“ท่านชายต้องเร่งหาคู่ครองได้แล้วนะขอรับ!” อยู่ ๆ ชายชราคนหนึ่งก็โผล่พรวดเข้ามาภายในห้องทำงานอันแสนองค์อาจ เขาคือโหรหลวงประจำตระกูลแบรดฟอร์ด ตระกูลซึ่งเก่าแก่และทรงอำนาจมากที่สุดในแวมไพร์ชนชั้นสูง
สิ้นเสียงของชายชรา ร่างสูงที่นั่งจมอยู่กับกองงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียดก็เงยหน้าขึ้นแล้วกอดอกใส่ด้วยท่าทางกวน ๆ
“หมายความว่าอย่างไร ทำไมอยู่ ๆ ท่านจึงมาพูดเรื่องนี้ได้”
“ข้าได้รับคำนายว่าช่วงนี้ท่านชายจะหาคู่ครองที่เหมาะสมได้ขอรับ เพราะฉะนั้นท่านชายต้องรีบเร่งหาได้แล้ว ก่อนจะสายเกินไปเสียก่อน”
“หาเมื่อไหร่ก็ได้ตลอดนั่นแหละ สาว ๆ พวกนั้นแค่กระดิกนิ้วก็เข้ามาแล้ว” เจย์เดนตอบโต้กลับไป
“หากเพียงเพื่อรักสนุกจะทำเช่นนั้นก็ย่อมได้ แต่หากนำมาเป็นชายาข้างกาย ข้าน้อยว่ามิสมควร” ถึงแม้กาลเวลาจผ่านมาจนถึงยุคที่มีอินเทอร์เน็ตแล้ว แต่พวกเขาก็ยังติดพูดสรรพนามเช่นนี้อยู่เสมอ
“แล้วท่านจะให้ข้าทำอย่างไร? ยุคนี้สมัยนี้ก็หาได้แต่แบบนี้แหละ” เจย์เดนกอดอก คราวนี้สายตาของเขาเริ่มฉายแววจริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความที่งานตรงหน้ากองจนแทบจะท่วมหัวอยู่แล้ว แต่กลับต้องมาเสวนาเรื่องผู้หญิงที่คอยแต่จะหวังเข้าหาเขาเพื่อผลประโยชน์อยู่เรื่อย
"ท่านชายก็เคยได้พบกับคุณหนูอิซาเบลมิใข่หรือขอรับ ไม่แน่ในครั้งนี้ อาจได้พบคนเช่นนางอีกก็เป็นได้"
ชายชรากำลังกล่าวถึงอดีตคนรักของเขา ซึ่งจากลาโลกนี้ไปก่อนที่เขาจะสมหวังในรักครั้งนั้นเสียด้วยซ้ำ
"หากข้าเจอคนเช่นนางจริง ข้าคงไม่อยากสานสัมพันธ์หรอก รังแต่จะทำให้นางต้องเดือดร้อน" ระหว่างที่เอ่ยขึ้นมา เขาก็อดนึกถึงเรื่องราวในอดีตอย่างเสียอดไม่ได้
.
.
.
เจย์เดน แบรดฟอร์ด ทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลแวมไพร์ชนชั้นสูงที่เก่าแก่ที่สุด สายเลือดของพวกเขานั้นบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เคยถูกเจือปนกับสายเลือดของมนุษย์หรือแวมไพร์ตระกูลอื่นมาตลอดหลายศตวรรษ
หากถามว่า สืบสายเลือดเช่นไรโดยไม่ข้องเกี่ยวกับตระกูลอื่น คำตอบนั่นคือ ตระกูลของพวกเขาจะแต่งกับมนุษย์ผู้ที่ได้รับพิษรักจากตนเองเพียงเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องข้องเกี่ยวกับตระกูลอื่นแม้แต่น้อย
ตัวของชายหนุ่มอย่างเจย์เดนเอง ก็ถือกำเนิดจากพ่อผู้เป็นแวมไพร์โดยกำเนิดเช่นตนและแม่ผู้ซึ่งเคยเป็นมนุษย์มาก่อน ซึ่งก่อนจะให้กำเนิดเขานั้น เธอได้เปลี่ยนเป็นแวมไพร์โดยพิษรักของพ่อเรียบร้อยแล้ว จึงนับว่าเขาเป็นสายเลือดบริสุทธิ์ที่แท้จริงสำหรับเหล่าแวมไพร์ (ไร้ซึ่งสายเลือดของตระกูลอื่นเจือปนผสม ไร้ซึ่งสายเลือดมนุษย์)
นอกจากนี้ ตระกูลของเขายังเป็นที่เลื่องลือทั้งในหมู่แวมไพร์และมนุษย์ในฐานะผู้ปกครองที่ทรงอำนาจอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านธุรกิจ การเมือง ตระกูลแบรดฟอร์ดของเขาล้วนมีอิทธิพลในทุกแขนง
และถึงแม้พวกเขาจะมีชีวิตอมตะ แต่การอยู่ในโลกที่แฝงไปด้วยอันตรายไม่ว่าจากมนุษย์ผู้ตามล่าแวมไพร์หรือแม้แต่จากแวมไพร์ตระกูลอื่น จึงทำให้ตระกูลของเจย์เดน จำเป็นต้องรักษาสายเลือดบริสุทธิ์เอาไว้ ด้วยไม่อยากดึงเชื้อสายจากตระกูลให้เข้ามาร่วมวงศ์เครือญาติด้วย เพราะรังแต่จะทำให้เกิดปัญหายุ่งยาก
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เล็กจนโต เจย์เดนจึงต้องได้รับการฝึกฝนมากมาย ไม่ว่าจะศาสตร์หรือศิลป์ รวมถึงเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ในทุกแขนง รวมไปถึงการใช้มนตร์ดำและศาสตร์แห่งแวมไพร์ต่าง ๆ อีกด้วย
เพราะความเก่งกาจนำมาซึ่งผลดีต่อตระกูล ทำให้เขาเป็นที่เชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูลได้อย่างดีเยี่ยม
ไม่เพียงแค่เรื่องความเก่งกาจหรอกนะ เพราะการหาคู่ครองที่เหมาะสมก็กลายเป็นเรื่องที่ถูกคาดหวังมาตั้งแต่ไหนแต่ไรด้วย
แต่เมื่อนานวันเข้า การจะหามนุษย์ที่เหมาะสมก็ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน จากที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าจะครองสายเลือดบริสุทธิ์เพียงในตระกูล กลับกลายเป็นลดหลั่นลงมาเหลือเพียงว่า ‘แต่งกับแวมไพร์ด้วยกันเองก็ไม่เสียหายหรอก’
นอกจากนี้ ท่านพ่อท่านแม่ก็มิได้คัดค้านแต่อย่างใด อีกทั้งยังให้อิสระเขาในการเลือกคู่ครองมากกว่าแต่ก่อนอีกด้วย อาจเป็นเพราะกลัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของพวกเขาจะครองตนเป็นโสดไปอีกหลายพันปี
ช่วงอายุครบยี่สิบปีใหม่ ๆ เจย์เดนเคยพยายามค้นหาความรักในหมู่แวมไพร์สาวงามหลายคน แต่ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของเขาล้วนแต่ต้องการผลประโยชน์หรืออำนาจ ไม่มีใครสนใจในตัวตนที่แท้จริงของเขาเลยสักนิด จนทำให้เจย์เดนเริ่มไม่เชื่อในเรื่องของความรัก
จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้พบกับอิซาเบล มนุษย์สาวผู้มีใบหน้างดงามอ่อนหวาน แต่เรื่องราวความรักของพวกเขานั้นช่างแสนเศร้าเกินจะบรรยาย เธอต้องมาตายจากด้วยความบาดหมางระหว่างตระกูลใหญ่ของพวกเขา
นับแต่นั้นเป็นต้นมา เจย์เดนก็เก็เริ่มเย็นชาขึ้น จากชายหนุ่มผู้มีรอยยิ้มประดับหน้า กลายเป็นคนที่มีสีหน้าเรียบเฉย สร้างความน่าเกรงขามให้กับทุกคนที่อยู่ใต้อาณัติ แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น กลับทำให้เขาเป็นผู้นำตระกูลได้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างหาผู้ใดเปรียบได้
เจย์เดนใช้ชีวิตต่อมาเรื่อย ๆ และถึงแม้จะเต็มไปด้วยอภิสิทธิ์มากมาย เกิดมาบนกองเงินกองทอง แต่เขากลับรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างยิ่ง ชีวิตอมตะที่ยาวนานหลายร้อยปีทำให้เขาเริ่มเบื่อหน่ายและเริ่มไร้จุดหมายในชีวิต
มนุษย์ได้เกิด แก่ เจ็บ และตาย สิ่งนั้นคือความหมายที่ทำให้ชีวิตมีคุณค่ายิ่งนัก บอกตามตรงว่าเขาแอบรู้สึกอิจฉาที่ชีวิตของมนุษย์นั้นได้มีคุณค่าผ่านกาลเวลาที่เลยผ่าน
แล้วแวมไพร์เช่นเขาล่ะ...จะหาคุณค่าของตัวเองผ่านสิ่งใดได้บ้าง?
.
.
.
“เครื่องหมายนำทางของท่านชายคือสิ่งนี้ขอรับ” ชายชราว่าพลางยื่นกุหลาบสีดำที่ยังไม่เบ่งบานให้กับเขา “ท่านชายต้องใช้มันเป็นเครื่องนำทางไปหาว่าที่ชายาของท่าน”
“กุหลาบที่ยังไม่เบ่งบานเนี่ยนะ?” เจย์เดนยังคงนิ่งเฉยไม่ยอมยื่นมือออกไปรับกุหลาบดอกนั้น แถมยังมองมันด้วยสายตาขบขันอีกต่างหาก
“อย่าดูหมิ่นนะขอรับ แม้เป็นเพียงกุหลาบดอกน้อย ๆ แต่เมื่อเบ่งบานก็สามารถงดงามได้ไม่แพ้ช่อดอกไม้ที่ถูกจัดสรรอย่างหรูหราแน่นอน นอกจากนี้ หนามก็ทิ่มแทงได้เจ็บย่างแสบสันต์เลยทีเดียวเชียวนะขอรับ”
“ท่านกำลังจะเปรียบเปรยถึงชายาของข้าในอนาคตอย่างนั้นเหรอ?”
“ขอรับ กุหลาบดอกนี้คือเครื่องหมายแสดงของเธอคนนั้น...” โหรหลวงว่าพลางวางกุหลาบดอกนั้นลงตรงหน้าของท่านชายด้วยท่าทีนอบน้อมระมัดระวัง ก่อนจะยกยิ้มขึ้นน้อย ๆ
“ขอข้าเข้าใจรายละเอียดเพิ่มเติมอีกหน่อย ท่านหมายความว่าข้าจะนำกุหลาบดอกนี้ไปให้ใครก็ได้ที่ข้าหมายปอง เช่นนั้นถูกหรือไม่?”
“หากเป็นคนที่ถูกเลือก กุหลาบจะส่งพลังงานบางอย่างให้นางรับรู้ได้เอง มันจะสอดคล้องกับความรู้สึกที่ท่านชายมีต่อนางขอรับ" โหรหลวงกล่าวเพียงเท่านั้น ก่อนจะเดินถอยหลังออกจากห้องทำงานของเจย์เดนไป
หลังจากโหรหลวงเดินจากไปแล้ว เจย์เดนก็หันไปสนใจกับงานที่กองอยู่บนโต๊ะอีกครั้ง ที่ก็ไม่วายที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ดอกกุหลาบด้วยความชั่งใจ และแล้วในที่สุด มือหนาก็ต้องสัมผัสเข้ากับกลีบดอกตูมอย่างจำใจ
ดวงตาสีแดงเลือดจ้องมองไปยังกุหลาบสีดำ มือหนาเอื้อมไปต้องสัมผัสลงบนกลีบดอกอย่างเบามือ ประหนึ่งสัมผัสแก้มปรางของใครบางคน
ไม่นานนัก กุหลาบสีดำก็ค่อย ๆ ผลิบานทีละกลีบกุหลาบที่เคยดำมืดสนิทค่อย ๆ เปล่งประกายราวกับรัตติกาล
จะคอยดูแล้วกันว่ากุหลาบดอกน้อยนี่จะทำให้ใจเขาผลิบานได้หรือเปล่า
“เจ้าก็คงไม่เท่าไหร่หรอก...” สายตาคมกริบมองกุหลาบก่อนจะนำมันไปเก็บเอาไว้ด้วยความทะนุถนอม ต่างจากท่าทีในตอนแรกที่เหมือนจะไม่ใส่ใจนัก
“เฮ้อ แล้วจะให้ข้านำมันไปให้ใครกันล่ะ” เจย์เดนถอนหายใจอย่างยาวเหยียด พร้อมกับจ้องมองดอกกุหลาบที่อยูในฝาแก้วครอบ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเอ่ยว่า คู่ครองหาเมื่อไหร่ก็เหมือนกันหมด แต่เขาก็หวังอยากจะหาให้ได้ในเร็ววันนั่นแหละ...บอกตามตรง แวมไพร์เช่นเขาก็เหงาเป็นเหมือนกันนะผู้ติดตามคนสนิทที่ยืนฟังอยู่จึงเสนอความคิดขึ้นว่า “เช่นนั้น ท่านชายลองนำไปให้คนที่ท่านหมายปองดูก่อนดีหรือไม่ขอรับ”“ไม่มีผู้ใดที่ข้าหมายปองเป็นพิเศษหรอก”“คุณหนูเฟย์อย่างไรขอรับ” ผู้ติดตามอย่างเขาเห็นว่าท่านชายสนิทสนมกับเธอเป็นพิเศษ จึงคิดว่าบางทีพวกเขาอาจมีบางสิ่งที่เข้ากันได้“นี่เจ้าต้องล้อข้าเล่นแน่เลย นางเป็นเพียงสหายของข้า”คุณหนูเฟย์ คือลูกสาวตระกูลแวมไพร์ที่ตระกูลแบรดฟอร์ดของเขาร่วมค้าธุรกิจด้วย นั่นเป็นสาเหตุที่เขาและเธอสนิทกันมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่หากมองลึกลงไปในความสัมพันธ์นั้น ไม่มีความพิสวาทเลยแม้แต่น้อย“หรือจะเป็นคุณหนูอลิเซียเล่าขอรับ” ชาร์ลยังคงเสนอรายชื่อหญิงสาวที่ดูเหมาะสมกับเจ้านายของตนอย่างไม่หยุดยั้ง“เจ้าอย่าพูดชื่อคนที่น่ากลัวเช่นนั้นออกมาเชียว”สาเหตุที่เจย์เดนกล่าวเช่นนั้น เป็นเพราะคุณหนูอลิเซีย
“วันนี้นางขายดอกไม้ได้เยอะนัก” เจย์เดนนั่งมองเธอที่กำลังทำงานพาร์ทไทม์อยู่อย่างขะมักขะเม้น “แต่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ชายทั้งนั้น” ว่าพลางขมวดคิ้วไปด้วย“เพราะส่วนใหญ่ผู้ชายซื้อดอกไม้ให้ผู้หญิงอย่างไรขอรับ” ผู้ติดตามให้เหตุผล ก่อนที่ท่านชายของเขาจะขุ่นเคืองใจไปมากกว่านี้ เพราะมันคงไม่เป็นผลดีต่อพวกมนุษย์เพศชายพวกนั้นแน่“แต่ผู้ชายพวกนี้เขาซื้อดอกไม้ให้แฟนสาวหรือภรรยากันทุกวันเลยอย่างนั้นเหรอ?” เขาจับสังเกตและจำใบหน้าของลูกค้าประจำทุกคนได้ บางคนก็เข้ามาอุดหนุนทุกวัน บ้างก็วันเว้นวันจนน่าประหลาด“เอ่อ...ก็คงรักภรรยามากน่ะขอรับ” ชาร์ลรีบแก้ต่าง แต่ในอีกมุมหนึ่งมันถือเป็นการสอพลอเพื่อมิให้ท่านชายของเขาฉุนเฉียวจนเกินงาม“เหอะ รักคนจัดช่อดอกไม้สิไม่ว่า...” เจย์เดนแค่นหัวเราะอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก ก่อนจะหันไปเอ่ยสั่งชาร์ลเสียงเด็ดขาด “ข้าอยากให้เจ้าไปเหมาดอกไม้ร้านนั้นมา ก่อนที่มนุษย์พวกนั้นจะเข้ามาอีก”ว่าที่ชายาของเขา มิควรได้มีชายใดมาเชยชมอย่างออกนอกหน้าเช่นนี้สิ มันทำให้เขาหงุดหงิดอย่างไรไม่รู้“เอ่อ...แต่...ดอกไม้เยอะมากเลยนะขอรับ ท่านชายจะเอาไปทำอะไรกัน”“ข้าบอกให้ไปซื้อก็ไปซื้อมาเถอะ” เจย
“โอ๊ย เจ็บนะ!” ลินินโวยวายเมื่อถูกโยนเข้ามาในห้องโถงกลางเรือนบ้าน“สักล้านนึงพอจะได้ไหม” ชายวัยกลางคนที่พาตัวเธอขึ้นรถมาด้วยเอ่ยขึ้น ดูเหมือนว่าเขากำลังจะคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่ลินินที่นั่งอยู่กลางห้องโถงเริ่มหน้าซีด แววตาเริ่มหม่นหมอง เมื่อทราบว่าครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่การข่มขู่ ที่พวกเขาแค่เรียกตัวเธอมาเพื่อตักเตือน แล้วจากนั้นจะยอมปล่อยให้กลับไปหาเงินมาชดใช้ดั่งครั้งก่อนหลังจากวางสายลง มือหนาของเจ้าหนี้ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดชัตเตอร์จับภาพของเธอเพื่อส่งไปให้ปลายทาง“ตาแก่นี่ดูชอบเธอนะ” เขาว่าพลางยื่นรูปชายสูงอายุคนหนึ่งที่ตอบกลับว่าจะขอซื้อตัวเธอมาให้ลินินได้พิจารณาตัวของเธอสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ยิ่งเวลาผ่านไปเนิ่นนานมากเท่าไหร่ก็ไม่ได้ทำให้เธอสงบนิ่งลงได้เลย แล้วเป็นใครจะกล้าทำใจให้สงบได้กันเล่า ในเมื่อทราบว่าตัวเองจะถูกขายให้กับใครที่ไหนก็ไม่รู้“ขอร้องล่ะ หนูจ่ายให้คุณไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้วนะ” ลินินทิ้งตัวคุกเข่าก่อนจะทำท่าเว้าวอนขอความเห็นใจ เธอยังอยากมีอนาคตอีกยาวไกล หากโดนขายให้ชายแก่รุ่นราวคราวพ่อคงเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก“นี่ยัยหนู ฉันเห็นใจเธออยู่หรอกนะที่ต
เจย์เดนพาลินินกลับไปเก็บข้าวของที่บ้านหลังเก่า เธอก็ได้แต่จำใจยอมจากลา พลางคิดหาทางเอาตัวรอดว่าจะพูดอย่างไรให้เขายอมปล่อยตัวเธอให้เป็นอิสระ‘เขาจ่ายค่าตัวเราไปเท่าไหร่กันนะ’ ลินินครุ่นคิดในใจ“สามล้านถ้วน” เจย์เดนเอ่ยเสียงเรียบ สร้างความตื่นตกใจให้กับลินินเป็นอย่างยิ่งว่าเขาล่วงรู้สิ่งที่อยู่ในใจเธอได้อย่างไรกัน แต่สุดท้ายก็คิดเพียงว่าเจย์เดนแค่บังเอิญพูดถึงมันขึ้นมาพอดี หารู้ไม่ว่าเขาแอบพินิจใจเธออยู่ เหมือนเป็นการทำความรู้จักในช่วงแรกเริ่ม “ข้าตัวเจ้าสามล้าน จะไปหาเงินมาไถ่ตัวเองจากข้างั้นเหรอ?”“เปล่าค่ะ...” และแล้วก็ต้องยอมพ่ายแพ้ เธอนึกไม่ถึงว่าเขาจะควักเงินจ่ายไปด้วยจำนวนเงินมหาศาลเช่นนี้ เป็นจำนวนเงินที่เธอคิดว่าชาตินี้ก็คงหามาชดใช้ไม่ได้หมด“รีบเก็บของซะ ฉันเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”คำว่า ‘เหนื่อย’ เจย์เดนเพียงพูดไปเช่นนั้นเพื่อเป็นการเร่งเร้าเธอไปในตัว เพราะแวมไพร์เหนื่อยเป็นที่ไหนกันเล่าชาร์ลส่งสายตาเจ้าเล่ห์มองเจ้านายของตัวเองอย่างรู้ทัน ก่อนจะแอบส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่รู้ว่าปากจะหนักไปถึงไหน จึงเรียนรู้ที่จะเอ่ยคำพูดที่สื่อความหมายโดยตรงไม่ได้สักทีลินินรีบไปเก็บของออก
แต่ในขณะที่เธอกำลังก้าวเดินตามแผ่นหลังของเจย์เดน ชายชราคนหนึ่งก็รีบเดินตรงเข้ามาพร้อมเอ่ยทักทายเธออย่างนอบน้อม ราวกับมองว่าเธอนั้นมีฐานะสูงส่งอย่างไรอย่างนั้น“มาแล้วหรือครับท่านหญิง”ท่านหญิงอย่างนั้นเหรอ? ลินินครุ่นคิดในใจพลางขมวดคิ้วแล้วหันมองไปยังเจย์เดนด้วยความฉงน คิดไม่ตกว่าเขาพาเธอมาอยู่ที่นี่ด้วยเหตุผลใดกันแน่แต่ถึงอย่างนั้นเจย์เดนก็ยังคงปิดปากเงียบก่อนจะส่งสายตาให้ชายชราผู้ที่เดินเข้ามาทักทายเธอรีบออกไป“ตามมา...” ขายาวก้าวนำเธอต่อไป ลินินก็เดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย เอาเถอะ จะให้มาอยู่ที่นี่ในฐานะอะไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น ยังดีกว่าไม่มีที่ซุกหัวนอนแหละนะลินิน...ขณะที่เดินตามเขาไป สายตาของเธอก็มองสำรวจภายในคฤหาสน์ระหว่างทางที่เดินไปด้วยท่าทีกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะถึงแม้ว่าบรรยากาศโดยรอบจะดูหรูหราอลังการ แต่กลับดูมืดมนและอึมครึมชวนให้รู้สึกน่าอึดอัด นอกจากนี้ยังมีเสียงกระซิบแผ่วเบาหรือเสียงหวีดร้องดังตามสายลมมาเป็นครั้งคราวอีกต่างหาก สร้างความหวาดหวั่นภายในใจให้กับลินินไม่น้อยเลยทีเดียว เธอจึงรีบสาวเท้าเดินให้ว่องไวมากยิ่งขึ้นเพื่อตามหลังเจย์เดนให้ทันร่างสูงเดินพาลินินไปที่ห้องนอนของ
วันรุ่งขึ้น ลินินตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยกลัวว่าจะไปโรงเรียนไม่ทันเวลา เพราะคฤหาสน์ตระกูลแบดฟอร์ดตั้งอยู่ห่างไกลจากตัวเมือง มิหนำซ้ำบริเวณโดยรอบยังล้อมไปด้วยผืนป่าพนาไพรอีกด้วยเธออดคิดไม่ได้ว่าอาจต้องเดินลงภูเขาสูงชันนี้ด้วยตัวเอง และหารถประจำทางเพื่อต่อเข้าไปในเมืองให้ได้วางแผนการเดินทางเรียบร้อยแล้ว สองขาก็รีบวิ่งลงบันไดมาอย่างเร่งรีบ ก่อนจะพบกับเจย์เดนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทานอาหาร นอกจากนี้บนโต๊ะยังเตรียมสำรับอาหารเอาไว้อีกที่หนึ่งด้วย“นั่งลงทานมื้อเช้าซะ” เจย์เดนเอ่ยเสียงเรียบ“นั่ง...บนโต๊ะ...กับคุณเหรอ?” รู้สึกแปลกใจที่คนอย่างเธอจะมีสิทธิ์ได้ร่วมโต๊ะกับผู้ทรงอำนาจเช่นเขา ตอนแรกลินินคิดว่าจะต้องไปนั่งรวมกับพวกสาวใช้ซะอีก แต่ก่อนที่เธอจะทันปฏิเสธด้วยความเกรงใจก็ถูกสายตาเฉียบคมของเขามองมาเสียก่อน ประหนึ่งออกคำสั่งกลาย ๆ“นั่ง-ลง” เขาพูดเน้นทีละพยางค์ ลินินที่ได้ยินแบบนั้น อยู่ ๆ ก็ทิ้งตัวนั่งลงโดยไม่รู้ตัว ราวกับมีบางอย่างมาผลักเธอเข้า“ฉันต้องรีบไปโรงเรียนนะคะ (. .)”“กินมื้อเช้าก่อน” เจย์เดนเอ่ยเสียงเข้ม “เดี๋ยวให้ชาร์ลไปส่ง” ขณะพูดก็ปรายตามองไปหาผู้ติดตามคนสนิทของตัวเอง ช
เมื่อเห็นว่าลินินนั่งอ่านหนังสือบนเตียงด้วยความลำบากอย่างที่ผู้ติดตามคนสนิทของตนรายงาน เจย์เดนก็มานั่งคิดอีกครั้ง ก่อนจะเกิดอุบายว่า “ข้าอยากไปเที่ยวเดินเล่นในห้องสักหน่อย” จากนั้นเขาก็บอกให้ลินินติดสอยห้อยตามไปด้วย“ห้างเหรอ?” เธอยืนแง้มประตูห้องนอนเพื่อพูดคุยกับเขา “แต่ฉํนต้องอ่านหนังสือนะ” ลินินกล่าวถึงความจำเป็นของตัวเอง เธอเพิ่งเลิกเรียนจากที่โรงเรียนมา ก็หวังจะรีบทบทวนบทเรียนและอ่าหนังสือต่อเลย“กฎอีกข้อ ข้าสั่งอะไรเจ้าต้องว่าตามนั้น” พูดจบ เจย์เดนก็ไม่มัวรีรอฟังคำโต้แย้งจากเธออีก เขาหมุนตัวหันหลังแล้วเดินลงไปรอเธอที่ลานจอดรถคฤหาสน์ลินินเห็นแบบนั้นก็แอบอดถอนหายใจในความเอาแต่ใจของเจย์เดนแต่เมื่อมาถึงห้างสรรพสินค้า เจย์เดนกลับไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจที่จะเดินไปไหนเลย เอาแต่ยกมือขึ้นป้องแสงจากหลอดไฟนีออน ที่ดูเหมือนจะแยงตาของเขามากจนเกินควรลินินเห็นแบบนี้ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ‘ไม่ชอบที่สว่าง ๆ แล้วทำไมถึงพามาเดินห้างกัน หรือว่าเป็นแวมไพร์ขี้เหงา นาน ๆ ทีจึงอยากออกมาเดินเล่นกับคนอื่นเขาบ้าง?’ หลังจากคิดเช่นนั้น เธอก็ส่ายศีรษะด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหยิบหมวกแก๊ปที่ตัวเองพกติดกระเป๋าเป็นประจำ
ลินินกระโดดโลดเต้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าควรไปกล่าวขอบคุณเจย์เดนอย่างเป็นทางการ เมื่อนั้นเธอจึงวิ่งออกจากห้องและตรงสู่ห้องนอนของเจย์เดนโดยเร็วไว เจย์เดนซึ่งตอนแรกยืนอยู่ตรงระเบียงห้องของเธอ เมื่อเห็นว่าลินินวิ่งออกไปข้างนอก เขาก็รีบวิ่งกลับห้องตัวเองอย่างรู้ทัน ‘อยู่ในห้องหรือเปล่านะ’ ลินินยังลังเลที่จะเคาะประตู ด้วยไม่รู้ว่าจะเป็นการรบกวนอีกฝ่ายหรือเปล่า เธอจึงกอดเจ้าเจย์เดนตัวน้อยและเดินวนเวียนไปมาอยู่ตรงหน้าห้องของเขาแทน ผ่านไปสักพัก ลินินก็เริ่มใช้หูแนบไปกับบานประตู เพื่อจับเสียงที่อยู่ภายในห้องนั้น และเมื่อภายในห้องเงียบงัน เธอก็ยิ่งรู้สึกไม่กล้าเคาะประตูมากขึ้นเท่านั้น ‘เข้ามาสิ เข้ามาหาข้าสิ’ เจย์เดนคิดในใจ ขณะที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากประตูห้องของตัวเองนัก แต่เมื่อผ่านไปสักพัก ก็ไร้วี่แววว่าคนข้างนอกจะเปิดเข้ามา ทั้งที่กลิ่นของเธอยังคงเด่นชัดว่าอยู่ตรงหน้าห้องของตน ‘เหตุใดนางจึงไม่เข้ามาหาข้า!’ ด้วยความฉุนเฉียวชั่วขณะ มือหนาจึงดึงเปิดบานประตูออกทันใด ซึ่งการกระทำนี้ทำให้ลินินที่กำลังแนบหูไปกับบานประตูอย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่ทันได้ตั้งตัวจึงเซถลาเข้าไปในเขตห้องขอ
ในเช้าวันหนึ่งหลังมื้ออาหาร อยู่ๆ ลินินก็ได้รับสายจากบริษัทว่ามีธุระเร่งด่วนต้องเข้าไปเจรจากับทางโรงงานฝ่ายผลิต ด้วยแบบเสื้อผ้าที่โรงงานจัดทำตัวอย่างรุ่นแรกออกมามันผิดไปจากแบบที่เธอคาดหวังเอาไว้มากคิ้วสวยขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะจัดการบอกเลขาว่าเดี๋ยวจะเข้าไปที่โรงงานด้วยตัวเอง“ดูเหมือนต้องไปที่โรงงานเองแล้วล่ะ แบบที่ส่งมามันไม่ตรงกับที่สั่งไว้เลย” เธอบ่นให้สามีฟังขณะที่เตรียมตัวจะออกไปข้างนอกเจย์เดนที่นั่งอยู่บนโซฟาก็ทำหน้าฉงน “เจ้าสั่งเลขาไปแทนก็ได้หนิลินิน ไม่เห็นต้องไปเองเลย ทำไมต้องเหนื่อยเองด้วย?” น้ำเสียงบ่งบอกชัดเจนว่าคัดค้านสุดตัวลินินจึงหยุดมือจากการเตรียมเอกสารแล้วหันมามองมาทางเขาอย่างไม่เข้าใจนักว่าทำไมสามีเธอจึงมีทีท่าเช่นนั้น“ก็เพราะเป็นแบรนด์ของฉันไง ฉันก็เลยอยากเข้าไปดูเอง”ได้ยินแบบนั้นเจ้าแวมไพร์ก็เริ่มขยับตัวเหมือนอยู่ไม่สุข สีหน้าของเขาเริ่มออกอาการกังวล ส่วนภรรยาตัวน้อยของเขาก็จับจ้องมองตามท่าทีนั้นอย่างไม่วางตา ด้วยสงสัยว่าสามีเป็นอะไรไป“แต่เจ้าไม่ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเองก็ได้นี่นา ข้าแค่…แค่คิดว่าเจ้าควรพักบ้าง” ว่าจบก็ส่งมือหนาเข้ามากอบกุมมือเรียวของเธออ
ในห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์ที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ท่านพ่อและท่านแม่ของเจย์เดนมาถึงพร้อมกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากเด็ก ๆ ทั้งสี่ที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกเขาเติบโตอย่างรวดเร็วจนผู้ใหญ่ในครอบครัวอดตกใจเสียไม่ได้“ลินิน เจ้านี่เก่งเหลือเกิน” ท่านแม่เอ่ยชมขณะมองดูหลาน ๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ “ของข้าแค่คนเดียวก็ลมแทบจับแล้ว” ลินินยิ้มตอบ ขณะเดียวกันนั้นเจย์เดนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นในทันทีเมื่อได้ฟังคำพูดของแม่ตัวเอง “อะไรกันท่านแม่ ข้าเลี้ยงยากเหรอ?” ถามด้วยน้ำเสียงจริงจังไลเรนได้ยินก็หัวเราะขึ้น “เลี้ยงยากมาก เจ้าดื้อมากตั้งแต่ยังเล็ก ๆ แล้ว” “ดื้อเหรอคะ?” ลินินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ “ไม่เห็นเคยรู้เลย” เธอนึกภาพเจย์เดนผู้มีท่าทีสงบนิ่งกลายเป็นเด็กดื้อไม่ออกเลยจริง ๆ แต่ถ้าหากเรื่องความขี้แกล้ง อันนี้พอจะรู้อยู่บ้างแล้วล่ะเจย์เดนขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ข้าไม่ได้ดื้ออะไรสักหน่อย ท่านแม่น่ะพูดเกินไป”“งั้นเหรอ?” ท่านแม่ส่งยิ้มพร้อมสายตาเจ้าเล่ห์มาทางเจย์เดน ก่อนจะหลับตาลงแล้วเล่าเรื่องสมัยที่เจย์เดนยังเป็นเด็กขึ้น “แล้วใครกันที่ปีนต้นไม้หนีออกจากบ้านเพร
บังเอิญว่าในวันนี้ลินินจะต้องไปตรวจงานออกแบบเสื้อผ้าที่บริษัทของเธอ หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้วก็พร้อมจะออกเดินทางเจย์เดนในเสื้อเชิ้ตที่พับแขนขึ้นเล็กน้อยก็เดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยมาดเข้ม "เจ้าจะไปนานไหม?" เขาถามลินินพร้อมย่อตัวนั่งลงตรงหน้าก่อนจะยื่นมือหนาออกไปช่วยสวมรองเท้าให้เธอ"ไม่นานหรอก นายอยู่ดูเด็ก ๆ ไหวใช่ไหม?" ลินินหันมายิ้มให้เล็กน้อยเจย์เดนพยักหน้ามั่นใจ "ข้าเป็นแวมไพร์นะ เลี้ยงเด็กแค่นี้จะไปยากอะไร" ใบหน้าหล่อแสยะยิ้มขึ้นด้วยความมั่นใจลินินเห็นแบบนั้นก็แอบหัวเราะนิดหน่อย "งั้นฝากด้วยนะ อย่าให้พวกเขาทำบ้านพังล่ะ""บ้านทนจะตาย เจ้าอย่ากังวลไปเลย" เขาพูดติดตลก พร้อมยกมือโบกให้ลินินก่อนที่เธอจะเดินออกไปตอนแรกทุกอย่างดูสงบเรียบร้อย เด็ก ๆ นั่งวาดรูปอยู่ในห้องโถงใหญ่ แต่ไม่นานนัก เรย์เน่เริ่มบ่นว่าเบื่อและอยากเล่นซ่อนแอบ"ท่านพ่อ เล่นซ่อนแอบกับพวกเราไหมคะ" ไม่เพียงแค่เอ่ยถาม ยังส่งสายตาแวอย่างออดอ้อนมาให้เจย์เดนอีกต่างหากร่างสูงที่นั่งเฝ้าลูก ๆ พร้อมทำงานไปด้วยก็ชายตาขึ้นจากกองงาน ก่อนจะตอบรับ "ได้สิ นับสิบนะ"ยังไม่ทันจะเริ่มนับ เด็ก ๆ ทั้งห้าก็วิ่งวุ่นหาที่ซ่อนไปทั่วคฤหาสน์
เช้าวันหนึ่งลินินตื่นขึ้นมา และเมื่อเห็นว่าลูก ๆ ยังหลับอยู่ เธอก็ตั้งใจว่าจะทำข้าวกล่องไปให้สามีที่บริษัท จึงรีบเร่งเตรียมวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน“ทำเสต๊กแล้วกัน” เธอว่าพลางตัดชื้นเนื้อแล้วจับมันพลิกใส่เตาย่าง เมื่อสุกได้ที่แบบกลาง ๆ แล้ว ก็นำมาตัดเป็นชิ้นพอดีคำ และพร้อมเริ่มเตรียมอย่างอื่นต่อไปแต่ก่อนที่จะทันได้ลงมือ ลูก ๆ ทั้งสี่ เจย์เนส เรย์เน่ เคย์ลิส และไลเอนน์ ก็ตื่นขึ้นมาได้ยินเข้าเสียก่อน"ท่านแม่ทำอะไรเหรอครับ/คะ?" เสียงเจื้อยแจ้วเอ่ย ถามอย่างตื่นเต้น และเมื่อทราบว่าท่านแม่ของพวกเขากำลังจะทำรู้ข้าวกล่องไปให้ท่านพ่อที่บริษัท ทุกคนก็ดูเหมือนอยากจะช่วยกันคนละไม้คนละมือขึ้นมาในทันทีแต่แทนที่การช่วยจะทำให้งานเสร็จเร็วขึ้นกลับกลายเป็นวุ่นวายกว่าเดิมเสียอย่างนั้นเจย์เนสที่เป็นพี่ใหญ่สุดพยายามช่วยลินินหั่นผลไม้ แต่ด้วยความที่ยังมือใหม่จึงหั่นออกมาได้ไม่ค่อยเท่ากันนัก บางชิ้นก็ใหญ่เกินกว่าจะยัดลงปากได้ ส่วนบางชิ้นก็บางเฉียบจนแทบไม่ไต้องเตี้ยวกันเลย จนลินินต้องเข้ามาแก้ให้ส่วนเรย์เน่ คนนี้ชื่นชอบความสวยงามเป็นชีวิตจิตใจ จึงได้รับหน้าที่ยืนแต่งจานสลัด แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก จึงใส่ใ
นานวันเข้า เจย์เนสและเรย์เน่ก็เริ่มโตมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ก็เหมือนเด็กอายุเจ็ดขวบเข้าแล้ว ส่วนน้องน้อยของพวกเขาตอนนี้ก็คล้ายกับเด็กมนุษย์ในช่วงวัยห้าขวบ และใช่ ทั้งมดนี้เกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงปีเป็นอย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าพวกเขาจะโตไวและเรียนรู้เร็วมาก เจย์เดนกับลินินจึงจ้างครูมาคอยสอนพวกเขาที่บ้านด้วย เนื่องจากเล็งเห็นว่าพวกเขาอาจยังไม่พร้อมที่จะไปเข้าเรียนร่วมกับเด็กคนอื่น ๆนอกจากนี้ เมื่อเริ่มโตขึ้น การติดแม่ก็เริ่มน้อยลง กลายเป็นน้อง ๆ เข้ามาทำหน้าที่ในส่วนนั้นแทนเจย์เนสในวัยหนุ่มน้อยเริ่มสนใจการอ่านหนังสือในห้องเงียบ ๆ หรือออกไปฝึกศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์ที่ท่านพ่อของเขาจ้างมาฝึกส่วนตัวเสียมากกว่ามาขลุกอยู่ในห้องกับน้อง ๆ และนอกเหนือจากนั้นนิสัยก็เริ่มเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนผู้เป็นพ่ออย่างไม่ทิ้งห่างส่วนเรย์เน่ก็เริ่มมีความสนใจในเรื่องศิลปะและดนตรี บ่อยครั้งเธอจะเก็บตัวฝึกซ้อมเปียโนหรือวาดภาพในมุมของตัวเอง "ช่วงนี้ส่งไม้ต่อให้น้อง ๆ แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะเหงาเลย"ลินินได้ฟังเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา แต่ถึงก็ยังมีสมาชิกตัวโตที่ดูเหมือนจะคอยมาแย่งแม่ของพวกเขาอยู่ตลอด
และแล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นอีกครั้งเข้าจนได้ เมื่อลินินส่องกระจกและเริ่มเห็นหน้าท้องที่ดูเหมือนจะอวบอิ่มขึ้น“นี่เราไม่ได้ออกกำลังกายจนลงพุงหรือยังไงกันเนี่ย” เธอพึมพำ แต่แล้วก็นึกถึงตอนที่ตั้งท้องสองแฝดขึ้นมาได้ ว่ามันก็เริ่มต้นเช่นนี้นอกจากนี้เมื่อสังเกตอาการไปนานวันเข้า ยังมีอาการพะอืดพะอมร่วมด้วยอีกต่างหาก อาการนั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเจย์เดนต้องตัดสินใจพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลในที่สุด“ซูบผอมลงอีกแล้วนะขอรับท่านหญิง” ท่านหมอเอ่ยแซวพร้อมรอยยิ้ม"ตอนแรกฉันคิดว่าอาจจะกินเยอะไป อาหารก็เลยอาจจะไม่ย่อย แต่พอเห็นว่าผอมลงแล้วท้องป่องเหมือนครั้งที่แล้ว ก็เลยคิดว่าคงจะ..." ลินินพูดเสียงเบาขณะที่ท่านหมอก็อัลตร้าซาวน์บริเวณหน้าท้องของเธอไปพลาง“ขอรับ ตั้งครรภ์อีกแล้ว..." ท่านหมอยืนยันความคิดของเธอเจย์เดนที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พลันหยุดนิ่งราวกับถูกหยุดเวลา ดวงตาสีแดงของเขาจับจ้องไปยังหมอหลวงราวกับอยากจะให้แน่ใจว่าตัวเองฟังไม่ผิดไป "ปกติแล้วแวมไพร์จะตั้งครรภ์ได้ครั้งเดียวไม่ใช่หรือ?"“นั่นน่ะสิ” แววตาคู่สวยของลินินก็จับจ้องใบหน้าของท่านหมอด้วยความฉงนเช่นกัน พร้อมกับหันมองสามีของตน
หลังจากเจย์เนสและเรย์เน่เริ่มรู้ความ ภายในบ้านก็เริ่มวุ่นวายขึ้นนิดหน่อย โดยเฉพาะเรื่องที่แฝดทั้งสองติดลินินมากจนถึงขั้นที่ว่าต้องจัดตารางว่าใครจะได้นอนกับแม่ในวันไหนกันเลยทีเดียวภายในห้องนั่งเล่น เด็ก ๆ เดินเข้ามาด้วยท่าทางตื่นเต้นก่อนจะวางกระดาษแผ่นหนึ่งลงบนโต๊ะราวกับภูมิใจนำเสนอให้ลินินที่นั่งอยู่ในห้องนั้นได้ดูมัน"ตารางเวรนอนกับแม่" ลินินอ่านตัวหนังสือที่จ่าอยู่บนนั้นที่เรย์เน่และเจย์เนสช่วยกันออกแบบด้วยลายมือเด็ก ๆ ของพวกเขา นอกจากนี้ยังแบ่งช่องพร้อมใส่ชื่อตัวเองอย่างเสร็จสรรพด้วย"ใช่ค่ะ พวกเราจะได้ไม่ต้องแย่งกันว่าใครจะนอนกับท่านแม่วันไหน”“แม่นอนกับพวกลูกได้ทุกวันทั้งคู่อยู่แล้ว” ลินินอธิบาย แต่แล้วก็ได้รับการส่ายศีรษะตอบกลับจากพวกเด็ก ๆ“แต่ท่านแม่นอนตะแคงกอดพวกเราได้แค่คนเดียว เพราะฉะนั้นแบ่งเป็นวันแบบนี้เนี่ยะแหละครับดีแล้ว” เจย์เนสยังคงยืนกรานว่าจะจัดตารางแบบนี้ โดยมีน้องสาวฝาแฝดอย่างเรย์เน่พยักหน้าหงึกหงักอยู่ข้าง ๆ“วันนี้เป็นวันของพี่เจย์เนสนะ” เรย์เน่พูดขึ้นอย่างจริงจัง หลังจากมองดูตารางในมือ “พรุ่งนี้เป็นวันของน้อง” เธอเสริมพลางยิ้มกว้างให้พี่ชายเจย์เนสพยักหน้าใบหน
“เจ้าปีศาจยักษ์ ส่งตัวราชินีของข้ามา ไม่อย่างนั้นโดนดีแน่!” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กชายวัยหนี่งขวบ (?) ดังลั่นไปทั่วขณะที่ถือดาบไม้ไล่ฟาดฟันพ่อของเขาใช่แล้ว อย่างที่ท่านหมอเคยกล่าวว่าลูกแวมไพร์นั้นโตเร็วและ แต่ก็ไม่คิดว่าเพียงหนึ่งปีจะโตถึงขนาดเล่นอัศวินกับท่านพ่อของพวกเขาได้แล้ว!ช่วงเดือนแรก หากเป็นทารกมนุษย์ทั่วไป ก็คงไม่ส่งเสียงพูดอ้อแอ้ใช่ไหมล่ะ แต่บ้านนี้ส่งเสียงได้ตั้งแต่หนึ่งเดือนหลังคลอด เรื่องนั้นว่าตกใจแล้ว แต่สิ่งที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเขาเริ่มคลานได้ในเดือนที่สอง และตั่งท่าเดินได้เสร็จสรรพในระยะเวลาเพียงหกเดือน! ทำเอาท่านแม่อย่างลินินตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นลูกโตวันโตคืนชนิดที่ว่าไม่ต้องสอนให้ตั้งคลานหรือยืนตั้งไข่เลย พวกเขาทำได้เองตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ รู้ตัวอีกทีก็ถือดาบวิ่งไล่ฟันเจย์เดนได้เป็นที่เรียบร้อยแล้วและในตอนนี้ หากนับตามลักษณะทางกายภาพของมนุษย์ สองแฝดเหมือนเด็กอายุสี่ขวบเข้าให้แล้วล่ะ“ไม่ส่งคืนหรอก นี่ราชินีของข้า” แต่ดูเหมือนคนเป็นพ่อจะไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่นัก ดูจากที่เล่นกับลูกชายอย่างมีความสุขแล้วอยู่ ๆ ร่างสูงใช้สองแขนแกร่งช้อนตัวของลินินท
หลายเดือนต่อมา ท้องของลินินก็เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และอีกไม่นานก็จะถึงวันกำหนดคลอดของเธอแล้ว ถึงแม้จะตั้งครรภ์เพียงสี่เดือนครึ่ง อุ้มท้องไม่นานเท่าอายุครรภ์ของมนุษย์ แต่ก็ไม่ได้สะดวกสบายไปกว่ากันหรอก เพราะข้างในเป็นแวมไพร์เด็กที่เมื่อเวลาดิ้นทีก็ทำผู้เป็นแม่แทบลมจับเลยทีเดียว “ลินิน ข้าต้องออกไปบริษัท พอดีมีโครงการจะซื้อเครื่องบินลำใหม่ ต้องไปฟังความคิดเห็นคณะผู้บริหารด้วย เจ้าอยู่คนเดียวสักพักได้ไหม” จะว่าไปแล้ว ช่วงใกล้คลอดนี้เจย์เดนจับตาดูภรรยาทุกฝีก้าวเสียยิ่งกว่าช่วงแรกเสียอีก จะขยับแต่ละทีก็จะต้องมีเขาคอยช่วยประคองอยู่ตลอด ลินินที่ได้ยินสามีเอ่ยแบบนั้นก็พยักหน้าเหมือนว่ารับทราบ “นายไปเถอะ ฉันอยู่ได้ ไม่ต้องห่วง” โชคยังดี เพราะด้วยความที่ใกล้ครบกำหนดคลอดแล้ว แม่สามีจึงอาสาว่าจะมาช่วยดูแลเธออย่างใกล้ชิดอีกแรงด้วย นั่นทำให้เจย์เดนที่ข่วงนี้งานรัดตัวรู้สึกวางใจไปได้เปราะหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่เป็นห่วงหรอกนะ “ห้ามดื้อนะรู้ไหม” ว่าจบเขาก็กดนิมฝีปากลงบนหน้าผากของเธอประหนึ่งว่าคนตรงหน้าคือสิ่งที่น่าทะนุถนอมที่สุดในโลก “สภาพนี้ฉันดื้อไม่ไหวหรอก” เธอกล่าวระคนติดตลก แ