อวิ๋นฝูหลิงมองไปทางทุกคนรอบหนึ่ง และเอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ “ปู่ทวดของข้าสร้างการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ขึ้นมา เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นของเหล่าสหายร่วมวงการ และพัฒนาทักษะแพทย์”“แรกเริ่มก็เชิญเพียงสหายสนิทซึ่งมีแนวคิดเหมือนกัน มาวินิจฉัยโรค และดูการจ่ายยาเท่านั้น”“พัฒนามาถึงยามนี้ เหมือนต้นกล้าเล็ก ๆ ต้นหนึ่ง ซึ่งเติบโตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้า ในวงการแพทย์เต็มไปด้วยคนมีความสามารถ ซึ่งเหนือกว่าแรกเริ่มมาก”“ข้าคือผู้สืบทอดสกุลอวิ๋น ไม่กล้าลืมความปรารถนาของบรรพบุรุษ”“ยามนี้ในอวิ๋นเทียนย่วนได้มีการจัดตั้งหอเก็บตำราแห่งหนึ่งขึ้น ในหอเก็บตำรามีตำราแพทย์ทุกชนิดซึ่งสกุลอวิ๋นของข้าได้รวบรวมไว้ ทั้งยังมีการตรวจชีพจรและใบสั่งยาที่ท่านปู่ทวดกับท่านพ่อของข้าเคยเขียนด้วย”“ระหว่างการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นสถานะทางสังคม จะเป็นชายหญิงเด็กหรือคนแก่ ขอเพียงมีความสนใจด้านการแพทย์ ทุกคนย่อมเข้ามาอ่านได้!”เมื่ออวิ๋นฝูหลิงพูดเช่นนี้ ทุกคนก็ตกตะลึงเป็นอย่างยิ่งตำราแพทย์ของสกุลอวิ๋น ถือเป็นสมบัติล้ำค่าหาใดเปรียบในวงการแพทย์มีคนมากมายที่อยากเห็นแต่กลับไม่ได้เห็นสกุลอวิ๋นมีความสามารถมากพอ
มีสกุลแพทย์ตั้งกี่มากน้อยที่อาศัยเพียงสูตรหนึ่งหรือสองใบ เพื่อดำรงชีวิตไม่ว่าสกุลไหนก็เอาทักษะแพทย์และสูตรลับของสกุลเก็บไว้เป็นความลับ ไม่ให้คนนอกเห็นง่าย ๆอวิ๋นฝูหลิงกลับตรงกันข้าม ต้องการนำตำราแพทย์มาจัดแสดงเพื่อให้คนนอกได้อ่านตามใจถ้ามิได้เสียสติแล้วจะเป็นสิ่งใดได้?จนกระทั่งยามนี้ พวกโอวหยางหมิงจึงเพิ่งจะตระหนักได้ถึงการมองการณ์ไกลและความใจกว้างของอวิ๋นฝูหลิงอวิ่นฝูหลิงนำตำราแพทย์ออกมา ซึ่งเป็นผลประโยชน์มากพอที่จะดึงดูดความสนใจของแพทย์ ใครจะยังกล้ามาตั้งคำถามถึงสถานะของอวิ๋นฝูหลิงได้อีก?ยิ่งไปกว่านั้นหากได้อ่านตำราแพทย์ของสกุลอวิ๋น พูดในด้านของความรู้สึก คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ได้รับความสัมพันธ์ของสกุลอวิ๋น ทั้งยังได้รับการสั่งสอนของสกุลอวิ๋น และถือว่าเป็นลูกศิษย์ของสกุลอวิ๋นไปครึ่งตัวแล้วด้วยหลังจากนี้หากผู้ใดพูดไม่ดีต่ออวิ๋นฝูหลิง หรือพูดไม่ดีต่อสกุลอวิ๋น ย่อมไม่ต้องให้คนสกุลอวิ๋นออกหน้า คนรอบข้างก็สามารถถ่มน้ำลายคนละคำพูดใส่เขาจนตายได้แล้วเมื่อได้รับบุญคุณจากสกุลอวิ๋น กลับยังมาด่าทอสกุลอวิ๋น นี่มิใช่ว่าเป็นการเนรคุณหรือ?ยิ่งไปกว่านั้นตำราแพทย์ที่นำออกมาก็เป็นเพียง
อวิ๋นฝูหลิงหยิบตำราแพทย์ของสกุลอวิ๋นออกมา ทำให้กลุ่มคนที่เดิมทีอยากก่อเรื่องในการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ต้องเงียบกริบภายในชั่วพริบตาท่านหมอทั่วทั้งใต้หล้าล้วนไม่มีใครไม่อยากฉวยโอกาสนี้ เข้าไปหอตำราของสกุลอวิ๋นเพื่อชื่นชมให้เป็นบุญตาสักครั้งหากพัฒนาฝีมือการแพทย์ของตนให้รุดหน้า หรือได้ศึกษาตำรายาสักสองสามอย่างได้ ไม่เพียงแต่ตนเองเท่านั้น กระทั่งวงศ์ตระกูลก็ยังได้รับผลประโยชน์ใหญ่หลวงไปด้วยแม้อวิ๋นฝูหลิงจะแจ้งไว้เป็นที่ชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่า ตำราแพทย์ในหอตำราไม่อาจคัดลอกได้ แต่พวกเขาใช้สมองจดจำไว้ได้นี่นายิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคนที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเลย แค่ได้เห็นผ่านตาก็ไม่มีวันลืมเลือนแล้วในช่วงเวลาเช่นนี้ หากมีใครอยากจะก่อเรื่อง แล้วเกิดไปยั่วโทสะของอวิ๋นฝูหลิง จนถึงกับปิดหอตำรา ทำให้กระทบต่อผลประโยชน์ของคนอื่น ๆ ในแวดวงแพทย์แล้ว ทุกคนต้องมีน้ำโหอย่างแน่นอนดังนั้นเหล่าตระกูลที่ต้องการจ้องจับผิดอวิ๋นฝูหลิง ลากให้สกุลอวิ๋นร่วงหล่นลงจากตำแหน่งผู้นำแวดวงแพทย์ แล้วเหยียบย่ำสกุลอวิ๋นไว้ ไม่เป็นแต่ไม่อาจลากสกุลอวิ๋นลงมาจากบัลลังก์ได้ แต่กลับทำได้แต่กะพริบตามองอวิ๋นฝูหลิงเสริมชื่อเสียงส
“คุณหนูใหญ่ สกุลเซี่ยไม่ได้มาจริง ๆ ด้วยขอรับ!”อวิ๋นฝูหลิงเลิกคิ้ว ลอบคิดในใจว่าน่าสนใจสกุลเซี่ยถือดีว่ายาสมุนไพรของตนเองขายได้แน่นอน ไม่จำเป็นต้องมาคบค้าสมาคมทำการค้าถึงการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์อย่างนั้นสิ?หรือว่าไม่เห็นสกุลอวิ๋นอยู่ในสายตา และยิ่งไม่เห็นอวิ๋นฝูหลิงทายาทของสกุลอวิ๋นผู้นี้อยู่ในสายตาสินะ?นึกถึงตอนนั้นที่สกุลอวิ๋นประคับประคองสกุลเซี่ย สอนวิธีปลูกสมุนไพรแก่พวกเขา ทว่าเพียงสกุลเซี่ยหันหน้าไปทางอื่นก็ทำเป็นไม่รู้จักกันเสียแล้ว ขุดรากถอนโคนกำลังคนในสวนสมุนไพรไปสร้างกิจการเองต่างหากคนอกตัญญู กินบนเรือนขี้รดบนหลังคาเช่นนั้น ไม่คิดเลยว่าจะเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ สวรรค์ช่างไม่มีตาเอาเสียเลยครั้นอวิ๋นฝูหลิงนึกถึงบุญคุณความแค้นระหว่างเซี่ยกับอวิ๋นสองสกุลแล้ว พลันหัวเราะเสียงเย็นเยียบออกมา “ในเมื่อสกุลเซี่ยดูแคลน เช่นนั้นการประชุมใหญ่แวดวงแพทย์ในภายภาคหน้าก็ไม่จำเป็นต้องส่งเทียบเชิญไปให้สกุลเซี่ยอีก!”ในเมื่อสกุลเซี่ยไม่ไว้หน้ากัน กล้าวางมาต่อหน้านาง เช่นนั้นก็อย่ามาโทษนางแล้วกันว่าตัดทางหนีทีไล่ของพวกเขาสกุลเซี่ยกล้าทำตัวกำเริบเสิบสานเช่นนี้ สิ่งที่พวกเขาพึ่งพามิใช่ว่า
นายท่านอู๋ปรบมือดังฉาด กล่าวเห็นด้วย “เป็นเช่นที่ว่านี้เลย!”อวิ๋นฝูหลิงฟังความนัยระหว่างที่พวกเขาพูดไปพูดมานี้ ดูเหมือนว่าหลัก ๆ จะอยู่ที่เรื่องยา จึงอดคาดเดาอยู่ในใจไม่ได้หนึ่งเค่อถัดมา ก็ได้ยินนายท่านเจิ้งถอนหายใจออกมาเบาแล้วกล่าวว่า “พวกเราเปิดโรงหมอรักษาคน จะขาดยาได้ที่ไหนกัน?”“หากไม่มียา จะไปจัดยารักษาโรคให้คนไข้ได้อย่างไร?”“น่าชังที่สกุลเซี่ยเป็นคนกลางในแวดวงแพทย์ ไม่นึกเลยว่าจะขึ้นราคายาไปถึงสองเท่า!”“หากไม่เห็นด้วย ก็ต้องยุติความร่วมมือ!”นายท่านประจำร้านค้ายาที่เหลือก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน มีความไม่พอใจเจือในน้ำเสียงอยู่หลายส่วน“สกุลเซี่ยอาศัยว่าพวกเขามีเคล็ดลับในการปลูกสมุนไพรต่างหาก!”“หาดูทั่วทั้งต้าฉีแล้ว ก็มีแต่สมุนไพรของสกุลเซี่ยนี่แหละที่มีหลากหลายชนิด ทั้งยังมีจำนวนมาก”“เดิมทีราคายาก็สูงมากอยู่แล้ว ประชาราษฎร์เจ็บไข้ได้ป่วยตั้งมากมายเพียงไร แต่เพราะราคายาสูงลิ่วจึงไม่อาจจัดหยูกจัดยาได้ ก็ได้แต่กัดฟันฝืนทนกันไป” “หากราคายายังสูงขึ้นอีกเรื่อย ๆ เช่นนี้...”การที่จะเป็นผู้ดูแลในร้านค้ายาได้นั้น เจ้าตัวจะต้องชัดแจ้งในหลักการแพทย์ ถึงขั้นที่เจ้าตัวจักต้องเ
อวิ๋นฝูหลิงข่มความปลื้มปีติในใจไว้ แสร้งทำท่าทางจงเกลียดจงชังตาม แล้วเสนอความคิดว่าออกมาว่า “เขาจะขึ้นราคา พวกเราจะไม่ซื้อก็ได้นี่เจ้าคะ!”“ใช่ว่าราชวศ์ต้าฉีจะมีแค่สกุลเซี่ยของพวกเขาสกุลเดียวเสียหน่อยที่มียาสมุนไพร!”“หรือว่าพวกเราจะยอมถูกสกุลเซี่ยบีบคั้นอยู่แบบนี้ พวกเขาจะขึ้นราคายาสมุนไพรอย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือ?”นายท่านเจิ้งถอนหายใจเบา ๆ พลางว่า “ใช่ว่าพวกเราจะไม่เคยคิดเช่นนี้?”“แต่ใครใช้ให้สกุลเซี่ยเป็นโรงโอสถที่ใหญ่ที่สุดในต้าฉีเล่า?”“สกุลเซี่ยเป็นคนปลูกยาสมุนไพรเองทุกตัว ไม่ว่าพวกเราจะต้องการเท่าไร พวกเขาก็เอาออกมาให้พวกเราได้”“โรงโอสถอื่น ๆ ส่วนมากก็ได้ยาสมุนไพรมาจากนักเก็บสมุนไพรทั้งนั้น”“ซึ่งยาสมุนไพรจากนักเก็บสมุนไพรก็เก็บมาจากในป่าในเขาทั้งนั้น แน่นอนว่าจำนวนของพวกเขาเทียบกับของสกุลเซี่ยไม่ติดเลย”“หากพึ่งพิงเพียงแต่นักเก็บสมุนไพรเหล่านี้ ยาสมุนไพรในร้านค้ายาของพวกเราก็ไม่มีทางพอใช้หรอก!”นายท่านอู๋และคนอื่น ๆ พากันพยักหน้าตาม ต่างคนต่างแย่งกันพูดกันยกใหญ่พวกเขาเองก็ไม่อยากถูกสกุลเซี่ยบีบเช่นกัน และยิ่งไม่อยากให้สกุลเซี่ยเป็นคนกำหนดราคายาสมุนไพรทว่าหากไม่ซ
วันต่อมา อวิ๋นฝูหลิงจึงหยิบห่อผ้าหลายห่อไปหาพวกนายท่านเจิ้ง“นี่คือยาสมุนไพรที่ปลูกขึ้นในสวนสมุนไพรที่ข้าพูดถึงเมื่อวาน”อวิ๋นฝูหลิงเปิดห่อผ้าแต่ละห่อออก เรียกให้พวกนายท่านเจิ้งเข้ามาตรวจสอบของทันทีที่ห่อผ้าเปิดออก กลิ่นยาหอม ๆ ก็อบอวลไปทั่วทั้งห้องภายในชั่วพริบตาพวกนายท่านเจิ้งคลุกคลีอยู่กับยาสมุนไพรตลอดทั้งปี การพินิจว่ายาสมุนไพรมีคุณภาพดีหรือเลวนั้นบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ตามอง เพียงแค่สูดกลิ่นก็ตัดสินได้แล้วทันทีที่ได้กลิ่นหอมของยาที่ลอยอยู่ในห้อง ดวงตาของนายท่านเจิ้งและคนอื่น ๆ อีกอดเปล่งประกายขึ้นมาไม่ได้พวกเขารีบก้าวเท้าเข้าไปห้อมล้อมมุงดูสมุนไพรในห่อผ้าหลายห่อที่อวิ๋นฝูหลิงนำมาอวิ๋นฝูหลิงนำยาสมุนไพรมาหลากหลายชนิด รวม ๆ กันแล้วอย่างน้อยก็มีถึงยี่สิบชนิดหลังจากที่นายท่านเจิ้งและคนอื่น ๆ ได้ตรวจดูแล้ว ความประหลาดใจในดวงตาก็เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ คุณภาพของยาสมุนไพรเหล่านี้ไม่ด้อยไปกว่าสกุลเซี่ยเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมีหลากหลายชนิดนายท่านอู๋หยิบตังเซียมขึ้นมาหนึ่งกำมือ กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนสั่นเครือว่า “แม่นางอวิ๋น ยาสมุนไพรที่เจ้านำมาเหล่านี้ ล้วนปลูกขึ้นมาเอ
อันที่จริงสมุนไพรที่ปลูกอยู่ในสวนสมุนไพรด้านในมิติของอวิ๋นฝูหลิงพวกนั้นมีคุณภาพดีเกินไปหากนำสมุนไพรที่เติบโตอยู่ในสวนสมุนไพรด้านในมิติออกมาให้ดูเป็นตัวอย่าง แต่สมุนไพรที่นำส่งกลับเป็นสมุนไพรที่เติบโตอยู่ในสวนสมุนไพรที่เจียงโจวและชานเมืองเมืองหลวงทั้งสองที่นี้ คุณภาพสมุนไพรของทั้งสองแห่งนี้ย่อมด้อยกว่าแน่นอนหากคุณภาพสมุนไพรตอนที่นำส่งคุณภาพดีกว่าของตัวอย่างเช่นนั้นก็ถือว่าดีนักทว่าใจของอวิ๋นฝูหลิงนั้นชัดแจ้งดีว่า สมุนไพรที่เติบโตในสวนสมุนไพรทั้งสองแห่งของเจียงโจวและชานเมืองเมืองหลวงนั้นจักต้องเทียบสมุนไพรในมิติไม่ติดแน่นอนหากนำสมุนไพรของสวนในมิติออกมาขาย อวิ๋นฝูหลิงย่อมทำใจไม่ได้ได้แน่สมุนไพรของสวนสมุนไพรในมิติของนางเหล่านั้น นางเก็บไว้เพื่อปรุงยาแก่ตัวเอง ไม่มีทางนำสมุนไพรที่เติบโตอยู่ในสวนด้านในมิติออกมาเผยแพร่ต่อหน้าผู้คนแน่นอนดังนั้นอวิ๋นฝูหลิงจึงเลือกซื้อสมุนไพรจากท้องตลาดจำนวนหนึ่งมาใช้ในสำนักช่วยชีพเป็นการชั่วคราวกระทั่งนายท่านอู๋และคนอื่น ๆ ได้สติกลับมา นายท่านเจิ้งก็เริ่มหารือเรื่องจัดซื้อสมุนไพรกับอวิ๋นฝูหลิงอยู่ข้าง ๆ เป็นที่เรียบร้อยนายท่านอู๋ลอบด่านายท่านเจิ
เทียนเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าท่านอ๋องคิดจะนั่งรอลาภลอยในเมื่อเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยเผ่าเยว่ สถานะในเผ่าเยว่ก็ย่อมไม่ธรรมดาหลังจากคนแคว้นเยว่เหล่านั้นรู้ข่าวว่าเวินเจาถูกจับตัวมา จะต้องคิดหาวิธีมาช่วยเขาออกไปเป็นแน่เทียนเฉวียนไปทำตามคำสั่งของเซียวจิ่งอี้ทันทีทว่าหลังจากรอมาสามวัน ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางด้านเวินเจาแม้แต่น้อยเซียวจิ่งอี้ตระหนักได้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้เข้าแล้วราชครูแคว้นเยว่หลบหนีเก่งมาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างหากพูดตามหลักการแล้ว คนแคว้นเยว่เหล่านั้นต้องการฟื้นฟูแคว้น ตัวตนของเวินเจาซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์ จึงทำให้พวกเขามีเหตุผลอันชอบธรรมมิเช่นนั้นอาศัยเพียงราชครูผู้นั้น คนแคว้นเยว่ที่เหลือจะเชื่อฟังคำสั่งเขาได้อย่างไร?ทว่าหลังจากผ่านไปนาน คนแคว้นเยว่เหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะมาช่วยเวินเจาแม้แต่น้อยนี่หมายความว่ามองแผนของเขาออกใช่หรือไม่? หรือคิดว่ายามนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการช่วยเหลือ จึงกำลังวางแผนและเฝ้าดูอยู่?หรือคนแคว้นเยว่ยอมแพ้เรื่องนายน้อยเวินเจาผู้นี้แล้ว?เซียวจิ่งอี้คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนแ
ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นได้กลิ่นเลือดจาง ๆ สายหนึ่งกลิ่นเลือดจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นแต่เขาเกิดมาพร้อมจมูกที่อ่อนไหวต่อกลิ่น แค่เพียงกลิ่นจาง ๆ ก็สามารถได้กลิ่นเช่นกันทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินหลายก้าว ไล่ตามสือจ่างซึ่งเป็นผู้นำไปยามนี้สือจ่างเดินออกมาจากเรือนแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินไปตรงหน้าสือจ่าง และกระซิบไม่กี่ประโยคก้นบึ้งในดวงตาของสือจ่างฉายแววประหลาดใจ และหันกลับไปมองลานบ้านด้านหลังในลานบ้าน ชายวัยกลางคนกับหญิงสาวผู้งดงามเห็นว่าในที่สุดทหารก็ตรวจค้นเสร็จแล้ว จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถอนหายใจเสร็จ ประตูเรือนกลับถูกคนพังเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันกลุ่มทหารที่เข้ามาตรวจค้นก่อนหน้านี้บุกเข้ามาอีกครั้งชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง แต่บนใบหน้ากลับยังสงบ และก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สือจ่างผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าก็ผลักเขาไปด้านข้าง ก่อนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ค้นหาทั้งในและนอกเรือนใหม่อีกครั้ง ค้นให้ละเอียด!”ทหารทุกคนตอบรับ และแยกย้ายไปค้นหาอีกครั้งทันทีทหารชั้นผู้น้อยซึ่งประสาทรับกลิ่นไวยืนอยู่ที่เดิม จมูกขยับฟ
“ขอรับ” เทียนซูรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปผ่านไปไม่นาน เทียนซูก็กลับมา“ท่านอ๋อง ผู้ดูแลหอจินอวี้กับพนักงานยืนยันศพกันหมดแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ข้างตัวราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้น”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “คนผู้นี้ถูกจับได้ที่ใด?”“ถูกจับที่ตรอกหูลู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองขอรับ” เทียนซูตอบกลับเซียวจิ่งอี้กล่าวทันที “ไปเอาแผนที่จินโจวมา”ผ่านไปไม่นาน แผนที่จินโจวก็ถูกแขวนขึ้นเซียวจิ่งอี้เดินไปข้างหน้าแผนที่ หาตำแหน่งตรอกหูลู่บนแผนที่เขายื่นมือออกไปแตะบนแผนที่ หลังจากนั้นก็วงขอบเขตโดยประมาณและกล่าวว่า“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้คนไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของตรอกหูลู่”คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ย่อมไม่ปรากฏตัวที่ตรอกหูลู่โดยไม่มีสาเหตุบางทีสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขา อาจจะอยู่ใกล้ตรอกหูลู่นอกจากนี้คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ยังกัดลิ้นปลิดชีพตัวเอง ไม่ให้ความหวังตัวเองว่าจะมีชีวิตรอดเลย เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อปกป้องใครบางคนดูท่าคนรอบกายราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้นจะจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งการเดินทางมาจินโจวครั้งนี้ของเขา ไม่แน่คนข้างกายที่พามาอาจจะล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้นหากคนสนิทเห
จิตรกรฝีมือดีเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกเซียวจิ่งอี้เชิญไปได้ง่าย ๆยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรฝีมือดีเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นพวกท่านจอมปราชญ์เหวินมาก่อน เหตุใดจึงสามารถวาดภาพเหมือนจากความว่างเปล่าให้เหมือนพวกเขาโดยสมบูรณ์ได้?นอกจากนี้ท่านจอมปราชญ์เหวินอยู่ที่จินโจวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าในจินโจวมีจิตรกรชื่อดังอันใดเลยตั้งแต่เขาหลบหนีจากหอจินอวี้มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังผ่านไปไม่พ้นครึ่งวันเสียด้วยซ้ำภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีคนที่สามารถวาดภาพพวกเขาออกมาได้มากมายเช่นนี้?ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินไม่อยากจะเชื่อแต่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจาหนักแน่น เขาก็ไม่กล้าคิดไปเองมากเกินไปไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียวจิ่งอี้ จะมีความแปลกประหลาดมากเสมอบางทีอาจมีคนมากความสามารถอยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้จริง ๆ ซึ่งสามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้เหมือนจริงโดยสมบูรณ์ โดยที่อาศัยเพียงคำอธิบายไม่กี่ประโยคยามนี้คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างเป็นคนที่เคยปรากฏตัวที่หอจินอวี้หากข้างกายเซียวจิ่งอี้มีจิตรกรฝีมือดีอยู่จริง ๆ เกรงว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา คงล้วนถูกวาด
ท่านจอมปราชญ์เหวินได้แต่แสร้งทำเป็นผ่านทางมา และรีบพาคนจากไปยามที่ออกมาจากหอจินอวี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็ถอดหน้ากากออกการสวมหน้ากากเดินบนท้องถนน จะยิ่งดึงดูดความสนใจหลังจากถอดหน้ากาก รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ในฝูงชนจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อคิดว่าแผนการของตนล้มเหลว จนถูกเซียวจิ่งอี้ไล่ล่าราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง อีกทั้งนายน้อยเผ่าเยว่เป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินจึงหดหู่เป็นอย่างยิ่งเป็นความผิดของเซียวจิ่งอี้!ท่านจอมปราชญ์เหวินรู้สึกราวกับว่าเซียวจิ่งอี้เกิดมาเพื่อเป็นหายนะของเขาเขาวางแผนจัดการเซียวจิ่งอี้หลายครั้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้แคว้นต้าฉี ก็จะถูกเซียวจิ่งอี้ทำลายแผนการเสมอยามนี้เมื่อนึกถึงเซียวจิ่งอี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็โกรธจนกัดกรามในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขายังไม่มีกำลังที่จะโต้กลับได้รอก่อนเถอะรอให้เขากลับไปที่เมืองหลวง ก็จะสามารถอาศัยอำนาจขององค์ชายสาม จัดการเซียวจิ่งอี้ให้สิ้นซาก!ท่านจอมปราชญ์เหวินกัดฟัน ขณะที่สีหน้ามืดครึ้มผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท่านจอมป
อวิ๋นฝูหลิงยังจำเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ขอให้นางวาดภาพเหมือนได้หลังจากพบเซียวจิ่งอี้ ทั้งสองคนก็ไปยังคุกที่ขังผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ไว้เมื่อพูดถึงแขกผู้มีเกียรติบนชั้นสามของหอจินอวี้ ผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ก็ต่างจดจำได้เป็นอย่างดีชั้นสามของหอจินอวี้ ไม่ใช่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์ขึ้นไปได้นี่เป็นอุบายที่หอจินอวี้โยนออกมา เป็นวิธีดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างกำไรแบบหนึ่งผู้ที่สามารถขึ้นไปชั้นสามของหอจินอวี้ได้ หมายความว่าเป็นคนที่มีสถานะและทักษะการพนันสูงแต่กลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน กลับเป็นเวินเจาพาขึ้นไปด้วยตัวเองนับตั้งแต่เวินจือเหิงนอนป่วยติดเตียง อำนาจทั้งหมดของสกุลเวินก็ตกไปอยู่ในมือของเวินเจาเวินเจาพาคนไปพักอยู่ที่ชั้นสามของหอจินอวี้ ทั้งยังบอกให้ปรนนิบัติกลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน เหล่าคนของหอจินอวี้ย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลของหอจินอวี้ หรือพนักงาน ยามนี้เมื่อถูกขังอยู่ในคุก ทุกคนก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเมื่อเห็นการสืบสวนก่อนหน้านี้ของเซียวจิ่งอี้ คนเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และออกไปจากคุกโดยเร็ว ทุกคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นคนแรกเพราะกล
“พี่สาม ทางด้านเมืองหลวงมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?”“พวกท่านปู่โอวหยางคิดค้นเทียบยาใหม่ที่ใช้รักษาผู้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองได้แล้วหรือไม่?”หลังจากค้นพบขี้ผึ้งทอง อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงพวกรองเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงจงมาร่วมศึกษาด้วยกัน ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าหาง รวมถึงส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับชีพจรและการรักษาให้เขาด้วยแม้เมืองหลวงกับจินโจวจะเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขี้ผึ้งทองมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าที่อื่นจะไม่ได้รับผลกระทบถึงอย่างไรการค้าของแคว้นต้าฉีก็เจริญรุ่งเรืองมาก จากใต้ขึ้นเหนือมีพ่อค้ามากมาย บางทีอาจจะมีคนที่เดินทางระหว่างเมืองหลวงกับจินโจว ซื้อขี้ผึ้งทองติดไปด้วยสองสามกล่องก็เป็นได้อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางออกจากเมืองหลวงมาหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองหลวงจะมีความคืบหน้าใหม่อันใดบ้างตั้งแต่อวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจินโจว ก็ยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด หางซานสุ่ยจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนางตอนนี้เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นฝ่ายถามขึ้นมา หางซานสุ่ยก็นับว่ามีโอกาสแล้วเขาหยิบจดหมายสองสามฉบับออกมาจากในโต๊ะ“จดหมายพวกนี้ถูกส่ง
แม้ว่าราชครูแคว้นเยว่จะหนีไปแล้ว แต่เขาอยู่ที่หอจินอวี้ตั้งหลายวัน จึงมักจะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแม้เขาจะใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรอบตัวเขาทุกคนจะสวมหน้ากากกระมัง?เริ่มต้นไล่ไปจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้เซียวจิ่งอี้ตัดสินใจไต่สวนผู้ดูและกับพนักงานเหล่านั้นของหอจินอวี้ยังมีทักษะการวาดภาพเหมือนอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูหลิง จะต้องจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นได้เป็นแน่แม้ว่ากลุ่มของราชครูแคว้นเยว่จะฉวยโอกาสวางเพลิงเพื่อหนีออกไปจากหอจินอวี้ แต่ประตูเมืองจินโจวก็ปิดอยู่ ยามนี้พวกเขาคงยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ต้องจัดการด้วยเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยืนอยู่หน้าประตูสำนักผิงอัน หันกลับมามองอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังยุ่งคราหนึ่งเพียงชั่วครู่เดียว เขาก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังที่ว่าการเมืองจินโจวครึ่งชั่วยามต่อมา มีประกาศใบหนึ่งถูกนำมาติดไว้ที่ประตูที่ว่าการทั้งยังมีคนตีฆ้องจากที่ว่าการ อ่านเนื้อหาในประกาศไปทั่วเมืองประกาศนี้กล่าวถึงอันตรายของขี้ผึ้งทอง
“ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ