หลินซวงเอ๋อร์เป็นไข้จนรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว ตงเหมยบอกว่าจะเรียกหมอมาดูอาการนาง แต่ทำอย่างไรหลินซวงเอ๋อร์ก็ไม่ยอมเมื่อเห็นว่านางดื้อรั้นเช่นนี้ ตงเหมยก็ไม่มีทางเลือกอื่นจึงทำได้แค่ใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำเย็น แล้ววางไว้บนหน้าผากของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า“ซวงเอ๋อร์ ข้าไปเรียกจหมอมาดูอาการเจ้าดีกว่า ไข้สูงไม่ลดเลย เดี๋ยวจะกลายเป็นคนโง่เอาได้นะ”หลินซวงเอ๋อร์มีสติที่เลือนราง แต่ก็พอได้ยินคำพูดของตงเหมยอยู่บ้าง นางส่ายหัว คว้ามือของตงเหมยเอาไว้ แล้วพูดว่า "ไม่ต้อง อดทนหน่อยเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป อย่าไปเรียกหมอมาเลย"ตงเหมยทั้งรู้สึกรู้ปวดใจทั้งจนใจ: "เรื่องจะแดงก็ให้มันแดงไปเลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าจะรับผิดชอบแทนเจ้าเอง พวกเราไม่ได้ทำผิดอะไรร้ายแรงเสียหน่อย ข้าไม่เชื่อว่า จวนนี้จะไล่พวกเราออกไป!"“อย่าเรียกหมอ ขอร้องเจ้าล่ะ อดทนเดี๋ยวมันก็ผ่านไป” หลินซวงเอ๋อร์ไม่กล้าเรียกหมอ กฎเกณฑ์ของจวนอ๋องเข้มงวดมาก ถ้าถูกคนรู้สถานะของนาง ไม่เพียงแต่นางจะถูกตัดสินประหารชีวิต บางทีอาจจะทำให้ท่านป้าจ้าวและตงเหมยเดือดร้อนไปด้วยหลินซวงเอ๋อร์กล่าวว่า: "พี่ตงเหมย ไม่เป็นไร พรุ่ง
เขาไม่รู้จักชิวจวี๋ เขารู้แค่ว่า ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงในความฝันของเขาแม้ว่าชิวจวี๋จะปรนนิบัติอยู่ข้างกายเขามาหลายวันแล้ว แต่เขากลับไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตาเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชื่อของนางแต่ชิวจวี๋กลับไม่ได้ยินน้ำเสียงที่รังเกียจของเยี่ยเป่ยเฉิง ไม่ต้องพูดถึงนัยน์ตาที่แหลมคมและเย็นชาของเขาเลยนางรู้เพียงว่า เพื่อให้ได้มาปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายเยี่ยเป่ยเฉิง นางพยายามทุกวิถีทาง และใช้เงินเดือนครึ่งปีเพื่อทำให้ท่านป้าหลี่ดีใจ ให้ท่านป้าหลี่พูดแต่สิ่งที่ดีๆของนางตอนที่อยู่ต่อหน้านายหญิง เพื่อที่นางจะได้มีโอกาสถูกโยกย้ายไปปรนนิบัติอยู่ข้างกายเยี่ยเป่ยเฉิงหากนางทำให้เยี่ยเป่ยเฉิงพึงพอใจ และถูกยกย่องให้เป็นอนุภรรยา นางจะไม่ต้องกังวลเรื่องของกินของใช้ตลอดชีวิตขณะที่กำลังคิดสิ่งนี้ นางก็เริ่มรู้สึกปวดร้าวที่ข้อมือน้ำเสียงของเยี่ยเป่ยเฉิงเย็นชา: "ใครใช้ให้เจ้าเข้ามา!"ความเขินอายบนใบหน้าของชิวจวี๋ก็ชะงัก ภาพลวงตาทั้งหมดก็มลายหายไปในทันที“ท่านอ๋อง ข้าน้อยก็แค่เห็นว่า...”นางยังไม่ทันได้พูดจบ จู่ๆเยี่ยเป่ยเฉิงก็ยกข้อมือของนางขึ้น ใช้แรงดึง แล้วโยนนางลงไปที่พื้นราว
เยี่ยเป่ยเฉิงค่อย ๆ เดินไปที่เตียงและมองดูคนบนเตียง ดูเหมือนเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ผู้หญิงคนนี้จะมาหาเขาที่บ้านเสียจริงกล้านักเขาลดสายตาลง จ้องมองไปที่ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น ในเวลานี้ ผู้หญิงคนนั้นกำลังหลับตาลงอย่างสงบและหายใจออกจากปากของนางอย่างตื้นเขินนี่คือห้องของเขา เตียงของเขา แต่นางผล็อยหลับไปโดยไม่ระวังใด ๆ เลยหรือเยี่ยเป่ยเฉิง:?เขายืนอยู่ที่นั่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ความโกรธ และความรำคาญ เขาควรจะปฏิบัติต่อนางอย่างเท่าเทียมกับชิวจวี๋ แต่เหมือนเขาถูกผีสิง เขาค่อย ๆ เปิดอีกด้านหนึ่งของผ้าห่มแล้วค่อย ๆ นอนข้าง ๆ นาง เพราะเขากลัวนางจะตื่นหลินซวงเอ๋อร์ไม่รู้ตัวเลย นางแค่รู้สึกว่า วันนี้เตียงนุ่มและอุ่น ซึ่งทำให้นางนอนหลับสบายมากหลินซวงเอ๋อร์ขยับตัวเสียหน่อย นางเปลี่ยนเปลี่ยนท่านอนที่สบายยิ่งขึ้นเยี่ยเป่ยเฉิงเห็นแม่นางผู้นี้เอาแต่ขยับตัวเข้าหาอ้อมกอดของเยี่ยเป่ยเฉิง เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทันที อราวกับว่าเขาถูกบางสิ่งแช่แข็งไว้ และเขาไม่กล้าขยับตัวเขาอดไม่ได้ที่ต้องมองนางจากด้านข้าง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสังเกตคนอย่างใกล้ชิดภายใต้แสงจันทร์ ผู้หญิงที่อย
นางกลัวผลที่ตามมาจากการไม่เชื่อฟังเขา แต่นางกลัวการปล้นของเขามากกว่า ดังนั้นนางจึงกล้าผลักเขาออกไปแต่นางพยายามอย่างที่สุด นางก็ไม่สามารถผลักไสเขาได้อีกต่อไป นางกลับทำให้เขาโกรธและทำให้เขายิ่งเลวทรามยิ่งขึ้นไปอีกฝันร้ายนี้ดูเหมือนกำลังฆ่านาง ร่างกายของหลินซวงเอ๋อร์สั่นเทา และเสียงของนางก็ค่อย ๆ สะอื้นเยี่ยเป่ยเฉิงขมวดคิ้ว เขาหยุดและจ้องมองที่หลินซวงเอ๋อร์อยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาก็มืดลง และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจและความไม่พอใจหลังจากไม่สามารถเพลิดเพลินกับนางได้อย่างเต็มที่ใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์เต็มไปด้วยน้ำตา และร่างกายของนางก็สั่นอย่างรุนแรง ราวกับว่านางติดอยู่ในฝันร้ายที่นางไม่สามารถหลบหนีได้เมื่อพิจารณาจากการดิ้นรนนางในเมื่อครู่นี้ เกรงว่าเขาอาจเป็นฝันร้ายที่นางไม่สามารถหลีกหนีได้ทันใดนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงทำตัวเป็นวัวสันหลังหวะ เขาเป็นคนซื่อตรงมาตลอด แต่วันนี้เขาเอาเปรียบในยามที่ผู้นั้นกำลังยากลำบาก ซึ่งสุภาพบุรุษไม่ควรมีการกระทำเช่นนี้เยี่ยเป่ยเฉิงเห็นหลินซวงเอ๋อร์ร้องไห้หนักมาก เขารู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่ซับซ้อนในใจเห็นได้ชัดเจนว่า นางเป็นผู้ที่มาหาเขาก่อน แ
หลินซวงเอ๋อร์แล ตงเหมยค้นห้องเป็นเวลานาน แต่ไม่เห็นหนังสือเล่มนั้นนอกประตูมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบ แม่นางสองผู้นี้ที่อยู่ในห้องก็ตกตะลึงทันทีครู่ต่อมา ท่านป้าจ้าวรีบเปิดประตูแล้วเดินเข้าห้อง ทันทีที่นางเห็นหลินซวงเอ๋อร์ นางก็ลากหลินซวงเอ๋อร์ออกไปท่านป้าจ้าวพูด "ซวง หยุดทำงานได้แล้ว นายหญิงเรียกเจ้าไปที่ห้องโถงหน้า"ใบหน้าของหลินซวงเอ๋อร์ซีดลง "ท่านป้า เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ"นางอารมณ์เสียและสงสัย เมื่อวานนี้ แม้ว่านางจะไม่ได้ผ้ากลับมาทันเวลา แต่นางถูกลงโทษแล้ว แต่ทำไมวันนี้ยังเรียกนางไปที่ห้องโถงหน้าล่ะท่านป้าจ้าวดูจริงจัง นางไม่บอกเกิดอะไรขึ้น นางแค่เตือน "เดี๋ยวพบนายหญิง อย่าพูดไร้สาระ ทำทุกอย่างที่นายหญิงบอก"หลินซวงเอ๋อร์พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าในห้องโถงใหญ่ กงชิงเยวี่ยนั่งที่นั่นอย่างไร้ความรู้สึก นับตั้งแต่ หลินซวงเอ๋อร์ก้าวเข้าไปในห้องโถงด้านหน้า นางไม่ได้ละสายตาจากหลินซวงเอ๋อร์หลินซวงเอ๋อร์คุกเข่าลงบนพื้นอย่างเป็นระเบียบ นางมองลงไปที่พื้นใต้เข่าของนาง ไม่กล้าพูดใด ๆกงชิงเยวี่ยขมวดคิ้วลึก นางค่อย ๆ กลิ้งลูกปัดด้วยมือของนา นางมองหลินซวงเอ๋อร์ด้วยสายตาที่ดูถูกมากขึ้นคนรับ
ทำไมให้นางรับใช้เยี่ยเป่ยเฉิงอีกครั้งล่ะหลินซวงเอ๋อร์ไม่อยากเลย นางไม่อยากรับใช้ชายผู้นี้อย่างมาก ตอนนี้เมื่อใดก็ตามที่นางเห็นเยี่ยเป่ยเฉิง นางมักรู้สึกกลัวและร่างกายของนางอยากล่าถอยโดยสัญชาตญาณอีกอย่าง ชิวจวี๋รับใช้เขาได้ดีมากนักมิใช่หรือกงชิงเยวี่ยหลับตาและรีบขยับลูกปัดอธิษฐานในมือของนาง ดูเหมือนนางกำลังพิจารณาในใจหลินซวงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่ต้องพูด "นายหญิงเจ้าคะ ข้าน้อยโง่และไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ ข้าน้อยเกรงว่าจะไม่สามารถรับใช้ท่านอ๋อง ได้ดีเจ้าค่ะ"“เจ้าสามารถเรียนรู้กฎได้ และข้าจะสอนเจ้าเอง” เสียงของชายคนนั้นต่ำและเย็นชา เสียงนั้นเต็มไปด้วยการครอบงำซึ่งไม่สามารถปฏิเสธได้หลินซวงเอ๋อร์หันกลับมาด้วยความตกใจ นางเห็นร่างเรียวเดินช้า ๆ จากส่วนลึกของทางเดิน เสื้อคลุมสีแดงของเขาปลิวไปตามสายลม เผยให้เห็นรูปร่างที่โดดเด่นของเขา เขาเดินอย่างมั่นคง ด้วยบุคลิกที่ครอบงำโดยธรรมชาติซึ่งทำให้ผู้คนเกรงกลัวเขาเมื่อเขาเดินผ่านหลินซวงเอ๋อร์ กลิ่นไม้จันทน์เย็นๆ กระทบใบหน้าของนาง เขาหหยุดฝีเท้าเล็กน้อย เหลือบมองนาง และยิ้มด้วยสีหน้าไม่อาจเข้าใจได้ขณะที่หลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น นางก็สบตาเขา และดว
“อย่าให้ข้าพูดเป็นครั้งสุดท้าย มาที่นี่อย่างเชื่อฟัง”เยี่ยเป่ยเฉิงรู้ว่านางกลัวเขา ดังนั้นเขาจึงพยายามลดน้ำเสียงให้ต่ำที่สุดภายใต้สายตามองของเขา หลินซวงเอ๋อร์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้าวไปข้างหน้าทีละนิดหลินซวงเอ๋อร์ไม่เข้าใจว่าทำไมเยี่ยเป่ยเฉิงต้องรับใช้นางนางซุ่มซ่ามและเห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรเทียบกับชิวจวี๋ได้หลินซวงเอ๋อร์ค่อย ๆจับมือของนางไว้ในแขนเสื้อของนางและยืนอยู่ข้างหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง ร่างกายของนางตึงเครียดและหัวใจของนางเต้นแรงหลินซวงเอ๋อร์เห็นเยี่ยเป่ยเฉิงไม่พูดสักคำ หลินซวงเอ๋อร์รู้สึกไม่รู้ทำอย่างไรดี นางจึงเงยหน้าขึ้นและแอบมองสีหน้าของเขา และบังเอิญสบตาเขาหลินซวงเอ๋อร์รีบก้มศีรษะลง แก้มของนางร้อนขึ้น และมือของนางเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ทำไมเขาถึงยังมองนางอยู่เขามองนางทำไม“นั่งลง” หลังจากนั้นไม่นาน เยี่ยเป่ยเฉิงพูดอย่างกะทันหันหลินซวงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นและมองเขาด้วยความประหลาดใจไม่มีใครอยู่ในห้องนอกจากนาง เขากำลังพูดกับนางหรือเปล่าเยี่ยเป่ยเฉิงเห็นนางไม่ขยับตัว เยี่ยเป่ยเฉิงตบเก้าอี้ข้างตัวเขาแล้วพูดว่า "ให้นางนั่งลง"หลินซวงเอ๋อร์จึงแน่ใจว่า เยี่ยเป่
“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงให้เจ้ารับใช้ข้าเป็นการส่วนตัว”เขาถามเช่นนี้อย่างกะทันหัน หลินซวงเอ๋อร์ตกตะลึงและไม่เข้าใจหลังจากคิดอยู่นานแสงเทียนส่องสว่างราวกับประกายไฟในดวงตาของเขา สีหน้าของเขาเคร่งขรึมราวกับว่าเขากำลังรอคำตอบแต่นางให้คำตอบไม่ได้เขาจ้องมองนางอย่างเข้มข้น ดวงตาของเขาไม่เคยกระพริบตา หลินซวงเอ๋อร์กลืนน้ำลาย นางบีบขนมแล้วกระซิบ "หากข้อน้อยตอบคำถามมิได้ ข้าน้อยจะกินอีกไม่ได้หรือเจ้าคะ"เยี่ยเป่ยเฉิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาเม้มริมฝีปากแล้วพูด "กินได้"หลินซวงเอ๋อร์แอบหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากทำขนมอบหนึ่งชิ้นเสร็จ นางเลียริมฝีปากและมอง เยี่ยเป่ยเฉิงอีกครั้ง ราวกับกำลังขออนุญาตเยี่ยเป่ยเฉิงขยับนิ้วของเขาเล็กน้อย แสดงว่านางหยิบได้อีกหลินซวงเอ๋อร์จึงรู้สึกโล่งใจ นางหยิบขนมอบขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้นเยี่ยเป่ยเฉิงเห็นนางโล่งใจเช่นนี้ เขาลดสายตาลง เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้คิดคำถามของเขา นางคิดแต่ว่าเรื่องกินหลังจากกินไปสามชิ้น หลินซวงเอ๋อร์ไม่กินต่อแล้วเยี่ยเป่ยเฉิงถามนาง "ทำไมไม่กินต่อล่ะ"หลินซวงเอ๋อร์ก้มหัวลงและส่ายหัว นางไม่กล้าที่จะโลภมากไปกว่านี้ กินสามชิ้นพอแ
วันที่เจียงหว่านกำลังจะถูกเนรเทศ ในที่สุดเจียงเช่อก็มาหาถึงหน้าประตูเขาคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเป่ยเฉิง เว้าวอนขอเยี่ยเป่ยเฉิงปล่อยเจียงหว่านไปขณะที่เดินทางมา เขารับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วเจียงหว่านลอบวางยาพระชายาเยี่ย ใช้ประชาชนที่ติดโรคทดลองยา เข่นฆ่าคนบริสุทธิ์ ผลาญชีวิตคนดุจผักดุจปลา นับเป็นอาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด......แต่ไม่ว่าอย่างไร เจียงหว่านก็เป็นน้องสาวเขา เป็นคุณหนูหนึ่งเดียวของตระกูลเจียง เจียงเช่อมิอาจนั่งนิ่งดูดาย ปล่อยให้นางไปตายได้“ขอร้องท่านอ๋องไว้ชีวิตนางเถิด เป็นเพราะข้าตามใจนางจนเสียคน หากท่านอ๋องจะลงโทษ โปรดลงที่เจียงเช่อเถิดพะยะค่ะ”เมื่อเห็นเจียงเช่อ สายตาสิ้นหวังของเจียงหว่านพลันมีประกายความหวังขึ้น“พี่......ท่านพี่ ช่วยข้าด้วย ข้าไม่อยากไปแดนเถื่อน ข้าอยากกลับบ้าน ท่านพี่ช่วยข้าด้วย......”เจียงเช่อขมวดคิ้วเขม็งจ้องเจียงหว่าน สายตาแฝงเร้นด้วยแววเกยีดชังเข้าไส้เขารู้ว่าเจียงหว่านต้องโทษตาย ยามนี้แค่เนรเทศ ถือว่าเมตตามากแล้ว แต่เขาเองก็รู้ว่า สถานที่อย่างแดนเถื่อนนั้น มิใช่สถานที่ที่สตรีตัวคนเดียวจะไปได้ การเนรเทศนางไปที่นั่น เท่ากับส่งนางไปขุมนร
“เลือดของนาง...”เจียงหว่านสีหน้าตกตะลึงตอนนั้น ตอนที่ฮุ่ยอี๋มอบยาถอนพิษใส่ในมือนาง นางเคยเอาทิ้งไว้หลายขวด เดิมทีคิดศึกษาส่วนผสมในนั้น ทว่าด้านในกลับมีส่วนผสมยาเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือเลือดมนุษย์...แรกเริ่ม นางคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล! กระทั่งยามนี้นางถึงได้เชื่อความจริง ส่วนประกอบของยานั้น มีเพียงเลือดมนุษย์จริงๆ! ทั้งยังเป็นเลือดของหลินซวงเอ๋อร์! เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ในที่สุดนางก็เข้าใจ!มิน่า...ตอนนั้น นางใช้ยาปริมาณมาก แต่กลับไม่อาจทำให้หลินซวงเอ๋อร์ถึงตาย! ไม่คิดว่าเลือดของนางจะขจัดพิษในร่างนางโดยมองไม่เห็น...ฮุ่ยอี๋เอ่ย “เจ้ายังมีหน้าพูดว่าไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอีก! เจียงหว่าน เจ้าลืมแล้วหรือว่าเจ้าวางยาซวงเอ๋อร์อย่างไร? เสด็จอาให้อภัยเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าไม่มีวันเกรงใจเจ้า!”คำพูดนี้สองแง่สองง่าม เห็นชัดว่ากำเย้ยหยันเยี่ยเป่ยเฉิงที่ดึงหมาป่าเจ้าเล่ห์เข้าบ้าน!เยี่ยเป่ยเฉิงตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม ไร้ซึ่งแรงโต้กลับยามนี้ เขามิอาจชำระคืนได้ ซวงเอ๋อร์ของเขาไม่มีวันกลับมาอีกต่อไป!สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ คือทำให้เจียงหว่านชดใช้อย่างสาสมที่สุด ส่วนตัวเขา ชีวิตที่
เยี่ยเป่ยเฉิงมีสีหน้าเคร่งขรึม สายตาที่มองเจียงหว่านเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง ไม่มีความอ่อนโยนเลยสักนิดเขาอยากฆ่านางตั้งนานแล้ว ที่ปล่อยนางรอดมาจนถึงตอนนี้ ก็แค่อยากให้นางได้รับความทรมานจนตายบัดนี้เห็นนางตกยากเช่นนี้ เยี่ยเป่ยเฉิงกลับรู้สึกว่าบทลงโทษแค่นี้ยังมิพอเจียงหว่านถูกทรมานจนเหมือนตายดีกว่าอยู่มานานแล้ว นางรู้ เยี่ยเป่ยเฉิงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากคิดดูแล้ว หากตายด้วยน้ำมือของเยี่ยเป่ยเฉิงได้ ก็คงจะดีกว่าตอนนี้ ที่ดูดซับยาเข้าสู่ร่างกายทุกวัน ถูกฝันร้ายหลอกหลอนทุกคืนสุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากพิษและเสียชีวิตลงได้!อย่างไรก็ตาย มิสู้ให้เยี่ยเป่ยเฉิงจบชีวิตนางด้วยมือเขาเอง!เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็ยิ้มเยาะ จงใจกล่าวยั่วยุเขา “เยี่ยเป่ยเฉิง เจ้ามีฝีมือแค่นี้หรือ? แน่จริงก็ฆ่าข้าไปเลยสิ!”“ฆ่าข้าให้มันจบๆ ไปเสีย!”เยี่ยเป่ยเฉิงปรายตามองนาง พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ตอนนั้น เจ้าก็ทรมานซวงเอ๋อร์เช่นนี้!”เจียงหว่านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วอย่างไร!”“ลูกในท้องนางข้าก็เป็นคนทำร้ายเอง! ร่างกายอ่อนแอแบบนั้นของนางต่อไปจะตั้งครรภ์ไม่ได้อีกแล้ว!”“ที่นางฝันร้ายทุกคืน ก็เป็นข้าที่ทำเอง
หลายสิบปีมานี้ นางทำเรื่องชั่วมานับไม่ถ้วน ทุกเรื่อง นางจิตใจสงบ ไม่เคยรู้สึกผิดเลยมีเพียงเจียงหลิง…มีเพียงการตายของเจียงหลิง ทำให้นางยากจะข่มตานอนได้…ตลอดเวลาที่ผ่านมา ในฐานะคุณหนูรอง เจียงหว่านไม่เป็นที่ชื่นชอบของพ่อแม่มาตลอด พี่ชายก็ยิ่งไม่สนใจนาง ทว่าเจียงหลิงกลับได้รับความรักมากมาย…นางอิจฉาเจียงหลิง และแทบอยากทำให้อีกฝ่ายหายไปจากโลกใบนี้แต่เจียงหลิงกลับรักเอ็นดูนางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ปกป้องนาง มอบของที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ให้แก่นาง…เจียงหลิงเป็นพี่สาวที่ดีต่อนางที่สุดบนโลกใบนี้…ทว่าที่นางต้องการหาใช่แค่พี่สาวอย่างเดียว นางต้องการความรักของทุกคน นางต้องการให้พ่อแม่ พี่ชายรกนางแค่คนเดียว นางอยากครอบครองของที่ดีที่สุดไว้กับตัวเอง ไม่ใช่รอให้คนอื่นมอบให้!ดังนั้น ในคืนวันหิมะตก นางผลักเจียงหลิงตกน้ำ มองนางจมตายทั้งเป็นอยู่ใต้น้ำ หลังจากนั้นนางก็ติดวันเกิดเวลาเกิดของเจียงหลิงบนตุ๊กตาคุณไสย แทงเธอทุกวัน สวดภาวนาทุกคืน นางต้องการให้เจียงหลิงไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ไม่หวนกลับมาตลอดกาล!เพราะมีเพียงแค่ทำแบบนี้ นางถึงจะไม่มีโอกาสแก้แค้นตัวเอง!แต่ทำไม…ทำไมตอนนี้นางถึงยังหาตัวเอง
ยาซึมเข้าสู่ร่างกายติดกันหลายวันทำให้เจียงหว่านค่อยๆ เป็นบ้าในห้องที่ปิดสนิท เจียงหว่านหดตัวอยู่บนพื้นเหมือนดินโคลนตัวนางเหม็นมาก ชุดกระโปรงสีรากบัวเปลี่ยนเป็นสกปรกและเก่าองครักษ์ทำให้เส้นเอ็นมือของนางขาด ตรงบาดแผลถูกทาขี้ผึ้งปิดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าแม้ขี้ผึ้งปิดแผลจะเป็นยาสำหรับปกปิด ทว่ากลับมีผลดีต่อการหยุดเลือดบาดแผลแข็งตัวจนกลายเป็นสะเก็ดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ดีกว่านี้ แม้จะดีขึ้นก็ยังเหลือรอยแผลเป็นอัปลักษณ์เอาไว้ธูปในห้องไม่เคยลดลงเลยทั้งวัน ประกอบกับกระกระตุ้นของต้นคลีเวีย ความคิดต่ำช้าที่อยู่ในตัวนางแทบจะถูกกระตุ้นออกมาทั้งหมดสองตานางแดงก่ำ ดูฉุนเฉียวไม่น้อย กรีดร้องโวยวายอยู่ในห้อง ประหนึ่งคนบ้าคนหนึ่งองครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องไม่สนใจนางสักนิด ได้แต่ทรมานนางไม่ให้นางตายทุกวันความเคียดแค้นฉายออกมาจากในตาเจียงหว่าน เวลานี้ นางได้ปล่อยว่างความหลงใหลต่อเยี่ยเป่ยเฉิงแล้ว ไม่ว่าจะรักมากขนาดไหนก็แปรเปลี่ยนเป็นความชิงชังเข้ากระดูก“เยี่ยเป่ยเฉิง! ปล่อยข้ากลับไป! ปล่อยข้ากลับไปสิ!”“แน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ!ฆ่าข้าให้มันจบๆ ! ท่านมีสิทธิ์อะไรมาขังข้าไว้เช่นนี
“ได้ยินว่าพ่อแม่ที่เลี้ยงดูเจ้าเสียไปนานแล้ว แล้วเจ้ากับพี่ชายอยู่มาได้อย่างไร?”“แล้วเหตุใดเจ้าจึงขายตัวไปเป็นบ่าวไพร่? หลายปีมานี้ เจ้าคงผ่านความลำบากมิใช่น้อย เคยถูกใครรังแกหรือไม่?”หลินซวงเอ๋อร์พลันเกิดความขมขื่นในจิตใจเดิมที หากไม่เอ่ยถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังพออดทนได้บ้าง แต่เมื่ออวี๋หว่านหนิงถามขึ้นมา นางก็อดรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้นางเม้มปากพลางจ้องมองนิ้วมือตนเอง น้ำตาเริ่มเอ่อล้น พร้อมหยดแหมะลงหลังมือทีละหยดนางอยู่สบายหรือไม่?นางเคยถามตนเองอยู่เช่นกันหลายปีมานี้ นางผ่านเรื่องราวมากมาย สูญเสียบิดามารดา สูญเสียพี่ชายไป กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ญาติขาดมิตรโดยแท้แต่หากคิดดีๆ ชีวิตนางก็เคยอยู่สุขสบายมาช่วงหนึ่งนั่นคือตอนอยู่กับเยี่ยเป่ยเฉิง นางมีความสุขจริงๆในตอนนั้น เยี่ยเป่ยเฉิงเป็นกำลังใจให้นาง ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ หาของดีมาให้กิน สอนนางเรียนหนังสือ พาไปเดินเล่นท่องทะเลสาบ ให้ความรักต่อนางอย่างชนิดไร้ผู้เทียบเทียม...ในเวลานั้น นางมีความสุขเหลือล้น เป็นความสุขมากที่สุดในชีวิต แม้แต่ฝันก็ยังเป็นฝันหวาน...แต่ต่อมา ทุกอย่างกลับแปรเปลี่ยน ก่อนหน้านี้เคยสุ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หลินซวงเอ๋อร์แทบชะงักงันไปที่บั้นเอวนางมีปานแดงรูปเสี้ยวจันทร์จริงๆ ท่านแม่บอกว่า มันมีติดตัวมาตั้งแต่นางเกิด เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่บั้นเอว จึงมีน้อยคนที่จะรู้เรื่องนี้“ท่าน...คือแม่ของข้าจริงหรือ?” หลินซวงเอ๋อร์หัวใจเต้นแรง ขอบตาแดงเรื่อขึ้นอวี๋หว่านหนิงยื่นมือมาจับมือของนางไว้ พลางกล่าวเสียวเศร้า “ซวงเอ๋อร์ ข้าคือแม่เจ้าจริงๆ หลายปีนี้ทำให้เจ้าลำบากนัก...”แม่นมซุนอยู่ด้านข้างพลางกล่าวเสริม “องค์หญิง นางคือเสด็จแม่ของท่านจริงๆ หลายปีมานี้ ฮองเฮาไม่เคยเลิกราในการตามหาท่าน เพียงแต่ภาคกลางกว้างขวางนัก พวกท่านเองก็ข่าวคราวเงียบหาย หลายปีนี้ พวกท่านลำบากก็จริง ฮองเฮาก็ไม่ได้สุขสบายใจ...”หลินซวงเอ๋อร์นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ พลันหันไปมองอวี๋หว่านหนิงแล้วกล่าว “ที่จริง ข้าไม่เคยตำหนิท่านเลย เพียงแต่บางครั้งก็เคยคิด ว่าท่านแม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้หรือไม่”“ตอนยังเป็นเด็ก ข้าเคยคาดหวังให้นางมาหาบ้าง แต่พอโตขึ้นก็ไม่เห็นนางมาเสียที ข้าจึงภาวนาให้นางอยู่ดีมีสุขแทน แม้จะไม่ได้พบหน้า แต่ขอให้นางยังมีชีวิตอยู่ เป็นความคิดถึงในใจก็เพียงพอแล้ว...”
อวี๋หว่านหนิงรับเอาผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา พลันเกิดความตื้นตันจนไม่รู้ตอบอย่างไรดีทันใดนั้น แม่นมซุนเดินขึ้นมาพร้อมกล่าว “องค์หญิง ที่นี่คือวังหลวงแห่งเป่ยหรง ฮองเฮาทรงตามหาท่านมานาน ทุ่มแทแรงกายแรงใจไม่น้อยกว่าจะหาพบ...”“องค์หญิง?” หลินซวงเอ๋อร์นึกว่าตนหูฝาดไป “ท่านเรียกข้าอยู่หรือ?”นางกล่าวตอบ “พวกท่านจำคนผิดหรือเปล่า ข้าไม่ใช่องค์หญิง ข้าคือหลินซวงเอ๋อร์ต่างหาก”นางเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง เติบโตมาจากชนบทแร้นแค้น เป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยผู้หนึ่งเท่านั้นองค์หญิงอะไรกัน ยังมีวังเป่ยหรงอีก แล้วใครคือฮองเฮา?พวกนางคงจำคนผิดเป็นแน่แม่นมซุนกล่าวตอบ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ ไม่มีผิดแน่นอน ท่านก็คือองค์หญิงของเรา องค์หญิงที่พลัดพรากจากฮองเฮาไป...”หลินซวงเอ๋อร์คล้ายกับยังมึนงงอยู่ ความคิดนางเกิดความสับสน ปวดหัวเป็นอย่างมากแม่นมซุนอธิบายต่อ “สมัยที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ราชสำนักเป่ยหรงเกิดความวุ่นวาย ตอนนั้นฮองเฮายังมีฐานะเป็นเพียงพระชายาแห่งรัชทายาท นางเสี่ยงอันตรายให้กำเนิดแฝดชายหญิงคู่หนึ่ง เพื่อปกป้องชีวิตของพวกท่านไว้ จึงให้คนสนิทส่งพวกท่านออก
หลินซวงเอ๋อร์เปลือกตากระตุกเล็กน้อย นางก็อยากตื่น แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจตื่นขึ้นมาหน้าอกคล้ายถูกกรีดจนเป็นแผลเหวอะหวะ เหงื่อเย็นในตัวไหลพราก ลำคอคล้ายถูกงูพิษตัวหนึ่งรัดไว้ ยิ่งรัดก็ยิ่งแน่น จนนางใกล้จะหายใจไม่ออกข้างโสตนั้น ได้ยินเสียงคุ้นหูประเดี๋ยวไกลประเดี๋ยวใกล้ ถัดจากนั้น คล้ายมีมืออ่อนโยนลูบไล้ใบหน้านางเบาๆ“เด็กดี หมดเรื่องแล้ว เจ้าปลอดภัยดีแล้ว รีบตื่นมาเถิด ตื่นมาเร็วเข้า...”หลังจากได้ยินเสียงนั้นชัดเจนมากขึ้น ลำคอที่ถูกรัดแน่นก็ค่อยๆ คลายออก นางลืมตาช้าๆ ภาพเบื้องหน้าจากพร่ามัวจนกลายเป็นชัดเจน สิ่งแรกที่เข้าสู่ม่านตาก็คือม่านคลุมเตียงสีม่วงที่อยู่เหนือศีรษะขึ้นไป คล้ายเป็นภาพฝัน เสมือนเป็นแหยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงลงมา เพื่อคลุมตัวนางให้อยู่ตรงกลางเตียงนี้เป็นเตียงที่สวยงาม จนแม้แต่เสาเตียงก็เป็นลวดลายที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน หัวเตียงนอกจากจะแกะสลักลายดอกไม้แล้วยังฝังด้วยหยกเจียระไนงดงามและพลอยล้ำค่าอีกชั่วขณะนั้น นางรู้สึกมึนงงยิ่งนี่มันเป็นที่ไหนกัน?“ซวงเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ?” จนกระทั่งข้างหูได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง นางจำได้ว่าตอนอยู่ในความฝัน ได้ยินเสียงนี้จนคุ