เยี่ยเป่ยเฉิงถือผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือและเช็ดน้ำตาของนางอย่างระมัดระวัง แต่ก็ไม่สามารถเช็ดน้ำตาได้ไม่ว่าจะเช็ดซ้ำแค่ไหนก็ตามน้ำตาหยดใหญ่ไหลออกมา เยี่ยเป่ยเฉิงถอนหายใจในใจ เขาไม่เคยเกลี้ยกล่อมใครมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต แต่เขาทำให้คนคนนั้นร้องไห้...เยี่ยเป่ยเฉิงถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ เขาทำได้เพียงลดเสียงลงและพูดอย่างจริงจัง "หากเจ้าร้องไห้อีกละก็ ข้าจะโยนเจ้าไปเป็นอาหารของเสือเลย"เขาไม่รู้วิธีเกลี้ยกล่อมผู้คนจริง ๆ แต่เขาเชี่ยวชาญวิธีข่มขู่ผู้คนแล้ว ในอดีตไม่ว่าคนร้ายจะตกไปอยู่ในมือของเขาแบบไหนก็ตาม ตราบใดที่เขาใช้วิธีบางอย่าง ไม่ว่าผู้ร้ายจะดื้อรั้นแค่ไหนก็ตาม คนร้ายต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขาอย่างที่เขาคิดไว้ เคล็ดลับนี้ได้ผล ทันทีที่เขาพูดเช่นนั้น ผู้ที่ร้องไห้ต่อหน้าเขาก็หยุดร้องไห้ทันที เพียงแต่คนผู้นั้นยังสะอึกสะอื้นบางครั้ง นางจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา“เจ้าร้องไห้มากพอแล้วหรือยัง” เยี่ยเป่ยเฉิงถามนางหลินซวงเอ๋อร์พยักหน้าอย่างหมองคล้ำนางกลัวเยี่ยเป่ยเฉิงจะโยนนางเป็นอาหารเสือจริง ๆ เพราะเขาเลี้ยงเสือจริง ๆ และนางได้ยินมาว่า คนชั่วร้ายหลายคนที่ตกอยู่ในมือขอ
หลินซวงเอ๋อร์กลับไปที่ห้องพักของนางเพื่อเก็บข้าวของและออกไป ซึ่งนางก็บังเอิญหันไปเห็นเยี่ยเป่ยเฉิง ที่เพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกมาจากเรือนอวิ๋นซวนในตอนเช้าเห็นยังสวมเสื้อผ้าสีเขียวเข้ม แต่แค่พริบตาก็เปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมสีขาวพระจันทร์ไปแล้ว ซึ่งเนื้อผ้าที่ใช้ก็เป็นวัสดุที่นางเพิ่งจะชี้ไปอย่างส่งๆ เมื่อสักครู่นี้เองเยี่ยเป่ยเฉิงมีรูปร่างหน้าตาดี ผมสีดำขลับ ทั้งยังมีคิ้วที่เย็นชาสะดุดตา ในวันธรรมดาเขามักจะสวมเสื้อผ้าสีเข้ม ซึ่งมันทำให้ผู้คนแทบไม่อยากล่วงเกินเขายิ่งขึ้นไปอีกแต่ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสีอ่อนแล้ว นอกจากจะทำให้ผู้คนรับรู้ได้ถึงความเย็นชา ท่าทีที่ดูขุ่นเคืองบนร่างกายของเขาก็ยังลดลงไปมากอีกด้วยหมอกยามเช้าจางหายไปพร้อมกับแสงยามเช้าก็ส่องลงมา เขาสวมชุดคลุมสีขาวนวล คิ้วเข้มงดงามราวกับถูกวาดขึ้น เขายืนตัวตรงใต้แสงแดดสีทองที่ถูกสาดส่องขึ้นในวันที่อากาศสดใสนี้เพียงแรกสบตาแต่เหมือนรู้จักเจ้ามานับหมื่นปีดวงตาของหลินซวงเอ๋อร์เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ จริงๆ แล้วเขาที่สวมเสื้อผ้าสีอ่อนนี้ก็ช่างดูดีเสียเหลือเกินเยี่ยเป่ยเฉิงสังเกตเห็นสายตาที่จ้องมองมายังตนของห
“ ท่านอ๋อง ท่านอย่าตำหนิท่านป้าจ้าวเลยเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะเรียนรู้กฎโดยเร็วที่สุดและจะไม่ทำให้ท่านอ๋องขุ่นเคืองใจอีกเจ้าค่ะ”สีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงค่อยๆ อ่อนลงช่างมัน ครั้งนี้ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกนางก็เเล้วกัน อย่างไรเสียครั้งที่เเล้วก็เป็นเพราะเขาที่ไม่คิดให้รอบคอบ ตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น ท่านป้าจ้าวจะเป็นกังวลใจก็พอจะเข้าใจได้อยู่“โมโม่ลุกขึ้นเถิด ข้าไม่ทำอะไรนางหรอก ข้าจะพานางกลับมาโดยไม่ให้มีส่วนใดชำรุดเด็กขาด”หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ หัวใจของท่านป้าจ้าวถึงได้ปล่อยวางความกังวลที่อยู่ในใจไปได้นางมองไปที่ใบหน้าอันไร้เดียงสาของหลินซวงเอ๋อร์ ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างลับๆ ใช้มือตบหลังมือของหลินซวงเอ๋อร์และพูดอย่างปลอบโยน "ซวงเอ๋ย ไม่เป็นไร ไปเถอะ จำไว้ล่ะว่าห้ามทำให้ท่านอ๋อง ไม่พอใจ โมโม่จะรออยู่ที่จวนโหวเพื่อรอเจ้ากลับมา”หลินซวงเอ๋อร์พยักหน้ารับ "โมโม่ไม่ต้องกังวล ข้าไม่อาจทำให้ท่านอ๋องโกรธได้หรอก”เมื่อทั้งสองคนออกจากประตูจวน เสวียนอู่ก็ได้เตรียมรถม้าเอาไว้แล้วเยี่ยเป่ยเฉิงพานางไปดูที่สนามฝึกซึ่งเขาใช้สถานที่แห่งนี้เพื่อฝึกทหารเป็นครั้งแรกในสนามฝึกมีทหารฝึกซ้อมท
หลินซวงเอ๋อร์อยากจะร้องไห้ออกมาเเต่มันไม่มีน้ำตาเยี่ยเป่ยเฉิงพานางเดินไปยังสถานที่ใช้ในการเลี้ยงเสือโดยเฉพาะกำแพงที่นี่ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษด้วยอิฐอย่างดี กำแพงสูงถึงสองจั้ง ทันทีที่หลินซวงเอ๋อร์เดินมาถึงที่ด้านนอกกำแพง นางก็ได้ยินเสียงคำรามดังมาจากทางด้านในหลินซวงเอ๋อร์กลัวเสียจนน้ำตาไหลออกมา นางไม่อาจหยุดรั้งชายเสื้อของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ริมฝีปากบางก็ยังคงกล่าวอ้อนวอนออกมา " ท่านอ๋อง ข้าน้อยไม่เข้าไปด้านในได้หรือไม่เจ้าคะ?"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ "มาที่นี่โดยเฉพาะ แล้วเหตุใดถึงไม่อยากเข้าไปมองสิ่งที่อย฿ู่ด้านในสักหน่อยล่ะ?"เสือตัวใหญ่คือลูกเสือที่เขารับมาเลี้ยงจากในสนามรบเมื่อสามปีที่ก่อนจำได้ว่าตอนที่รับมันมา ขนาดของมันใหญ่กว่ามือแค่นิดหน่อย ท่าทางของมันที่นอนอยู่ในมือของเขาเพื่อรอป้อนอาหารนั้นน่ารักเป้นอย่างมากเพื่อให้มันมีชีวิตรอด เยี่ยเป่ยเฉิงใช้ความคิดของตนเป็นอย่างมาก ตอนยังเป็นทารกก็ย่อมต้องการดื่มนม เช่นนั้นเขาจึงไปบ้านชาวนาทุกวันเพื่อขอนมวัวหรือไม่ก็นมแพะเพื่อให้มันดื่ม หลังจากหย่านมมันก็เข้าสู่ช่วงเวลาของการกินเนื้อ เยี่ยเป่ยเฉิงจึงพามันออกล่าในทุกๆ วันตอนที่มัน
เยี่ยเป่ยเฉิงยกริมฝีปากขึ้นแล้วเผยยิ้ม "ถ้าเจ้าไม่ลองลูบมัน มันก็จะไม่ออกไปง่ายๆ หรอกนะ"ได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าใจของนางจะเป็รคนรักตัวกลัวตาย แต่หลินซวงเอ๋อร์ก็ยังคงเอื้อมมือออกไปอย่างกล้าหาญและลูบที่ส่วนหัวของเสือตัวใหญ่อย่างหวาดกลัวไม่ต้องพูดเลยว่าสัมผัสที่มือนั้นรู้สึกดีเสียจริง ขนดกอ่อนนุ่ม ทั้งยังเต็มไม้เต็มมือมากเดิมทีหลินซวงเอ๋อร์เพียงแค่ต้องการสัมผัสเบาๆ แต่ใครก็ไม่คาดคิดว่าเสือตัวใหญ่จะนอนลงบนพื้นโดยเผยให้เห็นท้องสีขาว ขาทั้งสี่ของมันชี้ขึ้นไปในอากาศ สีหน้าของมันแสดงให้เห็นถึงความเคลิบเคลิ้มเป็นอย่างมากหลินซวงเอ๋อร์มองไปยังเยี่ยเป่ยเฉิงด้วยความสงสัยเหตุใดมันถึงทำเช่นนี้กัน?หรือว่ามันกำลังแกล้งอย่างนั้นเหรอ?เยี่ยเป่ยเฉิงหัวเราะอย่างโง่เขลาออกมา อดูเหมือนเขาเองก็แทบจะคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเสือตัวใหญ่นี้จะชอบหลินซวงเอ๋อร์มากถึงเพียงนี้เขากล่าว "เจ้าเสือยักษ์ดูเหมือนจะชอบเจ้ามากเลยนะ มันเปิดพุงของตัวเองให้เห็นก็เพราะเชื่อใจเจ้า มันอยากให้เจ้าลูบมันให้มากกว่านี้อีสักหน่อย"“ยังต้องลูบอีกงั่้นเหรอเจ้าคะ?” หลินซวงเอ๋อร์เผยยิ้มอย่างขมขื่นออกมาทว่าหลังจากทำมันไปแล้วครั้งหน
มือของเยี่ยเป่ยเฉิงนั้นใหญ่มาก มือของหลินซวงเอ๋อร์ทั้งนุ่มและเล็ก เมื่อฝ่ามือกว้างโอบมือของนางไว้แน่น หลินซวงเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งตรงมาจากฝ่ามือของเขาฝ่ามือของเขาอบอุ่น แม้จะร้อนไปสักหน่อย เเต่ก็ยังเทียบกับก็เทียบกับคนเย็นชาเช่นเขาไม่ได้ทว่าหลินซวงเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงการรับมือได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นสถานะที่แตกต่างกันระหว่างทั้งสองหรือเหตุผลอื่น ๆ นางก็มักจะรู้สึกเสมอว่าพฤติกรรมของเยี่ยเป่ยเฉิงนั้นดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลสักเท่าใดนักหลินซวงเอ๋อร์พยายามขัดขืน แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นได้เมื่อสัมผัสได้ถึงการต่อสู้ขัดขืนของนาง เยี่ยเป่ยเฉิงไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยมือเท่านั้น แต่ยังกระชับมือของเขาให้แน่นขึ้นอีกด้วย“ถ้าเจ้าขัดขืนอีกครั้ง ข้าไม่อาจรับรองได้หรอกนะว่าในครั้งต่อไปจัดมีเรื่องบ้าบออะไรเกิดขึ้นกับเจ้าได้อีกหรือไม่”น้ำเสียงของเขาดูสงบ แต่ทุกคำพูดที่เอื้อนเอ่ยกลับแฝงท่าทีข่มขู่เอาไว้มันเกินขอบเขตจนไร้เหตุผลเสียจริงหลินซวงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะกล่าวต่อว่าในใจทว่านางก็ไม่อาจต้านทานท่าทางไร้ขอบเขตของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ เช่นนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายกระทำต
ในที่สุดเยี่ยเป่ยเฉิงก็หยิบตะเกียบขึ้นคีบอาหาร หลินซวงเอ๋อร์คิดว่าเมื่อเขาเริ่มกิน มันก็จะถึงเวลาที่นางจะใช้ตะเกียบได้แล้วใครมันจะไปคิดว่าอาหารที่เยี่ยเป่ยเฉิงคีบมันจะไปอยู่ในชามของนางโดยตรงหลินซวงเอ๋อร์มองเขาด้วยความประหลาดใจ ท่าทางของนางก็ดูตกตะลึงเล็กน้อย“ยังอยากกินอะไรอีกหรือไม่?” เยี่ยเป่ยเฉิงถามนางเมื่อครู่เขาเห็นนางเอาแต่จ้องมองรากบัวสามรสโดยไม่วางตา เยี่ยเป่ยเฉิงรู้ได้ทันทีว่านางคงอยากกินมันมาก เขาจึงคีบขึ้นมาสองสามชิ้นใส่ชามของอีกฝ่ายหลินซวงเอ๋อร์หยิบตะเกียบของตนขึ้นมา คีบรากบัวสามรสในชามเพื่อลิ้มลองรสชาติของมันเมื่อเข้าไปในปากก็สัมผัสได้ถึงรสเปรี้ยวหวาน นุ่มเหนียวถูกปาก หลินซวงเอ๋อร์หรี่ตาลงด้วยสีหน้าที่พึงพอใจไม่นานรากบัวในชามก็ถูกจัดการไปจนหมด นางเงยหน้าขึ้นอาหารจานอื่นบนโต๊ะ จู่ๆ นางก็อยากจะกินหมูสับปรุงรสต้มน้ำแดงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่มันอยู่ไกลเกินไปจนนางคีบไม่ถึงความผิดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง หลินซวงเอ๋อร์ได้แต่มองแล้วกลืนน้ำลายของตนลงคอไปใครจะไปคิดว่าวินาทีต่อมา ราวกับว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะสามารถอ่านความคิดของนางได้ เขาคีบหมูสับปรุงรสต้มน้ำแดงใส่ชามให้
เยี่ยเป่ยเฉิงมองทุกคนด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงของเขาก็ยังแสดงถึงความไม่พอใจ "ใครรินเหล้าให้นาง"ทุกคนต่างพากันมองหน้ากันมีปกป้องจากเยี่ยเป่ยเฉิง ใครมันจะกล้ารินเหล้าให้แก่นางได้กัน?รองแม่ทัพมองดูแก้วเหล้าที่อยู่ตรงหน้าของหลินซวงเอ๋อร์จึงตระหนักได้ในทันที จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม "พวกเราไม่กล้าเทเหล้าให้เขาหรอก เด็กหนุ่มคนนี้หยิบจอกผิดและน่าจะดื่มเหล้าท่านอ๋องไปขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงมองไปที่จอกเหล้าที่อยู่ตรงหน้าเขา เหล้าที่ถูกเติมเอาไว้จนเต็มตอนนี้มันกลับว่างเปล่า นางดื่มมันเข้าไปจนไม่เหลือทิ้งเอาไว้สักหยดแม้แต่ชายชาตรีที่ไม่ได้มีทักษะในการดื่มหากดื่มเหล้าบุตรสาวเข้าไปก็ยังทนไม่ได้ แล้วคนเช่นนางมันจะไปเหลืออะไรทุกคนหัวเราะเสียงดัง ที่แท้มันก็เป็นความเข้าใจผิดกันก็เท่านั้นเองรองนายพลหวังขุ่ยมองดูจานถั่วที่เหลือแต่เศษบนโต๊ะ จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างติดตลกว่า "เจ้าหนุ่มนั่นกินถั่วจนหมดจานแล้ว กระหายก็คงหยิบเหล้าไปดื่ม ไม่ก็คงเผลอดื่มมันเข้าไปอึกใหญ่เอง”ทุกคนพากันระเบิดเสียงหัวเราะดังขึ้นมาอีกครั้งหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกวิงเวียนและไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก เสียงดังที่อยู่รอบตั
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก