ตอนที่อวิ๋นฝูหลิงตั้งสติได้ เซียวจิ่งอี้ก็มายืนขวางอยู่ตรงหน้านางแล้ว ลูกธนูที่แหลมคมดอกหนึ่ง ยิงเข้าไปที่หน้าอกของเขากลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นเตะจมูกอวิ๋นฝูหลิงอวิ๋นฝูหลิงเบิกตากว้าง มองเซียวจิ่งอี้อย่างตะลึงพริบตานั้น เหมือนเวลาหยุดนิ่ง ทุกอย่างโดยรอบหายไปหมดสมองของนางวางเปล่า เหมือนยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนเพียงพริบตาเดียว แต่ก็เหมือนนานมาก จึงจะมีเสียงดังเข้าไปในหูของนางอีกครั้งนางได้ยินเสียงคนกำลังตะโกน“นายท่าน!”“ท่านอ๋อง!”“อาอี้!”ผู้คนจำนวนมากพุ่งพรวดเข้ามาพร้อมกันร่างกายของเซียวจิ่งอี้ล้มลงไปอย่างอ่อนปวกเปียก อวิ๋นฝูหลิงเกือบประคองไม่ทันในที่สุดนางก็หวนคืนสติ รีบกดหน้าอกของเขาเพื่อห้ามเลือด“เร็ว ยกเขาขึ้นเตียงไม้ที่อยู่ตรงนั้น!” อวิ๋นฝูหลิงเงยหน้ามองเทียนเฉวียน กล่าวทันทีเวลานี้สถานที่เกิดเหตุถูกควบคุมแล้ว คนกลุ่มหนึ่งไปไล่ตามมือลอบสังหารที่หนีไปได้ ส่วนที่เหลือปิดล้อมที่เกิดเหตุก่อนหน้านี้เทียนเฉวียนส่งเสียงนกหวีดขอความช่วยเหลือ ไม่เพียงมีองครักษ์ลับซ่อนตัวอยู่โดยรอบรีบมา ยังมีทหารรักษาพระองค์กับกับหน่วยกระบี่เงาที่ซ่อนตัวอยู่รอบนอกด้วยเซียว
เมื่อท่านเจ้าเมืองถังที่อยู่ข้างๆ ได้ยินคำว่า ‘หัวธนูมีพิษ’ ก็เข่าอ่อนจนเกือบทรุดลงพื้นทันทีนี่มันดวงอะไรของเขากันเนี่ย?ก่อนหน้านี้ตอนรู้ว่าเขาคืออี้อ๋อง เขาก็กลัวว่าอี้อ๋องจะเป็นอะไรในเจียงโจว จนลากเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยใครจะรู้ว่าผ่านไปครู่เดียว ก็มีมือลอบสังหารมาลอบสังหารอีกทั้งบนหัวธนูยังอาบยาพิษนี่ถ้าหากอี้อ๋องเป็นอะไรไป เขาจะไม่ถูกฝังไปเป็นเพื่อนด้วยหรือ?รอหลังจากได้ยินคำพูดครึ่งหลังของอวิ๋นฝูหลิง ท่านเจ้าเมืองถังจึงจะเหมือนได้ชีวิตกลับมาครึ่งหนึ่งเขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก รีบกล่าว “แม่นางอวิ๋น ขอแค่สามารถช่วยท่านอ๋อง ต้องการอะไรพูดมาได้เลย!”อวิ๋นฝูหลิงครุ่นคิด หลังจากนั้นเงยหน้ามองท่านเจ้าเมืองถังแวบหนึ่ง “ข้าต้องการให้หมอหางมาเป็นผู้ช่วยให้ข้า ที่นี่ยังขาดสมุนไพรถอนพิษหลายอย่าง เดี๋ยวข้าเขียนเทียบยาให้ รบกวนมอบให้นายท่านหาง ให้เขาไปเอามา ”ท่านเจ้าเมืองถังพยักหน้า รีบสั่งให้คนไปเชิญหมอหางกับนายท่านหางมาทันทีที่เกิดเหตุถูกทหารล้อมอย่างแน่นหนา ทุกคนถูกจำกัดให้อยู่ตรงที่เดิม ห้ามเดินไปมาตามอำเภอใจหมอหางกับนายท่านหางถูกเชิญมาอย่างรวดเร็วทั้งสองล้วนเป็นคนฉลาด เห
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่เพียงอาการบาดเจ็บฟื้นฟูยาก และยังอาจจะเลือดออกมากจนทำให้เสียชีวิตดังนั้นหัวธนูที่มีครีบเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ในกองทัพกลัวเพราะเมื่อไหร่ที่ถูกยิง โอกาสมีชีวิตรอดก็ลดน้อยลงแต่หัวธนูประเภทนี้ ไม่ได้ทำง่ายๆ ต่อให้เป็นกองทัพ ก็ไม่ได้ใช้ในวงกว้างตกลงใครกันแน่ที่ลงมือเหี้ยมโหดเช่นนี้ ไม่เพียงอาบยาพิษบนหัวธนู และยังใช้หัวธนูที่มีครีบเช่นนี้ลอบสังหารอีก?จู่ๆ สายตาของจ้าวเสวียซือก็ลึกล้ำในห้องส่วนตัวของหอสุราที่ใกล้กับประตูเมืองแห่งหนึ่งร่างเงาสายหนึ่งผลักประตูเข้าไป กล่าวกับคนในห้องอย่างนอบน้อม “ท่านราชครู สำเร็จแล้วขอรับ!”“อวี้อ๋องถูกยิง บนลูกธนูมีพิษ เขาต้องตายแน่ๆ!”“พวกเราเสียคนไปกว่าครึ่ง คนที่รอดมาได้จะหาวิธีมารวมกับพวกเรา”“ทุกอย่างดำเนินตามแผนขอรับ!”คนในห้องหมุนกายกลับมา เขาก็คือท่านจอมปราชญ์เหวินที่เคยเป็นกุนซือของเจียงโจวอ๋อง มุมปากท่านจอมปราชญ์เหวินเผยอขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มสายหนึ่ง“เช่นนั้นพวกเราก็ควรไปแล้ว!”ไม่นานก็มีรถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากประตูเมือง มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงและหลังจากรถม้าคันนี้เพิ่งออกจากเมือง ก็มีคนถือป้ายคำ
รถม้าโยกเยกโคลงเคลง มุ่งหน้าไปยังทางตะวันตกของเมืองอวิ๋นจิงมั่วกอดอวิ๋นฝูหลิงแน่นเวลานี้อวิ๋นฝูหลิงจึงจะมีเวลาดูแลเขานางตบหลังอวิ๋นจิงมั่วเบาๆ พลางกล่าวอย่างอ่อนโยน “มั่วมั่วตกใจใช่หรือไม่?”ภาพเหตุการณ์ลอบสังหารก่อนหน้านี้ น่าตกใจมากจริงๆอวิ๋นจิงมั่วส่ายศีรษะ ชูลูกเสือน้อยในอ้อมแขนขึ้นแล้วกล่าว “มีเทียนเทียนปกป้อง มั่วมั่วไม่กลัว”แรกเริ่มลูกเสือน้อยตัวนี้ถูกอวิ๋นจิงมั่วตั้งชื่อว่าอี้เทียน ต่อมารู้สึกเรียกไม่คล่องปาก ก็เลยเรียกมันว่า ‘เทียนเทียน’ เสียเลยอวิ๋นฝูหลิงนึกถึงภาพที่เห็นลูกเสือน้อยข่วนใบหน้ามือลอบสังหารเหล่านั้นจนเลือดอาบ อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปลูบหัวของมันอวิ๋นจิงมั่วเงยหน้ามองอวิ๋นฝูหลิงแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็ถามเสียงเบา “ท่านแม่ ท่านจะแต่งงานกับท่านลุงหวังหรือไม่?”การกระทำที่ลูบหัวลูกเสือน้อยของอวิ๋นฝูหลิงชะงัก และมองอวิ๋นจิงมั่วอย่างไม่เชื่อสายตาในหัวของเด็กคนนี้ใส่อะไรไว้กันแน่?อวิ๋นจิงมั่วลังเลครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อ “วันนี้ท่านลุงหวังช่วยท่านบังลูกธนู บุญคุณช่วยชีวิต ตอบแทนด้วยร่างกาย…”อวิ๋นฝูหลิงหน้าบึ้งทันที ดึงหูของอวิ๋นจิงมั่วแล้วกล่าว “เจ้าไปเรียนข
ก่อนถึงวันนี้ อวิ๋นฝูหลิงมีความรู้สึกที่ดีต่อเซียวจิ่งอี้นางยังรู้สึกว่าเซียวจิ่งอี้หาได้เป็นเพียงสหายธรรมดาของนางไม่หากเป็นเช่นนี้ต่อไป การที่ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลง ก็หาใช่ว่าจะเป็นไปมิได้ทว่าทันทีที่รู้ว่าเซียวจิ่งอี้เป็นองค์ชายเจ็ด ทุกสิ่งก็หยุดลงโดยพลัน!หัวใจของอวิ๋นฝูหลิงที่เกือบจะลุ่มหลงในความรัก กลับมาเย็นชาแข็งกระด้างอีกคราทั้งร่างก็ได้สติแจ่มชัดเป็นอย่างยิ่งเซียวจิ่งอี้สังเกตท่าทีของอวิ๋นฝูหลิงอย่างระมัดระวังก่อนเขาจะหมดสติไป ได้ยินเสียงของเทียนเฉวียนกับเจ้าเมืองถัง และดูเหมือนจะได้ยินเสียงของจ้าวเสวียซือผู้เป็นสหายสนิทด้วยเขาคิดว่าตัวตนของเขาคงจะถูกเปิดเผยต่อหน้าอวิ๋นฝูหลิงแล้ว และไม่อาจปิดบังต่อไปได้อีกเช่นนั้นหลังจากอวิ๋นฝูหลิงรู้ว่าเขาคือองค์ชายเจ็ดเซียวจิ่งอี้ จะมีปฏิกิริยาอย่างไรกัน?เซียวจิ่งอี้มองไม่เห็นความสุขในดวงตาของอวิ๋นฝูหลิง ทั้งยังไม่มีความตกใจ เกรงกลัว หรือตื่นตระหนก...ท่าทีของนางเย็นชาไม่แยแส ราวกับตนเป็นเพียงคนไข้ในสายตาของนาง เป็นแค่คนไข้ผู้หนึ่งที่หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับนางแม้แต่น้อยหัวใจของเซียวจิ่งอี้จมดิ
หลังจากเขาตระหนักได้ว่าเซียวจิ่งอี้พูดสิ่งใด ทั้งร่างก็รู้สึกยินดีขึ้นมาหากมิใช่เพราะเป็นห่วงว่าเซียวจิ่งอี้ได้รับบาดเจ็บมา เขาก็อยากจะใช้มือเขย่าร่างของเซียวจิ่งอี้“เจ้ามีลูกชายแล้วหรือ?”“เจ้ามีลูกชายตั้งแต่เมื่อใด ใครเป็นแม่เด็กหรือ?”“อ้อ จริงด้วย คงเป็นแม่นางอวิ๋นเมื่อครู่กระมัง”“สวรรค์ เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเมื่อใดกัน?”“ข้าเป็นสหายที่สนิทที่สุดของเจ้า เรื่องใหญ่เช่นนี้ข้ากลับไม่รู้แม้แต่น้อย!”“เจ้าปิดบังแม้แต่กับข้า ยังนับเป็นสหายกันได้อยู่อีกหรือ?”เซียวจิ่งอี้ทนเสียงโวยวายของจ้าวเสวียซือต่อไปไม่ไหวแต่เมื่อเห็นเขากระโดดขึ้นลง ด้วยท่าทางตื่นเต้นลิงโลด เซียวจิ่งอี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเขาอธิบาย “ข้าก็เพิ่งรู้ไม่นานเช่นกัน”“แท้จริงแล้ว แม่นางอวิ๋นเป็นอดีตบุตรีของจวนจี้ชุนโหว ซึ่งก็คืออวิ๋นฝูหลิงผู้เป็นคุณหนูใหญ่สกุลอวิ๋น”“เดิมทีข้าวางแผนว่าอีกไม่นาน หลังจากพาพวกเขาสองแม่ลูกกลับไปเมืองหลวงแล้ว จะบอกเจ้าอีกที”แต่เมื่อดูจากท่าทีที่ค่อนข้างเย็นชาของอวิ๋นฝูหลิงในยามนี้ เกรงว่าเรื่องราวคงไม่ง่ายถึงเพียงนั้นแล้วโธ่ถัง ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะนักฆ่าน่าตายพวกนั้นที่โผล
เทียนเฉวียนตอบโดยพลัน “เรียนนายท่าน เป็นเช่นนั้นจริง ๆ ขอรับ”“สัญลักษณ์พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่สลักอยู่บนร่างของคนเหล่านั้นอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกัน บางคนอยู่ที่หน้าอก บางคนอยู่ที่ต้นขา ซึ่งล้วนเป็นตำแหน่งที่ถูกเสื้อผ้าปิดบังไว้”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกบางสิ่งขึ้นมาได้โดยพลัน และพูดออกมาเบา ๆ “สัญลักษณ์พระจันทร์ครึ่งเสี้ยว หรือจะเป็นคนของเผ่าเยว่?”เมื่อได้ยินเซียวจิ่งอี้พูดว่าคนของชนเผ่าเยว่ ท่าทีของจ้าวเสวียซือก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาโดยพลัน“คนของชนเผ่าเยว่นับถือเทพจันทรา และสลักสัญลักษณ์พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวลงบนร่างเป็นเครื่องหมายก็จริง”“แต่ยามที่ฮ่องเต้เกาจู่ก่อตั้งแคว้น แคว้นเยว่ก็ล่มสลายไปแล้ว อีกทั้งคนเผ่าเยว่ก็เกือบจะสูญพันธุ์แล้วเช่นกัน”“หรือจะมีคนของเผ่าเยว่ที่รอดชีวิตมาได้อยู่?”“แต่เหตุใดพวกเขาต้องมาลอบสังหารเจ้าด้วย?”เซียวจิ่งอี้ก็ไม่เข้าใจเช่นกันเขารู้สึกว่าเบื้องหลังเรื่องนี้ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นคอยบงการทุกสิ่งดูเหมือนในเงามือจะมีแผนร้ายที่ใหญ่กว่านี้ซ่อนอยู่หลังจากตั้งใจพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จ้าวเสวียซือก็เห็นว่าเซียวจิ่งอี้มี
หากนางอยากให้อวิ๋นจิงมั่วอยู่ข้างกาย ก็ต้องปกปิดความสัมพันธ์ของอวิ๋นจิงมั่วและเซียวจิ่งอี้แต่เป็นเช่นนี้ จะยุติธรรมต่ออวิ๋นจิงมั่วหรือ?สถานะราชวงศ์ ในยุคสมัยนี้ เป็นสัญลักษณ์ของการยืนอยู่บนจุดสูงสุด อำนาจ ความมั่งคั่ง เป็นสิ่งที่ผู้อื่นต้องดิ้นรนทั้งชีวิต แต่สำหรับพวกเขา กลับได้มาอย่างง่ายดายพวกเขาสามารถกอบกุมหลายสิ่งหลายอย่างไว้ได้อวิ๋นฝูหลิงไม่อาจกีดกันสิทธิประโยชน์เหล่านี้ของอวิ๋นจิงมั่ว เพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเองหากอวิ๋นจิงมั่วกลับคืนสู่สกุล ยิ่งกว่าเป็นซื่อจื่อจวนอ๋อง คือได้เป็นพระราชนัดดาตัวตนเช่นนี้ ย่อมทำให้เขาได้รับหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้อื่นใฝ่ฝันแม้ในขณะเดียวกันจะสูญเสียหลายสิ่งไปด้วยก็ตามอวิ๋นฝูหลิงตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง รู้สึกราวกับตัวเองกลับไปยามที่ยังเด็กในยามนั้นที่พ่อแม่หย่าร้างกัน มีคนถามนางว่า อยากไปกับพ่อ หรืออยากไปกับแม่?อวิ๋นฝูหลิงรู้สึกว่าตัวเองกับเซียวจิ่งอี้ ราวกับเป็นสามีภรรยาคู่หนึ่งที่กำลังจะหย่าร้างกันอวิ๋นจิงมั่วต้องเผชิญกับการเลือกว่าจะอยู่กับนางที่เป็นมารดา หรือตามเซียวจิ่งอี้ผู้เป็นบิดาไปอวิ๋นจิงมั่วเห็นแม่แค่กอดเขาไว้ โดยที่ไ
เทียนเฉวียนได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าท่านอ๋องคิดจะนั่งรอลาภลอยในเมื่อเวินเจาผู้นั้นเป็นนายน้อยเผ่าเยว่ สถานะในเผ่าเยว่ก็ย่อมไม่ธรรมดาหลังจากคนแคว้นเยว่เหล่านั้นรู้ข่าวว่าเวินเจาถูกจับตัวมา จะต้องคิดหาวิธีมาช่วยเขาออกไปเป็นแน่เทียนเฉวียนไปทำตามคำสั่งของเซียวจิ่งอี้ทันทีทว่าหลังจากรอมาสามวัน ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวจากทางด้านเวินเจาแม้แต่น้อยเซียวจิ่งอี้ตระหนักได้ว่าตัวเองเจอคู่ต่อสู้เข้าแล้วราชครูแคว้นเยว่หลบหนีเก่งมาก ทำให้ยามนี้เขารู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างหากพูดตามหลักการแล้ว คนแคว้นเยว่เหล่านั้นต้องการฟื้นฟูแคว้น ตัวตนของเวินเจาซึ่งมีสายเลือดราชวงศ์ จึงทำให้พวกเขามีเหตุผลอันชอบธรรมมิเช่นนั้นอาศัยเพียงราชครูผู้นั้น คนแคว้นเยว่ที่เหลือจะเชื่อฟังคำสั่งเขาได้อย่างไร?ทว่าหลังจากผ่านไปนาน คนแคว้นเยว่เหล่านั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะมาช่วยเวินเจาแม้แต่น้อยนี่หมายความว่ามองแผนของเขาออกใช่หรือไม่? หรือคิดว่ายามนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดีในการช่วยเหลือ จึงกำลังวางแผนและเฝ้าดูอยู่?หรือคนแคว้นเยว่ยอมแพ้เรื่องนายน้อยเวินเจาผู้นี้แล้ว?เซียวจิ่งอี้คิดไปคิดมา ก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนแ
ทหารชั้นผู้น้อยคนนั้นได้กลิ่นเลือดจาง ๆ สายหนึ่งกลิ่นเลือดจางมาก จนแทบไม่ได้กลิ่นแต่เขาเกิดมาพร้อมจมูกที่อ่อนไหวต่อกลิ่น แค่เพียงกลิ่นจาง ๆ ก็สามารถได้กลิ่นเช่นกันทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินหลายก้าว ไล่ตามสือจ่างซึ่งเป็นผู้นำไปยามนี้สือจ่างเดินออกมาจากเรือนแล้ว ทหารชั้นผู้น้อยรีบเดินไปตรงหน้าสือจ่าง และกระซิบไม่กี่ประโยคก้นบึ้งในดวงตาของสือจ่างฉายแววประหลาดใจ และหันกลับไปมองลานบ้านด้านหลังในลานบ้าน ชายวัยกลางคนกับหญิงสาวผู้งดงามเห็นว่าในที่สุดทหารก็ตรวจค้นเสร็จแล้ว จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกใครจะรู้ว่ายังไม่ทันถอนหายใจเสร็จ ประตูเรือนกลับถูกคนพังเปิดเข้ามาอย่างกะทันหันกลุ่มทหารที่เข้ามาตรวจค้นก่อนหน้านี้บุกเข้ามาอีกครั้งชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นแรง แต่บนใบหน้ากลับยังสงบ และก้าวออกมาด้วยรอยยิ้มคาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้เอ่ยปาก สือจ่างผู้นั้นซึ่งเป็นหัวหน้าก็ผลักเขาไปด้านข้าง ก่อนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึมว่า “ค้นหาทั้งในและนอกเรือนใหม่อีกครั้ง ค้นให้ละเอียด!”ทหารทุกคนตอบรับ และแยกย้ายไปค้นหาอีกครั้งทันทีทหารชั้นผู้น้อยซึ่งประสาทรับกลิ่นไวยืนอยู่ที่เดิม จมูกขยับฟ
“ขอรับ” เทียนซูรับคำสั่งก่อนจะถอยออกไปผ่านไปไม่นาน เทียนซูก็กลับมา“ท่านอ๋อง ผู้ดูแลหอจินอวี้กับพนักงานยืนยันศพกันหมดแล้วขอรับ แน่ใจแล้วว่าเป็นคนที่อยู่ข้างตัวราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้น”เซียวจิ่งอี้ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “คนผู้นี้ถูกจับได้ที่ใด?”“ถูกจับที่ตรอกหูลู่ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองขอรับ” เทียนซูตอบกลับเซียวจิ่งอี้กล่าวทันที “ไปเอาแผนที่จินโจวมา”ผ่านไปไม่นาน แผนที่จินโจวก็ถูกแขวนขึ้นเซียวจิ่งอี้เดินไปข้างหน้าแผนที่ หาตำแหน่งตรอกหูลู่บนแผนที่เขายื่นมือออกไปแตะบนแผนที่ หลังจากนั้นก็วงขอบเขตโดยประมาณและกล่าวว่า“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้คนไปค้นหาทุกซอกทุกมุมของตรอกหูลู่”คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ย่อมไม่ปรากฏตัวที่ตรอกหูลู่โดยไม่มีสาเหตุบางทีสถานที่ซ่อนตัวของพวกเขา อาจจะอยู่ใกล้ตรอกหูลู่นอกจากนี้คนผู้นั้นที่ถูกจับได้ ยังกัดลิ้นปลิดชีพตัวเอง ไม่ให้ความหวังตัวเองว่าจะมีชีวิตรอดเลย เห็นได้ชัดว่าทำเพื่อปกป้องใครบางคนดูท่าคนรอบกายราชครูแคว้นเยว่ผู้นั้นจะจงรักภักดีเป็นอย่างยิ่งการเดินทางมาจินโจวครั้งนี้ของเขา ไม่แน่คนข้างกายที่พามาอาจจะล้วนเป็นคนสนิททั้งสิ้นหากคนสนิทเห
จิตรกรฝีมือดีเช่นนี้ เหตุใดจึงถูกเซียวจิ่งอี้เชิญไปได้ง่าย ๆยิ่งไปกว่านั้นจิตรกรฝีมือดีเหล่านั้นก็ยังไม่เคยเห็นพวกท่านจอมปราชญ์เหวินมาก่อน เหตุใดจึงสามารถวาดภาพเหมือนจากความว่างเปล่าให้เหมือนพวกเขาโดยสมบูรณ์ได้?นอกจากนี้ท่านจอมปราชญ์เหวินอยู่ที่จินโจวมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าในจินโจวมีจิตรกรชื่อดังอันใดเลยตั้งแต่เขาหลบหนีจากหอจินอวี้มาจนถึงตอนนี้ ก็ยังผ่านไปไม่พ้นครึ่งวันเสียด้วยซ้ำภายในระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงมีคนที่สามารถวาดภาพพวกเขาออกมาได้มากมายเช่นนี้?ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินไม่อยากจะเชื่อแต่เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาพูดจาหนักแน่น เขาก็ไม่กล้าคิดไปเองมากเกินไปไม่รู้เพราะเหตุใด เขามักรู้สึกว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเซียวจิ่งอี้ จะมีความแปลกประหลาดมากเสมอบางทีอาจมีคนมากความสามารถอยู่ข้างกายเซียวจิ่งอี้จริง ๆ ซึ่งสามารถวาดภาพเหมือนออกมาได้เหมือนจริงโดยสมบูรณ์ โดยที่อาศัยเพียงคำอธิบายไม่กี่ประโยคยามนี้คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา ต่างเป็นคนที่เคยปรากฏตัวที่หอจินอวี้หากข้างกายเซียวจิ่งอี้มีจิตรกรฝีมือดีอยู่จริง ๆ เกรงว่าคนเหล่านี้ที่อยู่ข้างกายเขา คงล้วนถูกวาด
ท่านจอมปราชญ์เหวินได้แต่แสร้งทำเป็นผ่านทางมา และรีบพาคนจากไปยามที่ออกมาจากหอจินอวี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็ถอดหน้ากากออกการสวมหน้ากากเดินบนท้องถนน จะยิ่งดึงดูดความสนใจหลังจากถอดหน้ากาก รูปลักษณ์ของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก ในฝูงชนจึงแทบไม่มีใครสังเกตเห็นเมื่อคิดว่าแผนการของตนล้มเหลว จนถูกเซียวจิ่งอี้ไล่ล่าราวกับสุนัขไร้บ้านตัวหนึ่ง อีกทั้งนายน้อยเผ่าเยว่เป็นหรือตายก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจท่านจอมปราชญ์เหวินจึงหดหู่เป็นอย่างยิ่งเป็นความผิดของเซียวจิ่งอี้!ท่านจอมปราชญ์เหวินรู้สึกราวกับว่าเซียวจิ่งอี้เกิดมาเพื่อเป็นหายนะของเขาเขาวางแผนจัดการเซียวจิ่งอี้หลายครั้ง แต่ก็ถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งเมื่อเขาคิดจะฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวายให้แคว้นต้าฉี ก็จะถูกเซียวจิ่งอี้ทำลายแผนการเสมอยามนี้เมื่อนึกถึงเซียวจิ่งอี้ ท่านจอมปราชญ์เหวินก็โกรธจนกัดกรามในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เขายังไม่มีกำลังที่จะโต้กลับได้รอก่อนเถอะรอให้เขากลับไปที่เมืองหลวง ก็จะสามารถอาศัยอำนาจขององค์ชายสาม จัดการเซียวจิ่งอี้ให้สิ้นซาก!ท่านจอมปราชญ์เหวินกัดฟัน ขณะที่สีหน้ามืดครึ้มผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดท่านจอมป
อวิ๋นฝูหลิงยังจำเรื่องที่เซียวจิ่งอี้ขอให้นางวาดภาพเหมือนได้หลังจากพบเซียวจิ่งอี้ ทั้งสองคนก็ไปยังคุกที่ขังผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ไว้เมื่อพูดถึงแขกผู้มีเกียรติบนชั้นสามของหอจินอวี้ ผู้ดูแลกับพนักงานของหอจินอวี้ก็ต่างจดจำได้เป็นอย่างดีชั้นสามของหอจินอวี้ ไม่ใช่ว่าใครต่างก็มีสิทธิ์ขึ้นไปได้นี่เป็นอุบายที่หอจินอวี้โยนออกมา เป็นวิธีดึงดูดลูกค้าเพื่อสร้างกำไรแบบหนึ่งผู้ที่สามารถขึ้นไปชั้นสามของหอจินอวี้ได้ หมายความว่าเป็นคนที่มีสถานะและทักษะการพนันสูงแต่กลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน กลับเป็นเวินเจาพาขึ้นไปด้วยตัวเองนับตั้งแต่เวินจือเหิงนอนป่วยติดเตียง อำนาจทั้งหมดของสกุลเวินก็ตกไปอยู่ในมือของเวินเจาเวินเจาพาคนไปพักอยู่ที่ชั้นสามของหอจินอวี้ ทั้งยังบอกให้ปรนนิบัติกลุ่มของท่านจอมปราชญ์เหวิน เหล่าคนของหอจินอวี้ย่อมไม่กล้าไม่เชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลของหอจินอวี้ หรือพนักงาน ยามนี้เมื่อถูกขังอยู่ในคุก ทุกคนก็หวาดกลัวอยู่ตลอดเมื่อเห็นการสืบสวนก่อนหน้านี้ของเซียวจิ่งอี้ คนเหล่านี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และออกไปจากคุกโดยเร็ว ทุกคนต่างก็แย่งชิงกันเป็นคนแรกเพราะกล
“พี่สาม ทางด้านเมืองหลวงมีข่าวคราวบ้างหรือไม่?”“พวกท่านปู่โอวหยางคิดค้นเทียบยาใหม่ที่ใช้รักษาผู้ที่ป่วยเพราะขี้ผึ้งทองได้แล้วหรือไม่?”หลังจากค้นพบขี้ผึ้งทอง อวิ๋นฝูหลิงก็ดึงพวกรองเจ้าสำนักโอวหยางกับหมอหลวงจงมาร่วมศึกษาด้วยกัน ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าหาง รวมถึงส่งข้อมูลที่เกี่ยวกับชีพจรและการรักษาให้เขาด้วยแม้เมืองหลวงกับจินโจวจะเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบจากขี้ผึ้งทองมากที่สุด แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าที่อื่นจะไม่ได้รับผลกระทบถึงอย่างไรการค้าของแคว้นต้าฉีก็เจริญรุ่งเรืองมาก จากใต้ขึ้นเหนือมีพ่อค้ามากมาย บางทีอาจจะมีคนที่เดินทางระหว่างเมืองหลวงกับจินโจว ซื้อขี้ผึ้งทองติดไปด้วยสองสามกล่องก็เป็นได้อวิ๋นฝูหลิงคิดว่านางออกจากเมืองหลวงมาหลายวันถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าทางด้านเมืองหลวงจะมีความคืบหน้าใหม่อันใดบ้างตั้งแต่อวิ๋นฝูหลิงกลับมาถึงจินโจว ก็ยุ่งอยู่กับการรักษาผู้ป่วยมาโดยตลอด หางซานสุ่ยจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนางตอนนี้เมื่อเห็นว่าอวิ๋นฝูหลิงเป็นฝ่ายถามขึ้นมา หางซานสุ่ยก็นับว่ามีโอกาสแล้วเขาหยิบจดหมายสองสามฉบับออกมาจากในโต๊ะ“จดหมายพวกนี้ถูกส่ง
แม้ว่าราชครูแคว้นเยว่จะหนีไปแล้ว แต่เขาอยู่ที่หอจินอวี้ตั้งหลายวัน จึงมักจะมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายจนเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงแม้เขาจะใช้หน้ากากปิดบังใบหน้าอยู่เสมอ จึงไม่มีใครเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนรอบตัวเขาทุกคนจะสวมหน้ากากกระมัง?เริ่มต้นไล่ไปจากผู้ใต้บังคับบัญชา บางทีอาจจะค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ก็เป็นได้เซียวจิ่งอี้ตัดสินใจไต่สวนผู้ดูและกับพนักงานเหล่านั้นของหอจินอวี้ยังมีทักษะการวาดภาพเหมือนอันยอดเยี่ยมของอวิ๋นฝูหลิง จะต้องจับพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนั้นได้เป็นแน่แม้ว่ากลุ่มของราชครูแคว้นเยว่จะฉวยโอกาสวางเพลิงเพื่อหนีออกไปจากหอจินอวี้ แต่ประตูเมืองจินโจวก็ปิดอยู่ ยามนี้พวกเขาคงยังซ่อนตัวอยู่ในเมืองนอกจากนี้ มีบางสิ่งที่ต้องจัดการด้วยเช่นกันเซียวจิ่งอี้ยืนอยู่หน้าประตูสำนักผิงอัน หันกลับมามองอวิ๋นฝูหลิงที่กำลังยุ่งคราหนึ่งเพียงชั่วครู่เดียว เขาก็พลิกร่างขึ้นหลังม้า มุ่งตรงไปยังที่ว่าการเมืองจินโจวครึ่งชั่วยามต่อมา มีประกาศใบหนึ่งถูกนำมาติดไว้ที่ประตูที่ว่าการทั้งยังมีคนตีฆ้องจากที่ว่าการ อ่านเนื้อหาในประกาศไปทั่วเมืองประกาศนี้กล่าวถึงอันตรายของขี้ผึ้งทอง
“ข้าอยากจับคนร้ายที่กระทำความผิด ให้ได้แบบคาหนังคาเขา”“แต่ไม่คิดเลยว่าคนผู้นั้นจะโหดเหี้ยมถึงขั้นเสียสติ ตั้งใจวางเพลิงในหอจินอวี้ เพื่อหลบหนีการไล่ล่า”“เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ ทำให้ผู้บริสุทธิ์ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย”“วันนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเพราะเหตุเพลิงไหม้ที่หอจินอวี้ ค่ารักษาและค่ายาข้าจะจ่ายให้เอง”“นอกจากนี้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จะได้รับห้าตำลึง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจะได้รับสิบตำลึง”“ได้ยินว่ามีสองคนที่ถูกไฟไหม้จนบาดเจ็บสาหัส สองคนนี้จะได้รับยี่สิบตำลึง”“เงินเหล่านี้ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ที่อยากจะรักษาร่างกายเหล่าผู้บาดเจ็บ”“ข้าจะให้คนนำเงินมามอบให้ในภายหลัง!”ผู้บาดเจ็บทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจที่สุมอยู่ในอกก็หายไปกว่าครึ่งทันทีตอนนี้เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เมื่อคืนยามที่หอจินอวี้ถูกปิดล้อม ผู้นำคนนั้นก็บอกว่าทำเพื่อสืบคดีบางอย่างจริง ๆคิดดูอีกครายามนั้นที่เกิดเพลิงไหม้ ทหารเหล่านั้นก็มิได้บังคับขังพวกเขาไว้ในหอจินอวี้ ทว่ากลับรีบเข้ามาในหอเพื่อดับไฟช่วยคนหากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เกรงว่าพวกเขาคงไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ แต่กว่าครึ่งคงตายตกไปในเหตุเพ