้ปิดบังนัตย์ตาสีอำพันจ้องหน้าคุยกับไต้กู้ซวนที่อึ้งจนตาแทบถลนหลุดจากเป้า จ้องโจทก์ที่เขาไม่ดูตาม้าตาเรือเข้าไปหา
แม้ว่าหน้าตาอาหารจะไม่คุ้นเคยในสายตาของไต้กู้ซวนก็ตาม แต่รสชาติอร่อยกว่าเป็นไหน ๆ เขากินมากเท่าที่จะกินได้ มีโอกาสทานของอร่อยที่ชาตินี้ยังไม่เคยลิ้มลองก็ต้องกินให้มากหน่อย เก็บไว้นึกถึงรสชาติในภายหลังจะได้ไม่เสียใจในที่สุดผู้อดอาหารมาวันหนึ่งก็เติมอาหารเต็มท้อง เจ้าภาพทั้งสองก็แห้งไปพอสมควร วันหลังถ้าพวกเขาคิดจะเลี้ยงข้าวใครคงต้องคิดให้หนักคิดให้มากกว่านี้“ข้าจะถอนคำสาปให้เจ้ากับเพื่อน ๆ ที่น่ารักแล้ว ตอนนี้คงนอนอยู่ที่ห้อง พวกนั้นจะจำเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ค่อยได้เรื่องจริงจะเป็นดั่งฝัน แต่ความรู้สึกการเป็นน้องหมายังอยู่ และข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่โง่กลับเป็นพวกสารเลวไร้รสนิยมแบบเก่า” เยี่ยหยางบอก“จะเลวทั้งทีต้องเลวให้สุด จำไว้เลวบัดซบกับชั่วช้าสามัญมันคนละความหมาย อย่าเป็นเป็ดที่บินก็ไม่ได้ว่ายน้ำก็ไม่เป็น”ไต้กู้ซวนพยักหน้ารับรู้ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจเรียนรู้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกแปลก ๆ กับบางประโยค เยี่ยหยางยังคงสอนต่อ “ถ้าเจ้าไม่มีตัวอย่างในชีวิต เปิ่นหวางขอเสนอตัวเองเป็นแบบอย่างว่า เปิ่นหวางเลือกที่จะเป็นคนเลวบัดซบที่แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังยอมรับ”ศิษย์คนแรกของเยี่ยหยางมองอาจารย์อย่างเป็นประก
“ไปกันเลย”เยี่ยหยางปฏิเสธยังไม่ทันจบ ลู่เฉินก็พูดขึ้นเสียงเรียบให้เยี่ยหยางกลับคำแล้วมุ่งหน้าไปหอที่ว่าทันที นำหน้าลู่เฉินที่เดินตามรั้งท้ายพูดประโยคก่อนหน้าให้จบ ทั้ง ๆ ที่น้ำยาหลายหม้อกำลังเดือดปุด ๆ อยู่ด้านใน ทิ้งให้มันเคี่ยวตัวเอง รีบไปทำหน้าที่ตัวบัดซบแห่งราชอาณาจักรซีเว่ยอย่างช่วยไม่ได้“…ข้าจะเขียนจดหมายหาเสด็จพ่อเรื่องที่ญาติผู้พี่สามารถศึกษาที่เทียนถูหวู่ได้” มู่หรงลู่เฉินพูดจบประโยคก็ส่ายหน้าเอือมให้กับนิสัยญาติผู้พี่ตอนนี้เยี่ยหยางอยู่ในหอนี้มาสามชั่วยามแล้ว ใครจะรู้เหตุผลที่ทำให้ชินอ๋องผู้เกียจคร้านจับเจ่านั่งอ่านตำราได้เป็นเวลานาน และลู่เฉินก็ไม่ขอหาเหตุผลนั่น ถ้าทำให้ญาติผ้พี่อยู่อย่างสงบในทางที่ถูกที่ควรเขาก็ควรสนับสนุนเหตุผลที่ใครก็ไม่อยากคาดเดาเพียงแค่...ข้าเบื่อเสียงบ่นของพังพอนตัวเหลือง ถ้าข้าทำตัวมุ้งมิ้งน่ารักเชื่อฟังพวกอาจารย์บ้าพลัง ข้าก็จะไม่ถูกเรียกตัวกลับไป การไม่ต้องฟังเสียงบ่นหวี่ ๆ ของเสด็จอาทุกสามเวลาหลังอาหารช่วยให้ข้าเจริญอาหารมากขึ้น…แม้ว่าความจริงสิ่งที่ชินอ๋องทำเพียงมองปากผู้ครองบัลลังก์อ้าปากพงาบ ๆ ไม่ได้ยินเสียง เพราะเขาตัดเสียงรบกวนชวนเวียนห
“ข้าก็เหมือนกัน เจ้ามาทีหลังก็รอไปสิ มีสิทธิพิเศษใดมาสั่งให้ข้ามอบตำรานี้ให้เจ้าอ่านก่อน”เยี่ยหยางเองก็ประสบเหตุเช่นเดียวกัน ไม่รู้ทำไมเขาต้องมาตกอยู่ในสภาพเดียวกับคุณชายจูงี่เง่า แม้ว่าเขาจะมีฉบับคัดลอกที่เหมือนกันทุกประการแม้กระทั่งรอยเปื้อนน้ำลายที่ตราประทับไว้ศิษย์ที่รู้พลังอำนาจเบื้องหลังของหลี่เจิ้นสุ่ยต่างกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากแม้พวกเขาจะถอยตัวเองออกห่าง ๆ ห่างให้มากที่สุดและแอบสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ เพื่อไปพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน ย้ายตัวเองออกจากที่เกิดเหตุหลบลูกหลงที่อาจบินมาได้ทุกเมื่อเพราะพวกเขายังไม่เคยเห็นผู้ใดหาญกล้ายืนเถียงฉอด ๆ อย่างศิษย์น้องใหม่สองคนนี้ที่อยู่กลางวงรอบข้างไร้สิ่งกีดขวาง“ข้าต้องการตำราพยัคฆ์เร้นกายและตำราเคลื่อนจักรวาลเดี๋ยวนี้” หลี่เจิ้นสุ่ยหน้าทะมึน ไม่เคยมีใครกล้าต่อต้านมันอย่างนี้“ข้าก็ต้องการเช่นเดียวกัน ตำรานี้เป็นของสำนักไม่ใช่ของเจ้า หรือว่าเจ้าเป็นเจ้าของสำนัก?”เยี่ยหยางกล่าวอย่างไม่ยินยอมให้คนผู้นี้มาหักหน้าทำลายชื่อเสียงชินอ๋องของเขา
ยามโหย่ว[1]ท้องของเฉิงเยว่ก็ร้องประท้วงบอกโมงยามอย่างซื่อสัตย์ ถึงเวลาที่เขาต้องทานมื้อเย็นเขาวางตำราพยัคฆ์เร้นกายที่อ่านจบไปแล้วหนึ่งรอบลง เดินออกจากหมู่ตึกไปห้องโถงเลิศรส บรรยากาศยามเย็นทำให้เขาอารมณ์ดีไม่หงุดหงิด จึงเดินเอ้อระเหยไม่รีบร้อน“นั่น! มันอยู่นั่น” เสียงที่เปร่งร้องเสียงดัง ขัดการท่องทิวทัศน์ยามเย็นของเฉิงเยว่จนคิ้วกระตุก ต่อมอารมณ์ถูกก่อกวนจนลุกฮือใครมันก่อกวนข้ากลุ่มคนหลายสิบล้อมเฉิงเยว่ไม่ให้ก้าวต่ออย่างมีจุดประสงค์มุ่งร้าย เขาเห็นบางคนที่ยืนหลังหลี่เจิ้นสุ่ยเมื่อช่วงบ่ายในกลุ่มตรงหน้า แสดงว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับไอ้บ้านั่นอย่างไม่ต้องสงสัย“ถอยออกไป ไม่เช่นนั้น ท่านพ่อของข้าต้องรู้เรื่องนี้” เฉิงเยว่ขู่ออกไป“น้ำหน้าอย่างแกมีสิทธิ์อะไรมาสั่งพวกเรา” ผู้ต้องการก่อเรื่อง ยืนยันหนักแน่นในสงครามวิวาทครั้งนี้ต้องเกิดขึ้นแน่นอนโอ๊ะโอดีจัง...มีข้ออ้างให้ท่านแม่มาหาได้แล้วเฉิงเยว่ยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ในใจ เขาต้องทำให้การทะเลาะเล็ก ๆ นี้ใหญ่โต จนรู้ถึงท่านแม่เขา
อืม...นั่นซี้ด!!!หมอนั่นควรงดดื่ม ถ้าปลดทุกข์เมื่อไหร่ คงทุกข์หนักปวดส่วนนั้นน่าดูด้านหลังของเยี่ยหยาง จูเฉิงเยว่ก็จัดการจนไม่มีหลุดมือเท้าไปหาด้านหลังของเฉิงเยว่ มู่หรงเยี่ยหยางก็สกัดจนหมดเช่นกัน ไม่เสียชื่อจอมเสเพลที่อันธพาลหวาดหวั่นท้ายที่สุดกับเป็นศิษย์พี่ทั้งหลาย ก็เหมือนถูกข่มจากแรงกดดันไร้ที่มา พ่ายแพ้อนาถ สารรูปยับเหยินให้แก่ศิษย์น้องหน้าใหม่สองคน ไม่รู้ว่าศิษย์พี่เหล่านี้อ่อนแอปวกเปียกเกินไปหรือศิษย์หน้าใหม่เก่งกว่าดีเฉิงเยว่ลูบรอยช้ำที่แก้มอย่างพึงพอใจ ส่งสารด่วนไปบอกท่านแม่หลังข้าวเย็นเลยดีกว่าเจ้าตัวมองเหยื่อลองมือลองเท้าเขาอย่างสบายอกสบายใจ หลายวันมานี้ไม่มีผู้ใดมาเป็นเป้าให้เขาได้ออกแรงจริง ๆ จัง ๆ ตั้งแต่มาเทียนถูหวู่ เขาแอบคิดถึงลูกขุนนางราชอาณาจักรเป่ยฉินพวกนั้นว่าแผลครั้งก่อนคงจางไปแล้ว กลับไปคราวหน้าคงต้องมือหนักอีกหน่อยแผลจะได้อยู่นานขึ้น“ฝีมือใช้ได้”“ขอบพระทัยท่านอ๋อง พระองค์เองก็สมกับชื่อเสียงที่ข้าน้อยได้ยิน” เฉิงเยว่กล่าวแขวะ ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นตัวถ่วงสักอีก ข่าวลือพวกนั้นเป็นจริ
วันนี้เรียนวิชาสรรพาวุธ พวกเขาจะได้เลือกอาวุธวิญญาณของตัวเองเป็นครั้งแรกหลังจากเรียนทฤษฎีจนน่าเบื่อหน่ายมาเต็มสำหรับบางคนที่มีอาวุธเป็นของตัวแล้วก็ไม่จำเป็น แต่อาวุธวิญญาณเป็นสิ่งที่หาไม่ได้ทั่วไปได้ง่ายตามท้องตลาด และถึงมีอาวุธวิญญาณมากมายกองอยู่ตรงหน้าใช่ว่าจะเป็นเจ้าของได้ ได้ชื่อว่าเป็นอาวุธที่มีวิญญาณเป็นของตัวเอง มันจึงเลือกเจ้านายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ศิษย์ทุกคนของเทียนถูหวู่จะมีอาวุธวิญญาณ ศิษย์ที่ไม่ถูกอาวุธเลือกจึงได้แต่ใช้อาวุธธรรมดาอาวุธวิญญาณมีมากมายอยู่ในตำหนักสรรพาวุธที่เปิดเพียงครั้งเดียวต่อปี ซึ่งปีนี้คือวันนี้ ดังนั้นวันนี้จึงมีศิษย์ใหม่ที่อยู่ครบทุกคนและศิษย์เก่าบางคนที่ยังไม่มีอาวุธวิญญาณของตัวเองไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีอาวุธมากมายเท่าใดอยู่ในนั้น อาวุธวิญญาณบางชิ้นมีจิตวิญญาณที่สูงส่ง บางชิ้นมีจิตเบาบางศิษย์ทั้งหมดที่ยืนรอออกันอยู่หน้าตำหนักที่รอเวลาที่บานประตูเปิด ก็กรู่เข้าไปอย่างกับว่า ได้เข้าไปก่อนของดีจะตกเป็นของตนด้านในเต็มไปด้วยสุสานอาวุธ ที่ส่วนใหญ่เป็นกระบี่ปักทิ่มเกลื่อนกลาดให้เลือกเหมือนของแจกฟรี แต่พวกมันไม่ได้อยู่ในสายตา
เอ๊ะ? เมื่อกี้อีกฝ่ายบอกว่าเขาเป็นน้องชาย ก็หมายความว่าอีกคนเป็นพี่ชายที่ท่านแม่เอ่ยถึงงั้นหรือ“ท่านคือ?”“อ่ะแฮ่ม...ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้ง น้องชายของข้า”เยี่ยหยางกล่าวยิ้มกว้างต้อนรับน้องชายอย่างอารมณ์ดี ปัดความบาดหมางส่วนตัวระหว่างเขากับเฉิงเยว่ทิ้งทันที ราวกับเรื่องที่ปะทะคารมกันไม่เคยเกิดขึ้นจูเฉิงเยว่ “...”“เจ้าไม่เชื่อ?” เยี่ยหยางเห็นน้องชายเงียบไปก็ถามกลับ ก็ได้คำตอบที่ปวดใจมาแทนว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อแม้แต่น้อย“นี่เจ้าดู” คนเป็นพี่ลากน้องชายหมาด ๆ มายืนหน้ากระจกเทียบ “สีผมเราสองคนก็เหมือนกัน สีตาก็ด้วย นี่เป็นเอกลักษณ์ของตระกูลเราเลยนะ”“ท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้มีสีผมสีตาประหลาดอย่างนี้” เฉิงเยว่แย้ง“ก็ได้ ๆ ข้าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เจ้าฟัง” เยี่ยหยางพูดเสียงเล็กเสียงน้อยกับน้องชายอย่างอ่อนโยนจากนั้นรินน้ำชาให้ตัวเองและน้องชาย เตรียมสนทนายืดยาวให้อีกฝ่ายยอมรับเขาให้ได้ เขาอยากมีน้องชายตั้งแต่อยู่ระนาบมนตราแล้ว แต่ท
เจ้าตัวเลยพิสูจน์โดยถลกแขนเสื้อขึ้นไม่เกรงใจเจ้าบ้านบาดแผลยาวจากคมกระบี่ค่อย ๆ สมานตัวเองเห็นชัดด้วยตาเปล่า ดวงตากลมโตเบิกตากว้างอย่างตกใจยารสชาติห่วยนรกแตก แต่มีประสิทธิภาพดีเกินคาด คงไม่มีโอสถใดเยี่ยมยอดเท่านี้ มันสามารถรักษาบาดแผลได้ในพริบตาเฉิงเยว่มองหน้าเส้าหยางอย่างมึนงง สายตาเต็มไปด้วยคำถาม ว่า ทำไมต้องช่วยเขามากมายอย่างนี้“คุณชายจู คงมีคำถามอยากถามข้า”เยี่ยหยางถาม เขาไม่ต้องเสแสร้งปกปิดตัวตน เผยบุคลิกเป็นตัวเอง ออกมา “เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตัวเองมีพลังอย่างอื่นนอกจากปราณยุทธ”“ข้ารู้ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”“คุณชายมองตัวเองในยามนี้ก่อน” เยี่ยหยางร่ายเวทเรียกกระจกส่องทั้งตัวให้เฉิงเยว่ได้มองตัวเองทั้งตัวดูท่าเจ้าตัวจะไม่รู้ว่า นอกจากตัวเองมีพลังเวทแล้ว แม้แต่รูปลักษณ์ก็ยังเปลี่ยนไปเฉิงเยว่มองภาพสะท้อนนิ่งงึนงัน มือยกจับเส้นผมที่เคยเป็นสีเข้มกับกลายเป็นสีเงินยวงขาวสว่างทั่วทั้งศีรษะ ดวงตาสีฟ้าแทนที่ดวงตาเข้มที่เคยมีนับสิบปีไม่ มันเกิดอะไรขึ้นกับเข
“จุ๊ ๆ ไม่ต้องรีบอยากตาย เดี๋ยวข้ามีเรื่องสนทนาอย่างสนิทสนมกับพวกเจ้า”บุคคลที่สวมหน้ากากตัวสูงกว่า กล่าวกับพวกมันที่เหลือรอดห้าคน ด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมแผ่ไอเย็นทั่วร่าง จนไม่มีใครกล้าขยับตัวปิดปากเงียบ กลัวว่าหากเผลอส่งเสียงจะกลายเป็นนกถูกเกาทัณฑ์ตัวแรกพวกมันมองเพื่อนร่วมอาชีพอีกคนชิ่งตายด้วยสีหน้าอิจฉาแม่ง! หนีตายไปสบายก่อนใครเพื่อนเลยเยี่ยหยางหลังจากข่มขู่มือสังหารเสร็จ ก็หันไปหาจูเฉิงเยว่ที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ไป“คุณชายข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า หวังว่าจะไม่ปฏิเสธ” เขาเอ่ยกับคุณชายจูเฉิงเยว่ “สภาพเจ้าตอนนี้คงไปพบใครลำบาก มากับข้า”ส่วนเฉิงเยว่เหนื่อยจนพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าอย่างจำยอมให้อีกฝ่าย ตัวเขาคาดไม่ถึงว่าคนที่มาช่วยคือเส้าหยาง โชคดีที่อีกฝ่ายยื่นมือมาช่วย แม้เคยเห็นหน้าค่าตา ไม่เคยคุยกันอย่างสนิทสนมก็ตามทันทีที่จูเฉิงเยว่พยักหน้าตกลง เยี่ยหยางก็ร่ายคาถาเคลื่อนย้ายพริบตาอีกหน นำทั้งคนทั้งศพของเหล่านักฆ่า กลับไปที่เขาเพิ่งจากมาอีกครั้ง“อ๊ะ! อาหยางลืมสิ่งใด?”
และผลลัพธ์ก็คือระเบิดโทสะของจูเฉิงเยว่ที่ไม่มีใครล่วงรู้ เพราะผู้ลองดีต่างไปรายงานตัวกับยมบาลกันทุกคนเรียบร้อย สำหรับบางคนการมีโทสะ อาจทำให้ขาดสติ แต่สำหรับเฉิงเยว่โทสะในเรื่องนี้กลับทำให้เขาสงบอารมณ์ สงบนิ่งจนน่ากลัว ประสาททั้งห้าเปิดรับสัมผัส แววตานิ่งเย็นยะเยือกพร้อมทำลายพวกมันหารู้ไม่ว่า ได้ก้าวข้ามขีดอารมณ์ของทายาทตระกูลจูให้แล้ว ลมไร้ที่มาโหมกระหน่ำจากทุกทิศทาง ล้อมรอบกลุ่มมือสังหารสองกลุ่มที่ส่งคนมามากกว่างานอื่น ๆ พวกมันต่างมองหน้ากันอย่างมึนงง ข่าวลือในสมาคมนักฆ่าเกี่ยวกับคุณชายตัวประหลาดผู้นี้เห็นทีจะเป็นจริง พวกมันต้องรีบจบงานนี้ ก่อนที่ชีวิตของมันจะต้องจบลงที่นี่เอง ท่าทีกวนโทสะเหยื่อเปลี่ยนเป็นลงมือสังหารอย่างจริงจังเคร่งเครียดมากขึ้น คมอาวุธพุ่งเข้ามาทุกทิศทางเล็งเข้าที่จุดตาย จูเฉิงเยว่รู้สึกถึงพลังบางอย่างไหลเวียนในร่างกาย เอ่อล้นเต็มไปด้วยพลัง ความรู้สึกที่รุนแรงยิ่งกว่าพลังข
พวกเขาทุกคนที่เป็นคนของสมาคมเหวินชา ต่างเป็นคนที่อาหยางเลือกเองกับมือ ถูกสั่งสอนฝึกฝนจนกลายเป็นยอดคน แม้ว่าอาหยางของเขาจะเป็นแค่เด็ก แต่ความรู้และประสบการณ์กลับมากมายมหาศาลอาหยางต้องประสบเหตุการณ์เช่นใดที่บีบบังคับให้ต้องเติบโตเลี้ยงตัวเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเติบโตมาด้วยกันช่วงหนึ่ง และรู้จักครอบครัวเบื้องหลังตี้ตี่ แต่เขาคิดว่ามันต้องมีเรื่องราวมากกว่าที่เขารู้ หวังว่าน้องน้อยของเขาจะใช้ชีวิตเฉกเช่นคนปกติทั่วไป อย่าได้เจ็บปวดเช่นพี่ชายคนนี้เลยจูเฉิงเยว่เมื่อสะกดรอยตามชินอ๋องไม่ทัน เขาก็ย้อนกลับไปที่จุดมุ่งหมายเดิม ที่ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาถึงยามเซินแล้ว จะให้ท่านแม่รอนานไม่ใช่ความคิดที่ดี“สบายดีหรือไม่ คุณชายจูเฉิงเยว่?”คุณชายน้อยตระกูลจูถึงกลับกลอกตามองบนอย่างเบื่อหน่าย ที่ต้องพบกับพวกโตแต่ตัวแต่ไร้สติปัญญาอีกแล้ว พวกมันราวสิบคนปิดบังหน้าตาเยี่ยงโจรหาเรื่องคนตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน ช่างอาจหาญยิ่งนัก เขาไม่อยากเสียเวลากับคนพวกนี้ยิ่งกว่าอ๋องจอมบัดซบคนนั้นสักอีก“ถอยออกไปตอนนี้ ข้าจะยังไม่เอาเรื่องพวกเจ้า” จูเฉิ
ดังนั้นสิ่งแรกที่เขาริเริ่มลงมือทำหลังจากแน่ใจว่าต้องติดอยู่ต่างถิ่นคือ หาเงินและหลักแหล่งที่มั่นคง“อาหยาง!!!”เสียงร้องอย่างดีใจของกู้ซีเจ๋อ ผู้รับหน้าที่ดูแลกิจการทั้งหมดแทนเยี่ยหยางร้องอย่างคิดถึงคนที่หายหน้าหายตาไปนาน เขาไม่เห็นเงาหัวนายท่าน ‘เส้าหยาง’ หัวหน้าสมาคมการค้าเหวินชาจนแทบลืมว่ามีตัวตน ยังดีที่เส้นผมสีสว่างเด่นบอกเอกลักษณ์ที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางลืม จะมีใครที่มีเส้นผมสีนี้ตั้งแต่ยังไม่แก่เฒ่ากันบ้าง ถ้าไม่ใช่เจ้านายที่นึกได้ว่าตัวเองก็มีงานต้องทำ“ระงับอารมณ์ตื่นเต้นที่คิดถึงน้องรักหน่อยพี่”ดวงตาสองสีมองไปที่พี่ชายนอกสายเลือดของเขาด้วยดวงตาหยอกเย้ากู้ซีเจ๋อ ที่ทำหน้าที่แทนเจ้าของกิจการได้อย่างดีเยี่ยม สมกลับที่คนเป็นน้องวางใจทิ้งงานให้แบบไม่ต้องเป็นห่วง“ข้าไม่ได้ตื่นเต้นคิดถึงเจ้า แต่คิดว่าเมื่อไหร่เจ้าจะเอางานตัวเองกลับไปสะสางสักที ข้าแทบจะจมกองบัญชีตายอยู่แล้ว” กู้ซีเจ๋อมองหน้าน้องชายที่เคยน่ารักอย่างขุ่นเคืองเยี่ยหยางเจอกับกู้ซีเจ๋อโดยบังเอิญเมื่อสิบปีก่อน
หลังจากที่ข่าวคราวรั่วไหลออกไปโดยที่เฉิงเยว่ไม่ต้องลงแรง ท่านแม่ก็ร้องจะมาพบหน้าเขาให้ได้ เป็นเหตุให้ตาลุงหวงเมียเร่งปั่นงานราษฎร์งานหลวงที่ตัวเองดูแลข้ามวันข้ามคืน โหมงานเป็นเดือนเศษเพื่อหาวันหยุดติดสอยห้อยตามภรรยาสุดที่รักมาหาลูกชายแสนน่ารักอย่างเขาและมันก็คือวันนี้เฉิงเยว่กลับหมู่ตึกไท่ตง ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ให้ตัวเองดูเป็นเด็กน้อยในสายตาท่านแม่ที่รัก เขาขัดสีฉวีวรรณตัวเองเกือบชั่วยาม และยืนอยู่หน้ากองเสื้อผ้ากองใหญ่อยู่อีกเกือบครึ่งชั่วยามเด็กหนุ่มตัวน้อยหยิบชุดนั้นชุดนี้ขึ้นแล้ววางลงอยู่หลายที เสื้อผ้าถูกคัดแยกเป็นหลายกอง จนในที่สุดมือหนุ่มน้อยก็เอื้อมไปหยิบชุดที่อยู่แยกตัวเดียวไม่อยู่รวมกับเสื้อกองไหนเสื้อไหมชุดผาวสีเหลืองอ่อนคาดด้วยเข็มขัดเอวสีขาว มวยผมผูกด้วยที่คาดที่สีเดียวกับเสื้อ ปักปิ่นเรียบอันเล็กบนศีรษะ เครื่องประดับและอาภรณ์ที่อยู่บนร่าง ทำให้จูเฉิงเยว่เด็กหนุ่มกลายเด็กน้อยที่ดูละมุนน่ารักน่าทะนุถนอมเป็นที่สุดเฉิงเยว่หมุนตัวสำรวจความเรียบร้อยจากกระจกเงาที่สะท้อนภาพคุณชายน้อยแสนน่าเอ็นดู มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างพึงพอใจ เ
“ข้าขอสนทนากับเส้าหยางต่อสักครู่” ฉีเจิ้งแม้ในใจจะร่ำร้องแค่ไหน แต่เขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคุณชายเจ้าเล่ห์ ก็สวมบทรับหน้าลู่เฉินอย่างไม่มีพิรุธการมาของเจียงกงกงเปรียบเสมือนการได้เวลาพักผ่อนดี ๆ เพราะลู่เฉินจอมเข้มงวด ได้ปล่อยให้ญาติผู้พี่ได้กระดี๊กระด๊ากับของพระราชทาน ทำให้ท่านอ๋องผู้เลื่องชื่อได้ทำตัวขี้เกียจอย่างจริงจังสักทีเยี่ยหยางตรวจนับข้าวของในหีบพระราชทานด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี เขายกครึ่งหนึ่งแบ่งให้หวงฉีเจิ้งที่ออกแรงรับมือผู้บุกรุกในตำหนักสรรพาวุธพอ ๆ กับเขา ส่วนหูลี่เซียนเขาให้นางไปขอส่วนแบ่งจากเจ้านายจิ้งจอกขนฟูอย่างลู่เฉินเถอะ เขาไม่มีแบ่งให้ เพราะรู้สึกหมั่นไส้นางอย่างมาก วัน ๆ หนึ่งเดินตามญาติผู้น้องของเขาต้อย ๆเวลาที่ผ่านมาเดือนกว่าจากสัปดาห์เป็นเดือน ตั้งแต่หูลี่เซียนกลายเป็นเซียนจิ้งจอก ชีวิตนางก็สบายกว่าเขาหลายเท่า วัน ๆ กิน ๆ นอน ๆ จนเหมือนหมูมากกว่า(หมา)จิ้งจอกแล้ว วิ่งเทียวไปเทียวมาระหว่างห้องของญาติผู้น้องกับห้องเขา ตอนนี้นางก็หลบลู่เฉินมาสิงสถิตที่ห้องเขา นั่งหน้าหงิกเพราะไม่มีอะไรให้ทำส่วนเขากับฉีเจิ้งตกอยู่ในสภาวะเ
“ไท่จื่อ อาการของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ข้าจะได้กลับไปทูลฝ่าบาทได้ถูกต้อง”เจียงกงกงขันทีส่วนพระองค์เอ่ยถามรัชทายาทของแคว้นที่ยังดูซีดเซียวอยู่บ้าง“เจียงกงกง อาการข้าดีขึ้นมากแล้ว กลางฤดูใบไม้ผลิพิษก็จะสลายจนหมด ต้องขอบคุณคุณชายเส้าหยางที่ช่วยชีวิตข้าและชินอ๋องไว้” ลู่เฉินบอก“เกรงใจแล้ว ข้าแค่ทำสิ่งที่สมควรทำ” เส้าหยางรับคำขอบคุณ สีหน้าอาการ และท่วงท่าดูสง่างามผ่าเผย“เส้าหยางจวิน ข้านำคำขอบคุณจากฝ่าบาทมามอบให้ท่านที่ช่วยปกป้องสายเลือดมู่หรง” เจียงกงกงหันไปพูดกับเส้าหยางขันทีส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ราชอาณาจักรซีเว่ยมองสำรวจประเมินท่านชายเส้าหยางจวิน เพื่อนำไปกราบทูลองค์เหนือหัวของตนอย่างละเอียด พลางคิดพิเคราะห์อืม...คนผู้นี้ที่โดดเด่นเกินใคร เส้นผมสีขาวประหลาด ดวงตาสองสีที่ประหลาดยิ่งกว่า ปกปิดหน้าตา ปกปิดแซ่สกุล ใบหน้าหลังหน้ากากยากคาดเดาว่าเป็นเช่นไร บุคลิกสง่างามดุจเชื้อพระวงศ์ผู้หนึ่งแผ่ออกมา ลมปราณลึกล้ำตรวจสอบไม่ได้ แต่กลับเป็นแค่ศิษย์สายนอก“ขอบคุณท่านกงกงผู้เฒ่า”เจียงกงกงหลังจากที่เก็บข้อมูลไว้ราย