พ่อบ้านฉินหยิบไม้บรรทัดออกมา และยืนอยู่ตรงหน้าหลินซวงเอ๋อร์ในแง่ของส่วนรวม ถ้าคนรับใช้ในจวนทำผิด พ่อบ้านฉินจะเป็นคนลงโทษด้วยตนเองแต่ในแง่ของเรื่องส่วนตัว พ่อบ้านฉินแค้นเคืองหลินซวงเอ๋อร์มานานแล้ว ครั้งที่แล้วเพราะเรื่องที่ลวนลามนาง จึงถูกท่านอ๋องริบเงินเดือนไปสามเดือน ตอนนี้ถือว่าเป็นโอกาสอันดี!"เพียะ!"เสียงที่คมชัดดังสะท้อนไปที่ห้องโถงใหญ่ หลินซวงเอ๋อร์เจ็บจนแทบน้ำตาไหลพ่อบ้านฉินใช้พละกำลังอย่างเต็มที่ แทบอยากจะตีจนไม้บรรทัดหักหลังจากตีไปครั้งหนึ่ง รอยสีแดงอันโดดเด่นก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของหลินซวงเอ๋อร์ทันที หลินซวงเอ๋อร์ก็หดฝ่ามือตามสัญชาตญาณพ่อบ้านฉินใช้ไม่บรรทัดดันหลังมือของนางขึ้น แล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า: "ยืดฝ่ามือออกให้ตรง นี่คือกฎของจวน แล้วอย่าหาว่าข้าโหดร้าย"หลินซวงเอ๋อร์กัดริมฝีปากเอาไว้แน่น และยื่นมือออกไปอย่างสั่นเทา"เพียะ!"มีเสียงที่คมชัดดังขึ้นอีกครั้งหลินซวงเอ๋อร์ไม่สามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ น้ำตาก็เม็ดใหญ่ก็ไหลออกมาจากดวงตา“นี่แค่สองครั้งเอง ก็ทนไม่ได้แล้วหรือ?” พ่อบ้านฉินยิ้มเยาะ และกำลังจะตีครั้งที่สาม จู่ๆเสียงที่คมชัดหนึ่งก็ดังมาจากห้องโถงใหญ่
หลินซวงเอ๋อร์เป็นไข้จนรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว ตงเหมยบอกว่าจะเรียกหมอมาดูอาการนาง แต่ทำอย่างไรหลินซวงเอ๋อร์ก็ไม่ยอมเมื่อเห็นว่านางดื้อรั้นเช่นนี้ ตงเหมยก็ไม่มีทางเลือกอื่นจึงทำได้แค่ใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำเย็น แล้ววางไว้บนหน้าผากของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ซวงเอ๋อร์ ข้าไปเรียกจหมอมาดูอาการเจ้าดีกว่า ไข้สูงไม่ลดเลย เดี๋ยวจะกลายเป็นคนโง่เอาได้นะ”หลินซวงเอ๋อร์มีสติที่เลือนราง แต่ก็พอได้ยินคำพูดของตงเหมยอยู่บ้าง นางส่ายหัว คว้ามือของตงเหมยเอาไว้ แล้วพูดว่า "ไม่ต้อง อดทนหน่อยเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป อย่าไปเรียกหมอมาเลย"ตงเหมยทั้งรู้สึกรู้ปวดใจทั้งจนใจ: "เรื่องจะแดงก็ให้มันแดงไปเลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะรับผิดชอบแทนเจ้าเอง พวกเราไม่ได้ทำผิดอะไรร้ายแรงเสียหน่อย ข้าไม่เชื่อว่า จวนนี้จะไล่พวกเราออกไป!"“อย่าเรียกหมอ ขอร้องเจ้าล่ะ อดทนเดี๋ยวมันก็ผ่านไป” หลินซวงเอ๋อร์ไม่กล้าเรียกหมอ กฎเกณฑ์ของจวนอ๋องเข้มงวดมาก ถ้าถูกคนรู้สถานะของนาง ไม่เพียงแต่นางจะถูกตัดสินประหารชีวิต บางทีอาจจะทำให้ท่านป้าจ้าวและตงเหมยเดือดร้อนไปด้วยหลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "พี่ตงเหมย ไม่เป็นไร พรุ่ง
เขาไม่รู้จักชิวจวี๋ เขารู้แค่ว่า ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงในความฝันของเขาแม้ว่าชิวจวี๋จะปรนนิบัติอยู่ข้างกายเขามาหลายวันแล้ว แต่เขากลับไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตาเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชื่อของนางแต่ชิวจวี๋กลับไม่ได้ยินน้ำเสียงที่รังเกียจของเยี่ยเป่ยเฉิง ไม่ต้องพูดถึงนัยน์ตาที่แหลมคมและเย็นชาของเขาเลยนางรู้เพียงว่า เพื่อให้ได้มาปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายเยี่ยเป่ยเฉิง นางพยายามทุกวิถีทาง และใช้เงินเดือนครึ่งปีเพื่อทำให้ท่านป้าหลี่ดีใจ ให้ท่านป้าหลี่พูดแต่สิ่งที่ดีๆของนางตอนที่อยู่ต่อหน้านายหญิง เพื่อที่นางจะได้มีโอกาสถูกโยกย้ายไปปรนนิบัติอยู่ข้างกายเยี่ยเป่ยเฉิงหากนางทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงพึงพอใจ และถูกยกย่องให้เป็นอนุภรรยา นางจะไม่ต้องกังวลเรื่องของกินของใช้ตลอดชีวิตขณะที่กำลังคิดสิ่งนี้ นางก็เริ่มรู้สึกปวดร้าวที่ข้อมือน้ำเสียงของเยี่ยเป่ยเฉิงเย็นชา: "ใครใช้ให้เจ้าเข้ามา!"ความเขินอายบนใบหน้าของชิวจวี๋ก็ชะงัก ภาพลวงตาทั้งหมดก็มลายหายไปในทันที“ท่านอ๋อง ข้าน้อยก็แค่เห็นว่า...”นางยังไม่ทันได้พูดจบ จู่ๆเยี่ยเป่ยเฉิงก็ยกข้อมือของนางขึ้น ใช้แรงดึง แล้วโยนนางลงไปที่พื้นราว
เยี่ยเป่ยเฉิงค่อย ๆ เดินไปที่เตียงและมองดูคนบนเตียง ดูเหมือนเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ผู้หญิงคนนี้จะมาหาเขาที่บ้านเสียจริงกล้านักเขาลดสายตาลง จ้องมองไปที่ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น ในเวลานี้ ผู้หญิงคนนั้นกำลังหลับตาลงอย่างสงบและหายใจออกจากปากของนางอย่างตื้นเขินนี่คือห้องของเขา เตียงของเขา แต่นางผล็อยหลับไปโดยไม่ระวังใด ๆ เลยหรือเยี่ยเป่ยเฉิง:?เขายืนอยู่ที่นั่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ความโกรธ และความรำคาญ เขาควรจะปฏิบัติต่อนางอย่างเท่าเทียมกับชิวจวี๋ แต่เหมือนเขาถูกผีสิง เขาค่อย ๆ เปิดอีกด้านหนึ่งของผ้าห่มแล้วค่อย ๆ นอนข้าง ๆ นาง เพราะเขากลัวนางจะตื่นหลินซวงเอ๋อร์ไม่รู้ตัวเลย นางแค่รู้สึกว่า วันนี้เตียงนุ่มและอุ่น ซึ่งทำให้นางนอนหลับสบายมากหลินซวงเอ๋อร์ขยับตัวเสียหน่อย นางเปลี่ยนเปลี่ยนท่านอนที่สบายยิ่งขึ้นเยี่ยเป่ยเฉิงเห็นแม่นางผู้นี้เอาแต่ขยับตัวเข้าหาอ้อมกอดของเยี่ยเป่ยเฉิง เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทันที อราวกับว่าเขาถูกบางสิ่งแช่แข็งไว้ และเขาไม่กล้าขยับตัวเขาอดไม่ได้ที่ต้องมองนางจากด้านข้าง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสังเกตคนอย่างใกล้ชิดภายใต้แสงจันทร์ ผู้หญิงที่อย
นางกลัวผลที่ตามมาจากการไม่เชื่อฟังเขา แต่นางกลัวการปล้นของเขามากกว่า ดังนั้นนางจึงกล้าผลักเขาออกไปแต่นางพยายามอย่างที่สุด นางก็ไม่สามารถผลักไสเขาได้อีกต่อไป นางกลับทำให้เขาโกรธและทำให้เขายิ่งเลวทรามยิ่งขึ้นไปอีกฝันร้ายนี้ดูเหมือนกำลังฆ่านาง ร่างกายของหลินซวงเอ๋อร์สั่นเทา และเสียงของนางก็ค่อย ๆ สะอื้นเยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้ว เขาหยุดและจ้องมองที่หลินซวงเอ๋อร์อยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาก็มืดลง และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและความไม่พอใจหลังจากไม่สามารถเพลิดเพลินกับนางได้อย่างเต็มที่ใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์เต็มไปด้วยน้ำตา และร่างกายของนางก็สั่นอย่างรุนแรง ราวกับว่านางติดอยู่ในฝันร้ายที่นางไม่สามารถหลบหนีได้เมื่อพิจารณาจากการดิ้นรนนางในเมื่อครู่นี้ เกรงว่าเขาอาจเป็นฝันร้ายที่นางไม่สามารถหลีกหนีได้ทันใดนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงทำตัวเป็นวัวสันหลังหวะ เขาเป็นคนซื่อตรงมาตลอด แต่วันนี้เขาเอาเปรียบในยามที่ผู้นั้นกำลังยากลำบาก ซึ่งสุภาพบุรุษไม่ควรมีการกระทำเช่นนี้เยี่ยเป่ยเฉิงเห็นหลินซวงเอ๋อร์ร้องไห้หนักมาก เขารู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ซับซ้อนในใจเห็นได้ชัดเจนว่า นางเป็นผู้ที่มาหาเขาก่อน แ
หลินซวงเอ๋อร์แล ตงเหมยค้นห้องเป็นเวลานาน แต่ไม่เห็นหนังสือเล่มนั้นนอกประตูมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบ แม่นางสองผู้นี้ที่อยู่ในห้องก็ตกตะลึงทันทีครู่ต่อมา ท่านป้าจ้าวรีบเปิดประตูแล้วเดินเข้าห้อง ทันทีที่นางเห็นหลินซวงเอ๋อร์ นางก็ลากหลินซวงเอ๋อร์ออกไปท่านป้าจ้าวพูด "ซวง หยุดทำงานได้แล้ว นายหญิงเรียกเจ้าไปที่ห้องโถงหน้า"ใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ซีดลง "ท่านป้า เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ"นางอารมณ์เสียและสงสัย เมื่อวานนี้ แม้ว่านางจะไม่ได้ผ้ากลับมาทันเวลา แต่นางถูกลงโทษแล้ว แต่ทำไมวันนี้ยังเรียกนางไปที่ห้องโถงหน้าล่ะท่านป้าจ้าวดูจริงจัง นางไม่บอกเกิดอะไรขึ้น นางแค่เตือน "เดี๋ยวพบนายหญิง อย่าพูดไร้สาระ ทำทุกอย่างที่นายหญิงบอก"หลินซวงเอ๋อร์พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าในห้องโถงใหญ่ กงชิงเยวี่ยนั่งที่นั่นอย่างไร้ความรู้สึก นับตั้งแต่ หลินซวงเอ๋อร์ก้าวเข้าไปในห้องโถงด้านหน้า นางไม่ได้ละสายตาจากหลินซวงเอ๋อร์หลินซวงเอ๋อร์คุกเข่าลงบนพื้นอย่างเป็นระเบียบ นางมองลงไปที่พื้นใต้เข่าของนาง ไม่กล้าพูดใด ๆกงชิงเยวี่ยขมวดคิ้วลึก นางค่อย ๆ กลิ้งลูกปัดด้วยมือของนา นางมองหลินซวงเอ๋อร์ด้วยสายตาที่ดูถูกมากขึ้นคนรับ
ทำไมให้นางรับใช้เยี่ยเป่ยเฉิงอีกครั้งล่ะหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยากเลย นางไม่อยากรับใช้ชายผู้นี้อย่างมาก ตอนนี้เมื่อใดก็ตามที่นางเห็นเยี่ยเป่ยเฉิง นางมักรู้สึกกลัวและร่างกายของนางอยากล่าถอยโดยสัญชาตญาณอีกอย่าง ชิวจวี๋รับใช้เขาได้ดีมากนักมิใช่หรือกงชิงเยวี่ยหลับตาและรีบขยับลูกปัดอธิษฐานในมือของนาง ดูเหมือนนางกำลังพิจารณาในใจหลินซวงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่ต้องพูด "นายหญิงเจ้าคะ ข้าน้อยโง่และไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ ข้าน้อยเกรงว่าจะไม่สามารถรับใช้ท่านอ๋อง ได้ดีเจ้าค่ะ"“เจ้าสามารถเรียนรู้กฎได้ และข้าจะสอนเจ้าเอง” เสียงของชายคนนั้นต่ำและเย็นชา เสียงนั้นเต็มไปด้วยการครอบงำซึ่งไม่สามารถปฏิเสธได้หลินซวงเอ๋อร์หันกลับมาด้วยความตกใจ นางเห็นร่างเรียวเดินช้า ๆ จากส่วนลึกของทางเดิน เสื้อคลุมสีแดงของเขาปลิวไปตามสายลม เผยให้เห็นรูปร่างที่โดดเด่นของเขา เขาเดินอย่างมั่นคง ด้วยบุคลิกที่ครอบงำโดยธรรมชาติซึ่งทำให้ผู้คนเกรงกลัวเขาเมื่อเขาเดินผ่านหลินซวงเอ๋อร์ กลิ่นไม้จันทน์เย็นๆ กระทบใบหน้าของนาง เขาหหยุดฝีเท้าเล็กน้อย เหลือบมองนาง และยิ้มด้วยสีหน้าไม่อาจเข้าใจได้ขณะที่หลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น นางก็สบตาเขา และดว
“อย่าให้ข้าพูดเป็นครั้งสุดท้าย มาที่นี่อย่างเชื่อฟัง”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้ว่านางกลัวเขา ดังนั้นเขาจึงพยายามลดน้ำเสียงให้ต่ำที่สุดภายใต้สายตามองของเขา หลินซวงเอ๋อร์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้าวไปข้างหน้าทีละนิดหลินซวงเอ๋อร์ไม่เข้าใจว่าทำไมเยี่ยเป่ยเฉิงต้องรับใช้นางนางซุ่มซ่ามและเห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรเทียบกับชิวจวี๋ได้หลินซวงเอ๋อร์ค่อย ๆจับมือของนางไว้ในแขนเสื้อของนางและยืนอยู่ข้างหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง ร่างกายของนางตึงเครียดและหัวใจของนางเต้นแรงหลินซวงเอ๋อร์เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่พูดสักคำ หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกไม่รู้ทำอย่างไรดี นางจึงเงยหน้าขึ้นและแอบมองสีหน้าของเขา และบังเอิญสบตาเขาหลินซวงเอ๋อร์รีบก้มศีรษะลง แก้มของนางร้อนขึ้น และมือของนางเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ทำไมเขาถึงยังมองนางอยู่เขามองนางทำไม“นั่งลง” หลังจากนั้นไม่นาน เยี่ยเป่ยเฉิงพูดอย่างกะทันหันหลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นและมองเขาด้วยความประหลาดใจไม่มีใครอยู่ในห้องนอกจากนาง เขากำลังพูดกับนางหรือเปล่าเยี่ยเป่ยเฉิงเห็นนางไม่ขยับตัว เยี่ยเป่ยเฉิงตบเก้าอี้ข้างตัวเขาแล้วพูดว่า "ให้นางนั่งลง"หลินซวงเอ๋อร์จึงแน่ใจว่า เยี่ยเป่
เยี่ยเป่ยเฉิงมือสั่นขณะรับขวดกระเบื้องจากตงเหมยมาเนื้อสีขาวของขวดปรากฏเงาสีแดงรำไรอยู่ด้านในตงเหมยกล่าว “ท่านอ๋องบอกว่าจะเชื่อใจนางใช่หรือไม่เจ้าคะ? ถ้าเช่นนั้นบ่าวจะไม่นำไปให้องค์หญิงอีก ท่านอ๋องลองเอาเลือดซวงเอ๋อร์ไปทดสอบดูก็ได้ ว่าเป็นจริงดั่งที่นางว่าหรือไม่ ใช้รักษาโรคระบาดได้จริง!”“ถึงตอนนั้น ท่านอ๋องย่อมจะรู้เอง ว่าซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดโกหก...”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้สึกจุกในอก ในยามนี้ เขาเกิดความกลัวที่จะนำไปพิสูจน์เพราะหากว่า ทุกอย่างเป็นจริงดั่งที่ตงเหมยพูด นั่นแสดงว่าเขาทรยศต่อความไว้วางใจของหลินซวงเอ๋อร์อีกครั้งในตอนนั้น นางเคยร่ำไห้พูดกับตนว่า เลือดของนางสามารถช่วยชีวิตคนได้แล้วเขาตอบว่าอย่างไร?อ้อ นึกออกแล้วเขาเย้ยหยันไปว่านางไม่ใช่เทวดา พร้อมกล่าวตำหนิว่านางชอบทำร้ายตนเองบ่อยครั้งสวรรค์ นี่เขาเป็นอะไรไป เขาได้กระทำสิ่งใดต่อนางไปบ้าง...เสวี่ยนอู่เห็นดังนี้ จึงรีบเดินมารับขวดไปจากมือเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมกล่าวต่อเขา “ในค่ายทหารยังมีผู้ป่วยอีกหลายคน ข้าน้อยจะนำไปทดสอบเดี๋ยวนี้...”เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้ว ตงเหมยจึงไม่อยากพูดมากความอีก นางหันหลังเตรียมจะจากไป กลับถูก
ตงเหมยกล่าวเสียงสะอื้น “เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใดเจ้าคะ? ในยามที่นางโดดเดี่ยวสิ้นหวัง ท่านไม่อยู่เคียงข้าง นางสูญเสียลูกไป ท่านก็ไม่อยู่เคียงข้าง และบัดนี้นางล้มป่วย ท่านก็เอาร่างนางไปอยู่บ้านนอกแทน”“เชื่อตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ทุกอย่างล้วนสายเกินแก้!”ตงเหมยยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จนแทบอยากระบายความอัดอั้นที่หลินซวงเอ๋อร์ได้รับออกมาแทนนางให้หมดสิ้น“น่าเห็นใจซวงเอ๋อร์นัก...นางทำเพื่อท่าน ต้องทนกล้ำกลืนความเจ็บช้ำมากมาย ไม่เคยที่จะระบายให้ท่านฟังสักครั้ง”“คืนวันนั้น ท่านอ๋องจู่ๆ ทิ้งนางไป นางเพิ่งสูญเสียลูก ยังมีเลือดออกเต็มตัว ตอนบ่าวเปิดประตูเข้าไปเห็น รู้แต่ว่าแทบเป็นลมหมดสติ!”“บ่าวคิดจะบอกท่านให้รู้ แต่ซวงเอ๋อร์ไม่ต้องการให้ท่านเป็นห่วง นางบอกว่าท่านอ๋องเป็นคนทำงานใหญ่ ไม่ควรให้อยู่แต่ในเรือนหลัง ยิ่งกลัวว่าหากพูดไปแล้ว ท่านจะรังเกียจร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ของนาง วันหน้าไม่อาจมีทายาทให้ท่านได้อีก”“แต่ว่า ท่านอ๋องรู้หรือไม่ ตอนสูญเสียลูกไปนั้น นางเจ็บปวดเพียงไหน ในใจรู้สึกสิ้นหวังเพียงใด?”“ท่านอ๋องเคยคิดปลอบประโลมจิตใจนางบ้างหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงยืนตะลึงตัวแข็งทื่อ เลือดใน
“ซวงเอ๋อร์ ซวงเอ๋อร์ ข้ากลับมาแล้ว”เยี่ยเป่ยเฉิงผลักประตูเรือนอวิ๋นซวน พร้อมเดินก้าวเข้าไปด้านใน แต่กลับพบว่าภายในว่างเปล่าผ้าห่มบนเตียงถูกพับไว้เรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ก็จัดวางเป็นระเบียบ ราวกับมีคนมาจัดเก็บแล้วหนึ่งรอบเมื่อเห็นหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยู่ในห้อง เยี่ยเป่ยเฉิงก็คิดว่านางคงไปห้องหนังสือเพราะที่ผ่านมา นางมักชอบเก็บตัวในห้องนั้นเพื่อเขียนหนังสือเงียบๆ เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาจึงรีบออกจากเรือนอวิ๋นซวน ตรงไปยังห้องหนังสือทันทีที่ไหนได้ ห้องหนังสือก็ไม่มีร่องรอยของนาง อุปกรณ์เครื่องเขียนบนโต๊ะจัดวางเป็นระเบียบ พู่กันที่นางเคยใช้บ่อยๆ คล้ายมีการล้างน้ำจนสะอาดสะอ้าน เยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางก้าวเดินออกจากห้องหนังสือ เดินตามหาไปยังทุกห้อง ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของนางจนกระทั่งตงเหมยกลับมาจากเรือนด้านหน้าทันทีที่เห็นตงเหมย เยี่ยเป่ยเฉิงก็รีบปรี่ไปหา “ซวงเอ๋อร์เล่า นางอยู่ที่ใด?”ในมือตงเหมยถือกล่องอยู่ใบหนึ่ง เมื่อเผชิญกับคำถามของเยี่ยเป่ยเฉิง นางมิได้ตอบกลับ นอกจากยื่นกล่องในมือให้แก่เยี่ยเป่ยเฉิง“นี่คือเครื่องประดับที่ท่านอ๋องซื้อให้ซวงเอ๋อร์ ก่อนจากไป นางได้ม
เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ท่านอ๋องกล่าวถูกต้อง ยาชนิดนี้ไม่อาจพกติดตัวได้ โดยเฉพาะยามเข้านอน ร่างกายมนุษย์จะอยู่ในช่วงอ่อนแอที่สุด พิษจะซึมเข้าสู่ร่ายกายได้ง่าย...”กล่าวได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ เสิ่นป๋อเหลียงคล้ายกับนึกอะไรขึ้นมา หันไปมองเยี่ยเป่ยเฉิง พร้อมถามด้วยความตกใจ “พระชายา...นางเคยบาดเจ็บหรือไม่?”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าวตอบ “เคย”เดิมทีนางทำเพื่อหวังจะช่วยเขา ขึ้นเขาไปหางูดำหางไหม้เพียงลำพัง กลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่าง...เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ถ้าเช่นนั้นก็ถูกแล้ว ข้าน้อยเดาว่า อาการของพระชายา น่าจะเกี่ยวข้องกับถุงผ้านี้...”เยี่ยเป่ยเฉิงสูดลมหายใจเข้าลึกในยามนี้ เขาได้กระจ่างแจ้งต่อเรื่องราวทุกอย่างมิน่าเล่า นางมักจะบอกว่าไม่อยากอยู่ในเรือนอวิ๋นซวนมิน่าเล่า นางมักบอกว่ากลางคืนชอบฝันร้าย แม้เขาจะอยู่เป็นเพื่อน นางก็นอนหลับไม่สนิท...มิน่าเล่า นางเริ่มมีอารมณ์แปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่ไม่ได้มิน่าเล่า นางคิดจะฆ่าเจียงหว่านให้จงได้...ทั้งที่เมื่อก่อนนางเป็นคนอ่อนน้อม ว่านอนสอนง่ายราวกับกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง...แต่เขากลับไม่เชื่อนาง คิดว่านั่นเพราะนางเป็นโรคเครียด เพราะป่วยหน
เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “นางมิได้ตั้งใจ เพียงได้รับความกระทบกระเทือนหนัก จึงทำให้ขาดสติไป ข้าไม่เคยคิดตำหนิ”เมื่อได้ยินดังนี้ เสิ่นป๋อเหลียงก็พอคาดเดาได้บ้าง จึงหยิบผ้าพันแผลออกมา พร้อมทำแผลให้เขาใหม่ และกล่าว “เป็นฝีมือพระชายาใช่หรือไม่?”เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่กล่าวตอบ เสิ่นป๋อเหลียงยิ่งรู้ดีแก่ใจ จึงไม่ถามมากความอีกแผ่นดินนี้ คงมีเพียงสตรีผู้นี้เท่านั้นที่กล้าทำร้ายเขาโดยไม่หวาดกลัว ซ้ำยังได้รับการอภัยโดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกพันแผลเสร็จเรียบร้อย เสิ่นป๋อเหลียงจึงกล่าวกำชับ “บาดแผลยังไม่แห้งสนิทดี อย่าให้โดนน้ำเป็นอันขาด...”ขาดคำไม่ทันไร จมูกก็ได้กลิ่นหอมประหลาดบางอย่างโชยมาเสิ่นป๋อเหลียงขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางสูดกลิ่นหอมประหลาดนั่น แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ถุงผ้าใบหนึ่งที่เหน็บอยู่ช่วงเอวของเยี่ยเป่ยเฉิง“ท่านอ๋อง ถุงผ้าใบนั้นให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่?”นั่นเป็นถุงผ้าที่หลินซวงเอ๋อร์เป็นคนปักให้เขา เยี่ยป่ยเฉิงย่อมไม่ยินดีจะมอบให้ผู้อื่นแต่เห็นเสิ่นป๋อเหลียงมีสีหน้าเคร่งเครียด จึงได้ถาม “ทำไมรึ? ถุงผ้าข้ามีสิ่งใดผิดปกติหรืออย่างไร?”เสิ่นป๋อเหลียงกล่าว “ข้อนี้คงต้องถามท่านอ๋อง ว่าภา
เมื่อได้ยินว่าเสิ่นป๋อเหลียงกลับมา เยี่ยเป่ยเฉิงก็พลันหยุดชะงัก พร้อมถามเสวียนอู่ “เขาอยู่ที่ใด?”เสวียนอู่กล่าว “เขารู้ว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องตามหาอยู่ ดังนั้น เมื่อกลับถึงเมืองหลวง ข้าน้อยจึงรีบพาตัวมาทันที ตอนนี้อยู่ค่ายทหารขอรับ”เยี่ยเป่ยเฉิงกล่าว “เหมาะเลย ข้ากำลังจะกลับจวน ให้เขาตามข้ากลับไปด้วยกัน!”“ขอรับ”เสวียนอู่รีบไปเตรียมรถม้ามาคันหนึ่ง ให้เยี่ยเป่ยเฉิงและเสิ่นป๋อเหลียงโดยสารพร้อมกันภายในรถม้า เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม เสิ่นป๋อเหลียงนั่งอยู่ด้านข้างจึงไม่กล้าพูดจาช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาออกจากวังไปท่องเที่ยว เยี่ยเป่ยเฉิงได้มีจดหมายส่งถึงเขาหลายครั้ง เดิมทีควรรีบกลับมาเมืองหลวงนานแล้ว แต่ระหว่างทางกลับมีอุปสรรคมาขวางกั้น จนทำให้เสียเวลาไปมากและบัดนี้ เขาได้กลับถึงเมืองหลวงแล้ว รู้ว่าเยี่ยเป่ยเฉิงต้องการพบเขาคงมีเรื่องเร่งด่วน ทันทีที่มาถึงจึงมาขอพบเยี่ยเป่ยเฉิงก่อนแต่เยี่ยเป่ยเฉิงกลับไม่พูดไม่จา สีหน้าเคร่งเครียดหมองคล้ำ ดูแล้วน่าประหลาดใจยิ่งชั่วขณะนั้น ทั้งคู่ต่างไม่มีการพูดคุย บรรยากาศภายในรถม้าค่อนข้างตึงเครียดเสิ่นป๋อเหลียงเป็นฝ่ายอธิบายก่อน “ใช่ว่าข้
ไม่เหลือซากให้เห็น และไม่ได้ออกมาอีกลมเย็นพัดกรูมา เขารู้สึกคล้ายร่างกายถูกหินก้อนใหญ่มากดทับไว้ จนเลือดท่วมทะลัก เจ็บปวดอย่างเหลือแสน...“ไม่...ไม่นะ...”ไป๋อวี้ถังรีบก้าวเท้าพุ่งตัวไป พร้อมเอามือตะกุยดินอย่างบ้าคลั่ง ราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเสียสิ้น“ซวงเอ๋อร์ ข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย ข้าจะช่วยเจ้าออกมา ข้าจะช่วยเจ้าออกมาให้ได้...”“เราตกลงว่าจะไปเมืองหยางโจวด้วยกัน เจ้าอย่าทิ้งข้าไปนะ ซวงเอ๋อร์ อย่าทิ้งข้าไป...”เมื่อรอบข้างสงบลง ชาวบ้านก็ต่างแห่กันมา เมื่อเห็นไป๋อวี้ถังเอามือตะกุยดินราวกับไม่คิดชีวิต จนนิ้วมือมีเลือดออก ก็ต่างส่ายหน้าและกล่าวเตือน “คุณชาย ช่างเถิดนะ อย่าขุดอีกเลย ถ้าใครถูกฝังอยู่ใต้ล่าง อย่างไรก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ไป๋อวี้ถังไม่ยอมรับฟัง พลางวิ่งเข้าหมู่บ้านถือพลั่วมาหนึ่งอัน ขุดดินไปอย่างบ้าคลั่งอีกเมื่อเห็นเขาเตือนแล้วไม่ฟัง ชาวบ้านบางรายก็ไปช่วยขุดบ้างมีคนหนึ่งกล่าวเตือนเขา “คุณชายก็อย่าเสียใจมากนัก บางที สหายท่านอาจจะรอดตายหวุดหวิด หรือไม่ก็ ไม่ได้รออยู่ที่เชิงเขานี้”ไป๋อวี้ถังหยุดชะงักโดยพลัน นัยน์ตาแดงก่ำ มองชาวบ้านผู้นั้นด้วยความหวัง พลางกล่าว “จริงร
ไป๋อวี้ถังขี่ม้ามาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขามองหาบ่อน้ำ แล้วจึงเอากระเป๋าใส่น้ำที่พกติดตัวมาบรรจุน้ำในบ่อจนเต็มหมู่บ้านนี้มีผู้คนอยู่ห่างๆ เพียงไม่กี่ครัวเรือน เดิมไป๋อวี้ถังไม่คิดจะอยู่นาน แต่พอรอนแรมมาไกลมาก อีกทั้งละแวกนี้ก็ไม่มีโรงเตี๊ยมพอให้พักอาศัยหากคิดจะหาโรงเตี๊ยมจริงๆ ก็ต้องเดินทางต่อไปอีกประมาณสิบกว่าลี้เพื่อไม่ให้หลินซวงเอ๋อร์ต้องหิวข้าว ไป๋อวี้ถังจึงไปหาครอบครัวหนึ่ง พร้อมใช้เงินซื้อหมั่นโถวหลายลูกที่พวกเขาเพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ๆ เนื่องจากเขาเป็นคนใจป้ำ ครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทำงานหนึ่งปียังไม่ได้เงินมากมายเท่านี้ จึงได้แถมนมแพะที่รีดเองให้แก่ไป๋อวี้ถังไปด้วยเป็นนมที่เพิ่งผ่านการต้มมา ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นมากไป๋อวี้ถึงจึงไม่ปฏิเสธ ยอมรับมาแต่โดยดีแต่เขาไม่กล้าให้หลินซวงเอ๋อร์คอยนาน ขณะหันหลังคิดจะกลับนั้น จู่ๆ มีหญิงชราร้องเรียกจากด้านหลัง“คุณชาย หากไม่รีบร้อนเดินทาง เชิญค้างที่นี่สักคืนค่อยไปก็ได้”ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้างหน้ายังมีคนรออยู่”หญิงชรามองดูท้องฟ้า พลางกล่าว “พรุ่งนี้ค่อยไปก็ยังไม่สาย คุณชายไปพาเพื่อนมาด้วยก็ได้ หลายวันนี้มีฝนตกหน
ไป๋อวี้ถังกล่าวตอบ “ข้าก็คิดเช่นนั้น”หลินซวงเอ๋อร์มองหน้าเขาพร้อมยิ้มเล็กน้อย นางกล่าวต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าขอไปก่อน ขอให้พี่ไป๋มีความสุขในเร็ววัน ลาก่อน”กล่าวจบ นางไม่รอช้าที่จะปล่อยผ้าม่านลงไป๋อวี้ถังสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน รีบร้อนกล่าวต่อ “แม่นางซวงเอ๋อร์รอประเดี๋ยว...”ได้ยินเสียงร้องเรียกของไป๋อวี้ถัง หลินซวงเอ๋อร์จึงแหวกผ้าม่านด้วยความสงสัยอีกครั้งในยามนี้ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง แดดภายนอกจึงแสบตายิ่ง หลินซวงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังตา เพื่อลดความแรงกล้าของแสง พลางกล่าวเสียงอ่อนโยน “พี่ไป๋ ท่านยังมีเรื่องอันใดอีก?”นางยังต้องรีบเดินทางต่อ ไม่อยากพูดคุยกับเขานานไป๋อวี้ถังกล่าว “แม่นางซวงเอ๋อร์คิดดีแล้วหรือไม่ว่าจะไปที่ใด หรือเราสองคนจะเดินทางด้วยกัน?”น้ำเสียงเขาฟังดูราบเรียบ คล้ายกับไม่ตั้งใจกดดัน เพียงแต่ถามไปเรื่อยเปื่อยแต่หลินซวงเอ๋อร์แทบไม่ต้องคิด นางรีบกล่าวตอบ “อย่าเลย ข้ายังไม่ได้คิดว่าจะไปที่ใด แผ่นดินกว้างใหญ่ ไปถึงแห่งใดก็อยู่ตรงนั้นก่อน”ไป๋อวี้ถังกล่าวยิ้มๆ “เช่นนั้นก็ประจวบเหมาะนัก ข้าก็ไม่คิดจะไปที่ใด หรือเราจะเดินทางด้วยกัน เพราะหนทางยังอีกยาวไกล หากมีเพื่อนพูดคุยก