ยามโหย่ว[1]ท้องของเฉิงเยว่ก็ร้องประท้วงบอกโมงยามอย่างซื่อสัตย์ ถึงเวลาที่เขาต้องทานมื้อเย็น
เขาวางตำราพยัคฆ์เร้นกายที่อ่านจบไปแล้วหนึ่งรอบลง เดินออกจากหมู่ตึกไปห้องโถงเลิศรส บรรยากาศยามเย็นทำให้เขาอารมณ์ดีไม่หงุดหงิด จึงเดินเอ้อระเหยไม่รีบร้อน
“นั่น! มันอยู่นั่น” เสียงที่เปร่งร้องเสียงดัง ขัดการท่องทิวทัศน์ยามเย็นของเฉิงเยว่จนคิ้วกระตุก ต่อมอารมณ์ถูกก่อกวนจนลุกฮือ
ใครมันก่อกวนข้า
กลุ่มคนหลายสิบล้อมเฉิงเยว่ไม่ให้ก้าวต่ออย่างมีจุดประสงค์มุ่งร้าย เขาเห็นบางคนที่ยืนหลังหลี่เจิ้นสุ่ยเมื่อช่วงบ่ายในกลุ่มตรงหน้า แสดงว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับไอ้บ้านั่นอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถอยออกไป ไม่เช่นนั้น ท่านพ่อของข้าต้องรู้เรื่องนี้” เฉิงเยว่ขู่ออกไป
“น้ำหน้าอย่างแกมีสิทธิ์อะไรมาสั่งพวกเรา” ผู้ต้องการก่อเรื่อง ยืนยันหนักแน่นในสงครามวิวาทครั้งนี้ต้องเกิดขึ้นแน่นอน
โอ๊ะโอดีจัง...มีข้ออ้างให้ท่านแม่มาหาได้แล้ว
เฉิงเยว่ยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่ในใจ เขาต้องทำให้การทะเลาะเล็ก ๆ นี้ใหญ่โต จนรู้ถึงท่านแม่เขา
อืม...นั่นซี้ด!!!หมอนั่นควรงดดื่ม ถ้าปลดทุกข์เมื่อไหร่ คงทุกข์หนักปวดส่วนนั้นน่าดูด้านหลังของเยี่ยหยาง จูเฉิงเยว่ก็จัดการจนไม่มีหลุดมือเท้าไปหาด้านหลังของเฉิงเยว่ มู่หรงเยี่ยหยางก็สกัดจนหมดเช่นกัน ไม่เสียชื่อจอมเสเพลที่อันธพาลหวาดหวั่นท้ายที่สุดกับเป็นศิษย์พี่ทั้งหลาย ก็เหมือนถูกข่มจากแรงกดดันไร้ที่มา พ่ายแพ้อนาถ สารรูปยับเหยินให้แก่ศิษย์น้องหน้าใหม่สองคน ไม่รู้ว่าศิษย์พี่เหล่านี้อ่อนแอปวกเปียกเกินไปหรือศิษย์หน้าใหม่เก่งกว่าดีเฉิงเยว่ลูบรอยช้ำที่แก้มอย่างพึงพอใจ ส่งสารด่วนไปบอกท่านแม่หลังข้าวเย็นเลยดีกว่าเจ้าตัวมองเหยื่อลองมือลองเท้าเขาอย่างสบายอกสบายใจ หลายวันมานี้ไม่มีผู้ใดมาเป็นเป้าให้เขาได้ออกแรงจริง ๆ จัง ๆ ตั้งแต่มาเทียนถูหวู่ เขาแอบคิดถึงลูกขุนนางราชอาณาจักรเป่ยฉินพวกนั้นว่าแผลครั้งก่อนคงจางไปแล้ว กลับไปคราวหน้าคงต้องมือหนักอีกหน่อยแผลจะได้อยู่นานขึ้น“ฝีมือใช้ได้”“ขอบพระทัยท่านอ๋อง พระองค์เองก็สมกับชื่อเสียงที่ข้าน้อยได้ยิน” เฉิงเยว่กล่าวแขวะ ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นตัวถ่วงสักอีก ข่าวลือพวกนั้นเป็นจริ
วันนี้เรียนวิชาสรรพาวุธ พวกเขาจะได้เลือกอาวุธวิญญาณของตัวเองเป็นครั้งแรกหลังจากเรียนทฤษฎีจนน่าเบื่อหน่ายมาเต็มสำหรับบางคนที่มีอาวุธเป็นของตัวแล้วก็ไม่จำเป็น แต่อาวุธวิญญาณเป็นสิ่งที่หาไม่ได้ทั่วไปได้ง่ายตามท้องตลาด และถึงมีอาวุธวิญญาณมากมายกองอยู่ตรงหน้าใช่ว่าจะเป็นเจ้าของได้ ได้ชื่อว่าเป็นอาวุธที่มีวิญญาณเป็นของตัวเอง มันจึงเลือกเจ้านายด้วยตัวเอง ไม่ใช่ศิษย์ทุกคนของเทียนถูหวู่จะมีอาวุธวิญญาณ ศิษย์ที่ไม่ถูกอาวุธเลือกจึงได้แต่ใช้อาวุธธรรมดาอาวุธวิญญาณมีมากมายอยู่ในตำหนักสรรพาวุธที่เปิดเพียงครั้งเดียวต่อปี ซึ่งปีนี้คือวันนี้ ดังนั้นวันนี้จึงมีศิษย์ใหม่ที่อยู่ครบทุกคนและศิษย์เก่าบางคนที่ยังไม่มีอาวุธวิญญาณของตัวเองไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีอาวุธมากมายเท่าใดอยู่ในนั้น อาวุธวิญญาณบางชิ้นมีจิตวิญญาณที่สูงส่ง บางชิ้นมีจิตเบาบางศิษย์ทั้งหมดที่ยืนรอออกันอยู่หน้าตำหนักที่รอเวลาที่บานประตูเปิด ก็กรู่เข้าไปอย่างกับว่า ได้เข้าไปก่อนของดีจะตกเป็นของตนด้านในเต็มไปด้วยสุสานอาวุธ ที่ส่วนใหญ่เป็นกระบี่ปักทิ่มเกลื่อนกลาดให้เลือกเหมือนของแจกฟรี แต่พวกมันไม่ได้อยู่ในสายตา
“ไท่จื่อขอรับ ทำไมตำหนักอาวุธไม่เห็นเหมือนข่าวลือ” สือหลงโหยวผู้ติดตามลู่เฉินอย่างใกล้ชิดสงสัย แม้ว่าบางเวลาเขาต้องกลับไปหมู่ตึกที่ตัวเองสังกัดอยู่“นั่นสิ”ข่าวลือที่พวกเขาได้ยินมาไม่ผิดพลาดหรอก เพราะทุกครั้งการเลือกอาวุธ ต่างต้องผ่านอุปสรรคการทดสอบมากมาย กว่าจะได้ครอบครองเป็นเจ้าของบางคนถึงปางตายถึงจะได้การยอมรับ อาวุธเหล่านี้โหดเหี้ยมมีสามัญสำนึกของตัวเอง แต่ครั้งนี้ดันมีตัวประหลาดพ่วงเข้ามาด้วย แผ่รังสีข่มขู่ที่เหี้ยมกว่าสามัญสำนึกเหล่าจิตวิญญาณโดยไม่รู้ตัวทำให้พวกเขาเดินเข้ามายังไม่ถึงหนึ่งเค่อก็มีอาวุธมากมายมาแสดงตัวอ่อนน้อมให้พวกเขาเลือกเกลื่อนกลาดยิ่งกว่าตลาดสดขายสินค้าลดราคาแถม…“นายท่านได้โปรดเลือกข้าเถอะ ข้ามีความสามารถ…”“นายท่านข้าสามารถทำ....”“นายท่านข้าก็ทำได้ เก่งกว่าเจ้าพวกนี้อีก ได้โปรดรีบตัดสินใจเถอะ”“นายท่านรีบเลือกพวกเรา ๆ เร็วเถอะเจ้าค่ะ ไม่งั้นข้าต้องรักษาชีวิตน้อย ๆ ด้วยวิธีอื่น&rdqu
ศิษย์ที่อยู่ในตำหนักสรรพาวุธต่างได้ยินเสียงระเบิดรุนแรงก็มารวมตัวกันดูว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น เพราะพวกเขาไม่เคยได้ยินว่าจะเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้จากศิษย์พี่ ก็เจอผู้บุกรุกที่ตรงเข้ามาทำร้ายทันทีที่เห็นพวกเขามู่หรงลู่เฉินรับคมกระบี่ที่เข้ามาฟาดฟันด้วยกระบี่ไท่เวย ท่วงท่าได้เปรียบกว่ามาก แต่ศิษย์คนอื่นส่วนใหญ่มีลมปราณระดับผู้เชี่ยวชาญยุทธเท่านั้น ไม่อาจรับมือยอดฝีมือที่ระดับอาจารย์ยุทธและระดับปรมาจารย์ยุทธที่ระดับสูงกว่าที่บุกเข้ามาได้อาวุธวิญญาณที่มู่หรงลู่เฉินได้รับมาไม่ใช่กระบี่ แต่เป็นฉินเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งมาเป็นอาวุธวิญญาณพันห่อผ้าสะพายอยู่ที่หลังอาวุธวิญญาณในตำหนักสรรพาวุธไม่ได้มีแต่กระบี่หรือดาบ แต่มีอาวุธทุกรูปแบบทุกประเภทตามความเหมาะสมของผู้ถูกเลือกตามแต่วาสนา นิสัยใจคอ และปราณยุทธของคนผู้นั้น มีตั้งแต่อาวุธมีคม เครื่องดนตรีต่าง ๆ ค้อน ขวาน แส้ พัด จนถึงเครื่องครัวเครื่องใช้ในครัวเรือนมู่หรงลู่เฉินได้ฉินเป็นอาวุธวิญญาณ เพราะปราณยุทธของเขา คือ มังกรทองอัสนีฟ้า เป็นปราณยุทธที่เป็นศัตรูกับพวกภูตผีปีศาจมารร้ายโดยเฉพาะ เขามีกระบี่ไท่เวยเป็นอาวุธวิญญาณ
“เจ้าเป็นพี่ชาย(เกอ)ของหวงฉีเจิ้ง” ลู่เฉินเอ่ยถาม ขณะที่ตัวเองก็ยังซัดฝ่ามือใส่ผู้บุกรุกคนหนึ่ง“ฮะ?”...เจ้าเป็นของฉีเจิ้ง…ลู่เฉินเจ้าประสาทไปแล้วหรอ ขนลุกเป็นบ้ามีที่ไหนมาพูดว่าข้าเป็นของหมอนี่เยี่ยหยางชะงักทันทีที่ได้ยินประโยคเข้าใจผิด ข้าไม่มีทางสิ้นคิดตัดแขนเสื้ออุทิศประตูหลังให้ไอ้ดำหรอก“บ้า! โถ่โว้ย…ไม่ใช่” เยี่ยหยางปฏิเสธ แต่ไม่มีผู้ใดฟัง ตอนนี้ทุกคนต่างสรุปเองแล้วว่า ศิษย์ลึกลับผู้นี้เป็นพี่ชายของหวงฉีเจิ้ง“พวกมันแห่มาจากไหนเนี่ย” ถึงแม้ว่าเยี่ยหยางจะสกัดพวกมันไปเท่าไหร่ แต่จำนวนที่หลั่งไหลเข้ามาในตำหนักก็เพิ่มขึ้น เข้ามาได้กลับออกไม่ได้จนกว่าจะครบสามวันนั่นหมายความว่าศิษย์ที่อยู่ในตำหนักสรรพาวุธจะไม่มีกำลังเสริมใด ๆ มาช่วย เพราะในเทียนถูหวู่ก็มีแค่พวกเขาแค่นั้นที่เข้ามาในตำหนักนี้ได้ ต่างจากพวกมันที่สามารถเข้ามาได้อีกเรื่อย ๆเยี่ยหยางไม่ต้องการฆ่าคน แม้ว่าการฆ่าคนครั้งแรกของเขาจะกลายเป็นของปลอมไปแล้ว เพราะคนที่เขาฆ่าดันไม่ตายและไล่ฆ่าเขาแทนอย
เยี่ยหยางบุกขึ้นไปข้างหน้า เพื่อให้ศิษย์คนอื่นได้ถอยไปอยู่ในอาณาเขตที่ปลอดภัย เส้นผมที่เด่นสง่าดึงดูดสายตาทุกคน กวาดตาดูสถานการณ์ประเมินความได้เปรียบเสียเปรียบตรงหน้าพวกมันเจาะจงเข้าบุกที่ตำหนักสรรพาวุธเพียงแห่งเดียวอย่างโง่ ๆ ไม่แม้แต่เบี่ยงเบนความสนใจทุ่มกำลังมาที่นี่เต็มกำลัง แสดงว่าจำนวนคนของพวกมันอาจมีไม่มากพอที่จะแบ่งกำลังเบี่ยงไปที่อื่น และรู้ว่าการเข้าออกที่นี่มีเงื่อนไข อย่างงั้นหมายความว่าพวกมันต้องการอาวุธวิญญาณในตำหนักแห่งนี้แต่ไม่รู้ว่าชิ้นไหน นี่สิปัญหา?เยี่ยหยางเป็นคนเดียวที่รั้งอยู่ ศิษย์ที่มีระดับปราณยุทธต่ำตามหลังฉีเจิ้งไปยังเขตแดนที่กางไว้ ตามมาด้วยศิษย์ที่มีระดับปราณยุทธที่พอรับมือได้อยู่รั้งท้ายคาถาสกัดกั้นพวกมันได้รวดเร็วกว่าปราณยุทธระดับปรมาจารย์ยุทธ แต่ก็กินแรงไม่น้อย คนเพียงคนเดียวแต่ต้องรั้งคนร่วมร้อยไม่ให้ทำร้ายศิษย์คนอื่น ๆ ที่ต่างอ่อนแรงการปะทะระหว่างเวทมนตร์กับปราณยุทธความแข็งแกร่งแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ปราณยุทธจะมีพลังด้านใดด้านหนึ่งที่ทรงพลัง แต่เวทมนตร์มีพลังต่อสู้ที่หลากหลายมากกว่าคำสาปอ่อน ๆ พุ่งเข้าส
แต่พวกมันคงพลาดข่าวสารใหม่ เพราะตอนนี้ที่ชั้นใต้ดินชั้นนั้นไม่ได้มีแค่อาวุธชิ้นเดียวอีกต่อไป กลับมีมากถึงเกือบครึ่งกว่าตำหนักรวมตัวเบียดเสียดกันแน่นขนัด จากคำพูดและคาถาทดสอบอาวุธเล่น ๆ ของชินอ๋องที่แม้แต่เหล่าอาวุธก็หวาดผวา งานนี้มันคงไม่ง่ายดายอีกแล้วเสี่ยวลี่แอบฟังบทสนทนาจนรู้เป้าหมายของพวกมัน ก็หลบออกไปเพื่อหามู่หรงลู่เฉิน ที่เกือบหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมานางยอมรับเขาว่าเป็นคนดีคนหนึ่งที่ออกจะใบหน้าแข็งเกร็งนิ่งมากไปหน่อย แต่โดยรวมนางก็ชอบเขาไม่น้อยจิ้งจอกแดงเดินไปตามทางโดยอาศัยกลิ่นของมู่หรงลู่เฉินเป็นตัวนำทาง แม้นางจะไม่ใช่จิ้งจอกแดงตั้งแต่เกิด แต่การอาศัยร่างกายนี้มานานนับสิบปี ทำให้คุ้นชินกับวิถีชีวิตของจิ้งจอกไปแล้วจมูกไล่ดมเดินไปตามทางที่มีพวกบุกรุกอยู่บ้างประปราย แต่ก็หลบหลีกตามมุมมืดมาได้นี่มัน...กลิ่นนี้มันเสี่ยวลี่ยิ่งเดินเข้าไปด้านในลึกเท่าใดก็ได้กลิ่นอีกสองกลิ่นที่คุ้นเคยอยู่กับมู่หรงลู่เฉินทำไมถึงมีกลิ่นนี้อยู่ที่นี่ด้วย?บริเวณชั้นใต้ดินในเขตแดนเวทที่บรรดาศิษย์เทียนถูหวู่หลบภัย“ทุกคนมากัน
“การหลอมมนุษย์”การหลอมมนุษย์เป็นหนึ่งในวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ศาสตร์ที่เก่าแก่พอกับเวทมนตร์ โดยอาศัยกฎการณ์แลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ที่คฤหาสน์ของวินเซอร์เก็บหนังสือเกี่ยวกับศาสตร์ประเภทนี้มีไม่น้อย บรรพบุรุษเขาบางคนเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่มีชื่อเสียง และเยี่ยหยางอ่านมันมาพอสมควรเขาเอาต้นแมนเดรกหรือแมนดราโกร่าเต็มวัยจากสวนส่วนตัวออกมา มันส่งเสียงร้องอย่างกับหมูถูกเชือดจนน่ารำคาญ ก็เจอฝ่าเท้าท่านอ๋องเข้าไปจนอ่วมกระอักน้ำยางสีเขียวครักออกมา...เตรียมเสร็จไปหนึ่ง…จากนั้นเยี่ยหยางก็ใช้เวทขุดดินเหล่านั้นโปรยทับต้นแมนเดรกที่ถูกซ้อมพร้อมกับหยดเลือดเขาเล็กน้อยที่ไหลซึมเข้าไปผสมกับผงคาร์บอนจำนวนหนึ่งเฮ้อ...เปลืองวัตถุดิบชะมัด… เยี่ยหยางบ่นงึมงำวงแหวนเวทสำหรับแปรธาตุถูกร่างทับกลางอากาศใช้เวลาครึ่งเค่อ เขาไม่ได้ชำนาญศาสตร์นี้มากจนขั้นไม่ต้องวาดวงแหวน เหมือนอลิซที่เป็นตระกูลนักเล่นแร่แปรธาตุที่เป็นสายเลือดพ่อมดจากนั้นแสงสีแดงก็สว่างเจิดจร้าค่อย ๆ จางลง เปลี่ยนเป็นแสงสีฟ้าที่ล้อมรอบร่างมนุษย์เปลือยเป
ข่าวรัชทายาทราชอาณาจักรซีเว่ยถูกอสูรเทาเทียทำร้ายและชินอ๋องบาดเจ็บสาหัส ล่วงรู้ไปถึงพระกรรณฮ่องเต้ราชอาณาจักรซีเว่ย จนวุ่นวายไปทั่วราชสำนักเหล่าขุนนางต่างออกมาโต้แย้งสนทนาซุบซิบเรื่องนี้ บรรดาฮูหยินตราตั้งยันชาวบ้านต่างหยิบยกมาพูดคุยเรื่องรัชทายาท นินทาชินอ๋อง บ้างก็ว่าถึงคราต้องตั้งรัชทายาทคนใหม่ บ้างก็ว่าบ้านเมืองจะสงบเพราะชินอ๋องนอนเป็นผักปลาแต่ข่าวลือย่อมมีความจริงผสมอยู่ มู่หรงหย่งสือฮ่องเต้แห่งราชอาณาจักรซีเว่ยรับสารมาจากสือหลงโหยว ผู้ที่เขาแต่งตั้งให้เป็นสหายและองครักษ์ประจำตัวของพระโอรสเพียงองค์เดียว เนื้อความในสารเล่ารายงานตั้งแต่ออกจากเมืองหลวง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของชินอ๋องผู้เลื่องชื่อเจ็ดส่วนสิบ ซึ่งแต่ละเรื่องผู้นั่งบัลลังก์มังกรก็คาดไว้อยู่แล้วว่าต้องเกิดขึ้นตามปกติส่วนตอนนี้อาการของมู่หรงลู่เฉินรัชทายาทราชอาณาจักรซีเว่ย ก็พ้นขีดอันตรายไม่มีบาดแผลภายนอก เพราะโอสถพิเศษของเส้าหยาง จะมีก็แต่พิษเทาเทียที่ยังค้างอยู่ในร่างกาย ต้องใช้เวลารักษาให้พิษค่อย ๆ สลายจือจาง ส่วนหลานชายตัวปัญหาตอนนี้ก็กระโดดโลดเต้นก่อเรื่องได้แล้วซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดข
ชินอ๋องตะโกนเรียกคนที่รอรับคำสั่งอยู่ด้านนอก“ส่งคนพวกนี้ไปให้กู้ซีเจ๋อดูแล ให้พวกเขาฝึกร่วมกลับกลุ่มของเหวินชา อย่าให้เสด็จอาทราบ ส่วนค่าใช้จ่ายทุกอย่างทำบัญชีอย่าละเอียด”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉีหลินเหลียงรับคำสั่ง แล้วเดินออกไปเตรียมการตามคำสั่งชินอ๋อง“ไปกัน”“โอ๊ะเสร็จแล้ว กลับกันเถอะ” หูลี่เซียนเริ่มมึนแล้วลุกขึ้นยืน นางอยากไปซบอกลู่เฉินนอน“งานเรายังไม่เสร็จนะ ข้ายังไม่รู้เลยว่าใครเป็นตัวการ เกิดมันลงมือก่อเรื่องอีก เราจะตั้งรับไม่ทัน” เยี่ยหยางที่แม้ดื่มสุราไปมาก แต่เขาไม่รู้สึกเมาเลยสักนิด เอ่ยจุดประสงค์ที่เขากลับมาเมืองหลวงอีกครั้ง“แล้วเราจะทำยังไง?”“ลี่เซียนเจ้าเมาแล้ว?”เยี่ยหยางมองหน้าเพื่อนสาว ที่เหมือนความคิดหยุดลงพร้อมสุราที่เข้าปาก “เจ้าพวกนี้ไม่รู้ แต่หัวหน้าพวกมันรู้ เราก็ไปถามหัวหน้าพวกมันสิ”“ต่อให้ตาย ก็ต้องปลุกมาถามก่อน ใครให้พวกมันรับงานนี้ล่ะ? รับงานมาแล้วก็ต้องรับผิดชอบ”“เยี่ย
หวงฉีเจิ้งเริ่มทำการสอดส่องความทรงจำของผู้หลับใหล ค่อย ๆ แผ่จิตแทรกเข้าไปในห้วงความฝัน ย้อนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น เขามองดูความฝันของคนหลายร้อยคน แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือสิ่งที่พวกเขารู้อยู่แล้วพวกมันแค่ต้องการอาวุธวิญญาณร้อยปีเขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครเป็นผู้ว่าจ้าง คนเหล่านี้เป็นแค่ลูกกระจ๊อกของกลุ่มโจรหลาย ๆ กลุ่ม ที่ถูกหัวหน้าพวกมันสั่งมาเท่านั้น ไม่แม้จะเห็นหรือได้ยินเสียงตัวการสั่งการแม้แต่น้อยหวงฉีเจิ้งสั่นหัว หลังจากถอนจิตคืนกลับมา “ไม่มีประโยชน์ พวกมันไม่รู้อะไรเลย แต่พวกมันถูกหัวหน้าพวกมันใช้วิชาพิสดารลงอักขระเลือดไว้ หากคิดจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาคือตาย”“อักขระเลือด?”“อืม พวกหัวหน้าโจรภูเขาพวกนี้เป็นคนทำให้ลูกน้องมันเอง แต่ว่าใครเป็นคนสอน ข้าไม่รู้”“เรื่องนี้มันไม่ธรรมดาอยู่แล้ว อีกฝ่ายสามารถหาเทาเทียมาลงมือด้วย คิดว่ามันคงวางแผนการมาอย่างดี” หูลี่เซียนครุ่นคิด“เก็บคนพวกนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เปลืองค่าข้าวตำหนักข้า” เยี่ยมยางบ่นหงุดหงิดไม่พอใจที่ไม่ได้เรื่อ
หลังจากหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ข่าวคราวของผู้บุกรุกเงียบหายไปสืบสาวหาต้นเหตุไม่ได้ เพราะทันทีที่สอบปากคำ พวกมันต่างไม่ยอมปริปากแม้แต่น้อยแม้ว่าบางคนที่ถูกอาจารย์จ้าวเป็นคนสอบสวนต้องยอมเอ่ยวาจา แต่เพียงแค่คิดจะพูด ก็กลายเป็นศพต่อหน้าต่อตาจ้าวถิงเซียวด้วยพิษกลืนวิญญาณอย่างไม่รู้ตัวด้วยวิธีปกปิดความลับที่โหดเหี้ยมอำมหิต จึงได้แต่ปล่อยผู้บุกรุกที่มีชีวิตที่เหลือไป เนื่องจากคนที่รู้ต้นตอเรื่องราวตายเรียบหมดแล้วแน่นอนว่าเยี่ยหยางไม่ยอมแพ้ จอมเวทสามคนแอบกลับไปที่เมืองหลวงของราชอาณาจักรซีเว่ย ย่องเข้าตำหนักชินอ๋อง“นี่เยี่ยหยาง ทำไมเจ้าจะต้องย่องแอบเข้าบ้านตัวเอง?” จอมเวทสาวถามเจ้าของบ้าน“แม่นางหูลี่เซียน แม่นางรู้หรือไม่ว่าเปิ่นหวางเป็นผู้ใด”เยี่ยหยางถามทีเล่นทีจริงกับอลิซาเบธ หรือ หูลี่เซียน นามที่แม่บุญธรรมตั้งให้นาง นามที่มีความหมายเทพธิดาที่งดงามเฮอะ ๆ …ส่วนญาติผู้น้องเขาก็เรียกนางว่าลี่ลี่ นามที่มีความหมายว่า น่ารักงดงามความงดงามเอย เทพธิดาเอย ความน่ารักเอย เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เพื่อนสาวเขาควรมีชื่อที่มีค
ร่างจิ้งจอกแดงเรืองแสงสว่างขนาดตัวที่ค่อย ๆ ขยายขึ้นจากยืนสี่ขาเป็นสองเท้า หลังที่ขนานกับพื้นดินค่อย ๆ เหยียดตรง เงาของสตรีอยู่ท่ามกลางเงาควัน เส้นผมยาวสลวยจรดพื้น“เฮ้ย! ลืม!!! เสื้อ ๆ อยู่ไหน”เยี่ยหยางที่เห็นเงาร่างเปลือยเปล่าของเพื่อนสาว ก็รีบปิดตาเรียกเสื้อผาวตัวใหญ่ลอยไปคลุมสาวเจ้าไม่ให้อุจาดตาเขา เขาไม่อยากฝันร้ายเพราะเห็นร่างแม่มดโป๊ขี้วีน“ไอ้...ไอ้บ้า...เกรก นายทำบ้าอะไร”เสียงแหบแห้งตะกุกตะกักเพราะไม่ได้พูดมานานโวยขึ้น เสื้อผาวตัวใหญ่คลุมหัวปิดหน้าปิดตาจนมองไม่เห็นไรอะไรแสงและควันจางหายนางดึงเสื้อมาคลุมร่างไร้อาภรณ์ เสื้อผาวนุ่มลื่นเว้าไปตามส่วนโค้ง จนเห็นทรวดทรงโฉมงามล่มเมือง นิ้วมือเรียวยาวดังกิ่งหลิวรวบเส้นผมยาวลากออกมานอกอาภรณ์ สองหนุ่มเห็นหน้าตาคุ้นเคยยืนหน้าหงิกกลบความสวยจนหมด“ไง ยังอยู่ดีนิพ่อคุณชาย” คำทักทายแรกหลังจากด่าทอของแม่มดสาวนามอลิซาเบธ“ไม่เลวเลยสหายข้า ได้เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ของที่นี่ ตอแหลเนียนได้ตลอด”อลิซาเบธตบไหล่เพื่อนชายคนนี้ ที่ชอบทำหน้าเ
เยี่ยหยางเห็นโอกาสคืนฐานะ ก็สลับตัวกับร่างหลอมแร่แปรธาตุทันทีที่พ้นสายตาอาจารย์ประจำวิชาปรุงโอสถ เขาถอดหน้ากากออกดื่มน้ำยารสชาติย่ำแย่ลงคอ กลับมาเป็นชินอ๋องตามเดิมส่วนร่างปลอมก็โยนเข้าห้วงมิติเก็บรักษาไว้เผื่อคราวหน้ามีโอกาสได้ใช้ในห้องหนึ่งของมิติที่เต็มไปด้วยร่างหลอมที่รูปลักษณ์ต่างกันไปจ้าวถิงเซียวเมื่อเข้ามาอีกครั้งก็ไม่เห็นศิษย์ผู้สวมหน้ากากแล้ว เขายอมปล่อยเรื่องนี้ไปก่อนในตอนนี้ แต่ไม่มีทางที่จะไม่สืบหาราวเรื่องอาจารย์ปรุงโอสถเดินผ่านเตียงของศิษย์ชายที่อาการหนัก เพราะโดนพิษเทาเทียเหมือนกันที่นอนอยู่ด้านข้างผู้ที่เข้ามาใหม่ ยาเม็ดใหญ่ถูกป้อนเข้าปากลู่เฉินเพื่อสลายพิษ จากนั้นก็ไปดูอาการอีกคนที่ตอนนี้นั่งหันซ้ายหันขวาไม่มีอาการเจ็บปวด คือ ชินอ๋องจอมเสเพลที่เขาอยากจะสั่งสอนหนัก ๆ เหลือเกิน“ไม่เป็นอะไรแล้ว ก็กลับไปนอนที่ห้องตัวเอง อย่ามาเกะกะ” ผู้เป็นใหญ่ในจวนเยียวยาไล่ศิษย์ที่ไม่ต้องดูแลแล้วออกไป แต่ก็เห็นสายตามองคนเจ็บไม่ไปไหน“เขาไม่เป็นอะไรมากแล้วพิษในกายจะค่อย ๆ สลายไปเอง”“ขอบคุณที่ท่านอาจารย์จ้าวดูแล
ดวงตาของสัตว์เทพกวาดตามองเทาเทียหลายร้อยตัวที่ยังไม่สงบอ้าปากกว้างน้ำลายไหลยืดตามคมเคี้ยวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด มันรู้สึกว่าปากพวกนี้เหม็นสุด ๆ พวกไม่รักษาความสะอาดของช่องปากเลย‘แหยะ...ข้าไม่อยากฟัดกับพวกหมาบ้าน้ำลายอย่างเทาเทียเลยหยางหยาง’‘เจ้าไม่ฟัด ข้าฟัดกับพวกมันเอง’เยี่ยหยางตอบกลับสัตว์เทพคู่ตัวเองเสียงเย็น เขารู้ว่าฉงหยิ๋นพูดแบบนี้กำลังเรียกสติให้เขาควบคุมอารมณ์ เขาไม่คลุ้มคลั่งตอนนี้หรอก ยังมีอะไรให้ต้องจัดการอีกมากเขาส่งญาติผู้น้องให้สือหลงโหยวดูแลอย่างดีแล้ว ก่อนจะร่ายเกราะเวทคุ้มกายให้พวกเขา จากเก็บไม้กายสิทธิ์และเรียกไม้เท้าออกมาจัดการกับหมาบ้าน้ำลาย ทั้งยกทั้งฟาดทั้งสาปส่ง จนพวกมันแน่นิ่งไปหลายสิบตัวมือซ้ายก็ถือดาบประจำตระกูลวินเซอร์จ้วงแทงไม่ยั้ง เทาเทียแม้จะรู้สึกสัมผัสถึงอันตราย แต่มันก็ช้าไป แม้ว่ารวมกำลังพลต่อสู้เยี่ยหยางที่ฆ่าเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์อย่างโกรธแค้น ก็ไม่อาจสู้จอมเวทที่โทสะเดือดดาลพุ่งสะท้านฟ้าได้ ต่อให้เขาแสดงตัวไม่เป็นโล้เป็นพาย กลั่นแกล้งคน จนอายฟ้าดิน ย่อมขีดกำจัดขีดไว้ฝ่ายผู้บุกรุกเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด
เส้นผมสีเงินสะท้อนแสงตกกระทบสว่างเป็นเด่นชัด เดินออกมาเป็นคนแรกตามด้วยคนอื่น ๆ ทั้งหมดอยู่ในชุดของศิษย์เทียนถูหวู่ ทุกคนไม่มีล่องลอยของการบาดเจ็บมีเพียงอาการเหนื่อยล้าเมื่อยกล้ามเนื้อเท่านั้น ใบหน้า หน้าตา สีหน้าแจ่มใสไม่มีแววตาหวาดกลัวใด ๆ เดินออกมาเหมือนคนเพิ่มออกมาจากห้องนอนดวงตาผู้คนที่อยู่นอกตำหนักทั้งสองฝ่ายเบิกกว้างตกใจ จนลูกตาแทบกระเด็นกระบี่ทวนง้าวร่วงหล่นจากมือกระทบพื้น ส่งเสียงเคร้งคร้างดังเป็นทอด ๆ ภาพเลวร้ายต่าง ๆ ที่คิดไปไกลได้กลับตาลปัตรความหวังของฝ่ายบุกรุกเหมือนปีนถึงยอดผากลับถูกถีบลงมาเหยียบขยี้เละไม่เหลือซาก ผู้ที่บุกเข้าไปภายในตำหนักที่เหลืออีกครึ่งจากการเก็บไว้สอบปากคำด้วยอำนาจชินอ๋อง ตอนนี้ถูกมัดมือมัดปากไม่กล้าหืออือเดินเรียงแถวกันมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยยิ่งกว่าทหารในกองทัพ สีหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเดินคอตกหมดอาลัยตายอยากกันทุกคน“เกิดอะไรขึ้น”น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยเรียบ ๆ ดวงตาคมหรี่มองภาพด้านนอก บุคลิกของผู้สวมหน้ากากอำพรางตัวตนคนนี้ ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างรู้สึกว่ามีอำนาจอัดแน่นในร่างสูงสง่า จนทำให้ดูน่าเกรงขาม แต่น
ถึงพังพอนเหลืองที่เคารพหลานชายสุดที่รักของท่านถูกพวกมันรังแกย่ำยี พวกมันกระทืบข้า ลวนลามข้า เหยียดหยามวงศ์ตระกูลข้า จนไม่มีหน้ารักษา อีกทั้งกล่าวหาว่าท่านไม่มีน้ำยาสั่งสอนข้า จนกลายเป็นสวะรกแผ่นดินเท่ากับพวกมันลบหลู่เบื้องสูงเท่ากับเหยียบหน้าฝ่าบาท พวกมันเป็นคนของตาเฒ่าหลี่ที่หวังสร้างคลื่นใต้น้ำก่อเรื่อง มีโทษสมควรตาย เรื่องนี้ไท่จื่อเป็นสักขีพยานได้ ยังเคราะห์ดีที่มีผู้แข็งแกร่งช่วยเหลือข้าเอาไว้ และเป็นผู้ส่งตัวพวกมันและจดหมายฉบับนี้มาให้ฝ่าบาทพิจารณา ป.ล พวกมันเป็นคนของพรรคมารอสูรที่ตาแก่หลี่อยู่เบื้องหลังกล้าเหิมเกริมบุกเทียนถูหวู่ ข้าส่งพวกมันให้ท่านนอนกกกอดได้เพียงเท่านี้จาก ชินอ๋อง หลานรักของเสด็จอาฮ่องเต้ฮ่องเต้ราชอาณาจักรซีเว่ยที่กำลังประชุมขุนนางหารือเรื่องบ้านเมืองอ่านสารจบหนวดกลับกระตุกไม่หยุด เส้นขมับเต้นตุบ ๆ สายตาคมมองไปที่บรรดาร่างล่อนจ้อนที่มีผ้าปกปิดกันอุจาด รอยสักบอกยี่ห้อเจ้านายถูกเยี่ยหยางพรางไว้“ทหารจับพวกมันไปขังคุกของชินอ๋อง ร