แม้เว่ยผินไม่ใช่คนร้ายที่ฆ่าหลานเฟยตาย แต่ท้ายที่สุดก็พัวพันกับคดีการตายของหลานเฟย และจวนเว่ยกั๋วกงก็ตกอับเพราะเหตุนี้และยังสูญเสียลูกชายที่โดดเด่นที่สุดสองคนใครจะรู้ว่าแม้พวกเขาไม่พูดอะไร แต่ในใจเกลียดชังราชวงศ์หรือไม่?ฮ่องเต้จิ่งผิงเกิดความเคลือบแคลงในใจ และจวนเว่ยกั๋วกงเพื่อเอาตัวรอด ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายจึงห่างเหินขึ้นเรื่อยๆในเวลานั้นเซียวจิ่งอี้ยังเด็กรอหลังจากเขาโตขึ้น รู้บุญคุณความแค้นในเหตุการณ์ ก็รู้สึกเสียใจต่อจวนเว่ยกั๋วกงที่ต้องเข้ามาพัวพันเช่นกันและคิดย้อนกลับไปในตอนนั้นที่เว่ยผินกับเสด็จแม่รักกันเหมือนพี่น้อง แต่กลับต้องมาตายเพราะเสด็จแม่ ในใจยิ่งรู้สึกติดค้างต่อสกุลเว่ยมีหลายครั้งที่เขาเสนอตัวเข้าหาจวนเว่ยกั๋วกง อยากช่วยพวกเขาสักครั้ง แต่จวนเว่ยกั๋วกงปฏิเสธมาโดยตลอดเมื่อถูกปฏิเสธหลายครั้ง เซียวจิ่งอี้ก็ไม่ไปรบกวนอีกเดิมทีนี่เป็นเพียงบุญคุณความแค้นระหว่างเซียวจิ่งอี้กับจวนเว่ยกั๋วกง ไม่เกี่ยวข้องกับอวิ๋นฝูหลิงแต่โชคชะตาในโลกนี้ช่างน่าอัศจรรย์!บังเอิญมากที่ฮูหยินน้อยสี่ของจวนเว่ยกั๋วกงดันเป็นป้าของอวิ๋นฝูหลิงพูดถึงป้าคนนี้ ก็ต้องเอ่ยถึงครอบค
แม้สกุลเว่ยไม่มีอิทธิพลเหมือนเมื่อก่อนแล้ว กลับยินดีออกหน้าแทนอวิ๋นฝูหลิง ช่วยนางอีกแรงแม้ต่อมาอวิ๋นฝูหลิงไม่ได้ให้สกุลเว่ยออกหน้า ก็จัดการอวิ๋นกานซงได้แล้ว แต่จดจำน้ำใจส่วนนี้ไว้ในใจมาโดยตลอดยิ่งไม่ต้องพูดถึงต่อมาฉินฮุ่ยได้รับข่าวจากเมืองหลวง ตั้งใจเขียนจดหมายให้อวิ๋นฝูหลิง และยังส่งของมากมายให้นางอวิ๋นฝูหลิงสามารถเอารายการสินสอดของมารดาอวิ๋นคืนมา และขับไล่อวิ๋นกานซงออกไปได้ ก็ต้องขอบคุณฉินฮุ่ยดังนั้นอวิ๋นฝูหลิงจึงยินดีที่มีญาติอย่างจวนเว่ยกั๋วกง และไปมาหาสู่กับพวกเขายิ่งกว่านั้นสถานการณ์ของจวนเว่ยกั๋วกงในปัจจุบันนับไม่ได้ว่าดีนัก อวิ๋นฝูหลิงก็ตั้งใจจะช่วยพวกเขาสักครั้งปัจจุบันฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยเหลือลูกชายสองคนนายท่านสามเกิดจากอนุภรรยา แต่มารดาผู้ให้กำเนิดเสียชีวิตตอนคลอด ถูกเลี้ยงโดยฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยตั้งแต่เด็ก สองแม่ลูกมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ก็เหมือนลูกแท้ๆแต่พรสวรรค์และความสามารถของนายท่านสามนั้นอยู่ในระดับทั่วไป ปัจจุบันรับหน้าที่ดูแลงานทั่วไปของจวนเว่ยกั๋วกงส่วนนายท่านสี่เป็นลูกแท้ๆ ของฮูหยินผู้เฒ่าจวนเว่ยกั๋วกง แม่เรียนหนังสือสอบติดบัณฑิตชั้นสูง
“ฝูหลิง ของที่เจ้าทำพวกนี้ ตั้งใจจะเอาไปขายใช่หรือไม่?” เซียวจิ่งอี้กล่าวถามอวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า ไม่ได้ปิดบังเซียวจิ่งอี้อีก“ข้าตั้งใจว่าจะเปิดร้านค้า ขายของพวกบำรุงผิวและความงามโดยเฉพาะ ท่านคิดว่าอย่างไร?”เซียวจิ่งอี้ “ข้ารู้สึกว่าใช้ได้”“ของพวกนี้ไม่มีในท้องตลาด การค้าขายที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทำง่ายที่สุด”“อีกทั้งทุกคนล้วนรักสวยรักงาม ต้องมีคนมากมายยินดีอุดหนุนการค้าของเจ้าแน่นอน”เมื่ออวิ๋นฝูหลิงได้ยิน ยิ่งมีความมั่นใจแล้ว“ข้าอยากหาคนสองสามคนมาร่วมทำการค้านี้ นิสัยใจคอของเจี่ยงซื่อฮูหยินน้อยรองจวนเซียงกั๋วกง กับวั่นซื่อฮูหยินสามของจวนตงชางปั๋วที่ให้ท่านช่วยหาข่าวก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร ท่านได้ข่าวมาหรือไม่?”เซียวจิ่งอี้เลิกคิ้ว “เจ้าอยากร่วมหุ้นกับพวกนาง?”อวิ๋นฝูหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยังมีพระชายาองค์ชายห้าด้วย เจอกันในงานเลี้ยงชมบุปผาขององค์หญิงใหญ่ฉางเล่อ ข้ารู้สึกถูกชะตากับพวกนาง แต่ร่วมหุ้นทำการค้าด้วยกัน จะดูแค่ถูกชะตาหรือไม่ถูกชะตาไม่ได้”“ดังนั้นตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างพิจารณา”เซียวจิ่งอี้คิดแล้วคิดอีก “ข้าสั่งให้คนไปตรวจสอบแล้ว ชื่อเสียงของเจี่ยงซื่อกับวั่นซื่
อวิ๋นฝูหลิงคิดไม่ถึงว่าในมือเซียวจิ่งอี้ก็มีคาราวานพ่อค้ากลุ่มหนึ่งด้วยพูดถึงขั้นนี้แล้ว เซียวจิ่งอี้ก็ไม่คิดจะปิดบังอีก กล่าวตรงๆ “ในมือข้ามีคาราวานพ่อค้ากลุ่มหนึ่ง เป็นพ่อค้าคนกลาง ทำการค้ากับชาวเป่ยหมานและชาวตะวันตกโดยเฉพาะ”“เมื่อก่อนทำการค้าประเภทผ้าไหมและใบชา”“แม้ภายใต้ชื่อของข้ามีกิจการไม่น้อย แต่ค่าใช้จ่ายก็สูงเช่นกัน อย่างไรก็ต้องหาวิธีหารายได้เสริมหน่อย”เมื่ออวิ๋นฝูหลิงเห็นเซียวจิ่งอี้เปิดใจ และเขาทำการค้าชายแดน ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการเปิดร้านค้าในต้าฉีของตน จึงพยักหน้ากล่าว “ได้ เช่นนั้นข้าแค่รับผิดชอบจัดหาสินค้า ส่วนท่านจะขายที่ชายแดนอย่างไร ขายเท่าไร ข้าไม่สนใจ”เซียวจิ่งอี้จับมืออวิ๋นฝูหลิงมาจูบเบาๆ ทีหนึ่ง“ขอบคุณพระชายาที่ยินดีให้ข้าร่วมหาเงินด้วย”อวิ๋นฝูหลิงทุบหน้าอกของเขาด้วยรอยยิ้มทีหนึ่ง “อย่ามาเล่นลิ้น”“ของที่ข้าให้ท่านดูในวันนี้ ล้วนเป็นของที่ข้าใช้เวลาหลายวันกว่าจะทำออกมาได้”“ถ้าจัดหาสินค้าให้ท่าน ประกอบกับเปิดร้านค้าในเมืองหลวงก่อน จำนวนการผลิตไม่น้อยแน่นอน”“ข้าต้องหาสถานที่ตั้งโรงงานก่อน และยังต้องหาแรงงาน…”กล่าวถึงตรงนี้ จู่ๆ อวิ๋นฝูหลิงก็นึกถ
เซียวจิ่งอี้ได้ยินว่ามีผู้หญิงหายไปอย่างต่อเนื่องในเมืองหลวง เมื่อวานเป็นคดีที่สามแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแม้ว่าคดีนี้ผู้ตรวจการเมืองจะเป็นคนสืบสวน แต่กองกำลังรักษาความสงบรับผิดชอบหน้าที่ดูแลเมืองหลวงอยู่ หลังการตรวจสอบอย่างจริงจัง พบว่านี่คือการละเว้นหน้าที่ของกองกำลังรักษาความสงบเซียวจิ่งอี้เป็นผู้บัญชาการของกองกำลังรักษาความสงบ ย่อมถือว่าอยู่ในความรับผิดชอบของตนเขาคุยกับอวิ๋นฝูหลิง และพาคนไปหาผู้ตรวจการเมือง เพื่อช่วยในการสืบสวนเมื่ออวิ๋นฝูหลิงได้รู้เรื่องที่มีคนหายตัวไปอย่างต่อเนื่องที่เมืองหลวงในช่วงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วใต้พระบาทฮ่องเต้ ผู้ใดกล้ามาเหิมเกริมถึงเพียงนี้?ไม่กี่วันต่อมา เซียวจิ่งอี้ก็ออกจากจวนแต่เช้าและกลับมามืดค่ำไม่รู้เป็นเพราะเซียวจิ่งอี้เสริมการลาดตระเวนในเมืองหลวงหรือไม่ ทำให้คนร้ายที่อยู่เบื้องหลังหวาดกลัว ไม่กล้าลงมือต่อ คดีสตรีหายตัวไปในเมืองหลวงจึงไม่เกิดขึ้นอีกทว่าสตรีเหล่านั้นที่หายตัวไปก่อนหน้านี้ กลับหาตัวไม่พบเช่นกันแม้แต่เบาะแส ก็ยังมีน้อยจนน่าเวทนาคดีคนหายตัวไปมาถึงทางตันแล้วด้วยเหตุนี้ เซียวจิ่งอี้จึงโกรธเกรี้ยวเป็นอย่า
จนกระทั่งถูกเกณฑ์ทหาร จึงเพิ่งได้กินอาหารจนอิ่มเป็นครั้งแรกในกองทัพแม้การเป็นทหารจะลำบาก แต่อย่างน้อยก็ได้กินอิ่ม เพื่อที่จะได้มีอาหารกินอิ่มทุกวัน จั๋วหลินจึงไม่กลัวที่จะไปสนามรบไหนเลยจะรู้ว่าในการรบครั้งหนึ่ง เขาจะต้องสูญเสียแขนขวาไปทางราชสำนักมอบค่าทำขวัญให้เขาจำนวนหนึ่ง เพื่อให้เขาเกษียณและกลับบ้านเกิดครอบครัวที่เห็นเขากลับมา มิได้มีความยินดีที่ได้กลับมารวมตัวกัน ทว่ากลับมองแขนเสื้อที่ว่างเปล่าของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจหลังจากรู้ว่าราชสำนักให้เงินทำขวัญเขามาก้อนหนึ่ง ก็เปลี่ยนสีหน้าโดยพลัน และถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเขาจั๋วหลินผ่านความเป็นความตายอยู่ในสนามรบ จึงไม่ได้เป็นคนใสซื่อเหมือนเมื่อก่อน เขามีสายตาเฉียบแหลม นำค่าทำขวัญส่วนใหญ่ไปซ่อนไว้ และเอาออกมาเพียงเล็กน้อยเมื่อครอบครัวได้เงิน แม้จะเป็นมิตรต่อเขาขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังทดสอบทุกรูปแบบเป็นครั้งคราวแบบอ้อม ๆหลังจากแน่ใจว่าเงินของเขาถูกนำออกมาจนหมด ไม่มีเหลือซ่อนไว้แล้ว ก็เปลี่ยนไปมีท่าทีเย็นชากว่าเดิม และขับไล่เขาออกจากบ้านจั๋วหลินเห็นธาตุแท้ของญาติ ก็รู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก จึงนำเงินส่วนนั้นที่ตัวเอ
อวิ๋นฝูหลิงพักอยู่ที่สวนสมุนไพรหลายวัน เฝ้าดูต้นอ่อนสมุนไพรถูกปลูกลงไปทีละต้นต้นอ่อนสมุนไพรเหล่านี้ล้วนถูกอวิ๋นฝูหลิงเพาะปลูกที่สวนสมุนไพรในมิติก่อนแล้ว และใช้อุบายหลายอย่างเพื่อตบตา แสร้งทำเป็นซื้อมาจากที่อื่น ก่อนจะให้คนย้ายมาที่สวนสมุนไพรรากของต้นอ่อนสมุนไพรยังถูกปกคลุมไปด้วยดินจากมิติ ขณะที่ขนย้ายมายังสวนสมุนไพร ก็ล้วนมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยมเมื่อปลูกลงไป และรดน้ำสักครา ก็หยั่งรากลงในดินอวิ๋นฝูหลิงตรวจสอบรอบหนึ่ง ก็พบว่าต้นอ่อนสมุนไพรทั้งหมดที่ถูกปลูกล้วนมีชีวิตอยู่รอดนางให้คำแนะนำแก่พวกจั๋วหลินเป็นพิเศษคราหนึ่ง ว่าปกติต้องดูแลต้นอ่อนสมุนไพรเหล่านี้อย่างไรทั้งยังจัดเรียงข้อมูลทั้งหมดไว้ให้จั๋วหลินด้วยหลังจากจัดการงานทางด้านสวนสมุนไพรเสร็จแล้ว อวิ๋นฝูหลิงก็กลับไปยังเมืองหลวงระหว่างเดินทางก็ไปเยี่ยมชมหมู่บ้านที่สร้างโรงงานสบู่คราหนึ่งด้วยโรงงานสบู่เพิ่งสร้างและกำลังดำเนินการอยู่ หลายวันมานี้สวี่ตงอยู่เฝ้าที่นี่มาตลอด เพื่อดูแลการทำงานในโรงงานสบู่เมื่อได้ยินว่าอวิ๋นฝูหลิงมา สวี่ตงก็รีบวางมือจากงานที่ทำอยู่ และจัดระเบียบรูปลักษณ์ ก่อนจะรีบวิ่งออกมาต้อนรับหลังจากต้อนร
บางคนที่รู้จักสินค้า ย่อมเป็นฝ่ายมาหานางเองอวิ๋นฝูหลิงนั่งอย่างมั่นคง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มีความคิดแล้วอย่างไร? ไม่มีความคิดแล้วอย่างไรหรือ?”พระชายาองค์ชายห้าสบตากับอวิ๋นฝูหลิงที่อมยิ้ม ก็ตระหนักขึ้นมาได้โดยพลันด้วยของที่ดีถึงเพียงนี้ ขอเพียงอาศัยอำนาจของเซียวจิ่งอี้ ย่อมสามารถทำการค้าได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องหาผู้ร่วมธุรกิจ มาแบ่งผลประโยชน์เลยทว่าเมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของอวิ๋นฝูหลิง ซึ่งมิได้ปฏิเสธตามตรง หมายความว่าการค้าครั้งนี้ยังสามารถเจรจากันได้ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาจะหยิบแต้มต่อตัวใดออกมา!มิใช่ว่าพระชายาองค์ชายห้าจะไร้ยางอาย จนต้องการตักตวงผลประโยชน์ในมือของอวิ๋นฝูหลิงไปเป็นความจริงที่องค์ชายห้าไม่มีรากฐาน คราแรกที่ออกจากวังมาอยู่ที่จวน ในวังตราบใดที่ปฏิบัติตามกฎ ก็จะได้รับเงินช่วยเหลือครอบครัวละสามแสนตำลึงองค์ชายห้ากับพระชายาองค์ชายห้ามิได้เก่งเรื่องการบริการจัดการหลายปีมานี้ก็พึ่งพิงเงินเก็บส่วนนั้นของตัวเอง รวมถึงรางวัลประจำปีจากในวังทว่าองค์ชายห้าก็เป็นองค์ชายสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง จึงมักจะต้องเข้าสังคมบ้าง และสิ่งที่ควรใช้จ่ายก็ต้องใช้จ่ายผ่านไปปีแล้วปีเล่
อย่างไรก็ตามจ้าวเสวียซือเคยสูบแค่สองครั้ง เขาอาจจะไม่ติดก็ได้ให้จ้าวเสวียซืออยู่จวนอี้อ๋อง ก็แค่เพื่อความมั่นใจเท่านั้นคิดไม่ถึงว่าเขาจะติดจริงๆดูเหมือนขี้ผึ้งทองนั่น ร้ายกาจยิ่งกว่าที่อวิ๋นฝูหลิงรู้เวลานี้นางรู้สึกโชคดีมากรู้สึกโชคดีที่พบทันเวลา ยังสามารถช่วยจ้าวเสวียซือ ไม่เช่นนั้นภายใต้สถานการณ์ที่นางไม่รู้ จ้าวเสวียซือสูบขี้ผึ้งทองต่อไป เกรงว่าเขาคงหมดทางเยียวยาแล้วจริงๆและรู้สึกโชคดีที่วันนี้นางให้จ้าวเสวียซืออยู่จวนอี้อ๋องถ้าหากไม่ใช่เพราะสั่งให้คนเฝ้าไว้ จ้าวเสวียซือเกิดความอยาก ต้องแอบออกไปซื้อขี้ผึ้งทองสูบแน่นอนจ้าวเสวียซือเห็นเซียวจิ่งอี้ไม่ขยับเขยื้อน สายตาของเขาหันไปมองทางอวิ๋นฝูหลิงแทนเขานึกถึงขี้ผึ้งทองในกล่องของตัวเองถูกอวิ๋นฝูหลิงเอาไป รีบยื่นมือออกไปคว้าชายกระโปรงของอวิ๋นฝูหลิงทันที“พี่สะใภ้ เอาขี้ผึ้งทองให้ข้า…”“ได้โปรด!”“ให้ข้าสูบอีกครั้งเถอะ แค่ครั้งเดียวก็พอ”“ข้าสาบาน ข้าสูบครั้งนี้เสร็จ ต่อไปจะไม่แตะต้องอีกแล้ว!”“พี่สะใภ้ ได้โปรด…”อวิ๋นฝูหลิงไม่ขยับ หันไปกล่าวกับเซียวจิ่งอี้ “จับเขาไว้”เซียวจิ่งอี้พยักหน้า ไปจับตัวจ้าวเสวียซือตามที่
“อี้อ๋องเป็นคนหนักแน่นและรอบคอบตลอด เขารู้จักแยกแยะอยู่แล้ว”“อีกทั้งจวนอี้อ๋องใหญ่เช่นนี้ เสวียซือก็พักอยู่ที่เรือนรับรองแขกด้านหน้า ไม่รบกวนพระชายาอี้อ๋องหรอก”มีหรือที่ฮูหยินเซียงกั๋วกงจะไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ นางก็แค่อดไม่ได้ที่จะบ่นนางถลึงตาใส่เซียงกั๋วกงแวบหนึ่ง “ท่านตามใจเขาเต็มที่เลย!”สำหรับลูกชายคนเล็กคนนี้ เซียงกั๋วกงย่อมลำเอียงกว่าเล็กน้อยแต่ถ้าพูดถึงการตามใจ ฮูหยินเซียงกั๋วกงตามใจมากกว่าแต่คำพูดนี้ เซียงกั๋วกงไม่กล้าพูดออกจากปาก ไม่เช่นนั้นอย่าหวังว่าคืนนี้จะได้อยู่อย่างสงบเขากำลังจะเกลี้ยกล่อมฮูหยินเซียงกั๋วกงนอนเร็วหน่อย ก็ได้ยินนางกล่าวอีก “อี้อ๋องโตกว่าเสวียซือแค่ปีเดียว ปัจจุบันพระชายาก็มีแล้ว ลูกชายก็มีแล้ว แล้วหันมาดูเสวียซือของเรา ยังตัวคนเดียวอยู่เลย”“ข้าว่านะต้องหาคู่ให้เขาแล้ว”“เขารีบแต่งงานเร็วๆ ก็มีคนคุมเขาแล้ว!”เซียงกั๋วกงย่อมไม่มีความเห็น“เช่นนั้นเจ้าก็เลือกผู้หญิงดีๆ สักสองสามคนจากบรรดาคุณหนูในเมืองหลวงให้เขาไปดูตัว”เซียงกั๋วกงเป็นผู้ชาย ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเหล่าคุณหนูในเมืองหลวง เรื่องนี้ย่อมต้องมอบให้ฮูหยินเซียงกั๋วกงไปจัดการใคร
ความหวาดกลัวผุดขึ้นมาในใจจ้าวเสวียซือไม่หยุด จนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ“พระ... พระชายา ข้า...”เขาชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว “ข้าใช้ไปสองครั้งแล้ว... จะทำอย่างไรดี?”อวิ๋นฝูหลิงมองเขาด้วยสายตาเห็นใจ“โชคดีที่รู้ตัวได้ทันกาล เจ้าเสพไปไม่มาก”“ทว่าความบริสุทธิ์ของขี้ผึ้งทองนี้สูงมาก แม้จะใช้ไปเพียงสองครั้ง แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดความรู้สึกติดอยู่บ้าง”“ต่อไปเจ้าก็ห้ามแตะต้องของเช่นนี้อีกเด็ดขาด! นอกเสียจากเจ้าอยากจะกลายเป็นซากศพเดินได้ที่ถูกขี้ผึ้งทองนี้ควบคุม”“ต่อให้ในใจอยากจะเสพมันอีก ก็ต้องควบคุมตัวเองให้ได้ ต้องเลิกให้ได้เสียตั้งแต่ตอนนี้”อวิ๋นฝูหลิงกังวลว่าจ้าวเสวียซือจะเสพติดมัน จึงปรึกษากับเซียวจิ่งอี้ว่า“ช่วงนี้ให้เขาอยู่ที่จวนอี้อ๋องก่อนเถิด”“หากเขาเสพติดเจ้าขี้ผึ้งทองนี่ ข้าก็จะได้ช่วยเขาเลิกได้ทันเวลา”“ไม่เช่นนั้น แค่คลาดสายตาไปเพียงนิด เขาก็จะไปซื้อขี้ผึ้งทองมาแอบเสพอีก จนถลำลึกเข้าไปเรื่อย ๆ อยากจะช่วยเขาก็ไม่ทันกาลแล้ว!”จ้าวเสวียซือตะโกนลั่น “คงไม่จำเป็นต้องทำถึงขั้นหรอกกระมัง ข้าโตขนาดนี้แล้ว ยังจะควบคุมตัวเองไม่อยู่อีกหรือ?”“ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายัง
“เพียงแค่ค่าตั๋วเข้าคฤหาสน์ก็ตั้งสิบตำลึงแล้ว หากเข้าไปแล้วอยากจะเล่นอย่างอื่นก็ยังต้องจ่ายเงินอีกนะ”“สุรา เครื่องดื่มและอาหารก็แพงกว่าที่อื่น แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น คนที่ไปเยือนก็มีไม่ขาดสาย”อวิ๋นฝูหลิงฟังถึงตรงนี้ก็ตกใจเล็กน้อยตั้งราคาไว้สูง ทว่าลูกค้ากลับไปเยือนไม่ขาดสาย เห็นได้ชัดว่ากิจการของที่นี่มีความโดดเด่นเฉพาะตัวที่ที่อื่นไม่มีไม่ต้องรอให้นางเอ่ยถาม ก็ได้ยินจ้าวเสวียซือกล่าวว่า “ข้าก็สงสัยนัก ว่าสถานที่แห่งนี้มีความโดดเด่นอะไรกันแน่ ถึงได้ดึงดูคนเข้าไปเที่ยวเล่นได้มากมายเช่นนั้น”“ข้าเลยตั้งใจหาเวลาว่างไปเที่ยวเล่นที่นั่นมาครั้งหนึ่ง”“ที่นั่นสมแล้วที่ตั้งชื่อว่าเรือนเสินเซียน[1] เรื่องกินดื่มร้องรำทำเพลงน่ะเป็นเรื่องรอง เพราะสิ่งที่เป็นที่เลื่องลือมากที่สุดก็ต้องยกให้ขี้ผึ้งทอง”จ้าวเสวียซือพูดไป พลางควักกล่องเคลือบลายครามใบเล็กเท่ากำปั้นของเด็กแรกเกิดออกมาจากอ้อมแขน“กล่องเล็ก ๆ เช่นนี้ ก็ตั้งห้าสิบตำลึงแล้ว...”ครั้นอวิ๋นฝูหลิงเห็นเนื้อขี้ผึ้งสีทองด้านในกล่องเคลือบลายคราม ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนสีทันทีนางแย่งกล่องเคลือบลายครามใบนั้นมา ใช้นิ้วป้ายเนื้อขี้ผึ้งสีทอ
“คุณชายเจ้าสาวกลับมาพร้อมกับท่านอ๋องด้วย บอกว่าอยากอยู่ค้างคืนเจ้าค่ะ”“ท่านอ๋องขอให้พระชายาจัดเตรียมโต๊ะสุราไว้หนึ่งโต๊ะ คืนนี้จะได้ดื่มร่วมกันเจ้าค่ะ”คุณชายสามจ้าวที่บ่าวรับใช้พูดถึงนั้น ก็คือจ้าวเสวียซือสหายสนิทของเซียวจิ่งอี้ คุณชายสามแห่งจวนเซียงกั๋วกงอวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว”ฉยงอวี้จวิ้นจู่เห็นเช่นนั้น ก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “นี่ก็เย็นย่ำมากแล้ว ข้าควรกลับได้แล้ว”อวิ๋นฝูหลิงพูดรั้งนางให้อยู่ต่อ “อยู่กินมื้อเย็นด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับเถอะ?”ฉยงอวี้จวิ้นจู่ส่ายหน้าหากมีเพียงอวิ๋นฝูหลิงกับเซียวจิ่งอี้ นางก็คงจะอยู่ต่อทว่าคืนนี้มีจ้าวเสวียซืออยู่ด้วย นางเป็นสตรีแต่งงานแล้ว ทั้งเฉินเจิงก็ไม่ได้เดินทางมากับนางด้วย จึงเป็นการไม่สมควรที่จะนั่งร่วมโต๊ะกินข้าวกับบุรุษอื่นอวิ๋นฝูหลิงเห็นว่านางยืนกรานจะกลับ จึงไม่ได้รั้งนางไว้อีก และไปส่งนางถึงประตูรองด้วยตนเองใครจะคาดคิดว่าจะต้องเผชิญกับเซียวจิ่งอี้และจ้าวเสวียซือที่มาด้วยกันเข้าฉยงอวี้จวิ้นจู่กล่าวทักทายเซียวจิ่งอี้กับจ้าวเสวียซือจ้าวเสวียซือกวาดสายตามองดวงหน้าของฉยงอวี้จวิ้นจู่ ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยจนเทบมอง
อวิ๋นฝูหลิงขบคิดอย่างตั้งอกตั้งใจ แล้วกล่าวว่า “อาจเป็นเพราะพวกข้าต่างเป็นคนที่ใช่ของกันและกันกระมัง!”ฉยงอวี้จวิ้นจู่กะพริบตาปริบ ๆ เผยท่าทีว่าฟังไม่เข้าใจ“พี่สะใภ้ พูดให้ชัดเจนกว่านี้สักหน่อยได้หรือไม่?”อวิ๋นฝูหลิง “ความจริงใจ ความจริงใจเป็นไม้ตายที่ใช้ได้ตลอดกาล!”ฉยงอวี้จวิ้นจู่ทรุดตัวอยู่บนตั่งกุ้ยเฟยอย่างหมดเรี่ยวแรง แล้วพึมพำออกมาว่า “ข้ายังจริงใจไม่พอหรือ?”“ต่อให้เป็นก้อนหิน ก็น่าจะถูกข้าทำให้อุ่นจนร้อนแล้วไหม?”ทันทีที่อวิ๋นฝูหลิงได้ยินเช่นนั้น ก็รู้ได้ว่านางกลัดกลุ้มเพราะเฉินเจิงอีกแล้วสำหรับอวิ๋นฝูหลิงแล้ว คางคกสามขาในใต้หล้านี้ไม่อาจหาเจอได้ง่าย ๆ ทว่าบุรุษสองขานั้นมีอยู่มากมาย ไยจะต้องเอาตัวไปยึดติดอยู่กับคนเพียงคนเดียวด้วยมีบุรุษบางจำพวก ต่อให้เจ้าทุ่มเทให้มากเท่าไร เขาก็ยังคงทำเป็นมองไม่เห็นอยู่ดีคนเช่นนี้ สมควรปล่อยให้เขาอยู่ไกลห่างได้มากเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น!เพียงแต่น่าเสียดายที่ ฉยงอวี้จวิ้นจู่หลงรักหัวปักหัวปำ ไม่ยอมฟังคำเตือนแม้แต่น้อยบางทีอาจจะมีแค่ต้องรอให้ถึงสักวันหนึ่ง ที่นางผิดหวังมากพอจนรู้สึกตัวได้ด้วยตนเองกระมังอวิ๋นฝูหลิงนึกถึงก่อนหน้านั
อวิ๋นฝูหลิงพูดไปพลางลูบหีบไม้แดงเล็ก ๆ สองสามใบที่กอดอยู่ในอ้อมกอดพ่อบ้านหยวนเห็นดังนั้น จึงรู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงไม่ได้ถูกคนในวังหลวงรังแก ในทางกลับกันยังได้รางวัลกลับมาไม่น้อยเขาถึงกับรู้สึกโล่งใจอยู่ในใจ กลับมามีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าอีกครั้งอวิ๋นฝูหลิงเอ่ยถาม “ท่านอ๋องล่ะ?”พ่อบ้านหยวน “ท่านอ๋องไปเข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงแล้วขอรับ วันนี้เป็นวันว่าราชการใหญ่”อวิ๋นฝูหลิงพยักหน้า แล้วเดินไปดูเซียวจิงมั่วที่เรือนหลังอากาศเย็นขึ้นทุกวัน ๆใบไม้แห้งเหี่ยวปลิวหลิวลงมาจากกิ่งก้าน หลงเหลือไว้เพียงลำต้นโล้น ๆ เผยให้เห็นถึงความเงียบเหงาประจำต้นฤดูหนาวภายในเรือนหลักของจวนอี้อ๋องได้จุดเตาใต้ดินแล้ว ในห้องจึงอบอุ่นยิ่ง เทียบกับด้านนอกแล้วช่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงฉยงอวี้จวิ้นจู่เอนตัวอยู่บนเตียง พลิกหน้าหนังสือนิยายในมือไปพลาง คุยเล่นกับอวิ๋นฝูหลิงไปพลางนับตั้งแต่หลังงานฉลองบริมาสที่จวนแม่ทัพพิทักษ์แผ่นดิน จะให้มีเหตุหรือไม่มีฉยงอวี้จวิ้นจู่ล้วนวิ่งมายังจวนอี้อ๋อง ค่อย ๆ สนิทสนมกับอวิ๋นฝูหลิงขึ้นเรื่อย ๆ อวิ๋นฝูหลิงเห็นท่าทางเบื่อหน่ายของฉยงอวี้จวิ้นจู่แล้ว จึงอดเอ่ยออกไปไม่ได้ว่า “
หากเป็นไปได้ ติงหมิงรุ่ยอยากให้ตัวเองหายตัวได้ในตอนนี้เลยด้วยซ้ำแบบนั้นอวิ๋นฝูหลิงจะได้ไม่เห็นเขาทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับโหดร้ายเสียนี่กระไรติงหมิงรุ่ยไม่รู้ว่าอวิ๋นฝูหลิงยังจำเขาได้หรือไม่ แล้วจะนึกออกหรือไม่ว่าเป็นเขาเขาก้มหน้า ประสานมือคำนับพร้อมกล่าว “กระหม่อมขอคารวะพระชายาอี้อ๋อง”อวิ๋นฝูหลิงมองเขาเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงพยักหน้าให้เขาเล็กน้อยเท่านั้น แล้วเดินตรงผ่านข้าง ๆ เข้าไปบุญคุณความแค้นระหว่างอวิ๋นฝูหลิงกับครอบครัวอวิ๋นกานซงนั้น แม้จะไม่ถึงขนาดที่พาลโมโหติงหมิงรุ่ยไปด้วย ทว่าเขาถึงขั้นยืมมืออวิ๋นกานซงให้แนะนำตนเองเข้ามาอยู่ในสำนักหมอหลวงได้ ดูแล้วคงใกล้ชิดสนิทสนมไม่น้อย บางทีอาจจะมีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่ก็ได้คนเช่นนี้ อวิ๋นฝูหลิงไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์อันใดกับเขาเลยสักนิดขอแค่เขาไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับอวิ๋นกานซง ก่ออันตรายมาถึงตัวนาง เช่นนั้นอวิ๋นฝูหลิงก็จะไม่สร้างความลำบากให้เขายิ่งไปกว่านั้นพฤติกรรมและกิริยาท่าทางของติงหมิงรุ่ยช่วงที่อยู่ในเขาเฟิ่งลั่วตอนนั้น อวิ๋นฝูหลิงก็ไม่ใคร่จะชอบใจนักเดิมทีเป็นคนแปลกหน้าที่ได้พบกันโดยบังเอิญ มีเพียงวาสนาที่ได้ร
“ข้ากล้ารับรองด้วยชีวิตเลยว่า เทียบยานี้ไม่มีปัญหาแน่นอน และรักษาโรคไอเรื้อรังของไฉเหรินผู้นั้นได้...”เขายังไม่ทันได้พูดจนจบ คนก่อนหน้านี้ก็หัวเราะเสียงเย็นเยียบ“ติงหมิงรุ่ย ที่นี่คือวังหลวง ทุกเรื่องต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ!”“เป็นท่านหมออยู่ในโรงหมอนอกวังแล้วอย่างไร โดดเด่นมากนักหรือ?”“เจ้าอยากตรวจไข้ขนาดนี้ ไม่ออกนอกวังแล้วไปเป็นท่านหมอในโรงหมอที่เจ้าอยู่ต่อเสียเลยเล่า!”“หากเจ้าอยากอยู่ในสำนักหมอหลวง ก็จงทำตัวเป็นหมอฝึกหัดให้ดี อย่าเอาแต่สนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ทั้งวันเลย”“ข้าขอบอกเจ้าหน่อยแล้วกัน เจ้าอย่ายอมแพ้ ทุกคนในสำนักหมอหลวงแห่งนี้ล้วนไต่เต้าขึ้นไปทีละขั้น ๆ ทั้งนั้น”“นอกเสียจากฝีมือการแพทย์ของเจ้าจะยอดเยี่ยมจะไปเข้าตาคนใหญ่คนโตเข้า จนเจ้าได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งเป็นกรณีพิเศษ”“มิเช่นนั้น เจ้าก็อยู่ในสำนักหมอหลวงอย่างสุจริต ทำหน้าที่เป็นหมอฝึกหัดให้ดี”“ข้านึกถึงบุญคุณที่เคยได้รับจากอวิ๋นกานซงในวันวาน ถึงได้คอยดูแลเจ้าเช่นนี้”“เจ้าเป็นคนที่อวิ๋นกานซงแนะนำเข้ามา บัดนี้อวิ๋นกานซงไม่อยู่แล้ว หากเจ้าไม่เก็บหางของตนไว้และไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่ช้าก็เร็วเจ