คำโปรย
ในคราวนั้น "เฟยเทียน" เพียงต้องการพลัง เพื่อครอบครองอำนาจ จึงเรียกปีศาจมังกรเพลิงและแลกเปลี่ยนบางสิ่งเพื่อให้ได้ชัยชนะในสงคราม ทรายย้อมโลหิต ทว่าปีศาจมังกรเพลิงตนนั้นใช้แขนซ้ายของเขาเป็นที่หลบซ่อนการตามล่าจากเทพมังกรดิน จึงปรากฏรอยสักสีเพลิงรูปมังกรที่ท่อนแขนซ้าย ทว่าการสู้รบแบบโหดเหี้ยมทำเขาถูดขับออกจากตำแหน่งรัชทายาทซึ่งเขามิใส่ใจ เป็นลูกที่พ่อไม่รัก ซ้ำกำจัดไม่ได้
ต้องเก็บเขาไว้เป็นเสี้ยนหนามตำหัวใจเช่นนี้ เฟยเทียนกลับรู้สึกสุขสำราญใจดี
"ว่านหนิงเหมย" ในวัยสิบแปด ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครกล้ามาสู่ขอนางไปเป็นภรรยา ไม่ใช่เพราะฐานะที่เป็นลูกอนุของเสนาบดีว่านเท่านั้น แต่เพราะรอยแผลเป็นที่แก้มขวาของนางอีกด้วย เมื่อครั้งที่นางอายุเพียงสิบสอง การพบกันครั้งแรกระหว่างนางกับองค์ชายเฟยเทียน อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ผู้อื่นเข้าใจเขาผิดคิดว่าเขาใช้กรงเล็บมังกรกรีดใบหน้านางจนเสียโฉม แม้นางจะบอกทุกคนว่าไม่ใช่ความผิดของเขาก็ไม่มีใครเชื่อนาง แต่เพราะแผลเป็นนี้ทำให้นางรอดพ้นการถูกบังคับให้แต่งงานได้ ขอเพียงใช้ชีวิตเรียบง่าย แม้ต้องอยู่เพียงลำพังนางก็ยินดี
"เฟยเทียน"เข้าวังหลวงตามคำสั่งของพระบิดา ด้วยความดีความชอบที่ทำศึกรวมแผ่นดินได้สำเร็จจึงประทานตำแหน่งชินอ๋องและจะประทานคู่ครองให้ เขาบังเอิญพบว่านหนิงเหมยอีกครั้ง ด้วยตัวเขามีพลังปีศาจอยู่ครึ่งหนึ่ง เมื่อเข้าใกล้ดวงจิตเทพมักอ่อนแรง เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงอัปลักษณ์ผู้นี้ เขากลับไม่อาจใช้พลังของตนกับนางได้ เขากลายเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาไร้พิษสง ความลับนี้ทำให้เขาคิดกำจัดนาง แต่ดูว่าการพยายามกำจัดนางไร้ผล
ด้วยเหตุนี้เขาก็เปลี่ยนใจเก็บนางไว้ข้างกาย หากผู้อื่นรู้ความลับนี้ จะเอานางมาเป็นเครื่องมือสังหารเขาได้
...........
ก่อนออกรบในครั้งนี้ เขาคิดว่าเป็นเพราะได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากองค์ฮ่องเต้ เขาคือองค์ชายเฟยเทียน คือองค์รัชทายาท แต่ไม่คิดเลยว่าการสู้รบยาวนานนับเดือนเช่นนี้ ซากศพที่กองสูงเป็นภูเขาซากมนุษย์ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในอากาศผสานกับเสียงร่ำไห้และเสียงสาปแช่ง เพราะเหตุใดกันเขาเพียงแค่ต้องการรวบรวมแผ่นดินมังกรให้เป็นแผ่นดินเดียว
การศึกที่ยืดเยื้อความสูญเสียมีมากขึ้น ไม่มีกองหนุนมาช่วย คล้ายปล่อยให้เขาตายในสนามรบ!
องค์ชายเฟยเทียนแม้เพียงสิบเจ็ดชันษา ทว่าในมือนั้นถือกระบี่อาบโลหิต ดวงตายังจับจ้องเบื้องหน้า ทหารของเขาสู้สุดใจ คนเหล่านี้ต่างหากที่เขาสามารถเรียกได้ว่าเป็น ‘ครอบครัว’ เหนื่อยล้าจนมือที่จับกระบี่แทบยกไม่ขึ้น ทั้งเหงื่อและเลือดไหลรวมกัน ท้องฟ้าขมุกขมัวเหลือเกิน
นี่คือวันแห่งความตายของเขาเช่นนั้นรึ?
ไฉนฮ่องเต้ไม่ส่งกองหนุนมาช่วย หากเพียงต้องการกำจัดเขา ผู้ซึ่งเกิดจากฮองเฮาที่พระองค์มิรักใคร่ ไยต้องส่งเขามาสนามรบเช่นนี้ หรือเพื่อให้เขาตายอย่างสมเกียรติ
เสียงหัวเราะดังกึกก้องเย้ยหยัน ณ เวลานี้ความตายมิได้น่ากลัว หากแต่การที่องค์ฮ่องเต้ประสงค์จะให้เขาตาย แต่ต้องนำผู้อื่นมาตายด้วยเช่นนี้ มันสมควรแล้วหรือ? คนเหล่านี้ล้วนมีครอบครัว มีคนที่เฝ้ารอพวกเขากลับไป ผิดกับเขาที่ไม่มีผู้ใดต้องการแม้แต่จะเห็นศพด้วยซ้ำ! หากเพียงเขาแข็งแกร่งเข้มแข็งเพื่อยืนหยัดได้นานกว่านี้ ให้ทหารของเขาได้ล่าถอยหลบหนีได้ทัน คงเป็นการดีไม่น้อย
พลันลมพายุหมุน ท้องฟ้าที่มืดครึ้มเปิดออกด้วยแสงจากฟากฟ้า กองเพลิงเบื้องหน้าหมุนเป็นเกลียวตามกระแสลมบังเกิดเป็นรูปร่างมังกรขนาดใหญ่ต่อหน้าองค์ชายเฟยเทียน ในเวลานี้เขากลับยืนมองด้วยความสงบ ไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือตื่นตระหนกแต่อย่างใด
ดวงตาที่จ้องมองเป็นลูกไฟร้อนแรง ส่งเสียงคำราม ปลายหางสะบัดไปมาก่อนฟาดลงพื้นเกิดรอยแยกบนแผ่นดิน เสียงคนหวีดร้องโหยหวน แต่ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่ง หรี่ตามองไร้ความขลาดกลัว
“เจ้าจะได้ในสิ่งที่ปรารถนา แต่ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน”
“ข้ายินดี”
เสียงหัวเราะคำรามของปีศาจมังกรเพลิงดังกึกก้อง
“เจ้าจะมิถามรึว่าสิ่งใดที่เจ้าต้องเสียไป”
“หากได้ในสิ่งที่ข้าต้องการ ข้ายินดียิ่ง!”
“ดี! เจ้าจะได้ในสิ่งที่ปรารถนา”
องค์ชายเฟยเทียนรับข้อเสนอ ไม่สนใจว่าตนเองจะเป็นเช่นไร หากเวลานี้เขามีชัยชนะ ทำให้พลทหารที่เป็นเสมือนครอบครัวแท้จริงของเขาได้กลับบ้าน แม้เขาจะไม่เหลือสิ่งใดเลยก็ตาม
เสียงคำรามของมังกรเพลิงดังกึกก้อง ร่างมังกรเพลิงโผขึ้นท้องฟ้า พ่นไฟใส่ฝ่ายศัตรูขององค์ชายเฟยเทียน เพียงพริบตาเบื้องหน้าปรากฏทะเลเพลิง ทหารฝ่ายตรงข้ามตัวติดไฟวิ่งหนีกันอลหม่าน กลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้งในอากาศ องค์รัชทายาทไม่กะพริบตา จ้องมองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า มุมปากยกยิ้ม
ปีศาจมังกรเพลิงร่อนไปมาเหนือซากศพแล้วมาหยุดที่เบื้องหน้าองค์ชายเฟยเทียน มันผงกศีรษะแหงนหน้าบินขึ้นฟ้าก่อนพุ่งดิ่งลงมาสู่ร่างของบุรุษหนุ่มทันที เสียงฟ้าผ่าสนั่นหวั่นไหว แสงเพลิงนั้นห่อหุ้มร่างของบุรุษหนุ่มเพียงพริบตาแล้วหายไป เหลือเพียงบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนสงบนิ่ง เสื้อคล้ายถูกฉีกขาดจนเปิดเปลือยเรือนร่างท่อนบน ปรากฏรูปมังกรสีแดงเพลิงตวัดเกี่ยวท่อนแขนซ้าย ส่วนศีรษะของมังกรอยู่บนหัวไหล่และปลายหางตวัดรัดรอบข้อมือ
เนิ่นนานเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ องค์ชายเฟยเทียนยกมือข้างซ้ายขึ้นดู ปรากฏเห็นกรงเล็บยาวงอกออกมา มือซ้ายราวกับไม่ใช่มือของมนุษย์แต่กระนั้นก็ไม่ได้สร้างความตื่นตระหนกให้เจ้าของท่อนแขน ราวกับยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อจิตยอมรับ เล็บยาวนั้นก็กลับหดสั้นเข้าเป็นปกติ เว้นเสียแต่รูปมังกรเพลิงสีแดงบนท่อนแขนซ้ายของเขา
เพียงท้องฟ้าเปิดออก เมฆทมิฬเคลื่อนผ่านไป ยังมีกองเพลิงอยู่เบื้องหน้า แต่มีเสียงโห่ร้องดีใจที่ได้รับชัยชนะดังก้องสนามรบ
ว่ากันว่ามังกรเป็นสัตว์ของเทพ ปกป้องชนชั้นเทพ ทว่ามีมังกรบางตนที่มิอาจละกิเลสตัณหา ถูกขับลงจากสวรรค์กลายเป็นมารมิใช่เทพ มังกรเพลิงตนนี้ก็เช่นกัน มันเสพสุขกับการล่าและสังหารชีวิตอย่างไร้เหตุผล ไม่ละอายต่อความผิดบาปที่ตนกระทำ แม้สวรรค์ขับลงมาเพื่อให้มันได้สำนึกผิด ทว่ามันกลับเคียดแค้นชิงชังสวรรค์ หลายร้อยปีผ่านมาไม่อาจตระหนักถึงความผิดของตนเอง จากเทพจึงกลายเป็นมารปีศาจ เมื่อพบเจอผู้มีจิตเรียกร้องหาปีศาจ มันจึงปรากฏกายและขอแลกเปลี่ยนในสิ่งที่อีกฝ่ายปรารถนา โดยการสิงสถิตที่ท่อนแขนเพื่อหลบเลี่ยงการตามล่าของเทพสวรรค์
บัดนี้องค์ชายเฟยเทียนกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้เกรียงไกร การรบอย่างโหดเหี้ยม ผู้คนหวาดกลัวไม่กล้าแม้จะเอ่ยชื่อ แม้ทำไปเพื่อแผ่นดิน แต่เพราะความเหี้ยมโหดนี้จึงถูกปลดจากตำแหน่งรัชทายาท แม้องค์ฮ่องเต้ปรารถนากำจัดลูกคนนี้เพียงใด แต่ทรงทราบดีว่า หากไร้ชายผู้นี้แล้ว คงมิมีผู้ใดนำทัพทหารได้ยิ่งใหญ่เท่านี้อีกแล้ว.
เสียงเด็กชายตัวเล็กร้องด้วยความเจ็บปวดทำให้หญิงสาวที่ง่วนอยู่ในครัว รีบเงยหน้าขึ้นหันไปทางทิศทางของเสียงที่ได้ยิน นางรีบวางมือจากงานตรงหน้า ก้าวเร็วๆ ไปที่ด้านนอก สายตากวาดมองหาร่างเด็กชายผอมกะหร่องผู้หนึ่ง แต่มองหาอยู่นานก็ไม่เห็น “จ้าวต้า” หญิงสาวร้องเรียกแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ มองหญิงรับใช้ผู้อื่นที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก เห็นเพียงพยักพเยิดไปทางห้องเก็บฟืน นางจึงรีบเดินไปพลางเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนที่คาดเอวบางของตนอยู่ “จ้าวต้า” หญิงสาวเรียกอย่างอ่อนโยน มองเข้าไปในห้องเก็บฟืน กวาดตามองก็เห็นร่างเล็กขดตัวที่มุมห้อง นางเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ดึงร่างนั้นเข้ามากอดอย่างไม่รังเกียจ แม้อีกฝ่ายสกปรกมอมแมมเพียงใด “คุณหนูหนิงเหมย ตัวข้าสกปรกนัก ท่านอย่ามากอดข้าเลย” เด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบเอ่ยขึ้น เขาพูดจาอู้อี้ พลางยกหลังมือปาดน้ำตา“ข้าก็สกปรกไม่เห็นเป็นไรเลย” หญิงสาวพูดปนหัวเราะ พิศดูใบหน้าของเด็กชาย หัวใจกระตุกวูบแต่ฝืนยิ้มให้ “เจ้าโดนคุณชายทั้งสองแกล้งเอาอีกละสิ” เด็กชายไม่ตอบแต่กลั้นเสียงสะอึกสะอื้นไว้ หัวใจของหญิงสาวพลอยเจ็บปวดไปด้วย นาง
ตกใจแต่ไม่ได้กรีดร้อง งุนงงและได้แต่ทำตาปริบๆ ดวงตาคมวาวคู่นั้นเองเพียงแค่หรี่มองอย่างประหลาดใจ ทั้งสองตื่นจากภวังค์เพราะเสียงนางกำนัลที่บังเอิญผ่านมาและกรีดร้องเสียงหลงเพราะตกใจที่เห็นซีกขวาของนางมีรอยแผล เลือดสีสดไหลจากแก้มลงมาที่คางเปรอะปกเสื้อ นางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมากดแผลตนเองเพื่อห้ามเลือด ในขณะที่ชายผู้นั้นยกมือขึ้นกอดอกยืนนิ่งดู ครู่ต่อมาฮองไทเฮารีบเสด็จมาดูด้วยพระองค์เอง ‘เฟยเทียน! ไยเจ้าทำร้ายนางซึ่งเป็นเพียงเด็กหญิงคนหนึ่งเท่านั้น’ นางจำได้ว่าตนตะลึงลานทำสิ่งใดไม่ถูก บรรดาองค์หญิงและท่านหญิงต่างพามามุงดู ทุกคนหวาดกลัวชายผู้นั้นไม่กล้าสบตา นางรีบส่ายหน้าไปมา พยายามเค้นเสียงพูดออกมาด้วยความตกใจ “มิได้เพคะ แผลนี้มิใช่ฝีมือของ...” นางไม่รู้ว่าชายผู้นี้เป็นใคร ได้ยินเพียงฮองไทเฮาเรียกชื่อเขา อีกฝ่ายก็ไม่แสดงความยำเกรงใดๆ แสดงว่าชายผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน “เจ้าไม่ต้องกลัว ...” ฮองไทเฮายื่นพระหัตถ์มาให้นางไปหลบด้านหลัง แต่นางกลับส่ายหน้าไปมาเร็วๆ “มิใช่เพคะ แผลนี้...แผลนี้...” นางคิดคำพูด ใจเต้นร
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อตอนที่นางอายุเก้าขวบ หลังจากช่วยงานป้าฮุยเหอแล้ว นางเดินจากครัวเพื่อกลับห้องนอนของตน แต่นางกลับเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งที่ศาลาหกเหลี่ยม ด้วยความสนใจจึงเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาเป็นประกายจ้องมองชายผู้มีเส้นผมสีเงินยวง คนผู้นั้นกำลังเดินหมากล้อมเพียงลำพัง ใบหน้าสุขุมนั้นวางหมากอย่างไร้ความลังเล นางเห็นเขาเดินหมากเพียงผู้เดียว กำหมากทั้งดำและขาวก็งุนงงจนอดถามไม่ได้ “ท่านเดินหมากคนเดียวเช่นนี้ ต่อให้หมากขาวหรือหมากดำชนะ ท่านก็ชนะอยู่ดีไม่ใช่รึ” “หือ?” ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองนาง “ขออภัย พี่ชาย ข้าแค่สงสัย” นางหดคอด้วยความรู้สึกผิด จำได้ว่าเวลาเดินหมากไม่ควรพูดแทรกหรือส่งเสียงดังรบกวนสมาธิผู้อื่น “เด็กน้อย เจ้ามองเห็นข้างั้นรึ” ดวงตากลมจ้องมองอีกฝ่ายแล้วพยักหน้าหงึกๆ นางเห็นมุมปากยกยิ้มก็รู้สึกโล่งอก เขาเคาะนิ้วที่เก้าอี้กลม คล้ายสั่งให้นางไปนั่ง เด็กหญิงตัวน้อยจึงเดินไปนั่งใกล้ชายหนุ่มผู้มีเส้นผมงดงามนัก “แปลกจริงที่เจ้ามองเห็นข้า” “พี่ชายนั่งตรงนี้ ข
กระทั่งได้ยินเสียงบัวสวรรค์กระซิบเรียกให้ตื่นจากภวังค์ หญิงสาวผุดลุกขึ้น แสร้งทำเป็นวุ่นวนดูต้นไม้ต้นนั้นที ต้นนี้ที เสียงกล้วยไม้หัวเราะนาง จะว่าไปการได้เข้าวังคือการพักผ่อนอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ ครู่หนึ่งขันทีผู้หนึ่งมาตามตัวนาง พูดคุยสอบถามเล็กน้อย พอเห็นกล้วยไม้ของฮองไทเฮากลับมาสดชื่นอีกครั้งก็ดีใจจนรีบร้อนขอตัวไปรายงานฮองไทเฮา ว่านหนิงเหมยรีบใส่รองเท้า ปัดเศษดินออกจากกระโปรง รีบล้างมือให้สะอาด ก่อนออกจากสวนสี่ฤดู นางหันไปแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ต้นไม้นานาพรรณของฮองไทเฮา ‘เจ้ากำลังหลงรักชายที่ไม่อาจรักได้’ “ข้ารู้...ข้าติดหนี้บุญคุณคนผู้นั้น” เขาแบกรับความผิดที่ไม่ได้ก่อ แผลเป็นบนแก้มนี้เกิดจากนางตกใจ ยามใดนางถูกทำร้าย ต้นไม้เหล่านั้นจะเข้าช่วยเหลือ ครานั้นนางตกใจที่เขาเดินเข้ามาหา เห็นเขายกมือขึ้นก็เข้าใจผิดว่าเขาจะทำร้าย เพราะความคิดของตน ทำให้กิ่งไม้ตวัดหมายทำร้ายองค์ชายเฟยเทียนเพื่อปกป้องนาง แต่ขณะนั้น นางยกมือขึ้นกุมศีรษะ แท้จริงแล้วมีหนอนตัวหนึ่งตกบนศีรษะของนาง นางร้องห้ามในใจทันทีที่เห็นปลายกิ่งไม้ตวัดใส่ราวกับแส้ กิ่งไม้นั
“ถ้าท่านคอยให้ท้ายมัน...เอ่อ...เฟยเทียนเช่นนี้ ก็ตามใจท่านเถิด แต่จะหาสตรีใดมาแต่งงานกับปีศาจเช่นเขาเล่า” “เรื่องนี้ข้าจัดการเอง” ฮองไทเฮาโบกมือไปมาคล้ายไม่ต้องการพูดถึงเรื่องพวกนี้อีก “ได้! ตราบใดที่คนผู้นั้นไม่สร้างความอัปยศให้แก่วงศ์ตระกูล ข้าก็ยังเห็นมันเป็นลูก!” ฮ่องเต้กัดฟันข่มโทสะ รีบลุกขึ้นเดินจากไปทันที ฮองไทเฮาได้แต่ถอนหายใจ สงสารหลายชายที่บิดาไม่รัก แม้เรียกว่าลูก น้ำเสียงก็แสนรังเกียจยิ่งนัก ฮองไทเฮานึกถึงมเหสีหลินหลาน นางเป็นหญิงที่ถูกวางหมากให้นั่งตำแหน่งนี้ตั้งแต่เกิด นิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ เรื่องความงดงามนั้นเหนือผู้ใด ทว่ากลับไม่อาจครองใจฮ่องเต้ได้ อาจเป็นเพราะถูกบังคับให้อภิเษกจึงต่อต้าน หลินหลานเป็นคนยอมใครไม่เป็น ไม่รู้จักมารยา แม้ตนเองเป็นฮองเฮา เมื่อใดที่เห็นฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับหญิงใดมากเกินไป ก็สั่งกำจัดเสีย ฮองไทเฮาย่อมรู้เรื่องเหล่านี้ดี แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จนกระทั่งสนมเอกจื่อลู่ประสูติพระโอรส ทำให้ฮองเฮาไม่พอพระทัย หวังกำจัดทั้งแม่และลูก ฮองไทเฮาจึงจำเป็นต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
ร่างสูงใหญ่มีเพียงผ้าผืนหนึ่งพันท่อนล่างเดินออกมาจากหลังม่านไม้ไผ่ ก้าวยาวๆ ไม่กี่ก้าวก็มาถึงโต๊ะของซิ่นเจี่ยง หยิบขวดสุราเทใส่ลำคออย่างกระหาย ท่อนบนที่เปลือยเปล่าเห็นรูปมังกรเพลิงชัดเจน ซึ่งเวลานี้กลายเป็นสีแดงดุจย้อมโลหิต ทั้งสามเห็นจนเคยชินแล้ว เมื่ออยู่กันเช่นนี้ ก็ไม่ได้ถือธรรมเนียมเคร่งครัดอะไร เจิ้งหู่ เจิ้งไฉ ยังไม่หยุดมือกับการกินขนมหวาน ซิ่นเจี่ยงยังไม่ละสายตาจากหมากดำบนกระดาน “ไล่พวกนางออกไป” “ขอรับ” เจิ้งหู่ เจิ้งไฉตอบพร้อมกัน ลุกขึ้นแล้วเดินไปเชิญนางคณิกาที่นอนเปลือยกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน “นายของพวกท่าน จะเรียกใช้พวกข้าอีกหรือไม่” หญิงนางหนึ่งเอ่ยถามแม้จะยังหอบหายใจแรงอยู่ “เรื่องนั้นข้าไม่อาจรู้ได้” เจิ้งหู่ไหวไหล่ หยิบเสื้อผ้าของพวกนางโยนใส่ไม่เกรงมารยาท “พวกข้าหวังว่าจะได้รับใช้นายของพวกท่านอีก” นางคณิกาทั้งสามแทบคลานลงจากเตียง หอบเสื้อผ้าปิดบังเรือนร่างที่ทิ้งร่องรอยไว้เป็นจุดจ้ำแล้วเดินออกไปอย่างเชื่องช้า ซิ่นเจี่ยงหยิบถุงเงินส่งให้บรรดาคณิกาทั้งสามเป็นของรางวัล พวกนางได้รับค่าตัวแล้
“ไม่เป็นไรหรอก แผลเป็นก็คือแผลเป็น”ปกปิดไปก็เท่านั้น เช็ดแป้งออกก็ย่อมมองเห็น นางไม่รังเกียจแผลตัวเอง ผู้อื่นจะรังเกียจก็ช่างเถอะ นางใช้ผ้าโปร่งปิดครึ่งหน้าแล้วออกไปร่วมงานเลี้ยง เพราะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์และไม่ได้เป็นท่านหญิง นางจึงหลบเลี่ยงอยู่ด้านหลัง ใจจดจ่อกับการปรากฏกายของชายที่ทุกคนหวาดกลัว เจอกันครั้งแรกตอนนางอายุสิบสอง เขาคงจำนางไม่ได้แล้ว สำหรับนาง เขาคือผู้มีพระคุณ หากเขาไม่แบกรับความผิดที่ตัวเองไม่ได้ก่อ อาจเป็นนางที่ถูกมองว่าเป็นมารปีศาจ เพราะรอยแผลนี้ทำให้นางรอดพ้นการถูกจับแต่งงานมาตลอด เสียงหัวเราะพูดคุยหายไปทันที ทุกสรรพสิ่งเงียบงัน เพียงการปรากฏกายของบุรุษรูปร่างสูงสง่าผู้นั้น องค์ชายเฟยเทียนหรืออดีตองค์รัชทายาท ก้าวเข้ามาในอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มขับเน้นให้ยิ่งดูน่าเกรงขาม ร่างกายกำยำองอาจสมกับเป็นยอดนักรบ แม้มีใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่ไม่มีสตรีนางใดกล้าเงยหน้ามองใบหน้านั้นตรงๆ จังหวะก้าวเดินอย่างมั่นคงทำให้ปลายผมสีแดงดุจปลายพู่กันจุ่มหมึกนั้นพลิ้วไหวน้อยๆ ทหารองครักษ์สองนายที่เดินตามมานั้น มีหน้ากากเหล็กสีดำปิดครึ่งหน้า กรุ่นไอ
“จะทำอย่างไรดี สุราอาหารส่งไป ดูคล้ายไม่ถูกปากท่านอ๋องหรือแม้แต่ผู้ติดตามก็ไม่แตะต้อง” นางกำนัลสองคนที่เดินผ่านหญิงสาวบ่นอุบอิบ เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับองค์ชายเฟยเทียนหรือชินอ๋องแล้ว ว่านหนิงเหมยย่อมหูผึ่งทันที เมื่อเดินไปลับตาผู้อื่น นางสอบถามกับเหล่าพฤกษาในสวนสี่ฤดู “จริงรึ? องครักษ์ทั้งสองชอบกินขนมหวาน” ว่านหนิงเหมยถึงกับโคลงศีรษะไปมา แต่ต้นหลิวที่ยืนต้นเด่นริมสระบัวกลับสั่นไหวยืนยันในสิ่งที่ได้กล่าวไปแล้ว “ที่แท้มิใช่ไม่ถูกปาก แต่ไม่ใช่ของโปรดละสิ” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ นึกถึงจ้าวต้าของนาง แม้จะเป็นเด็กชายตัวเล็กที่มักทำท่าทีองอาจเพื่อปกป้องนาง แต่เอาเข้าจริง เขาก็คือเด็กน้อยที่นางหลอกล่อด้วยขนมหวานได้ทุกคราวไป ‘กุนซือรูปงามผู้นั้น ชอบเดินหมากล้อมเป็นที่สุด’ ‘เจิ้งหู่ เป็นแฝดผู้พี่’ ‘เจิ้งไฉเป็นแฝดผู้น้อง’ ‘ทั้งสามร่วมรบในสงครามทรายย้อมโลหิต จึงเป็นดั่งสหายรักขององค์ชายเฟยเทียน’ ‘จุ๊ๆ ต้องเรียกชินอ๋องสิ’ ‘องค์ชายไม่สนใจตำแหน่งเสียหน่อย ใจพะวงอยากกลับตุนหวงแล้ว
ลมหายใจของเขามีไว้เพื่อนาง ลมหายใจของนางมีไว้เพื่อ เรื่องย่อ เรื่องราวระหว่างเทพมังกรดิน ฮวงหลง และหญิงสาวเดินดินนามซิ่นฮวา เมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้หญิงสาวมองเห็น ‘เทพมังกรดิน’ เขาจำ(ใจ)ต้องปรากฏกายทุกครั้งที่นางเรียกขานนามของเขา ทำให้เทพเซียนชั้นฟ้ากลายเป็นพี่เลี้ยงของเด็กหญิงตัวน้อย จวบจนนางเติบโตเป็นหญิงสาวงามสะพรั่ง กฎสวรรค์ทำให้เขาต้องหักห้ามใจ แต่เพราะนางและเขามีชะตาที่ต้องชดใช้กรรมร่วมกัน และมีเพียง ‘ลมหายใจมังกร’ เท่านั้น ที่จะต่อลมหายใจของนางได้ เส้นทางที่เขาเลือกมิใช่สิ่งที่นางปรารถนา เพียงหนึ่งชาติภพเพื่อให้ใจได้ ‘รัก’ แม้ช่วงเวลานั้นจะแสนสั้น.... นางก็ยินดี จาก ‘ท่อนแขนมังกร’ สู่ ‘ลมหายใจมังกร’ (ท่อนแขนมังกรรุ่นลูก) ‘ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ข้าจะอยู่ข้างกายท่าน จะไม่มีวันทอดทิ้งท่านอย่างเด็ดขาด’ “แม้ว่าข้าจะกลายเป็นคนอัปลักษณ์ เจ้าก็ยังอยู่เคียงข้างข้าหรือ?” ‘แน่นอน’ นางยืนยันด้วยแววตาใสซื่อ ‘ข้ามิได้รักท่านที่หน้าตา แต่เพราะจิตใจของท่านต่างหากที่ข้าหลงรัก’ “เจ้ารักข้า?” คำสารภาพรักของนางนั้น เขาได้ยินมานับร้อยนับพันครั้งแล้วกระมัง แต่ครั้งนี้ แม้นางไม่ไ
“เช่นนั้นเจ้าไม่ลองมีลูกสาวให้เป็นเพื่อนซิ่นฮวาอีกคนเล่า เด็กๆในตำหนักมีแต่เด็กผู้ชาย ถ้ามีลูกผู้หญิงเพิ่มขึ้นอีกคนก็คงดีไม่น้อย ตอนนี้ซิ่นสือก็สามขวบแล้ว ถ้าเจ้าจะมีลูกอีกสักคนก็...”บุรุษหนุ่มผู้กรำศึกมานับไม่ถ้วนถึงกับสะอึกไปเมื่อเห็นสายตาดุๆ ของภรรยาตัวน้อย“ข้ามิใช่แม่หมูนะ” เหตุใดมาเคี่ยวเข็ญให้นางตั้งท้องขนาดนี้นะ“โธ่! เพราะเห็นเจ้าเป็นภรรยาหนึ่งเดียวของข้าถึงได้ชวนเจ้ามีลูกอีกสักคนหรือสองคนก็ได้” เขาโอบไหล่นางพานางกลับเข้าห้องพัก ปล่อยให้จ้าวต้าอยู่กับลูกชายสองคนของเขา คงเป็นวิธีเบี่ยงเบนความสนใจจากว่านหนิงเหมยให้จ้าวต้าไปรับตัวซิ่นฮวาจากสวนกระจ่างใจจ้าวต้าโคลงศีรษะไปมาแล้วมองเด็กน้อยทั้งสอง แม้ฐานะของเขาต้อยต่ำนัก แต่เขาเสมือนพี่ใหญ่ที่ต้องดูแลเด็กๆ เหล่านี้ เขาถอนหายใจก่อนยิ้มอ่อนโยน จูงมือซิ่นหลิงและอุ้มซิ่นสือไปส่งป้าฮุยเหอก่อนแล้วค่อยไปรับเด็กหญิงแสนซุกซนผู้นั้นเด็กหญิงตัวต้นเรื่องนั่งหน้าบึ้งตึงในศาลาหกเหลี่ยมของสวนกระจ่างใจ ท่านแม่ให้นางนั่งสำนึกผิดอยู่ผู้เดียว แต่กระนั้น นางก็รู้และมั่นใจว่าองครักษ์ของท่านพ่อคอยจับตาดูนางอยู่“เรื่องนิดเดียวเอง ไยท่านแม่ต้องโกรธถึงเ
ชายหนุ่มวัยสิบหกพาเรือนร่างกำยำเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มประดับใบหน้าคมเข้ม แม้อายุเพียงแค่สิบหกปีแต่เพราะฝึกฝนวรยุทธ์อย่างเข้มงวด ทำให้เขาดูสูงใหญ่กว่าชายหนุ่มวัยเดียวกัน แทบไม่เหลือเค้าโครงเด็กชายผอมกะหร่องที่ค่อยติดตามพระชายาเลยแม้แต่น้อย เพียงร่างสูงเดินเข้าไปในห้องโถง พลันประสาทรับรู้ถึงการพุ่งเข้าใส่ ทว่าเขากลับไม่ปัดป้องหรือหลบหลีก ยอมให้ร่างเล็กโถมเข้าใส่สุดแรงจนเสียหลักหงายหลังล้มลงให้เด็กชายตัวน้อยวัยห้าขวบนั่งทับ “พี่จ้าวต้ากลับมาแล้ว!” มือน้อยของเด็กชายขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่าย สีหน้าตื่นเต้นดีใจทั้งที่ไม่เจอกันแค่สามเดือน “คุณชายซิ่นหลิง” ชายหนุ่มหัวเราะขบขันกับท่าทางดีอกดีใจของอีกฝ่าย เพราะรู้ว่าผู้ที่พุ่งเข้ามาเป็นใครจึงยอมให้นั่งทับบนร่างตัวเองเช่นนี้ เขาจับไหล่เด็กชายตัวน้อย ยกตัวขึ้นเพื่อให้ตัวเองลุกขึ้นยืนได้ “พี่จ้าวต้ามาแล้ว ไปช่วยซิ่นฮวาเร็วๆ เข้า” มือน้อยกระตุกมือใหญ่แล้วชี้ไปทางด้านหลังของตำหนักดุจตะวัน “หือ? คุณหนูเป็นอะไรไปขอรับ” เขาถามพลางมองไปตามทิศทางที่นิ้วป้อมๆ ชี้ไป ถ้าคุณหนูตัวน้อยอยู่ที่สวนก
พูดได้แค่นั้นก็อยากจะอาเจียนหรือหาของเปรี้ยวมากิน คราวนี้ฮองไทเฮาอดหัวเราะไม่ได้ ในขณะที่หลานรักอย่างเขากลับรู้สึกอับอายยิ่งนัก เพราะหลบสายตาของผู้เป็นย่าจึงปะทะกับสายตาล้อเลียนขององครักษ์ฝาแฝดทั้งสอง ทำได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างไม่พอใจ ก็ใครใช้ให้เขารักนางมากขนาดนี้กันเล่า เฮ้อ!“เอาเถิดๆ อย่างไรข้าจะเป็นยายแก่หนังเหนียวรอเจ้าพาเหลนและสะใภ้กลับมาเยี่ยมอยู่ที่นี่”องค์ชายเฟยเทียนโค้งตัวอำลาฮองไทเฮา คราวนี้เขาไม่รั้งอยู่นาน ใช้วิชาตัวเบาราวล่องหนหายออกไปจากวังหลวงพร้อมองครักษ์ทั้งสองอย่างรวดเร็ว เพื่อกลับไปดูแลคนที่ทำให้เขาต้องออกอาการแพ้ท้องแทนอยู่อย่างนี้ตุนหวงรถม้ามาหยุดหน้าตำหนักดุจตะวัน หญิงวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาจากหน้าต่างรถอย่างไม่มั่นใจนัก จนกระทั่งเห็นเด็กชายที่เคยเลี้ยงดูรีบวิ่งเข้ามาหา นางจึงยิ้มกว้างออกมา“จ้าวต้า”“ป้าฮุยเหอมาแล้ว” จ้าวตารีบไปประคองให้นางลงจากรถม้า ก่อนท่านอ๋องเดินทางไปเมืองหลวงได้สอบถามเขาถึงคนสนิทหญิงรับใช้ที่บ้านเดิม ท่านอ๋องต้องการให้พระชายามีคนคุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือยามตั้งครรภ์แรก เขาจึงนึกถึงป้าฮุยเหอที่ดูแลเขาและพระชายามาตั้งแต่เกิด แต่เ
ดวงเนตรเบิกกว้างอย่างตกใจ ไม่คิดว่าจะได้ยินโอรสที่ทรงหมางเมินกล่าวออกมาเช่นนี้ จ้องมองบุรุษเบื้องหน้าที่ใบหน้าละม้ายคล้ายกันนัก สิ่งที่ลูกชายพูดออกมานั้นล้วนอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ ทุกครั้งที่มองใบหน้านี้จึงเหมือนมองตนเองในวันวัยเดียวกัน ยามที่เป็นเพียงองค์รัชทายาทก็ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ใครต่อใครบงการ พยายามอย่างยิ่งให้เป็นที่ยอมรับ ได้รับความรักจากบิดาหรือก็คืออดีตฮ่องเต้องค์ก่อน แม้รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้นไม่ถูกต้อง แต่ไม่อาจแก้ไขอะไรได้สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ ไม่คิดเลยว่าบุรุษเบื้องหน้าผู้ถอดแบบเขาออกมาแทบทุกกระเบียดนิ้ว จะมองออกจนทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ “สิ่งที่กระหม่อมทำก็เพื่อแผ่นดินมังกรแห่งนี้ ศึกภายในกระหม่อมไม่ขอยุ่งเกี่ยว กระหม่อมมิสนใจว่าผู้ใดต้องการกำจัดกระหม่อม แต่ชีวิตของกระหม่อมขอเพียงได้ปกป้องราษฎรและรักษาแผ่นดินที่แลกมาด้วยหยาดโลหิตและชีวิตทหาร หากกำจัดกระหม่อมไปแล้ว เห็นทีว่าจะไม่เป็นผลดีต่อแผ่นดินนี้”“เจ้ากำลังข่มขู่ข้ากระนั้นรึ” “มิได้ กระหม่อมแค่ต้องการย้ำให้พระบิดาเข้าใจ อย่าได้สิ้นเปลืองสมองมาระแวงกระหม่อม”เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง
เทพมังกรดินดูผลงานของตน เฝ้ามองเหล่ามารปีศาจกลับคืนสู่นรกแล้ว จึงกลายร่างเป็นบุรุษเจ้าของเส้นผมสีเงินยวง เดินเข้าไปหาคนทั้งสอง หญิงสาวพลิกตัวใช้ร่างของตนบังร่างของชายที่นางรักไว้ แม้นางรูปร่างเล็ก แต่กางแขนออกเพื่อปกป้องเขา“หนิงเหมย” เขาปรามนาง อยากจะหัวเราะที่เวลานี้มีหญิงสาวตัวเล็กกางแขนปกป้องเขาเต็มที่ ในชีวิตของเขา จะมีใครสักกี่คนที่ยอมอยู่เคียงข้างเช่นนี้ เพียงหนึ่งชีวิตอันแสนสั้น ได้รู้จักรัก หัวใจได้รับความรักก็นับว่ามีค่าและมีเกียรติให้ตายได้อย่างสงบแล้วเป็นนางเท่านั้นที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ที่จะรัก ได้สัมผัสความรัก เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว พอแล้วจริงๆ เทพมังกรดินจ้องมองชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองแล้วก็ลอบถอนหายใจ นี่แหละหนา จึงเป็นได้เพียงมนุษย์ไม่อาจละทิ้งอาวรณ์ได้ เขายื่นมือไปใช้เพียงปลายนิ้วแตะน้ำตาของหญิงสาว ว่านหนิงเหมยเบิกตาโต เห็นน้ำตาของตนกลั่นกลายเป็นก้อนกลมเล็กดุจลูกแก้ววาววับลอยเหนือฝ่ามือของเทพมังกรดิน แล้วยื่นไปที่เบื้องหน้าขององค์ชายเฟยเทียน “นี่คือ...” ว่านหนิงเหมยพึมพำ “กลืนมันลงไป” เทพมังกรดินสั่งน้ำเสียงเฉียบขาด องค์ช
“เจ้าเรียกปีศาจได้ ไยข้าจะทำบ้างมิได้” เพื่อชัยชนะ ย่อมทำได้ทุกอย่างไม่ว่าชัยชนะนั้นจะได้มาอย่างไรก็ตาม“เจ้าแลกสิ่งใดกับการเรียกปีศาจออกมา!”แม้เขามีปีศาจมังกรเพลิงอยู่ในท่อนแขนซ้าย แต่เรียกใช้เพียงการศึกครั้งเดียว เมื่อสิบปีก่อนที่เรียกกองทัพทหารปีศาจขึ้นมา กลายเป็นฝันร้ายไปชั่วชีวิต นับแต่นั้น เขาเพียงใช้แค่เกราะปีศาจมังกรเพลิงคุ้มกันกายค่าตอบแทนของทหารปีศาจเหล่านี้คือหายนะไม่สิ้นสุด ความตายที่ไม่อาจประเมินได้อยู่เบื้องหน้า ปีศาจเหล่านี้ล้วนต้องดื่มเลือดฉีกเนื้อกินวิญญาณมนุษย์ ครานั้นปีศาจที่เขาเรียกออกมากัดกินทหารฝ่ายตรงข้าม เศษซากที่เหลือกลายเป็นศพ กองเป็นภูเขาซากศพชวนให้อาเจียนและขนหัวลุก“ข้ามิโง่เช่นเจ้าที่แลกวิญญาณตนเองหรอกนะ” ลาซูแหงนหน้าหัวเราะ ดวงตากลายเป็นสีแดงราวกับย้อมด้วยโลหิต “แต่ข้าแลกด้วยชีวิตผู้คนในตุนหวง เมื่อข้านำกองทัพเข้ายึดครองแผ่นดินของเจ้า ผู้คนของเจ้าก็จะกลายเป็นอาหารอันโอชะให้พวกมันอย่างไรเล่า เมื่อเวลานั้นมาถึง ดินแดนของเจ้าจะมีเพียงผู้คนของข้าเท่านั้นที่เหยียบยืนบนแผ่นดินเปื้อนเลือดแห่งนี้”แม้ไม่ได้ยินเสียงสนทนาของคนทั้งสอง แต่บัดนี้หญิงสาวเข้าใจแล้วว่
นางหวังให้ตัวเองส่งเสียงเตือนให้ดังกว่านี้ แต่เสียงที่เปล่งออกไปเป็นเพียงเสียงแหบแห้งและสั่นเครือ นางรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด อาภรณ์สีดำขลิบแดงที่นางสวมทำให้ผิวกายของนางแสบร้อน ดวงตาเบิกกว้าง นางเห็นกลุ่มคนบุกเข้าไปกำลังปะทะกับทหารมองโกล “ท่าน...อ๋อง...” เสียงของนางแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงของสายลม น้ำตาที่ทนกลั้นกลิ้งร่วงหล่นจากดวงตาเปื้อนแก้ม ขอให้นางได้เพียงส่งเสียง ได้เพียงเตือนเขาก็ยังดี “โอ๊ย!” ว่านหนิงเหมยร้องเสียงหลง หูทั้งสองข้างราวกับมีเสียงปริแตกลั่นดังเปรี๊ยะ! มือที่ถูกมัดทำให้ไม่อาจยกขึ้นมาแตะหูของตนได้ นางเจ็บจนนิ่วหน้า รู้สึกเหมือนมีน้ำไหลออกมาจากหูทั้งสองข้างนางหลับตาพยายามสะกดกลั้นความเจ็บที่ตนได้รับ เสียงหวีดแหลมที่ทำให้หูทั้งสองข้างเจ็บปวด ทำให้นางไม่อาจได้ยินเสียงอื่นใดอีก ในชั่วลมหายใจต่อมา หญิงสาวรู้สึกว่าเชือกที่มัดนางอยู่ถูกตัดขาดอย่างรวดเร็วพร้อมร่างของนางที่ร่วงหล่น เพียงเสี้ยวเวลาอันแสนสั้นและเปราะบาง ยามนั้นนางกลับนึกถึงเมื่อครั้งที่นางตกต้นหลิวอายุเกือบร้อยปีในสวนสี่ฤดูของฮองไทเฮา หัวใจของนางหล่นวูบ
“เจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่” มือเรียวกำแน่น เผลอจิกเล็บกับฝ่ามือของตนเอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งใจฟัง ลาซูจึงเอ่ยขึ้น “สังหารท่านอ๋องอย่างไรเล่า คงมีแต่ท่านเท่านั้นที่จะสังหารผู้ที่ครอบครองพลังปีศาจมังกรเพลิง” ลาซูพูดราวกับเป็นเรื่องธรรมดา “อ้อ! แต่อย่าได้เป็นกังวลไป หากพระชายากลายเป็นม่าย กระหม่อมยินดีรับท่านมาอยู่เคียงข้างอย่างไม่รังเกียจ” ยังไม่ทันสิ้นประโยคดี ฝ่ามือเล็กของหญิงสาวกระทบซีกแก้มของลาซูสุดแรงที่นางมี เพราะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงหญิงไร้วรยุทธ์จึงไม่หลบหลีกยินดีให้นางตบหน้าเขาเต็มแรง ว่านหนิงเหมยลดมือที่ยกค้างอยู่ลง แสร้งทำเป็นประคองสองมือไว้บนตัก ทว่ามือข้างขวานั้นชาและสั่นระริก หญิงสาวกัดริมฝีปากตนเองไม่ให้แสดงความตื่นตระหนกออกมา ดวงตาเป็นประกายฉายแววเคืองโกรธและจ้องมองอย่างไม่เกรงกลัว “หากมือของข้าต้องเปื้อนเลือด ต้องเป็นเลือดของคนชั่วเช่นเจ้าเท่านั้น! ข้ายินดีตายแต่ไม่ยอมทำร้ายท่านอ๋องเด็ดขาด!” “ดี!” ลาซูหัวเราะเหมือนคนเสียสติ ยื่นมือไปจับข้อมือข้างที่ตบหน้าเขากระชากนางให้ลุกขึ้นพร้อมกับต