หลินซวงเอ๋อร์กลับไปที่ห้องพักของนางเพื่อเก็บข้าวของและออกไป ซึ่งนางก็บังเอิญหันไปเห็นเยี่ยเป่ยเฉิง ที่เพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกมาจากเรือนอวิ๋นซวนในตอนเช้าเห็นยังสวมเสื้อผ้าสีเขียวเข้ม แต่แค่พริบตาก็เปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมสีขาวพระจันทร์ไปแล้ว ซึ่งเนื้อผ้าที่ใช้ก็เป็นวัสดุที่นางเพิ่งจะชี้ไปอย่างส่งๆ เมื่อสักครู่นี้เองเยี่ยเป่ยเฉิงมีรูปร่างหน้าตาดี ผมสีดำขลับ ทั้งยังมีคิ้วที่เย็นชาสะดุดตา ในวันธรรมดาเขามักจะสวมเสื้อผ้าสีเข้ม ซึ่งมันทำให้ผู้คนแทบไม่อยากล่วงเกินเขายิ่งขึ้นไปอีกแต่ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสีอ่อนแล้ว นอกจากจะทำให้ผู้คนรับรู้ได้ถึงความเย็นชา ท่าทีที่ดูขุ่นเคืองบนร่างกายของเขาก็ยังลดลงไปมากอีกด้วยหมอกยามเช้าจางหายไปพร้อมกับแสงยามเช้าก็ส่องลงมา เขาสวมชุดคลุมสีขาวนวล คิ้วเข้มงดงามราวกับถูกวาดขึ้น เขายืนตัวตรงใต้แสงแดดสีทองที่ถูกสาดส่องขึ้นในวันที่อากาศสดใสนี้เพียงแรกสบตาแต่เหมือนรู้จักเจ้ามานับหมื่นปีดวงตาของหลินซวงเอ๋อร์เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ จริงๆ แล้วเขาที่สวมเสื้อผ้าสีอ่อนนี้ก็ช่างดูดีเสียเหลือเกินเยี่ยเป่ยเฉิงสังเกตเห็นสายตาที่จ้องมองมายังตนของห
“ ท่านอ๋อง ท่านอย่าตำหนิท่านป้าจ้าวเลยเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะเรียนรู้กฎโดยเร็วที่สุดและจะไม่ทำให้ท่านอ๋องขุ่นเคืองใจอีกเจ้าค่ะ”สีหน้าของเยี่ยเป่ยเฉิงค่อยๆ อ่อนลงช่างมัน ครั้งนี้ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกนางก็เเล้วกัน อย่างไรเสียครั้งที่เเล้วก็เป็นเพราะเขาที่ไม่คิดให้รอบคอบ ตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น ท่านป้าจ้าวจะเป็นกังวลใจก็พอจะเข้าใจได้อยู่“โมโม่ลุกขึ้นเถิด ข้าไม่ทำอะไรนางหรอก ข้าจะพานางกลับมาโดยไม่ให้มีส่วนใดชำรุดเด็กขาด”หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ หัวใจของท่านป้าจ้าวถึงได้ปล่อยวางความกังวลที่อยู่ในใจไปได้นางมองไปที่ใบหน้าอันไร้เดียงสาของหลินซวงเอ๋อร์ ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างลับๆ ใช้มือตบหลังมือของหลินซวงเอ๋อร์และพูดอย่างปลอบโยน "ซวงเอ๋ย ไม่เป็นไร ไปเถอะ จำไว้ล่ะว่าห้ามทำให้ท่านอ๋อง ไม่พอใจ โมโม่จะรออยู่ที่จวนโหวเพื่อรอเจ้ากลับมา”หลินซวงเอ๋อร์พยักหน้ารับ "โมโม่ไม่ต้องกังวล ข้าไม่อาจทำให้ท่านอ๋องโกรธได้หรอก”เมื่อทั้งสองคนออกจากประตูจวน เสวียนอู่ก็ได้เตรียมรถม้าเอาไว้แล้วเยี่ยเป่ยเฉิงพานางไปดูที่สนามฝึกซึ่งเขาใช้สถานที่แห่งนี้เพื่อฝึกทหารเป็นครั้งแรกในสนามฝึกมีทหารฝึกซ้อมท
หลินซวงเอ๋อร์อยากจะร้องไห้ออกมาเเต่มันไม่มีน้ำตาเยี่ยเป่ยเฉิงพานางเดินไปยังสถานที่ใช้ในการเลี้ยงเสือโดยเฉพาะกำแพงที่นี่ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษด้วยอิฐอย่างดี กำแพงสูงถึงสองจั้ง ทันทีที่หลินซวงเอ๋อร์เดินมาถึงที่ด้านนอกกำแพง นางก็ได้ยินเสียงคำรามดังมาจากทางด้านในหลินซวงเอ๋อร์กลัวเสียจนน้ำตาไหลออกมา นางไม่อาจหยุดรั้งชายเสื้อของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ริมฝีปากบางก็ยังคงกล่าวอ้อนวอนออกมา " ท่านอ๋อง ข้าน้อยไม่เข้าไปด้านในได้หรือไม่เจ้าคะ?"เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ "มาที่นี่โดยเฉพาะ แล้วเหตุใดถึงไม่อยากเข้าไปมองสิ่งที่อย฿ู่ด้านในสักหน่อยล่ะ?"เสือตัวใหญ่คือลูกเสือที่เขารับมาเลี้ยงจากในสนามรบเมื่อสามปีที่ก่อนจำได้ว่าตอนที่รับมันมา ขนาดของมันใหญ่กว่ามือแค่นิดหน่อย ท่าทางของมันที่นอนอยู่ในมือของเขาเพื่อรอป้อนอาหารนั้นน่ารักเป้นอย่างมากเพื่อให้มันมีชีวิตรอด เยี่ยเป่ยเฉิงใช้ความคิดของตนเป็นอย่างมาก ตอนยังเป็นทารกก็ย่อมต้องการดื่มนม เช่นนั้นเขาจึงไปบ้านชาวนาทุกวันเพื่อขอนมวัวหรือไม่ก็นมแพะเพื่อให้มันดื่ม หลังจากหย่านมมันก็เข้าสู่ช่วงเวลาของการกินเนื้อ เยี่ยเป่ยเฉิงจึงพามันออกล่าในทุกๆ วันตอนที่มัน
เยี่ยเป่ยเฉิงยกริมฝีปากขึ้นแล้วเผยยิ้ม "ถ้าเจ้าไม่ลองลูบมัน มันก็จะไม่ออกไปง่ายๆ หรอกนะ"ได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าใจของนางจะเป็รคนรักตัวกลัวตาย แต่หลินซวงเอ๋อร์ก็ยังคงเอื้อมมือออกไปอย่างกล้าหาญและลูบที่ส่วนหัวของเสือตัวใหญ่อย่างหวาดกลัวไม่ต้องพูดเลยว่าสัมผัสที่มือนั้นรู้สึกดีเสียจริง ขนดกอ่อนนุ่ม ทั้งยังเต็มไม้เต็มมือมากเดิมทีหลินซวงเอ๋อร์เพียงแค่ต้องการสัมผัสเบาๆ แต่ใครก็ไม่คาดคิดว่าเสือตัวใหญ่จะนอนลงบนพื้นโดยเผยให้เห็นท้องสีขาว ขาทั้งสี่ของมันชี้ขึ้นไปในอากาศ สีหน้าของมันแสดงให้เห็นถึงความเคลิบเคลิ้มเป็นอย่างมากหลินซวงเอ๋อร์มองไปยังเยี่ยเป่ยเฉิงด้วยความสงสัยเหตุใดมันถึงทำเช่นนี้กัน?หรือว่ามันกำลังแกล้งอย่างนั้นเหรอ?เยี่ยเป่ยเฉิงหัวเราะอย่างโง่เขลาออกมา อดูเหมือนเขาเองก็แทบจะคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเสือตัวใหญ่นี้จะชอบหลินซวงเอ๋อร์มากถึงเพียงนี้เขากล่าว "เจ้าเสือยักษ์ดูเหมือนจะชอบเจ้ามากเลยนะ มันเปิดพุงของตัวเองให้เห็นก็เพราะเชื่อใจเจ้า มันอยากให้เจ้าลูบมันให้มากกว่านี้อีสักหน่อย"“ยังต้องลูบอีกงั่้นเหรอเจ้าคะ?” หลินซวงเอ๋อร์เผยยิ้มอย่างขมขื่นออกมาทว่าหลังจากทำมันไปแล้วครั้งหน
มือของเยี่ยเป่ยเฉิงนั้นใหญ่มาก มือของหลินซวงเอ๋อร์ทั้งนุ่มและเล็ก เมื่อฝ่ามือกว้างโอบมือของนางไว้แน่น หลินซวงเอ๋อร์ก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งตรงมาจากฝ่ามือของเขาฝ่ามือของเขาอบอุ่น แม้จะร้อนไปสักหน่อย เเต่ก็ยังเทียบกับก็เทียบกับคนเย็นชาเช่นเขาไม่ได้ทว่าหลินซวงเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงการรับมือได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นสถานะที่แตกต่างกันระหว่างทั้งสองหรือเหตุผลอื่น ๆ นางก็มักจะรู้สึกเสมอว่าพฤติกรรมของเยี่ยเป่ยเฉิงนั้นดูไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลสักเท่าใดนักหลินซวงเอ๋อร์พยายามขัดขืน แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นได้เมื่อสัมผัสได้ถึงการต่อสู้ขัดขืนของนาง เยี่ยเป่ยเฉิงไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยมือเท่านั้น แต่ยังกระชับมือของเขาให้แน่นขึ้นอีกด้วย“ถ้าเจ้าขัดขืนอีกครั้ง ข้าไม่อาจรับรองได้หรอกนะว่าในครั้งต่อไปจัดมีเรื่องบ้าบออะไรเกิดขึ้นกับเจ้าได้อีกหรือไม่”น้ำเสียงของเขาดูสงบ แต่ทุกคำพูดที่เอื้อนเอ่ยกลับแฝงท่าทีข่มขู่เอาไว้มันเกินขอบเขตจนไร้เหตุผลเสียจริงหลินซวงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะกล่าวต่อว่าในใจทว่านางก็ไม่อาจต้านทานท่าทางไร้ขอบเขตของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ เช่นนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายกระทำต
ในที่สุดเยี่ยเป่ยเฉิงก็หยิบตะเกียบขึ้นคีบอาหาร หลินซวงเอ๋อร์คิดว่าเมื่อเขาเริ่มกิน มันก็จะถึงเวลาที่นางจะใช้ตะเกียบได้แล้วใครมันจะไปคิดว่าอาหารที่เยี่ยเป่ยเฉิงคีบมันจะไปอยู่ในชามของนางโดยตรงหลินซวงเอ๋อร์มองเขาด้วยความประหลาดใจ ท่าทางของนางก็ดูตกตะลึงเล็กน้อย“ยังอยากกินอะไรอีกหรือไม่?” เยี่ยเป่ยเฉิงถามนางเมื่อครู่เขาเห็นนางเอาแต่จ้องมองรากบัวสามรสโดยไม่วางตา เยี่ยเป่ยเฉิงรู้ได้ทันทีว่านางคงอยากกินมันมาก เขาจึงคีบขึ้นมาสองสามชิ้นใส่ชามของอีกฝ่ายหลินซวงเอ๋อร์หยิบตะเกียบของตนขึ้นมา คีบรากบัวสามรสในชามเพื่อลิ้มลองรสชาติของมันเมื่อเข้าไปในปากก็สัมผัสได้ถึงรสเปรี้ยวหวาน นุ่มเหนียวถูกปาก หลินซวงเอ๋อร์หรี่ตาลงด้วยสีหน้าที่พึงพอใจไม่นานรากบัวในชามก็ถูกจัดการไปจนหมด นางเงยหน้าขึ้นอาหารจานอื่นบนโต๊ะ จู่ๆ นางก็อยากจะกินหมูสับปรุงรสต้มน้ำแดงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แต่มันอยู่ไกลเกินไปจนนางคีบไม่ถึงความผิดหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง หลินซวงเอ๋อร์ได้แต่มองแล้วกลืนน้ำลายของตนลงคอไปใครจะไปคิดว่าวินาทีต่อมา ราวกับว่าเยี่ยเป่ยเฉิงจะสามารถอ่านความคิดของนางได้ เขาคีบหมูสับปรุงรสต้มน้ำแดงใส่ชามให้
เยี่ยเป่ยเฉิงมองทุกคนด้วยสายตาเย็นชา น้ำเสียงของเขาก็ยังแสดงถึงความไม่พอใจ "ใครรินเหล้าให้นาง"ทุกคนต่างพากันมองหน้ากันมีปกป้องจากเยี่ยเป่ยเฉิง ใครมันจะกล้ารินเหล้าให้แก่นางได้กัน?รองแม่ทัพมองดูแก้วเหล้าที่อยู่ตรงหน้าของหลินซวงเอ๋อร์จึงตระหนักได้ในทันที จากนั้นก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม "พวกเราไม่กล้าเทเหล้าให้เขาหรอก เด็กหนุ่มคนนี้หยิบจอกผิดและน่าจะดื่มเหล้าท่านอ๋องไปขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงมองไปที่จอกเหล้าที่อยู่ตรงหน้าเขา เหล้าที่ถูกเติมเอาไว้จนเต็มตอนนี้มันกลับว่างเปล่า นางดื่มมันเข้าไปจนไม่เหลือทิ้งเอาไว้สักหยดแม้แต่ชายชาตรีที่ไม่ได้มีทักษะในการดื่มหากดื่มเหล้าบุตรสาวเข้าไปก็ยังทนไม่ได้ แล้วคนเช่นนางมันจะไปเหลืออะไรทุกคนหัวเราะเสียงดัง ที่แท้มันก็เป็นความเข้าใจผิดกันก็เท่านั้นเองรองนายพลหวังขุ่ยมองดูจานถั่วที่เหลือแต่เศษบนโต๊ะ จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างติดตลกว่า "เจ้าหนุ่มนั่นกินถั่วจนหมดจานแล้ว กระหายก็คงหยิบเหล้าไปดื่ม ไม่ก็คงเผลอดื่มมันเข้าไปอึกใหญ่เอง”ทุกคนพากันระเบิดเสียงหัวเราะดังขึ้นมาอีกครั้งหลินซวงเอ๋อร์รู้สึกวิงเวียนและไม่สบายตัวเป็นอย่างมาก เสียงดังที่อยู่รอบตั
หากไม่มีสายรัดตัว ร่างกายของหญิงสาวก็นุ่มนวลลง เยี่ยเป่ยเฉิงอุ้มนางเอาไว้ในอ้อมแขนของเขา ซึ่งมันก็รู้สึกเบาหวิวราวกับผ้าฝ้ายมือของเยี่ยเป่ยเฉิงจับไปที่เอวของนางโดยไม่รู้ตัว ช่วงเอวที่อ่อนนุ่มโดยปราศจากสายรัด มันทำให้เขาต้องกลั้นหายใจเอาไว้นางช่างอ่อนนุ่มเสียจริง......นางนอนหลับอย่างสงบเงียบ เยี่ยเป่ยเฉิงอดไม่ได้ที่จะลดสายตาลงมองนางอย่างระมัดระวังแก้มของหลินซวงเอ๋อร์สีแดงระเรื่อจากอาการเมา ราวกับก้อนเมฆสีแดงสองก้อนที่กำลังล่องลอย ขนตาของนางหนาและเป็นแพยาว จมูกเล็กแต่สูงโด่ง ริมฝีปากของนางก็ยังดูชุ่มชื้นเป็นสีชมพู......ยิ่งมองก็ยิ่งเพลินตา ยิ่งมองก็ยิ่งดูดีมากยิ่งขึ้นเยี่ยเป่ยเฉิงจ้องมองด้วยความหลงไหล คนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาไม่รู้ว่ากำลังฝันถึงอะไร ถึงได้เผยอริมฝีปากเเละพ่นลมหายใจออกมาอย่างรวดเร็วท่าทางไม่ได้ตั้งใจนี้มันดึงดูดผู้อื่นโดยไม่รู้ตัวดวงตาของเยี่ยเป่ยเฉิงจับจ้องไปยังริมฝีปากของหลินซวงเอ๋อร์ ทว่าจู่ๆ เขาก็สะดุ้งขึ้นมาทันทีความคิดสกปรกผุดขึ้นมาอีกครั้งแล้วในพื้นที่อันมืดมิดนี้ กลิ่นอันหอมหวานของเหล้าผสมผสานกับกลิ่นหอมอันละเอียดอ่อนของหญิงสาวเยี่ยเป่ยเฉิงค่
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ