บทนำ
สารทฤดูในเมืองจางงดงามไม่แพ้เมืองใดในแคว้นเหว่ย ยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูแล้ว ใบไม้เริ่มแปรเปลี่ยนหลากสี กิ่งไม้เริ่มไร้ใบจนเหมือนกระดูกเรียวเล็กแต่ก็ดูงดงามแปลกตาไปอีกแบบ อากาศเองก็ไม่ร้อนอบอ้าวเฉกเช่นเดิมอีกแล้ว
ดังนั้นวันนี้กู่ซิงอีจึงคึกคักเป็นพิเศษ หมักสุราหามรุ่งหามค่ำ มือหนึ่งทำงานมือหนึ่งยกสุราเข้าปากด้วยความอารมณ์ดี
กลิ่นหอมของสุรากำจายทั่วปากทำให้มีแรงทำงานมากกว่าเดิม ยามเมื่อหมักสุราเสร็จสิ้นจนถึงขั้นตอนปิดผนึกแล้วเขากลับไม่ได้นำไหสุราไปเก็บในที่ซึ่งควรเก็บตั้งแต่แรก แต่กลับยกมานั่งอาบแสงจันทร์ที่ลานหน้าบ้านแทน
จันทร์สกาวเต็มดวงเริ่มเอียงไปมากกว่าครึ่งแผ่นฟ้าแล้ว บ่งบอกว่าคืนนี้เขาทำงานหนักยิ่งนัก และอาจเพราะทำงานตั้งแต่เด็กกู่ซิงอีจึงสูงโปร่งกว่าบุรุษทั่วไปในเมืองจางอยู่บ้าง
ยามนี้เขานั่งลงที่แคร่ไม้ไผ่กลางลานบ้านซึ่งรอบตัวเต็มไปด้วยไหสุราเกือบสิบไหที่เพิ่งยกมาวาง
‘สุราอาบแสงจันทร์ คนหมักเมามาย สุราย่อมรสชาติดี’
นี่เป็นความเชื่อส่วนตัวของเขา
ปีนี้กู่ซิงอีอายุสิบแปดแล้ว ตัวเขาเป็นเด็กกำพร้า โตมากับโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในหมู่บ้านกงโดยมีผู้เฒ่าเว่ยเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนั้นแหละที่เก็บเขามาเลี้ยงดู ที่นั่นการค้าไม่ได้คึกคักเท่าเมืองหลวงแห่งนี้ และด้วยเพราะเป็นทางผ่านของเส้นทางการขนส่งสินค้าจึงมีแค่ช่วงหนึ่งที่โรงเตี๊ยมจะมีลูกค้าเข้ามาพัก ดังนั้นเวลาว่างที่เหลือผู้เฒ่าเว่ยก็จะสอนเขาทำสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเสมอ
แต่ที่มักจะพูดโอ้อวดตนเองอยู่บ่อยครั้งว่าทำได้ดีที่สุดก็เห็นจะเป็นการหมักสุรานี่แหละ กู่ซิงอีในวัยเยาว์ก็ค้านหัวชนฝาตลอดว่าไม่จริงอยู่ทุกครา จนกระทั่งเขาได้เดินทางออกจากหมู่บ้านกงมายังเมืองจางเพื่อย้ายถิ่นฐานที่อยู่ตามผู้เฒ่าเว่ย ถึงได้รู้ว่ารสสุราของผู้เฒ่าเว่ยที่หมักเองกับมือนั้นรสชาติยอดเยี่ยมเพียงไร
หมู่บ้านกงที่เขาเคยอาศัยอยู่มาตั้งแต่เล็กไร้โรงเตี๊ยมแห่งอื่นเพราะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ จึงมีเพียงโรงเตี๊ยมของผู้เฒ่าเว่ยเท่านั้น ดังนั้นคนแก่ผู้นั้นจึงมักโก่งราคาค่าห้องมากกว่าเดิมเสมอ ทำให้ไม่กี่ปีก็เก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง สุดท้ายจึงตัดสินใจขายโรงเตี๊ยมพาตนย้ายมาเมืองหลวงหวังหาลู่ทางใหม่
แต่โชคไม่เข้าข้าง ไม่นานผู้เฒ่าเว่ยก็จากไป
กู่ซิงอีตอนนั้นอายุแค่สิบสี่ปี กอดเงินที่ผู้เฒ่าเว่ยทิ้งไว้ให้นั่งร้องไห้หน้าหลุมศพอยู่หลายวัน
ต่อมาจึงใช้วิชาหมักสุราที่ผู้เฒ่าเว่ยสอนหาเลี้ยงปากท้องตนเอง ทว่าล่วงเลยมาจนบัดนี้ ไม่ว่าเขาจะหมักสุราด้วยวิธีการใดล้วนไม่เคยได้รสชาติอย่างที่ผู้เฒ่าเว่ยหมักเลยสักครั้ง มีเพียงค้นพบว่าสุราของตนเองก็มีรสชาติเฉพาะเหมือนกัน แถมตอนนี้ยังเป็นสุราขึ้นชื่อที่มีคนต้องการมากมาย ความต้องการนั้นไม่ได้มาจากว่ารสชาติมันเลิศเลอจนเกินเหตุ แต่อาจเพราะมีน้อยราคาจึงแพงขึ้นอีกเท่าตัว ความต้องการก็เลยสูงขึ้นเช่นกัน
มิใช่กู่ซิงอีไม่เล็งเห็นจุดสำคัญที่จะทำให้ตนร่ำรวยขึ้นมาจากเรื่องนี้ แต่สามปีก่อนเคยทำมาแล้ว หมักเยอะขายเยอะ แต่กลายเป็นว่าคนได้ไปมักจะบอกว่าเป็นสุราของปลอม รสชาติไม่เหมือนที่เคยได้ลิ้มลอง
ภายหลังเขาถึงได้เข้าใจว่าต้องหมักตอนไหน แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะเหมือนเดิม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสุราของเขาต้องอาบแสงจันทราในวันที่พระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น
ดังนั้นสุราที่ขึ้นชื่อของเขาจึงถูกขนามนามว่า ‘สุราแสงจันทร์’
และเหนือสิ่งอื่นใดการหมักให้ได้รสชาติดีก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเขาด้วย เช่นวันนี้ที่เขารู้สึกไร้กังวลเลยสามารถหมักออกมาได้เยอะกว่าปกติ
เวลานี้บนท้องนภาปลอดโปร่งมีเมฆลอยเคลื่อนตัวเบาบาง ดวงจันทร์ส่องสกาวสว่างไสว แต่น่าเสียดายที่แสงจันทร์สว่างเจิดจ้าจนเกินไป ดวงดาวดวงน้อยจึงถูกบดบังรัศมีไปเกือบหมด
กู่ซิงอีฮัมเพลงเสียงเบา มือปลดน้ำเต้าข้างเอวที่ใส่สุราไว้ออกมายกกระดกไปอึกใหญ่ ก่อนจะหงายหลังลงบนแคร่ นอนห้อยขากระดิกเท้าตามจังหวะเพลงในลำคอ
ผมดำที่มัดไว้ลวก ๆ เป็นทรงสูงแผ่กระจายไม่เป็นทิศไม่เป็นทาง แต่เพราะใบหน้ารูปงามเป็นทุนเดิม ทั้งเกลี้ยงเกลาและได้สัดส่วน ไม่ว่าต่อให้เขาจะตีลังกานอนอย่างไรเสียก็ยังน่ามองอยู่ดี
ดวงหน้ารูปงามเริ่มเคลือบสีแดงเจือจาง มิได้มาจากพิษของสุรา แต่มาจากออกแรงมากไป คนทั่วไปยามปกติสามารถหมักสุราได้วันละไม่กี่ไหใหญ่ ตัวเขาเองก็เช่นกัน แต่วันไหนอารมณ์ดีก็มักจะยั้งมือไม่อยู่ มีของในโรงเก็บของมากเท่าไรก็ลงมือทำมากเท่านั้น! ดังนั้นสิบกว่าไหที่เรียงรายรอบตัวจึงทำให้ใช้แรงไปไม่น้อย
สายลมเย็นย่ำของค่ำคืนพัดผ่านมา กู่ซิงอีหลับตาพริ้มเพื่อพักผ่อนชั่วครู่เท่านั้น มิได้หวังจะหลับลึกเพื่อเข้าสู่ห้วงนิทราเพราะเขายังต้องเก็บสุรากลับเข้าที่ก่อนแสงแรกของวันพรุ่งนี้จะมาเยือน
ยามเมื่อได้หลับตาลงแล้วเสียงลมกลับชัดเจนกว่าเดิม กู่ซิงอีได้ยินเสียงลมแทรกผ่านกิ่งไม้ดังมาไม่ขาด ราวกับกำลังหยอกล้อใบไม้ที่เหลือไม่มากเท่าไรบนหัวของเขา
ต้นไม้ใหญ่กลางลานบ้านที่คอยให้ร่มเงากับบ้านหลังเล็กของเขามาเสมอ หลายเดือนก่อนยังคงผลิใบเต็มต้น ไม่นานกลับคล้ายสั่งลา แต่เป็นความรู้สึกที่ว่า ‘ไว้พบกันใหม่’ เพราะมันเป็นต้นไม้ใหญ่อายุมากย่อมไม่ตายโดยง่าย ต่อให้เหมันต์ฤดูปีนี้ที่ใกล้มาเยือนมันก็จะสามารถผ่านไปได้ด้วยดี
จวบจนกระทั่งเขาอดทนอีกนิด ไม่กี่เดือนก็จะพบใบน้อย ๆ ของมันแตกยอดออกมาใหม่ ดังนั้นต่อให้เวลานี้มันโรยรากู่ซิงอีก็เชื่อมั่นว่าเดี๋ยวมันก็กลับมาอีกครั้ง
สิ่งที่เขาไม่พอใจที่สุดก็คงจะเป็นต้นพลับที่อยู่หน้าทางออกของประตูบ้านต้นนั้นกระมัง ปีก่อนไม่ออกผลให้เขาสักผล ปีนี้ปลายทางของมันก็ยังคงไม่ต่างจากเดิม
“คอยดูเถอะ” เขายกนิ้วชี้เรียวยาวขึ้นกลางอากาศทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ก่อนจะชี้ไปในทิศทางที่ต้นพลับยืนต้นสูงเลยความสูงของตัวเขาไปเพียงนิด “ปีหน้าถ้าไม่ออกผล เจ้าตายแน่!”
ปีนี้นอกจากต้นที่มีเพียงกิ่งแล้วเหลือสิ่งใดให้เขาอีก เปลืองน้ำของบ้านผู้อื่นเหลือเกิน
กล่าวจบกู่ซิงอีก็ถอนหายใจ คิดว่าไม่เป็นไร อย่างน้อยวันนี้ก็อากาศดี แสงจันทร์เด่นชัด ช่วงเวลาที่ดำเนินไปในแนวทางนี้ต่อไปย่อมเป็นวันที่สงบสุขของเขา!
อีกฝั่งกลางเมืองจางที่จวนใหญ่ของตระกูลว่าน ดึกดื่นค่อนคืนไปแล้วก็ยังมีคนผู้หนึ่งมิได้หลับใหลเช่นกัน
ว่านฟู่เฉิงนั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็น ขาสองข้างถูกผ้าไหมมันเงาผืนหนึ่งปิดคลุมไว้ เขานั่งอยู่ข้างหน้าต่างมาสักพักแล้วเพราะนอนไม่หลับ ยามนี้กำลังเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่กำลังทอแสงบนท้องนภา เริ่มแรกที่เขามานั่งมองมันยังอยู่อีกฝั่งแต่ตอนนี้เริ่มขยับไปอีกทางแล้ว
ว่านฟู่เฉิงรู้ว่าพรุ่งนี้ยังต้องจัดการงานอีกเยอะแต่เขาก็ไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด ยิ่งดึกลงไปมากเท่าไรก็ยิ่งทำให้หวนนึกถึงเวลาเก่า ๆ ขึ้นมา นั่นคือช่วงที่ตนเองยังเดินเหินได้ดีก่อนจะล้มป่วยหนักจนพิการ
ความรู้สึกของขาที่วิ่งหรือเดินจนเมื่อยเป็นอย่างไรนั้นเขาแทบจำไม่ได้แล้ว สิ่งเหล่านั้นที่ผ่านมานานหลายปีล้วนกลายเป็นเพียงความทรงจำที่พร่าเลือน สองขาแม้จะยังมีความรู้สึกอยู่บ้างแต่ก็คล้ายด้านชาจนเคยชินไปเสียแล้ว
ยามนี้มีเพียงเรื่องหนึ่งที่จุกอยู่ในอกยากจะเอื้อนเอ่ยให้ผู้ใดได้ยินยล อีกส่วนคือความต้องการกลับไปเป็นเหมือนเดิมเท่านั้นที่ยังคงติดค้างในใจ
จวนตระกูลว่านเป็นจวนพ่อค้าที่ร่ำรวยติดอันดับต้นของแคว้นเหว่ย ดังนั้นย่อมมิใช่มีห้องหับเพียงไม่กี่ห้องหรือของมีค่าไม่กี่ชิ้นแบบบ้านคนมีฐานะทั่วไป จำต้องมีคนคอยตรวจตราตามเวลาเสมอ
ในตอนนั้นบ่าวชายที่เดินตรวจจวนอยู่ก็สะดุดตาเข้ากับเรือนแห่งหนึ่งที่ไฟยังติดอยู่และบานหน้าต่างถูกเปิดไว้ แน่นอนย่อมรู้ว่าที่ตั้งของเรือนซึ่งติดกับลานว่างนั้นเป็นที่อยู่ของผู้ใด เขาจึงเดินเข้ามาดูและได้เจอเจ้านายของตนยังคงนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่างอย่างที่คาดไว้
“คุณชาย ดึกมาแล้ว ให้บ่าวช่วยท่านกลับไปที่เตียงดีหรือไม่ขอรับ” เขากล่าวถามด้วยความระมัดระวัง เพราะคุณชายว่านมักไม่ชอบให้ใครทำเหมือนว่าตัวเองพิการจนต้องคอยพึ่งพาคนอื่นตลอด
แต่ด้วยความเป็นห่วงเนื่องจากร่างกายที่ผอมบางของคุณชายก็เกรงว่าอีกฝ่ายจะหมดแรงในช่วงค่ำจนไม่มีแรงขยับเก้าอี้รถเข็นกลับไปด้านในด้วยตัวเองได้ บ่าวชายคนนี้จึงเอ่ยถามเพราะอยากช่วยจริง ๆ
“ไม่เป็นไร” ครั้งนี้ว่านฟู่เฉิงไม่ได้โวยวายเหมือนเมื่อก่อนตอนที่เพิ่งเดินไม่ได้ในช่วงแรกอีกแล้ว กลับสุขุมมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว เขาเอ่ยเนิบนาบออกไปว่า “ไปทำงานของเจ้าต่อเถิด”
“ขอรับคุณชาย” บ่าวชายรับคำเสร็จก็เดินตรวจเวรยามต่อ และคิดว่าอีกสักพักจะแวะมาดูใหม่ หากคุณชายเผลอหลับไปตนเองจะได้แอบปิดหน้าต่างให้ แต่คงไม่ได้เข้าไปช่วยขยับย้ายคุณชายเข้าไปที่เตียงนอนเพราะเกรงว่าจะไปรบกวนการนอนของคุณชายเข้า คงต้องปล่อยไว้บนรถเข็นเช่นนั้น
ว่านฟู่เฉิงหลับตาลงพักสายตา ชั่วขณะนั้นสายลมระลอกหนึ่งก็พัดเข้ามาทางหน้าต่าง เป็นความเย็นสบายที่ปลอดโปร่งแต่ก็ไม่ได้ทำให้จิตใจของคนพิการเช่นเขาดีขึ้นเท่าไรนัก
สารทฤดูมาเยือน
สายลมเป็นใจ
ด้ายแดงจึงเริ่มถักทอ
“อาอี อาอี!” รุ่งอรุณเพิ่งมาเยือนไม่นาน ท้องนภาเริ่มอาบย้อมสีส้มแค่บางส่วน เสียงเรียกก็ดังขึ้นที่หน้าประตูบ้านของกู่ซิงอีที่ตั้งอยู่ท้ายเมืองแล้ว เจ้าของบ้านยังไม่ทันตื่นเต็มที่ก็ถูกเสียงเรียกอันคุ้นเคยปลุกขึ้นมาจากภวังค์แห่งการหลับใหล นั่นคือเสียงของเซี่ยลู่หลินสหายคนสนิทของตนเองที่กู่ซิงอีไม่มีทางจำผิด ร่างสูงเดินงัวเงียมาตามเสียงเรียก บานประตูบ้านถูกคนที่อยู่อีกฝั่งทุบจนสั่นคลอนไปหมด คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันด้วยความสงสัย เมื่อเปิดประตูออกแล้วเขาจึงพูดว่า “เสี่ยวลู่ เจ้ามาตะโกนหน้าบ้านผู้อื่นแต่เช้าขนาดนี้มีเรื่องด่วน...” กู่ซิงอียังไม่ทันพูดจบ เงาเล็กที่อยู่ตรงหน้าก็กระโจนเข้าหาเขา จับแขนทั้งสองข้างของเขาแน่นแล้วเขย่าไปมา “อาอี! อาอี!” เซี่ยลู่หลินกล่าวด้วยความร้อนรน “เจ้าต้องช่วยข้า ต้องช่วยข้า!” แต่ละคำที่กล่าวมาล้วนแทบฟังไม่ออก กู่ซิงอีไม่ตกใจอะไรมากนัก ปกติเซี่ยลู่หลินก็เป็นกระต่ายน้อยขี้ตื่นตูมอยู่แล้ว และแถมยังชอบโวยวายอีกด้วย ดังนั้นท่าทางแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ที่แปลกก็คือการที่เสี่ยวลู่มาหาเขาเช้าตรู่ขนาดนี้ต่างหาก เพราะจวนสกุลเซี่ยต
“คนผู้นั้นชอบเจ้าหรือไม่” พอกู่ซิงอีถามมาถึงตรงนี้ เซี่ยลู่หลินก็พยักหน้าเพียงนิด กู่ซิงอีจึงเดาเรื่องราวได้ทั้งหมดว่าทำไมสหายยังไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับตนสักที “เพราะฐานะของเขา?” “...” เซี่ยลู่หลินคราวนี้พยักหน้าอย่างแรง หยาดน้ำตาไหลลงมาอาบสองแก้ม นางรีบยกมือปาดออกอย่างรวดเร็ว กู่ซิงอีพอเข้าใจแล้วก็ไม่คาดคั้นเรื่องคนรักของสหายอีก แต่ปัญหาตอนนี้คือเรื่องการแต่งงานมากกว่า เซี่ยหลี่จวินบิดาของเซี่ยลู่หลินเป็นพ่อค้าที่เห็นเงินทองมาเป็นอันดับแรกสุด ทุกสิ่งทุกอย่างในสายตาของเขาคือผลกำไร ดังนั้นการแต่งงานครั้งนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์ เซี่ยหลี่จวินเป็นแบบนี้มานานแล้วกู่ซิงอีรู้จักเป็นอย่างดี สมัยก่อนนายท่านเซี่ยยังชอบสั่งห้ามให้เซี่ยลู่หลินไม่มาเล่นกับตนเพราะเขาเป็นเด็กที่กำพร้าและยากจน แถมเป็นบุรุษอีกด้วย คงกลัวว่าเซี่ยลู่หลินจะมาชอบพอกับเขาเข้าแล้วหนีตามกันไป แต่เซี่ยลู่หลินแม้จะเกรงกลัวบิดามากขนาดไหนทว่าก็ยังแอบมาหาเขาตลอด และเพราะบิดาของเซี่ยลู่หลินเข้มงวดจนเกินไปขนาดคนที่มีฐานะใกล้เคียงกันยังแทบไม่อยากให้เซี่ยลู่หลินไปพบปะ ดังนั้นทั้งคู่จึงเป็นสหายสนิท
เมืองจางแห่งนี้ข่าวไปไวยิ่งนัก เสี่ยวลู่บอกกับเขาว่าตนได้รับการทาบทามเมื่อวานตอนเช้า แต่บิดาเพิ่งบอกนางตอนหัวค่ำ ใจนางร้อนรนอยากมาหาเขาตั้งแต่ยามดึกแล้วแต่ติดที่หาจังหวะหนีออกมาไม่ได้ พอรุ่งสางของวันนี้ถึงแอบออกมาได้ในที่สุด พอคำนวณดูนี่ยังไม่ทันพ้นวันด้วยซ้ำ ข่าวลื่อก็ดังไปทั่วเมืองแล้ว เห็นทีเรื่องนี้ก็คงยุ่งยากไปอีกเท่าตัว “ไม่แปลกหรอก ทั้งสองตระกูลเป็นตระกูลพ่อค้าเหมือนกัน ร่ำรวยพอ ๆ กัน ไม่มีใครเหนือกว่าใคร ข้าเองก็คิดว่าในสักวันต้องได้เห็นงานมงคลที่เอิกเกริกสักครั้งเช่นกัน วันนี้ก็มาถึงแล้ว!” “ฮ่า ๆ เจ้าหวังดื่มสุรามงคลสิท่า” “ทั้งสองตระกูลร่ำรวยขนาดนั้น แถมตระกูลว่านและตระกูลเซี่ยก็รักหน้ารักตามากกว่าใคร จัดงานทั้งที คงเลี้ยงคนทั้งเมือง!” “เจ้าก็กล่าวเกินไป ยังต้องไว้หน้าวังหลวงอยู่บ้าง คงต้องบอกว่าเลี้ยงคนเกินครึ่งเมืองแทน!” “ฮ่า ๆ” กู่ซิงอีได้ฟังก็หัวเราะเสียงเยียบเย็นในใจ มือบีบจอกชาแน่นขึ้นทันที หึ สุราหรือ ไว้ไปขอของข้าดื่มแทนแล้วกัน! งานแต่งในครั้งนี้ไหนเลยจะลำบากให้พวกเจ้าลากสังขารมาดื่มสุรามงคล เพราะมันจะต้องไม่เกิดขึ้น!
“ชมเกินไปแล้ว แค่คุ้นเคยเล็กน้อย ๆ เดิมข้าเป็นคนจมูกดีอยู่แล้วด้วย แต่ปกติจะได้กลิ่นขนาดนี้คงต้องทำสุราหกใส่ตัวเองกระมัง” แม่ค้าร้านน้ำตาลปั้นมองบุรุษชุดฟ้าสีพื้นที่เนื้อผ้าไม่ได้ดีมากไม่ได้หยาบมาก และค่อนข้างสะอาดสะอ้าน ดูไม่เหมือนพวกที่ชอบดื่มสุราต่างน้ำ อีกทั้งใบหน้ารูปงามที่พบยากในเมืองจางก็ดูไม่เมามายหรืออ่อนล้าอย่างกับคนที่ดื่มสุรามากจนเกินพอดีเลยสักนิด แล้วเหตุใดกลิ่นบนตัวจึงชัดเจนนัก “ข้าแค่ไปส่งสุราเท่านั้น” กู่ซิงอีกล่าวเรื่องจริงเพียงครึ่งส่วน ในตอนนั้นท่านน้าก็หันไปรับลูกค้าพอดีเขาจึงไม่ต้องหาเรื่องมาแก้ตัวอีก ครั้นพอไม่มีคนชวนคุยแล้วเขาถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนมาทำอะไรอยู่กลางตลาด เป็นจังหวะเดียวกับที่รถม้าสีเข้มคันหนึ่งพลันขับผ่านหน้าเขาไปพอดี คิ้วของกู่ซิงอีเลิกขึ้นเล็กน้อย รู้ได้ทันทีว่ารถคันนี้ต้องเป็นของคุณชายว่านแน่นอน เพราะตัวรถม้าออกแบบให้ค่อนข้างเตี้ยยกห่างจากพื้นไม่ถึงหนึ่งข้อศอก ดังนั้นจึงดูออกได้ง่ายว่าไม่ใช่รถม้าแบบทั่วไป และเมื่อมองตามไปก็พบว่ารถม้าได้หายเข้าไปข้างร้านว่านพอดี เลี้ยวไปในจุดอับสายตาที่คนไม่ค่อยสังเกตเห็นผ่านประตูสีน้ำตาลบานใ
จวนตระกูลเซี่ยจะว่าใหญ่โตก็คือใหญ่โต แต่การดูแลค่อนข้างหละหลวม หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะว่ากู่ซิงอีเข้าออกบ่อยจนชินไปแล้ว รู้ว่าควรเข้าที่ใด รู้ว่าที่หลบอยู่ตรงไหน และรู้ว่าควรมาเวลาใด ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะแอบย่องเข้ามาเหมือนโจรผู้หนึ่ง ยามปกติกู่ซิงอีมักจะหลบซ่อนบนต้นไม้ใกล้บานหน้าต่างห้องของเซี่ยลู่หลินแล้วใช้หินสามก้อนโยนไปกระทบหน้าต่างตามจังหวะ แต่สารทฤดูดำเนินมาครึ่งทางแล้วใบไม้จึงเริ่มร่วงหล่นใกล้หมดต้น จะหลบอย่างไรก็หลบไม่มิด ดังนั้นวันนี้กู่ซิงอีจึงเดินมาเคาะบานหน้าต่างของสหายตามจังหวะเดียวกับที่ใช้หินโยน เคาะหนึ่งครั้งเว้นไปสักพัก ช่วงเวลาที่เว้นไปก็หันมองซ้ายขวาและด้านหน้าตลอดเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ เซี่ยลู่หลินกับเขาเป็นสหายกันมานานแบ่งแยกออกอย่างชัดเจนว่าไม่เคยคิดเกินเลย นับเป็นสหายที่ล่มหัวจมท้ายจนรู้ใจ แต่อย่างไรเสียคนทั่วไปก็คงมองว่าบุรุษและสตรีที่ไหนจะเป็นเพื่อนกันได้ แม้นพวกเขาไม่คิดอันใดแต่คนนอกย่อมต้องคิดแน่ กู่ซิงอีนึกถึงชื่อเสียงของเซี่ยลู่หลินมาก่อนเสมอจะทำให้สหายเสียชื่อไม่ได้ เวลาแอบย่องมาเล่นด้วยกันที่จวนตระกูลเซี่ยจึงต้องคอยระวังอยู่ตลอด ทว
กู่ซิงอีถึงขั้นเกาหัวด้วยความฉงน จู่ ๆ ก็โดนฝ่ามืออรหันต์ “จะส่งคนไปทั้งที่ก็ต้องส่งแบบที่เจ้าตัวชอบสิ บางทีคุณชายว่านอาจจะไม่ได้ชอบคนที่มีหุ่นงดงาม อาจชอบที่เรียบร้อยและเด็กกว่าตนมากก็ได้” สุดท้ายแล้วทั้งคู่ก็ถกเถียงกันอยู่นาน กู่ซิงอีที่ไม่มีงานทำเพราะหมักสุราไว้มากพอแล้วจึงอาสาไปสืบถามหาข่าวดูว่าคุณชายว่านเคยมีสตรีที่คบหาหรือไม่ หรือว่าเคยไปเที่ยวหอย่านโคมแดงแล้วเลือกสตรีแบบไหน “คุณชายว่านหรือ ไม่เห็นว่าเขาจะมีใครที่เคยชอบพอกัน” นี่คือคำกล่าวของคนที่อยู่ละแวกจวนของตระกูลว่านซึ่งมีแต่คำบอกเล่าในทำนองเดียวกันทั้งหมด กู่ซิงอีจึงเดินทางต่อไปแถวย่านโคมแดงแทน “คุณชายว่านหรือ ข้าไม่เคยเห็นเขาไปงานเลี้ยงด้วยซ้ำ” “คุณชายว่านไม่เคยมาที่แบบนี้หรอก วัน ๆ เห็นแต่ขลุกตัวอยู่ในจวนกับร้านว่านกลางเมือง” “ข้าเคยเห็นเขามาเจรจาการค้าอยู่บ้างแต่ส่วนมากไม่มาที่หอเริงรมย์ของข้าหรอก นู่น เขาแวะเข้าร้านน้ำชาแทน !” สรุปแล้วกู่ซิงอีเสียเวลาไปจนค่ำก็รู้แค่ว่าคนผู้นั้นเก็บตัวมากนัก หอเริงรมย์หรือหอรื่นเริงแต่ละที่ก็ยังไม่เคยไปและไม่เคยเรียกใครไปที่จวนเพื่อจัดงานเลี้ยงเหมือนที
สองสามวันมานี้กู่ซิงอีคอยเฝ้าประกบตามดูคุณชายว่านอยู่ตลอด วันไหนที่คุณชายว่านออกมาจากจวนเพื่อมาร้านว่านกู่ซิงอีก็จะไปดักรอตั้งแต่ออกจากจวนตามมาจนกระทั่งถึงร้านว่าน ด้วยเพราะรถม้าตระกูลว่านเคลื่อนที่ช้ายิ่งนักเขาจึงเดินตามทันไม่เคยคลาดสายตาแม้แต่น้อย แต่ตลอดทางก็ไม่เห็นคนด้านในชายตาแลสาวคนไหน ผ้าม่านรถม้าถูกปิดไว้อย่างไรก็ยังคงปิดไว้ดังเดิมตลอดมิเคยเปิดออก แถมตอนอยู่ที่จวนคุณชายว่านก็เอาแต่ทำงานทั้งวัน ถึงตัวกู่ซิงอีจะมิได้แอบเข้าไปด้านในเพราะมีคนเดินตรวจตราอยู่ตลอด แต่แค่ปีนกำแพงอยู่ด้านนอกคอยสังเกตอยู่ห่าง ๆ ก็รู้ได้แล้วว่าคนผู้นี้บ้างานขนาดไหน เพราะห้องทำงานของคุณชายว่านก็คือเรือนที่อยู่ใกล้กับกำแพงเลยเห็นได้ว่าอีกฝ่ายไม่ออกไปไหนเลย มีเพียงคนสนิทของคุณชายว่านเท่านั้นที่เดินถือของเข้าออกอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งเท่าที่สังเกตเห็นบ่าวรับใช้ในจวนที่เป็นสตรีก็มีแต่คนสูงวัยทั้งนั้น คล้ายว่าระวังตัวเรื่องชู้สาวไว้อยู่แล้ว วันเวลาจึงดำเนินทิ้งไปอย่างเปล่าประโยชน์ โดยยังมิทันได้เรื่องราวใดเป็นชิ้นเป็นอันเสียที ต่อมาไม่กี่วันกู่ซิงอีกับเซี่ยลู่หลินก็หาคนได้แล้ว เป็นดรุณีน้อยแรก
“เกิดอะไรขึ้น” เสียงเนิบนาบด้านในรถม้าเอ่ยถามขึ้นในชั่วขณะนั้น กู่ซิงอีได้ยินยลก็พบว่าคนผู้หนึ่งหน้าตาดีขนาดนั้นได้แล้ว เสียงเองก็ยังน่าฟังมากยิ่งนัก อดเผลอมองไปที่หน้าต่างรถม้าซึ่งมีผ้าม่านปิดอยู่มิได้ หลี่เซียวที่นั่งอยู่หน้ารถม้าก็รายงานเข้าไปให้คนด้านในฟังว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อครู่เขามัวแต่หันไปบอกคุณชายของตนว่าใกล้ถึงที่หมายแล้วจึงไม่ทันเห็นว่าสตรีผู้นี้ผ่านหน้ารถม้าตนตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงม้าร้องขึ้นมาแล้ว กู่ซิงอีหันมาสนใจฉีหย่าที่ทำท่าจะลุกแต่ก็ล้มลงไปกับพื้นต่อ พลางพิเคราะห์ในใจว่า แผนนี้ของเซี่ยลู่หลินอาจใช้ได้ผลแปดส่วนเท่านั้น เพราะส่วนมากคนที่ถูกรถม้าชนในตลาดมักจะเป็นขอทาน คนไร้บ้าน หรือพวกต้มตุ๋น สามกลุ่มนี้ล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือทำเพื่อหลอกเงินคนร่ำรวยอย่างคุณชายว่านเท่านั้น แต่ครั้งนี้อาจจะต่างออกไปก็ได้ เพราะว่าคนที่ถูกชนเป็นสตรีหน้าตางดงามนางหนึ่ง ความงามย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง ผู้ใดพบเห็นจะต้องสงสารแม่นางฉีหย่าก่อนถามไถ่ความจริงเป็นแน่ ด้านว่านฟู่เฉิงพอฟังจบแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นก็สั่งให้หลี่เซียวไปจัดการตามสมควร เรื่องเงิน
ท่าทางการเดินไต่ตัวบนกำแพงจวนก็ดูคล่องแคล่วยิ่งนัก หลอมรวมกับยามนั้นมีสายลมของสารทฤดูพัดผ่านมาพอดี ชายเสื้อสะบัดพลิ้วไหวชวนให้คิดว่านี่อาจเป็นปีศาจตนใดมาล่อลวงผู้คนเข้าแล้ว ภาพที่เห็นตรงหน้าราวกับเขาเป็นผู้เมามายเสียเองจนเห็นภาพหลอน ทว่าเสียงเท้าหนัก ๆ ที่กระโดดลงมาจากกำแพงของเจ้าตัวก็ทำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่เป็นภาพที่เขาคิดไปเอง รอยยิ้มที่แต่งแต้มไว้บนใบหน้าก็ดูต่างไปจากเดิมอยู่บ้าง สรุปแล้วเมื่อวานหรือวันนี้กันแน่ที่เมามาย ว่านฟู่เฉิงจึงคิดว่าหรือไม่แน่วันนี้ก็คงเมาเหมือนเดิมนั่นแหละ ในใจพลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ตัวเขาเป็นคนจริงจังทำงานเป็นเวลาและไม่ชอบคนเหลาะแหละ คนที่กำลังเดินเข้ามาหาทำตัวราวกับคนว่างงาน ตั้งแต่ที่ได้สบตากันวันนั้นก็เจอคนผู้นี้ป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวมาโดยตลอด วันนี้ก็โผล่มาอีกแล้ว แถมถ้าเมามาอีกจะคิดสิ่งใดได้นอกจากเป็นคนไม่เอาการเอางานผู้หนึ่งที่วัน ๆ คงเอาแต่สำมะเลเทเมาไปเรื่อยเปื่อย ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ตัวของคนผู้นี้มักจะมีกลิ่นหอมของสุราติดมาด้วยตลอด “วันนี้ไม่มีดวงจันทร์แล้ว...” กู่ซิงอีเงยหน้ามองท้องฟ้ามือผสานไว้ด้านหลังก่อนจะเดินมาหาคนที่น
ระหว่างทางไปบ้านของตนจำต้องผ่านจวนตระกูลว่านก่อน กู่ซิงอีพลันหยุดมองดูต้นพลับต้นเดิม ส่งเสียงเหอะออกมาอย่างเย้ยหยัน ยกสุรากระดกขึ้นจนหมดไหแล้วโยนไหสุราทิ้งไว้ที่พุ่มหญ้าแถวนั้น ใบหน้าที่ถูกสีชมพูอ่อนจางเคลือบไว้หนึ่งชั้นก็กระตุกยิ้มขึ้นในความมืด ดวงตาเปล่งประกายกว่าเดิมเล็กน้อย นึกครึ้มใจหาทางปีนเข้าไปด้านในจวนของผู้อื่น กาลก่อนเขาเคยแอบมาปีนกำแพงเพื่อตามดูว่านฟู่เฉิงก็จริงแต่ก็เข้าไปถึงด้านในไม่ได้ ทำได้แต่มองอยู่ข้างนอก ทว่าภายหลังจากที่ได้เข้าไปทำงานในจวนตระกูลว่านแล้วและทำหน้าที่เป็นคนเดินตรวจเวรมาก่อนย่อมรู้ว่ายามไหนที่จะหลบพ้นสายตาผู้คนในจวนได้ แถมจากที่ชอบปีนเข้าไปหาเซี่ยลู่หลินบ่อย ๆ ก็ทำเรื่องแบบนี้อย่างเคยชินจนกลายเป็นอาชีพไปเสียแล้ว ต่อให้เมาก็มิใช่เรื่องยากที่จะปีนเข้าไป ใกล้กับห้องนอนของคุณชายว่านที่เป็นลานกว้างนอกจากต้นพลับที่มีลูกดกแล้วก็ยังมีต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่กลางลานด้วย เป็นต้นไม้ที่ใบของมันยังเหลืออยู่มากพอให้เขาหลบซ่อนตัวได้พอดี ครั้นพอเข้ามาในจวนได้กู่ซิงอีก็ปีนขึ้นไปหลบอยู่บนนั้นด้วยความคล่องแคล่ว หวังคิดจะหลอกผีเจ้าของจวนเสียหน่อย อี
“ไม่มีอะไรชอบเป็นพิเศษ” อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา นี่เป็นการถามคำตอบคำที่ดูยาวขึ้นกว่าปกติเล็กน้อยเท่านั้น และมีเพียงกู่ซิงอีและหลี่เซียวที่รู้ว่าคุณชายว่านพยายามรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ขนาดไหน “ฮ่า ๆ ๆ” ในตอนนั้นคนที่เรียบร้อยอ่อนหวานมาตลอดก็ระเบิดหัวเราะออกมา “คุณชายว่านคุณสนุกยิ่งนัก! ฮ่า ๆ” กู่ซิงอีพยายามกดยิ้มไว้ไม่หัวเราะตามสหายของตน ท่าทางสตรีที่หัวเราะไม่สนใจหน้าตาเช่นนี้ คุณชายว่านคงไม่ชอบกระมัง ทว่าเมื่อเหลือบตามองกลับพบว่าอีกฝ่ายยังมีท่าทางสงบนิ่งเช่นเดิม กินขนมเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น มีเพียงหลี่เซียวที่ขมวดคิ้วเข้าด้วยกันด้วยความแปลกใจแทน พอเห็นว่าการหัวเราะหยาบคายไม่ได้ผล กู่ซิงอีก็แกล้งทำจอกชาที่รับคืนมาจากเซี่ยลู่หลินในตอนนั้นร่วงหลุดออกจากมือ จอกชาตกกระทบพื้นเสียงดังเคร้ง! ก่อนจะแตกกระจายไปคนละทิศคนละทาง เสียงก้องกังวานจึงดังขึ้นอีกหลายครั้ง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่กู่ซิงอีเหยียบเท้าของเซี่ยลู่หลินอย่างแรงว่าให้รีบทำตามแผนที่เหลือแทน “อ๊ะ ขอโทษขอรับ ขอโทษขอรับ เป็นบ่าวไม่ระวังเอง คุณหนูรองเจ็บตรงไหนหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีรีบนั่งคุกเข่า
ทว่า...ทุกอย่างกลับผิดแผนไปหมด! ทันทีที่สตรีกลุ่มหนึ่งถูกส่งเข้าไปในห้องที่คุณชายว่านอยู่ต่อมาก็เกิดเสียงโวยวายขึ้นมา จากนั้นทั้งนางรำ นักเล่นดนตรี และสตรีร่างงดงามที่นุ่งน้อยห่มน้อยอีกห้าหกคนก็ถูกโยนออกมาจนหมด เจ้าของหอเริงรมย์ที่คราแรกแย้มยิ้มส่งคนของตัวเองเข้าไปก็หน้าเจื่อนทันที ไม่นานเกินรอคุณชายว่านก็ตามออกมาติด ๆ เพื่อเดินทางออกจากหอ ก่อนไปยังเหลือบตามองเจ้าของหอเริงรมย์ด้วยความไม่พอใจอย่างไม่คิดจะปิดบัง กู่ซิงอีที่แสร้งทำเป็นเดินมาเก็บโต๊ะอยู่ที่กลางโถงใหญ่ก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ทั้งหมด เขารีบหันตัวหลบยามที่ว่านฟู่เฉิงกำลังถูกพาตัวออกไปที่ประตู โดยมีเจ้าของหอเริงรมย์วิ่งตามอยู่ด้านหลังพร้อมตะโกนกล่าวขอโทษขอโพยยกใหญ่ ครานี้กู่ซิงอีกระจ่างแจ้งแล้วว่าจะใช้สตรีมาล่อลวงคนผู้นี้ไม่ได้! วันต่อมาคราวนี้เซี่ยลู่หลินได้ออกมาข้างนอกจึงนัดเจอกับเขาที่โรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักมากนักแต่ก็เป็นที่ประจำของพวกเขาไปแล้ว “เสี่ยวลู่...เจ้าไม่ลองไปคุยกับคุณชายว่านโดยตรงดู” กู่ซิงอีคราแรกใจเย็น แต่ครานี้เริ่มคิดหนักเพราะไม่กี่วันก็จะถึงงานหม
กู่ซิงอีออกจากตระกูลว่านมาได้ก็ตรงมาที่จวนตระกูลเซี่ยตั้งแต่เช้าตรู่ ลงมือเคาะหน้าต่างอยู่สามทีเหมือนเดิม คราวนี้ไม่ผิดพลาดซ้ำรอยเดิมอีก เขาหลบออกจากบานหน้าต่างก่อนเจ้าของห้องจะวิ่งมาเปิดหน้าต่างชนเข้ากับเขาเหมือนครั้งก่อนอีก “อาอี?!” เซี่ยลู่หลินแปลกใจอยู่บ้าง ปกติหากมีเสียงเคาะแบบนี้ครั้งที่สองนางก็มาเปิดแล้วเพราะไม่มีใครคนไหนในจวนจะมาเคาะห้องของนางแบบนี้ และปกติกู่ซิงอีไม่เคยมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางเช่นนี้มาก่อนนางจึงรอเสียงเคาะครบสามครั้งถึงได้มาเปิด “เข้ามาก่อน” นางชะเง้อคอมองออกไปด้านนอกพอเห็นว่าไร้ผู้คนก็รีบถอยห่างจากบานหน้าต่างเพื่อให้กู่ซิงอีเข้ามา กู่ซิงอีกระโดดข้ามหน้าต่างอย่างคล่องแคล่วเข้าไปในห้องแล้วเดินนำไปนั่งที่โต๊ะน้ำชาก่อนเจ้าของห้องเสียอีก ต่อจากนั้นก็เล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังจนหมด จบท้ายด้วยประโยคที่ว่า “อีกสักพักฉีหย่าคงถูกส่งมาที่นี่” “คุณชายว่านระวังตัวยิ่งนัก ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่าเขาเป็นคนรักหน้ารักตามาก เคยมีคนใส่ร้ายร้านค้าของเขาว่าเอาเปรียบ ขายของคุณภาพต่ำให้ชาวบ้าน เขาก็รีบออกมาแก้ไขในทันที ดังนั้นยิ่งไม่แปลกถ้าจะไม่ให้แม่นางฉีหย่าเข้าใ
กู่ซิงอีอดเป็นห่วงคุณชายว่านไม่ได้ตอนเดินตรวจตรารอบจวนจึงรีบไปรีบกลับ ครั้นพอกลับมาก็มาหยุดยืนหน้าห้องน้ำส่งเสียงบอกคนด้านในว่าตนมาถึงแล้ว “อาเซียวยังไม่กลับมาอีกหรือ” น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูเยือกเย็นเหมือนเดิมแล้ว “เรื่องนี้บ่าวเองก็ไม่ทราบ ให้บ่าวไปถามคนอื่นดูหรือไม่ขอรับ” กู่ซิงอีไม่รู้ว่าหลี่เซียวลากฉีหย่าไปไหน เมื่อครู่เดินไปทั่วฝั่งที่ตนดูแลแล้วก็ไม่พบคน ยามนี้ทางการมีคำสั่งห้ามออกจากจวนก็จริงแต่เกรงว่าคนอย่างคุณชายว่านคงไม่สนใจเรื่องคำสั่งพวกนั้น ท่าทางโกรธเกรี้ยวระคนขุ่นเคืองตอนโยนผ้าคลุมขามาให้ก็ดูท่าจะอารมณ์เสียไม่น้อย กู่ซิงอีมาถึงจุดนี้จึงคาดเดาได้แล้วว่าคนด้านในคงไม่ชอบให้ใครโดนตัวถึงได้ถามหาลูกน้องคนสนิทแบบนี้ “...” ว่านฟู่เฉิงถอนหายใจ เขาอยากออกจากน้ำสักพักแล้วแต่พยายามอย่างไรก็ส่งตัวเองออกไปไม่ไหว ถังไม้อาบน้ำใบนี้เพิ่งเปลี่ยนใหม่มันสูงกว่าใบเดิมที่เขาเคยใช้มากนัก หลี่เซียวก็คงปลีกตัวกลับมาไม่ได้ถึงได้ไปนานขนาดนี้ ยามนี้คงเดินหลบพวกทหารด้านนอกอยู่เป็นแน่ น้ำเริ่มอุ่นมากแล้วและหากแช่ต่อไปเนื้อตัวเขาคงเปื่อยยุ่ยไปกับน้ำแน่ สุดท้ายชั่งใจอยู่นา
ก่อนหน้านี้เพียงนิดเป็นกู่ซิงอีที่นำทางฉีหย่ามาที่ลานว่างหน้าเรือนของคุณชายว่านด้วยตนเอง วันนี้นอกจากเขาจะต้องทำงานบ้านแบกน้ำแบกของแล้วยังต้องมารับหน้าที่ตรวจเวรแทนคนเดิมอีกเช่นเคย ดังนั้นพอเขาเดินไปไหนมาไหนทั่วจวนก็ดูไม่น่าผิดสังเกตมากนัก ทุกอย่างช่างเข้าที่เข้าทาง ระหว่างที่ส่งฉีหย่าไปแล้วตัวเขาก็ไม่ได้ไปไหนไกล รั้งหลบรอดูเหตุการณ์อยู่แถวนั้น กู่ซิงอีเห็นว่าพอแม่นางฉีหย่าพูดไปได้สักพักก็เริ่มเข้าไปทำท่าจะนั่งบนตักของคุณชายว่าน แต่เพราะคุณชายว่านหันหลังอยู่กู่ซิงอีจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าอย่างไร คาดเดาไปแล้วว่าแม่นางฉีหย่าคงทำสำเร็จ ด้วยการพูดที่ชาญฉลาดและช่างเอาใจจึงคิดว่าที่นางสามารถไปนั่งตักคุณชายว่านได้คงเพราะอีกฝ่ายคงเรียกนางเข้าไปหาเป็นแน่ รอยยิ้มมุมปากพลันปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา ทว่าขาของฉีหย่ายังไม่ทันนั่งลงถึงที่หมายร่างบางก็ถูกผลักออกอย่างแรงจนตัวกระเด็นไปนั่งอยู่บนพื้น จากนั้นกู่ซิงอีที่ยืนอยู่ไม่ไกลมากนักก็ได้ยินเสียงคุณชายว่านตะโกนเรียกหลี่เซียวให้เข้ามาหา กู่ซิงอีขมวดคิ้วมุ่นตามเหตุการณ์ไม่ทัน รีบขยับเข้าใกล้ไปอีกนิดเพื่อฟังว่าเกิดอะไร
เอาเข้าจริงหากเซี่ยลู่หลินเห็นเพียงด้านหลังของอีกฝ่ายและได้ยินน้ำเสียงนี้ก็คงไม่รู้แน่ว่าเป็นสหายของตน กู่ซิงอีนั้นนอกจากจะดัดเสียงแล้วยังปลอมตัวอีกด้วย เขาสวมผ้าคาดที่หน้าผากแบบบ่าวทั่วไปชอบสวมแถมยังมัดผมขึ้นจนหมดไม่ได้ปล่อยหางม้าแบบเคย และอย่างไรเสียคุณชายว่านกับเขาก็เคยเจอหน้ากันหนหนึ่งเท่านั้นแถมเป็นตอนที่เขาอยู่ไกลกันค่อนข้างมาก คงไม่มีทางจำกันได้ ว่านฟู่เฉิงคาดไม่ถึงว่าบ่าวชายจะซ่อมล้อรถเข็นให้ตนเช่นนี้ คิดว่าอีกฝ่ายคงจะพาตนเองกลับไป ไม่ก็ไปเรียกคนสนิทของตนมาให้ หรือไม่ก็ไปหารถเข็นตัวสำรองมาแทน แถมเมื่อครู่ตอนเขาล้มบ่าวคนนี้ก็ไม่พูดไม่จาไม่ถามเขาว่าเจ็บหรือไม่ ทำเพียงอุ้มเขาขึ้นมาอย่างง่ายดายแล้วจากไป ไม่เหมือนกับคนที่เขาเคยเจอเลยสักนิด ความรู้สึกโกรธจึงเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความสงสัยแทน กู่ซิงอีเห็นอีกฝ่ายเงียบไปก็เงยหน้าขึ้นมอง “หรือว่าคุณชายบาดเจ็บตรงไหน” เพิ่งจะมาเอ่ยปากถามเอาตอนนี้เอง ว่านฟู่เฉิงแทบอยากถอนหายใจใส่แต่ก็ทำเพียงเก็บอารมณ์นั้นเอาไว้ในใจ กล่าวเนิบนาบอย่างรักษาท่าทีว่า “เจ็บหัวเข่านิดหน่อยแต่ไม่เป็นไรมาก” บ่าวคนนี้ความรู้สึกช้ายิ่งนัก!
สองสามวันผ่านไปก็ไร้วี่แววว่าฉีหย่าจะทำงานสำเร็จ ในตอนนั้นร้านว่านรับสมัครบ่าวชายไปทำงานที่จวนตระกูลว่านพอดี กู่ซิงอีจึงรีบไปเสนอหน้าก่อนใคร แถมด้วยความฉลาดพูดของเขาก็ทำให้ได้งานในทันที กู่ซิงอีพอย้ายเข้ามาในจวนก็ส่งข่าวให้ฉีหย่าหาเรื่องมาที่จวนตระกูลว่านให้ได้ในสองสามวันนี้ เพราะเขาได้ข่าวว่าทางการสั่งห้ามออกจากบ้านเป็นเวลาเจ็ดวันหากเลยยามซวี [1] ไปแล้ว ดังนั้นจะต้องหาเรื่องให้นางรั้งอยู่จนถึงยามนั้นเพื่อให้นางพักที่จวนตระกูลว่านให้ได้ ([1] ยามซวี คือช่วงเวลา 19.00-20.59 น.) ความจริงถ้ามีเวลามากกว่านี้กู่ซิงอีคิดว่าคงให้นางค่อย ๆ เอาชนะใจคุณชายว่าน แต่เพราะระยะเวลากระชั้นชิดเกินไป ต้องรีบหาทางให้ทั้งคู่ได้เจอกันก่อน ตกดึกคืนนั้นกู่ซิงอีกลับได้รับหน้าที่เพิ่มเติมคือต้องไปเดินตรวจตรารอบจวนแทนคนเก่าที่เกิดหกล้มจนเดินไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน จวนตระกูลว่านค่อนข้างใหญ่โต จึงแบ่งการเดินตรวจเวรออกเป็นสองฝั่ง ในแต่ละรอบจะมีคนเดินตรวจตราทีละสองคน กู่ซิงอีแต่เดิมก็เป็นคนมีความจำเป็นเลิศ บ่าวชายอีกคนที่ทำงานในวันนี้ด้วยกันบอกเส้นทางเพียงครั้งเดียวเขาก็รู้ว่าตนต้องไปทางไ