ถนนชิงหลวนเป็นถนนเส้นที่คึกคักและมีชีวิตชีวาที่สุดในเมืองบูรพาพระชายาองค์ชายห้ายินดีนำร้านค้าบนถนนชิงหลวนมาลงทุน ก็เห็นได้ถึงความจริงใจแล้วเจี่ยงซื่อกล่าวตามว่า “ข้ายินดีจ่ายห้าพันตำลึง”วั่นซื่อก็กล่าวเช่นกันว่า “ข้าก็จะจ่ายห้าพันตำลึง”หลังทั้งสองคนพูดจบ พระชายาองค์ชายห้าก็กล่าวอีกว่า “พวกเราจะลงทุนร้านค้ากับเงิน เจ้าใช้สูตรที่ทำก็พอ”“เรื่องกำไร เจ้าเอาไปสี่ส่วน พวกเราสามคนขอคนละสองส่วน เป็นอย่างไร?”คิดไม่ถึงว่าหลังจากอวิ๋นฝูหลิงได้ยินกลับส่ายศีรษะพระชายาองค์ชายห้าคิดว่านางไม่พอใจเรื่องส่วนแบ่ง ก็คิดว่าตัวเองเสียเปรียบแล้ว และกำลังจะพูด ทว่ากลับคาดไม่ถึงว่าอวิ๋นฝูหลิงจะกล่าวออกมาก่อน“พวกท่านแบ่งกันเช่นนี้ ตัวเองจะเสียเปรียบเกินไป”“เอาเช่นนี้เถอะ ร้านของพี่สะใภ้ห้าอยู่บนถนนชิงหลวน คิดว่ามูลค่าย่อมไม่น้อยกว่าห้าพันตำลึง พี่สะใภ้ห้าใช้ร้านนั้นเป็นการลงทุนก็พอ”“พี่เจี่ยงกับพี่วั่นก็ทำตามที่พวกท่านว่า ออกทุนคนละห้าพันตำลึง”“ข้าจะลงทุนสองพันตำลึง และจะจัดการเรื่องช่องทางการจัดการสินค้าทั้งหมด ทั้งยังรับรองด้วยว่าทั้งแคว้นต้าฉีจะมีเพียงร้านของพวกเราที่ได้รับสินค้า”“กำไ
นางคิดว่าร้านนี้ทำเลและสภาพแวดล้อมดี หากอวิ๋นฝูหลิงชอบ นางก็สามารถเอาร้านนี้มาเป็นทุนได้ร้านค้าของพระชายาองค์ชายห้าไม่ได้อยู่หน้าถนน แต่ต้องเดินเข้าไปช่วงหนึ่งทว่าถนนสายนี้ก็มีความรุ่งเรือง แม้ตำแหน่งร้านค้าของพระชายาองค์ชายห้าจะมิได้ดีที่สุดบนถนนเส้นนี้ แต่ก็ถือว่าดีมากทีเดียวทั้งร้านค้ามีห้าประตู พื้นที่กว้างขวางมากอวิ๋นฝูหลิงเข้ามา ก็เห็นชั้นไม้จำนวนมากตั้งอยู่ในโถงหลักชั้นหนึ่งอวิ๋นฝูหลิงได้ยินว่าก่อนหน้านี้ที่นี่เป็นร้านค้าผ้า จึงเดาว่าชั้นไม้เหล่านี้คงใช้เพื่อเก็บผ้าร้านค้าน่าจะทำความสะอาดแล้ว จึงสะอาดมากอวิ๋นฝูหลิงเดินจากชั้นหนึ่งไปถึงชั้นสาม ทั้งยังไปดูในสวนด้านหลังคราหนึ่ง ร้านนี้ควรออกแบบตกแต่งอย่างไร ในหัวก็มีความคิดไว้แล้วอวิ๋นฝูหลิงพกดินสอถ่านกับกระดาษติดตัวมาด้วย ตอนนี้จึงหาโต๊ะเก้าอี้ และร่างแบบสองสามภาพออกมาโดยพลันพระชายาองค์ชายห้ามองอวิ๋นฝูหลิงถือสิ่งที่เหมือนถ่านสีดำแท่งหนึ่งในมือ วาดเขียนลงบนกระดาษเพียงขีดเขียนไม่กี่ครั้ง องค์ประกอบภายในร้านค้าก็ปรากฏบนกระดาษ จนอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจเจี่ยงซื่อซึ่งอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นภาพของอวิ๋น
วั่นซื่อเพิ่งจะเผยสีหน้าตระหนักได้ออกมาในใจอดไม่ได้ที่เลื่อมใสอวิ๋นฝูหลิงเป็นอย่างยิ่งพระชายาอี้อ๋องมีวิธีการหาเงินเช่นนี้ ช่างเก่งกาจจริงๆ!ทั้งสี่คนนั่งพูดคุยกันครู่หนึ่งส่วนใหญ่เป็นอวิ๋นฝูหลิงที่พูด ขณะที่พวกพระชายาองค์ชายห้าฟัง โดยที่บางครั้งก็เสริมความเห็นของพวกนางบ้างเวลาล่วงเลยมาถึงช่วงบ่าย อวิ๋นฝูหลิงก็ตัดสินใจเรื่องการตกแต่งร้านค้า ทั้งยังวาดแบบร่างเสร็จแล้วด้วยเรื่องการตกแต่ง อวิ๋นฝูหลิงไม่มีเวลามาคอยดูด้วยตัวเองพวกพระชายาองค์ชายห้าทั้งสามคนจึงรับหน้าที่นี้ไปหลังจากเสร็จธุระ ทั้งสี่คนก็หาร้านอาหารใกล้ ๆ เพื่อกินข้าวด้วยกัน ทั้งยังนับว่าเป็นการฉลองการร่วมมือกันทำการค้าของพวกนางด้วยหลังมื้ออาหาร ทั้งสี่คนก็กลับไปที่จวนของตนหลังจากอวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจวนอี้อ๋อง ก็เพิ่งนึกได้ว่าต้องส่งเหยากวงไปทางฝั่งโรงงานสบู่พรุ่งนี้สักคราหนึ่ง เพื่อให้สวี่ตงเตรียมพวกสบู่หอมและครีมบำรุงผิวกายไว้ห้าสิบชิ้น และส่งไปที่จวนองค์ชายห้าพวกสบู่หอมห้าสิบชิ้นนี้ เป็นของที่ให้พระชายาองค์ชายห้านำไปประชาสัมพันธ์ในแวดวงของสตรีสูงศักดิ์พระชายาองค์ชายห้าถนัดเรื่องร่ายรำด้วยแขนเสื้อยาว แล
“สกุลอวิ๋นหมายความว่าอย่างไรกัน?”“การประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ในครั้งนี้ยังจะจัดอยู่หรือไม่?”“ได้ยินว่าการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ในครั้งนี้ จัดขึ้นโดยคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋น”“แค่เด็กสาวคนเดียว จะรับหน้าที่สำคัญเช่นนี้ได้อย่างไร?”“การประชุมใหญ่แวดวงแพทย์เป็นประเพณีซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่รุ่นนายท่านผู้เฒ่าอวิ๋น วันนี้ไม่ใช่ว่าจะถูกทำลายด้วยมือของเด็กสาวผู้นั้นหรือ?”ขณะที่ทุกคนพูดคุยซุบซิบกันอย่างสนุกปาก ทันใดนั้นประตูใหญ่ของอวิ๋นเทียนย่วนก็ถูกคนเปิดออกมาจากด้านในอย่างกะทันหันอวิ๋นฝูหลิงสวมชุดสีม่วงอ่อน มีเครื่องประดับไข่มุกหลายชิ้นอยู่บนศีรษะ ทั้งตัวนางดูสง่างามและสูงศักดิ์เหยากวงถือดาบในมือ ยืนสงบอยู่ด้านข้าง อยู่ในท่าทางปกป้องเงียบ ๆโอวหยางหมิงพาทั้งเด็กและผู้อาวุโสของสกุลโอวหยางมา ขณะที่นายท่านผู้เฒ่าหางพาทุกคนในสกุลหางมา ทั้งยังมีพวกสวินเส้าคังและลูกศิษย์สกุลอวิ๋นทุกคน ซึ่งต่างยืนอยู่ด้านหลังอวิ๋นฝูหลิงกวาดตามองแล้ว ก็พบกับผู้คนจำนวนมากนอกประตูอวิ๋นเทียนย่วน ฝูงชนที่เดิมทียังส่งเสียงเจื้อยแจ้ว เงียบลงโดยพลันเห็นพวกโอวหยางหมิงซึ่งต่างยืนอยู่ด้านหลังอวิ๋นฝูหลิง ด้วยท่าทางสนับสนุน
อวิ๋นฝูหลิงมองไปทางทุกคนรอบหนึ่ง และเอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ “ปู่ทวดของข้าสร้างการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ขึ้นมา เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นของเหล่าสหายร่วมวงการ และพัฒนาทักษะแพทย์”“แรกเริ่มก็เชิญเพียงสหายสนิทซึ่งมีแนวคิดเหมือนกัน มาวินิจฉัยโรค และดูการจ่ายยาเท่านั้น”“พัฒนามาถึงยามนี้ เหมือนต้นกล้าเล็ก ๆ ต้นหนึ่ง ซึ่งเติบโตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้า ในวงการแพทย์เต็มไปด้วยคนมีความสามารถ ซึ่งเหนือกว่าแรกเริ่มมาก”“ข้าคือผู้สืบทอดสกุลอวิ๋น ไม่กล้าลืมความปรารถนาของบรรพบุรุษ”“ยามนี้ในอวิ๋นเทียนย่วนได้มีการจัดตั้งหอเก็บตำราแห่งหนึ่งขึ้น ในหอเก็บตำรามีตำราแพทย์ทุกชนิดซึ่งสกุลอวิ๋นของข้าได้รวบรวมไว้ ทั้งยังมีการตรวจชีพจรและใบสั่งยาที่ท่านปู่ทวดกับท่านพ่อของข้าเคยเขียนด้วย”“ระหว่างการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นสถานะทางสังคม จะเป็นชายหญิงเด็กหรือคนแก่ ขอเพียงมีความสนใจด้านการแพทย์ ทุกคนย่อมเข้ามาอ่านได้!”เมื่ออวิ๋นฝูหลิงพูดเช่นนี้ ทุกคนก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่งตำราแพทย์ของสกุลอวิ๋น ถือเป็นสมบัติล้ำค่าหาใดเปรียบในวงการแพทย์มีคนมากมายที่อยากเห็นแต่กลับไม่ได้เห็นสกุลอวิ๋นมีความสามารถมากพอ
มีสกุลแพทย์ตั้งกี่มากน้อยที่อาศัยเพียงสูตรหนึ่งหรือสองใบ เพื่อดำรงชีวิตไม่ว่าสกุลไหนก็เอาทักษะแพทย์และสูตรลับของสกุลเก็บไว้เป็นความลับ ไม่ให้คนนอกเห็นง่าย ๆอวิ๋นฝูหลิงกลับตรงกันข้าม ต้องการนำตำราแพทย์มาจัดแสดงเพื่อให้คนนอกได้อ่านตามใจถ้ามิได้เสียสติแล้วจะเป็นสิ่งใดได้?จนกระทั่งยามนี้ พวกโอวหยางหมิงจึงเพิ่งจะตระหนักได้ถึงการมองการณ์ไกลและความใจกว้างของอวิ๋นฝูหลิงอวิ่นฝูหลิงนำตำราแพทย์ออกมา ซึ่งเป็นผลประโยชน์มากพอที่จะดึงดูดความสนใจของแพทย์ ใครจะยังกล้ามาตั้งคำถามถึงสถานะของอวิ๋นฝูหลิงได้อีก?ยิ่งไปกว่านั้นหากได้อ่านตำราแพทย์ของสกุลอวิ๋น พูดในด้านของความรู้สึก คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ได้รับความสัมพันธ์ของสกุลอวิ๋น ทั้งยังได้รับการสั่งสอนของสกุลอวิ๋น และถือว่าเป็นลูกศิษย์ของสกุลอวิ๋นไปครึ่งตัวแล้วด้วยหลังจากนี้หากผู้ใดพูดไม่ดีต่ออวิ๋นฝูหลิง หรือพูดไม่ดีต่อสกุลอวิ๋น ย่อมไม่ต้องให้คนสกุลอวิ๋นออกหน้า คนรอบข้างก็สามารถถ่มน้ำลายคนละคำพูดใส่เขาจนตายได้แล้วเมื่อได้รับบุญคุณจากสกุลอวิ๋น กลับยังมาด่าทอสกุลอวิ๋น นี่มิใช่ว่าเป็นการเนรคุณหรือ?ยิ่งไปกว่านั้นตำราแพทย์ที่นำออกมาก็เป็นเพียง
อวิ๋นฝูหลิงหยิบตำราแพทย์ของสกุลอวิ๋นออกมา ทำให้กลุ่มคนที่เดิมทีอยากก่อเรื่องในการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ต้องเงียบกริบภายในชั่วพริบตาท่านหมอทั่วทั้งใต้หล้าล้วนไม่มีใครไม่อยากฉวยโอกาสนี้ เข้าไปหอตำราของสกุลอวิ๋นเพื่อชื่นชมให้เป็นบุญตาสักครั้งหากพัฒนาฝีมือการแพทย์ของตนให้รุดหน้า หรือได้ศึกษาตำรายาสักสองสามอย่างได้ ไม่เพียงแต่ตนเองเท่านั้น กระทั่งวงศ์ตระกูลก็ยังได้รับผลประโยชน์ใหญ่หลวงไปด้วยแม้อวิ๋นฝูหลิงจะแจ้งไว้เป็นที่ชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่า ตำราแพทย์ในหอตำราไม่อาจคัดลอกได้ แต่พวกเขาใช้สมองจดจำไว้ได้นี่นายิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเลย แค่ได้เห็นผ่านตาก็ไม่มีวันลืมเลือนแล้วในช่วงเวลาเช่นนี้ หากมีใครอยากจะก่อเรื่อง แล้วเกิดไปยั่วโทสะของอวิ๋นฝูหลิง จนถึงกับปิดหอตำรา ทำให้กระทบต่อผลประโยชน์ของคนอื่น ๆ ในแวดวงแพทย์แล้ว ทุกคนต้องมีน้ำโหอย่างแน่นอนดังนั้นเหล่าตระกูลที่ต้องการจ้องจับผิดอวิ๋นฝูหลิง ลากให้สกุลอวิ๋นร่วงหล่นลงจากตำแหน่งผู้นำแวดวงแพทย์ แล้วเหยียบย่ำสกุลอวิ๋นไว้ ไม่เป็นแต่ไม่อาจลากสกุลอวิ๋นลงมาจากบัลลังก์ได้ แต่กลับทำได้แต่กะพริบตามองอวิ๋นฝูหลิงเสริมชื่อเสียงส
“คุณหนูใหญ่ สกุลเซี่ยไม่ได้มาจริง ๆ ด้วยขอรับ!”อวิ๋นฝูหลิงเลิกคิ้ว ลอบคิดในใจว่าน่าสนใจสกุลเซี่ยถือดีว่ายาสมุนไพรของตนเองขายได้แน่นอน ไม่จำเป็นต้องมาคบค้าสมาคมทำการค้าถึงการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์อย่างนั้นสิ?หรือว่าไม่เห็นสกุลอวิ๋นอยู่ในสายตา และยิ่งไม่เห็นอวิ๋นฝูหลิงทายาทของสกุลอวิ๋นผู้นี้อยู่ในสายตาสินะ?นึกถึงตอนนั้นที่สกุลอวิ๋นประคับประคองสกุลเซี่ย สอนวิธีปลูกสมุนไพรแก่พวกเขา ทว่าเพียงสกุลเซี่ยหันหน้าไปทางอื่นก็ทำเป็นไม่รู้จักกันเสียแล้ว ขุดรากถอนโคนกำลังคนในสวนสมุนไพรไปสร้างกิจการเองต่างหากคนอกตัญญู กินบนเรือนขี้รดบนหลังคาเช่นนั้น ไม่คิดเลยว่าจะเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ สวรรค์ช่างไม่มีตาเอาเสียเลยครั้นอวิ๋นฝูหลิงนึกถึงบุญคุณความแค้นระหว่างเซี่ยกับอวิ๋นสองสกุลแล้ว พลันหัวเราะเสียงเย็นเยียบออกมา “ในเมื่อสกุลเซี่ยดูแคลน เช่นนั้นการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ในภายภาคหน้าก็ไม่จำเป็นต้องส่งเทียบเชิญไปให้สกุลเซี่ยอีก!”ในเมื่อสกุลเซี่ยไม่ไว้หน้ากัน กล้าวางมาต่อหน้านาง เช่นนั้นก็อย่ามาโทษนางแล้วกันว่าตัดทางหนีทีไล่ของพวกเขาสกุลเซี่ยกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานเช่นนี้ สิ่งที่พวกเขาพึ่งพามิใช่ว่า
เทียนเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าท่านอ๋องคิดจะนั่งรอลาภลอยในเมื่อเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยเผ่าเยว่ สถานะในเผ่าเยว่ก็ย่อมไม่ธรรมดาหลังจากคนแคว้นเยว่เหล่านั้นรู้ข่าวว่าเวินเจาถูกจับตัวมา จะต้องคิดหาวิธีมาช่วยเขาออกไปเป็นแน่เทียนเฉวียนไปทำตามคำสั่งของเซียวจิ่งอี้ทันทีทว่าหลังจากรอมาสามวัน ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางด้านเวินเจาแม้แต่น้อยเซียวจิ่งอี้ตระหนักได้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้เข้าแล้วราชครูแคว้นเยว่หลบหนีเก่งมาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างหากพูดตามหลักการแล้ว คนแคว้นเยว่เหล่านั้นต้องการฟื้นฟูแคว้น ตัวตนของเวินเจาซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์ จึงทำให้พวกเขามีเหตุผลอันชอบธรรมมิเช่นนั้นอาศัยเพียงราชครูผู้นั้น คนแคว้นเยว่ที่เหลือจะเชื่อฟังคำสั่งเขาได้อย่างไร?ทว่าหลังจากผ่านไปนาน คนแคว้นเยว่เหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะมาช่วยเวินเจาแม้แต่น้อยนี่หมายความว่ามองแผนของเขาออกใช่หรือไม่? หรือคิดว่ายามนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการช่วยเหลือ จึงกำลังวางแผนและเฝ้าดูอยู่?หรือคนแคว้นเยว่ยอมแพ้เรื่องนายน้อยเวินเจาผู้นี้แล้ว?เซียวจิ่งอี้คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนแ
ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นได้กลิ่นเลือดจาง ๆ สายหนึ่งกลิ่นเลือดจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นแต่เขาเกิดมาพร้อมจมูกที่อ่อนไหวต่อกลิ่น แค่เพียงกลิ่นจาง ๆ ก็สามารถได้กลิ่นเช่นกันทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินหลายก้าว ไล่ตามสือจ่างซึ่งเป็นผู้นำไปยามนี้สือจ่างเดินออกมาจากเรือนแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินไปตรงหน้าสือจ่าง และกระซิบไม่กี่ประโยคก้นบึ้งในดวงตาของสือจ่างฉายแววประหลาดใจ และหันกลับไปมองลานบ้านด้านหลังในลานบ้าน ชายวัยกลางคนกับหญิงสาวผู้งดงามเห็นว่าในที่สุดทหารก็ตรวจค้นเสร็จแล้ว จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถอนหายใจเสร็จ ประตูเรือนกลับถูกคนพังเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันกลุ่มทหารที่เข้ามาตรวจค้นก่อนหน้านี้บุกเข้ามาอีกครั้งชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง แต่บนใบหน้ากลับยังสงบ และก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สือจ่างผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าก็ผลักเขาไปด้านข้าง ก่อนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ค้นหาทั้งในและนอกเรือนใหม่อีกครั้ง ค้นให้ละเอียด!”ทหารทุกคนตอบรับ และแยกย้ายไปค้นหาอีกครั้งทันทีทหารชั้นผู้น้อยซึ่งประสาทรับกลิ่นไวยืนอยู่ที่เดิม จมูกขยับฟ
“ขอรับ” เทียนซูรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปผ่านไปไม่นาน เทียนซูก็กลับมา“ท่านอ๋อง ผู้ดูแลหอจินอวี้กับพนักงานยืนยันศพกันหมดแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ข้างตัวราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้น”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “คนผู้นี้ถูกจับได้ที่ใด?”“ถูกจับที่ตรอกหูลู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองขอรับ” เทียนซูตอบกลับเซียวจิ่งอี้กล่าวทันที “ไปเอาแผนที่จินโจวมา”ผ่านไปไม่นาน แผนที่จินโจวก็ถูกแขวนขึ้นเซียวจิ่งอี้เดินไปข้างหน้าแผนที่ หาตำแหน่งตรอกหูลู่บนแผนที่เขายื่นมือออกไปแตะบนแผนที่ หลังจากนั้นก็วงขอบเขตโดยประมาณและกล่าวว่า“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้คนไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของตรอกหูลู่”คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ย่อมไม่ปรากฏตัวที่ตรอกหูลู่โดยไม่มีสาเหตุบางทีสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขา อาจจะอยู่ใกล้ตรอกหูลู่นอกจากนี้คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ยังกัดลิ้นปลิดชีพตัวเอง ไม่ให้ความหวังตัวเองว่าจะมีชีวิตรอดเลย เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อปกป้องใครบางคนดูท่าคนรอบกายราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้นจะจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งการเดินทางมาจินโจวครั้งนี้ของเขา ไม่แน่คนข้างกายที่พามาอาจจะล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้นหากคนสนิทเห
จิตรกรฝีมือดีเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกเซียวจิ่งอี้เชิญไปได้ง่าย ๆยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรฝีมือดีเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นพวกท่านจอมปราชญ์เหวินมาก่อน เหตุใดจึงสามารถวาดภาพเหมือนจากความว่างเปล่าให้เหมือนพวกเขาโดยสมบูรณ์ได้?นอกจากนี้ท่านจอมปราชญ์เหวินอยู่ที่จินโจวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าในจินโจวมีจิตรกรชื่อดังอันใดเลยตั้งแต่เขาหลบหนีจากหอจินอวี้มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังผ่านไปไม่พ้นครึ่งวันเสียด้วยซ้ำภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีคนที่สามารถวาดภาพพวกเขาออกมาได้มากมายเช่นนี้?ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินไม่อยากจะเชื่อแต่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจาหนักแน่น เขาก็ไม่กล้าคิดไปเองมากเกินไปไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียวจิ่งอี้ จะมีความแปลกประหลาดมากเสมอบางทีอาจมีคนมากความสามารถอยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้จริง ๆ ซึ่งสามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้เหมือนจริงโดยสมบูรณ์ โดยที่อาศัยเพียงคำอธิบายไม่กี่ประโยคยามนี้คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างเป็นคนที่เคยปรากฏตัวที่หอจินอวี้หากข้างกายเซียวจิ่งอี้มีจิตรกรฝีมือดีอยู่จริง ๆ เกรงว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา คงล้วนถูกวาด
ท่านจอมปราชญ์เหวินได้แต่แสร้งทำเป็นผ่านทางมา และรีบพาคนจากไปยามที่ออกมาจากหอจินอวี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็ถอดหน้ากากออกการสวมหน้ากากเดินบนท้องถนน จะยิ่งดึงดูดความสนใจหลังจากถอดหน้ากาก รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ในฝูงชนจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อคิดว่าแผนการของตนล้มเหลว จนถูกเซียวจิ่งอี้ไล่ล่าราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง อีกทั้งนายน้อยเผ่าเยว่เป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินจึงหดหู่เป็นอย่างยิ่งเป็นความผิดของเซียวจิ่งอี้!ท่านจอมปราชญ์เหวินรู้สึกราวกับว่าเซียวจิ่งอี้เกิดมาเพื่อเป็นหายนะของเขาเขาวางแผนจัดการเซียวจิ่งอี้หลายครั้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้แคว้นต้าฉี ก็จะถูกเซียวจิ่งอี้ทำลายแผนการเสมอยามนี้เมื่อนึกถึงเซียวจิ่งอี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็โกรธจนกัดกรามในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขายังไม่มีกำลังที่จะโต้กลับได้รอก่อนเถอะรอให้เขากลับไปที่เมืองหลวง ก็จะสามารถอาศัยอำนาจขององค์ชายสาม จัดการเซียวจิ่งอี้ให้สิ้นซาก!ท่านจอมปราชญ์เหวินกัดฟัน ขณะที่สีหน้ามืดครึ้มผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท่านจอมป
อวิ๋นฝูหลิงยังจำเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ขอให้นางวาดภาพเหมือนได้หลังจากพบเซียวจิ่งอี้ ทั้งสองคนก็ไปยังคุกที่ขังผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ไว้เมื่อพูดถึงแขกผู้มีเกียรติบนชั้นสามของหอจินอวี้ ผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ก็ต่างจดจำได้เป็นอย่างดีชั้นสามของหอจินอวี้ ไม่ใช่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์ขึ้นไปได้นี่เป็นอุบายที่หอจินอวี้โยนออกมา เป็นวิธีดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างกำไรแบบหนึ่งผู้ที่สามารถขึ้นไปชั้นสามของหอจินอวี้ได้ หมายความว่าเป็นคนที่มีสถานะและทักษะการพนันสูงแต่กลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน กลับเป็นเวินเจาพาขึ้นไปด้วยตัวเองนับตั้งแต่เวินจือเหิงนอนป่วยติดเตียง อำนาจทั้งหมดของสกุลเวินก็ตกไปอยู่ในมือของเวินเจาเวินเจาพาคนไปพักอยู่ที่ชั้นสามของหอจินอวี้ ทั้งยังบอกให้ปรนนิบัติกลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน เหล่าคนของหอจินอวี้ย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลของหอจินอวี้ หรือพนักงาน ยามนี้เมื่อถูกขังอยู่ในคุก ทุกคนก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเมื่อเห็นการสืบสวนก่อนหน้านี้ของเซียวจิ่งอี้ คนเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และออกไปจากคุกโดยเร็ว ทุกคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นคนแรกเพราะกล
“พี่สาม ทางด้านเมืองหลวงมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?”“พวกท่านปู่โอวหยางคิดค้นเทียบยาใหม่ที่ใช้รักษาผู้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองได้แล้วหรือไม่?”หลังจากค้นพบขี้ผึ้งทอง อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงพวกรองเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงจงมาร่วมศึกษาด้วยกัน ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าหาง รวมถึงส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับชีพจรและการรักษาให้เขาด้วยแม้เมืองหลวงกับจินโจวจะเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขี้ผึ้งทองมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าที่อื่นจะไม่ได้รับผลกระทบถึงอย่างไรการค้าของแคว้นต้าฉีก็เจริญรุ่งเรืองมาก จากใต้ขึ้นเหนือมีพ่อค้ามากมาย บางทีอาจจะมีคนที่เดินทางระหว่างเมืองหลวงกับจินโจว ซื้อขี้ผึ้งทองติดไปด้วยสองสามกล่องก็เป็นได้อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางออกจากเมืองหลวงมาหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองหลวงจะมีความคืบหน้าใหม่อันใดบ้างตั้งแต่อวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจินโจว ก็ยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด หางซานสุ่ยจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนางตอนนี้เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นฝ่ายถามขึ้นมา หางซานสุ่ยก็นับว่ามีโอกาสแล้วเขาหยิบจดหมายสองสามฉบับออกมาจากในโต๊ะ“จดหมายพวกนี้ถูกส่ง
แม้ว่าราชครูแคว้นเยว่จะหนีไปแล้ว แต่เขาอยู่ที่หอจินอวี้ตั้งหลายวัน จึงมักจะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแม้เขาจะใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรอบตัวเขาทุกคนจะสวมหน้ากากกระมัง?เริ่มต้นไล่ไปจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้เซียวจิ่งอี้ตัดสินใจไต่สวนผู้ดูและกับพนักงานเหล่านั้นของหอจินอวี้ยังมีทักษะการวาดภาพเหมือนอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูหลิง จะต้องจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นได้เป็นแน่แม้ว่ากลุ่มของราชครูแคว้นเยว่จะฉวยโอกาสวางเพลิงเพื่อหนีออกไปจากหอจินอวี้ แต่ประตูเมืองจินโจวก็ปิดอยู่ ยามนี้พวกเขาคงยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ต้องจัดการด้วยเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยืนอยู่หน้าประตูสำนักผิงอัน หันกลับมามองอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังยุ่งคราหนึ่งเพียงชั่วครู่เดียว เขาก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังที่ว่าการเมืองจินโจวครึ่งชั่วยามต่อมา มีประกาศใบหนึ่งถูกนำมาติดไว้ที่ประตูที่ว่าการทั้งยังมีคนตีฆ้องจากที่ว่าการ อ่านเนื้อหาในประกาศไปทั่วเมืองประกาศนี้กล่าวถึงอันตรายของขี้ผึ้งทอง
“ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ